เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
10/10/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
47,392,320 |
Page Views |
54,179,743 |
|
«
| October 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | | |
|
|
02/01/2023
View: 61,585
นานาพรรณ ไม้เลื้อย 2
For information only the plant is not for sale
ไม้ เลื้อยเป็นที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเหมือนกัน มีมากมายหลายพันธุ์ บางต้นออกดอกดก แต่ออกปี ละครั้ง บางต้นก็มีกลิ่นหอม หรือบางต้นมีสีสันสดใส นิยมทำซุ้มให้เลื้อยหรือให้เลื้อยขึ้นไม้ระแนงให้ร่มเงา (pergola)เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสวนที่ทำให้ร่มรื่น และน่าดู ปลูกเป็นพืชคลุมดิน คลุมหลังคาโรงเรือน หรือเลื้อยขึ้นไม้ใหญ่แล้วแต่จุดประสงค์ ทำความรู้จักกับไม้เลื้อยบางต้นบางพันธุ์กันหน่อยก็ดี นำไปปลูกเลี้ยงดูจะได้สวยงามสมใจพรรณ ไม้เลื้อยในนี้จะมีพันธุ์ไม้ที่นำมาปลูกประดับและเรื่อยไปจนถึงไม่ได้ปลูกประดับ แต่นำมาใช้เป็นอาหารบ้างใช้เป็นสมุนไพรบ้าง แล้วแต่จุดประสงค์ |
1 |
กันภัยมหิดล/Afgekia mahidolae |
21 |
นมแมวซ้อน/Uvaria dulcis |
2 |
สิรินธรวัลลี/Phanera sirindhorniae |
22 |
ช้องแมว/Gmelina philippinsis |
3 |
สร้อยอินทนิล/Thunbergia grandiflora |
23 |
เถาขยัน/Lysiphyllum strychnifolium |
4 |
แดงทอดยอด/Ipomea horsfalliae |
24 |
เถาเอ็นอ่อน/Cryptolepis buchanani |
5 |
คอนสวรรค์/Ipomoea quamoclit |
25 |
ถั่วดาวอินคา/Plukenetia volubilis |
6 |
ดาวประดับ/Cryptostegia grandiflora |
26 |
ก่ายกอมเครือ/Aspidopterys tomentosa |
7 |
ม่วงมณีรัตน์/Bignonia magnifica |
27 |
ถอบแถบเครือ/Connarus semidecandrus |
8 |
เถาวัลย์หลง/Argyreia splendens |
28 |
น้ำใจใคร่/Olax scandens |
9 |
เสี้ยวเครือดอกแดง/Bauhinia galpini |
29 |
อวดเชือก/Combretum latifolium |
10 |
ส้มเสี้ยวเถา/Bauhinia lakhonensis |
30 |
ยางน่องเถา/Strophanthus caudatu |
11 |
โนรี/Hiptage lucida |
31 |
โล่ติ๊น/Derris elliptica |
12 |
นาวน้ำ/Artabotrys spinosus |
32 |
โคคลาน/Mallotus repandus |
13 |
คัดเค้า/Oxyceros horridus |
33 |
สวาด/Caesalpinia bonduc |
14 |
เถาวัลย์เขียว/Tiliacora triandra |
34 |
ตานหม่อน/Tarlmounia elliptica |
15 |
เถาวัลย์แดง/Toxocarpus villosus |
35 |
มะกล่ำเผือก/Abrus pulchellus ssp. pulchellus |
16 |
ถั่วแปบช้าง/Afgekia sericea |
36 |
มะกล่ำดำ/Abrus pulchellus |
17 |
ถั่วคล้า/Canavalia rosea |
37 |
มะลิซาไก/Jasminum rambayense |
18 |
ส่าเหล้าปัตตานี/Desmos cochinchinensis |
38 |
มะลิวัลย์/Jasminum adenophyllum |
19 |
กล้วยหมูสัง/Uvaria grandiflora |
39 |
มะลุลี, มะลุลีสีชมพู/Jasminum multiflorum |
20 |
นมควาย/Uvaria rufa |
40 |
พุทธชาดก้านแดง/Jasminum officinale L. var. grandiflorum |
|
|
41 |
โกลด์ฟิงเกอร์/Juanulloa mexicana |
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
|
1 กันภัยมหิดล/Afgekia mahidolae
ชื่อวิทยาศาสตร์---Afgekia mahidoliae B.L.Burtt & Chermsir.(1971) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-46746 ชื่อสามัญ---Kan Phai Mahidol, Purple Afgekia ชื่ออื่น---กันภัย (กาญจนบุรี), กันภัยมหิดล (ภาคกลาง);[THAI: Kan phai (Kanchanaburi); Kan Phai Mahidol (Central).]. ชื่อวงศ์---FABACEAE EPPO Code---1LEGF (Preferred name: Fabaceae.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์----ลาว เวียตนาม ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล '' Afgekia '' เป็นคำย่อของแพทย์ชาวไอริช Arthur Francis George Kerr (1877-1942); คำระบุชนิด 'mahidoliae' ตั้งตามพระนามเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระยศในขณะนั้น) Afgekia mahidoliae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทยโดย เกษม จันทรประสงค์ จากนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิรายุพิน (ฉิมศิริวัฒนา) ฉัตรประสงค์ และนาย Brian Laurence "Bill" Burtt (1913 – 2008) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2514
ไม้เถาชนิดนี้ นาย เกษม จันทรประสงค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการกองพืชพรรณ กรมวิชาการเกษตร (ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมไม้ประดับแห่งประเทศไทย) ค้นพบครั้งแรกที่ประเทศไทยและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระราชทานนามว่า กันภัยมหิดล ให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542ด้วยเหตุว่า เป็นต้นไม้ที่พบในประเทศไทย ปลูกง่าย นามเป็นมงคลและพ้องกับชื่อมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะเป็นไม้เถาแต่ก็มีลักษณะสวยงาม สามารถจัดแต่งเป็นทรงพุ่มได้หลายแบบ อายุยืน โดยเมื่อเถาแห้งไปก็สามารถงอกขึ้นใหม่ได้ ซึ่งความเป็นไม้เถาแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าและความสามารถปรับตัวให้พัฒนาไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างดี
ที่อยู่อาศัย ในประเทศไทยกระจายพันธุ์ตามป่าเต็งรังและเขาหินปูนทางภาคตะวันตกของไทย ลักษณะ เป็น ไม้เถา แตกพุ่มหนาแน่น ยาวประมาณ 15 ม. มีขนคล้ายไหมหนาแน่นเกือบทุกส่วน หูใบออกเป็นคู่ รูปเคียว เบี้ยวเล็กน้อย ยาวประมาณ 1.5 ซม. ใบประกอบแกนกลางยาว 8-18 ซม. ก้านใบยาว 2.5 ซม. หูใบย่อยรูปเส้นด้าย ยาว 5 มม.ใบย่อยมี 4-6 คู่ เรียงเกือบตรงข้าม รูปไข่หรือขอบขนาน ยาว 1.5-7.5 ซม. ปลายใบกลม มีติ่งเล็กๆ โคนใบกลมหรือรูปหัวใจตื้นๆ เส้นแขนงใบข้างละ 5-8 เส้น ก้านใบย่อยยาว 2-4 มม.ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ ยาว 10-15 ซม.ใบประดับรูปใบหอก ยาว 1.5-3 ซม.ก้านดอกยาว 0.7-1 ซม. กลีบเลี้ยงรูประฆัง สีขาวอมม่วง หลอดกลีบยาว 5-7 มม. รูปปากเปิด กลีบบน 2 กลีบ รูปสามเหลี่ยม ยาว 3-6 มม.กลีบล่าง 3 กลีบ ยาวไม่เท่ากัน รูปแถบหรือรูปลิ่มแคบ ยาว 0.5-1 ซม. กลีบดอกสีม่วงอ่อน กลีบกลางรูปรี ด้านในมีสีเข้ม พับงอกลับ ยาวประมาณ 2 ซม.ปลายเป็นติ่งแหลม โคนกลีบรูปหัวใจ เป็นสันนูนทั้งสองด้าน เส้นกลางกลีบเป็นร่อง มีสีเหลืองแต้มใกล้โคน ที่โคนมีเดือยรูปสามเหลี่ยม 1 คู่ ยาว 3 มม.กลีบปีกรูปขอบขนาน มีสีเข้ม ยาว 1.5 ซม.กลีบคู่ล่างยาวเท่าๆ กลีบปีก เชื่อมติดกันรูปคุ่ม ฝักรูปรีหรือขอบขนาน ยาว 7-9 ซม.หนาประมาณ 3 ซม.เมล็ดมี 1-2 เมล็ด สีน้ำตาล เกือบกลม" ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดตลอดวันหรือแสงแดดส่องถึง ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ pH สูงเป็นด่าง อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ต้องการน้ำสูงสุดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ในช่วงฤดูร้อน อาจต้องให้น้ำพืชชนิดนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอกหมด และตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยในฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน ทำด้วยผลิตภัณฑ์ที่สมดุล ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับซุ้มไม้เลื้อย สามารถปลูกในกระถางได้โดยมีที่ค้ำที่เหมาะสมเพื่อให้ปีนได้ สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม – พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
|
2 สิรินธรวัลลี/Phanera sirindhorniae
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phanera sirindhorniae (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark.(2014) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/10699144 ---Bauhinia sirindhorniae K. Larsen & S. S. Larsen.(1997) ชื่อสามัญ---Bauhinia Vine ชื่ออื่น ---สามสิบสองประดง (หนองคาย); สิรินธรวัลลี (กรุงเทพฯ); [THAI: Sam sip song pradong (Nong Khai); Sirinthon walli (Bangkok).]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE) EPPO Code---QRWSS (Preferred name: Phanera sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์----เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทยพบที่จังหวัด หนองคาย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ของพืชชนิดนี้ 'Sirindhorniae' ตั้งตามพระนามาภิไธยเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี Phanera sirindhorniae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) สกุลแสลงพัน (Phanera) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Kai Larsen (1926–2012) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และ Supee Saksuwan Larsen (สุภี ศักดิ์สุวรรณ เกิดปี 1939) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย-เดนมาร์ก) ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Barbara Ann Mackinder (born 1958) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ Ruth P. Clark (born 1975) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2557
ที่อยู่อาศัย เป็นไม้ถิ่นเดียวในประเทศไทย พบครั้งแรกโดย ดร. ชวลิต นิยมธรรมเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2538 ที่ภูทอกน้อย จังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ) ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้อแข็ง กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่ เปลือกเถาจะเรียบ บิดตามยาวเล็กน้อย เนื้อไม้เมื่อตัดตามขวาง สีน้ำตาลเข้มออกแดง มีลวดลายสีน้ำตาลอ่อนเป็นกลุ่มเหมือนกลีบดอกไม้ ดอกออกเป็นช่อสีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดตลอดวันหรือแสงแดดส่องถึง อุณหภูมิต่ำสุดไม่ต่ำกว่า 15 °C ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ทุกสัปดาห์ ต้องการน้ำสูงสุดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ในช่วงฤดูร้อน อาจต้องให้น้ำพืชชนิดนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอกหมด และตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลในฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน เดือนละ 1 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับซุ้มไม้เลื้อย --ใช้เป็นยา เนื้อไม้ใช้รักษาโรคที่ในตำรายาโบราณเรียกว่า ประดงทั้งสามสิบสองประการ อาการโดยรวมคือเป็นเม็ด ผื่นคัน ปวดแสบปวดร้อน แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ลมพิษ หรือภูมิแพ้ต่าง ๆ - รากแห้งใช้ปรุงเป็นยาแผนโบราณสำหรับโรคผิวหนังและกิ่งใช้เป็นยาแก้อักเสบปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ - การศึกษาในห้องปฏิบัติการได้พิสูจน์ให้เห็นในส่วนต่าง ๆ ของพืชว่ามีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าสนใจสำหรับตำรับยาอย่างเป็นทางการ ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกตลอดปี แต่ดอกจะบานมากในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
3 สร้อยอินทนิล/Thunbergia grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Thunbergia grandiflora (Roxb. ex Rottler) Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Flemingia grandiflora Roxb. ex Rottler.(1803) ---Pleuremidis grandiflora (Roxb.) Raf.(1838) ---Thunbergia cordifolia Nees.(1847) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2436154 ชื่อสามัญ---Blue Trumpet Vine, Clock Vine, Bengal Clock Vine, Bengal Trumpet, Sky Vine, Skyflower, Blue Skyflower ชื่ออื่น---ย่ำแย้ (พิษณุโลก, อุตรดิตถ์), ช่ออินทนิล (กรุงเทพฯ), น้ำผึ้ง (ชลบุรี), คาย (ปัตตานี), ปากกา (ยะลา), ช่องหูปากกา (ภาคใต้);[ASSAMESE: Kokua lota, Kukua Loti, Kauri lota.];[AUSTRALIA: Blue thunbergia.];[BENGALI: Neel Lota.];[CHINESE: Dà dèng bó huā.];[CZECH: Smatavka.];[FRENCH: Liane de Chine, Liane mauve, Thunbergie à grandes fleurs.];[GERMAN: Bengalische Trompette, Bengalische Thunbergie.];[HINDI: Neel Lata.];[MALAGASY: Antambabe.];[PORTUGUESE: Tumbérgia-Azul, Tumbérgia-de-flores-grandes.];[SPANISH: Fausto, Presidio de amor.];[THAI: Yam yae, Nam pueng, Chong hoo pak ka.];[VIETNAM: Dây bông xanh, Bông báo, Bong xanh, Cát đằng.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---THNGR (Preferred name: Thunbergia grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---อนุทวีปอินเดีย, พม่า, ไทย เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้, ออสเตรเลีย. แอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Thunbergia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Carl Peter Thunberg (1743-1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ; ชื่อของสายพันธุ์ 'grandiflora' คือการรวมกันของคำภาษาละติน "grandis" = ดีและ "flos, -oris" = ดอกไม้ ความหมาย 'ดอกไม้ขนาดใหญ่' Thunbergia grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Johan Peter Rottler (1749–1836) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต.ในปีพ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - สิกขิม อินเดีย ไทยและจีนตอนใต้ พบได้ในหมู่เกาะแปซิฟิก (ฟิจิ เฟรนช์โปลินีเซีย กวม ฮาวาย นิวแคลิโดเนีย ปาเลา ซามัว ฯลฯ ) ออสเตรเลีย คอสตาริกา มหาสมุทรอินเดีย (เรอูนียงและเซเชลส์) ในประเทศออสเตรเลียมันกลายเป็นพืชที่มีปัญหามากมันสามารถครอบคลุมพืชพันธุ์ของป่าเขตร้อนหลายเฮกตาร์ ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปตามที่โล่งหรือชายป่า หรือตามป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงใกล้กับระดับน้ำทะเลไปจนถึง 1,200 เมตร T. grandiflora ถูกรวมอยู่ในฐานข้อมูล Global Invasive Species Database (GISD 2010) ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่อายุหลายปี ใช้ยอดเลื้อยพันได้ไกล 15-20 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปหัวใจหรือเว้าตื้น 7 แฉก ขนาดกว้าง 10 ซม.ยาว 10-12 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเว้า ขอบหยักฟันเลื่อย ผิวใบสากมือ ดอก ออกเป็นช่อห้อยเป็นสาย ยาวได้ถึง 1เมตร สีฟ้าเข้ม หรือฟ้าอ่อน ขนาดของดอก 8 ซม.กลีบดอก 5 กลีบไม่เท่ากันโคนกลีบติดกัน ผลเป็นแคปซูลรูปกลม ปลายสอบแหลมเป็นจะงอยขนาดเส้นผ่านศูนย์ 1 ซม.ผลอ่อนสีเขียวอ่อนผลแก่สีน้ำตาลเกือบดำ แก่แตกออกเป็น 2 ซีก โดยทั่วไปต้นสร้อยอินทนิลจะไม่ติดผลและเมล็ด ผลไม้เหล่านี้ผลิตในสภาพอากาศที่อบอุ่นเท่านั้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด (ได้รับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อยหกชั่วโมง/วัน) แสงแดดส่องถึงในที่ร่มบางส่วน แสงแดดยามบ่ายที่ร้อนจัดอาจมากเกินไป ดินที่อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี ให้ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก ใส่วัสดุคลุมดินหนาประมาณ 7 ซม.เพื่อช่วยรักษาความชื้นในดิน ต้องการการบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ--- สัปดาห์ละครั้ง รดน้ำต้นไม้เมื่อดินแห้ง ถ้าด้านบน 5-10 ซม. แห้ง (หรือต้นไม้ดูร่วงโรย) ให้รดน้ำ! (ชอบดินที่ชื้นแต่ไม่แฉะ) ลดการรดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ (เดือนละครั้ง) เพราะสร้อยอินทนิลสามารถปกคลุมซุ้มหรือโครงตาข่ายได้อย่างรวดเร็ว จนเถาอาจดูรกเกินไป ให้เล็มเถาวัลย์ภายในออกให้บางลง เถาวัลย์ที่ตาย เสียหาย หรือเป็นโรคสามารถตัดออกได้ตามความจำเป็น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงด้วยปุ๋ยเอนกประสงค์ที่ละลายน้ำทุกๆเดือน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใส่ปุ๋ยที่เจือจางแล้วบนดินที่เปียกเสมอ (ให้ปุ๋ยน้อยเกินไปดีกว่าให้ปุ๋ยมากเกินไป) หลีกเลี่ยงปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงซึ่งกระตุ้นการผลิตใบมากกว่าดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และริมใบไหม้อาจทำให้พืชเสียหายได้ รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค เป็นที่นิยมปลูกกันทั่วไปเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ใบ - ปรุงและกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ราก ใบ ทั้งต้น ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย ใบใช้ชงกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้อง ใช้เป็นยารักษาแผลสด แผลถลอก และช่วยห้ามเลือด รากและเถาใช้เป็นยาพอกแก้ฟกช้ำบวม ตำพอกแผลแก้อักเสบ -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกประดับเป็นไม้ขึ้นซุ้ม ใช้นั่งเล่นและพักผ่อน เนื่องจากมีใบแน่นทึบให้ร่มเงาได้ดี ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์--- เมล็ด ทับเถา ปักชำ ตอนกิ่ง
|
4 แดงทอดยอด/Ipomea horsfalliae
[eye-poh-MEE-a] [HORSE-all-ee-eye]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ipomea horsfalliae Hook.(1834) ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:269051-1#synonyms ---Convolvulus horsfalliae (Hook.) D.Dietr.(1839) ชื่อสามัญ---Princess Vine, Lady Doorly's morning glory, Cardinal creeper, Prince Kuhio vine, Kuhio-vine, Prince's-vine, Crimson ipomoea, Horsfall’s morning glory, Lady doorly. ชื่ออื่น---แดงทอดยอด ;[DUTCH: Rode Stephanotis.];[FRENCH: Ipomee de Horsfall.]; [GERMAN: Kardinalswinde.];[PORTUGUESE-BRAZIL: Campainha vernilha, Ipomeia-de-cera, Ipomeia-rybra, Gloria-das-manhas, Princesa-dos-cipos,, Trepadeira-cardeal.];[SPANISH: Campanitas de coral.];[THAI: Daeng tod yod.];[USA: Kuhio vine (Hawaii).]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---IPOHO (Preferred name: Ipomea horsfalliae.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ หมู่เกาะเวสต์อินดีสต์ บราซิล ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ipomea' คือการรวมกันของคำภาษากรีก '' Ips '' = หนอน หรือ "bindweed," และ '' homoios '' = 'ที่คล้ายกัน' ซึ่งน่าจะหมายถึงรากใต้ดินที่แผ่กิ่งก้านสาขาของพืชในสกุลนี้ ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าชื่อสกุลนั้นอ้างอิงถึงนิสัยของพืชที่มีลักษณะคล้ายหนอน; ชื่อสายพันธุ์ 'horsfalliae' เพื่อเป็นเกียรติแก่ Charles Horsfall (1776-1846) นักพฤกษศาสตร์ตัวยงซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูล และ Dorothy ภรรยาของเขาเป็นศิลปินพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อเสียง Ipomea horsfalliae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ Royal Botanic Gardens (Kew Gardens) ในปีพ.ศ.2377 ที่อยู่อาศัย มึถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ (บราซิล กายอานา สุรินามและเวเนซูเอล่า)และมีการแปลงสภาพมานานในพื้นที่แถบแคริบเบียนโดยเฉพาะจาไมก้าในป่าชื้น ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นมีหัวใต้ดิน มีเนื้อไม้ ทอดเลื้อยได้ไกลถึง 2-8 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวออกเรียงสลับเป็นรูปนิ้วมือ3-7แฉก ขนาดกว้าง 5-8 ซม.ยาว 5-10 ซม.ปลายใบเรียวแหลมขอบใบบิดเป็นคลื่น หยักเว้าลึก 3-5 พู ก้านใบสีแดงยาว 2.5-3 ซม. ดอกออกเป็นช่อกระจะ 2-4 ดอก ดอกรูปกรวย กลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกสีแดงทับทิมถึงสีม่วง โคนดอกเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก4-7 ซม.ผลแคปซูลรูปไข่ขนาดยาว 1.3-1.6 ซม.เมื่อแก่สีน้ำตาลแตกตามรอยตะเข็บเมล็ดกลมสีน้ำตาลหรือดำ ยาว 6-7 มม.มีขนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนที่ปลายยาวประมาณ 1 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่หรือร่มเงาได้บางส่วน ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ มีความชื้นสม่ำเสมอการระบายน้ำดี การรดน้ำ---รดน้ำวันเว้นวัน สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ในช่วงสั้นๆ ดังนั้นควรปล่อยให้ดินแห้งก่อนรดน้ำ ดินที่เปียกชื้นอาจทำให้รากของพืชเน่าได้ ในฤดูร้อนให้ฉีดพ่นพืชทั้งหมดด้วยสเปรย์น้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งใบและดอกจะได้รับน้ำและความชื้นเพิ่มเติม การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งกิ่งต้นนี้หลังจากที่ดอกบานแล้วเสมอ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและกระตุ้นการออกดอกครั้งต่อไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ย NPK 10 10 10 ผสมน้ำทุกเดือน งดการให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน รู้จักอ้นตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ เมล็ดและส่วนต่างๆ ของพืชเป็นพิษหากกินเข้าไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับสวน ไม้กระถาง; ในฮาวาย เถา Kuhio ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากในฐานะพืชคัดกรองสีสันสำหรับรั้วในส่วนกลางของทางหลวง ซึ่งมันเติบโตโดยไม่ต้องดูแลมากนักและเป็นฉากหลังที่สวยงาม ระยะออกดอก----กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด แยกหน่อ ปักชำเหง้า [พืชชนิดนี้มีชื่อเสียงว่าขยายพันธุ์ได้ยาก เมล็ดเมื่อผลิตจะงอกช้า ในพื้นที่ตามธรรมชาติ พืชเกือบจะได้รับการผสมโดยนกฮัมมิงเบิร์ดเท่านั้น และในที่ที่นกฮัมมิ่งเบิร์ดขาดแคลนหรือหายาก การติดผลก็แทบจะไม่เกิดขึ้น ในบางพื้นที่มีการผลิตผลไม้ไร้เมล็ด ; การปักชำไม่ต้องการรากมากนัก และมักจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการฝังรากลึก]
|
|
5 คอนสวรรค์/Ipomoea quamoclit
[eye-poh-MEE-a] [KWAM-oh-klit]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ipomoea quamoclit L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8500062 ---Convolvulus pennatifolius Salisb.(1796) ---Convolvulus pennatus Desr.(1789) ---Convolvulus quamoclit (L.) Spreng.(1825) ---Quamoclit pennata (Desr.) Bojer.(1837) ---Quamoclit vulgaris Choisy.(1833) ---Quamoclit vulgaris var. albiflora G. Don.(1838) ชื่อสามัญ---Cypress vine, Cypress vine morning glory, Cardinal vine, Star glory, Star-of-Bethlehem, Hummingbird vine, Sweet-Willy, Indian-pink, Red-jasmine. ชื่ออื่น---เข็มแดง, แข้งสิงห์, ดาวนายร้อย, พันสวรรค์, สนก้างปลา (กรุงเทพฯ), คอนสวรรค์ (เชียงใหม่) ;[ASSAMESE: Kunjalata.];[AUSTRALIA: Cupid's flower.];[AYURAVEDA: Kaamalataa.];[BANGLADESH: Tarulata, Kamalata, Kunjalata, Getphul.];[BRAZIL: Primavera-grande.];[FRENCH: Cheveux de Vénus, Ipomée quamoclit, Liane rouge, Liseron à feuilles laciniées, Quamoclit cardinal.];[GERMAN: Gefiederte Trichterwinde, Kardinalswinde.];[HINDI: Kaamalata.];[JAPANESE: Rukôsô.];[KOREAN: Yu hong cho.];[MALAYALAM: Akāśamulla.];[MARATHI: Ganesh Vel.];[NEPALI: Jayanti Phool.];[PORTUGUESE: Boa-tarde, Tabeleira-de-vénus, Campainha, Campainha-vermelha, Cardeal, Cipó-esqueleto, Corda-de-viola, Corriola, Esqueleto, Flor-de-cardeal, Primavera, Prímula, Trepadeira-de-são-joão.];[RUSSIA: Kvamoklit peristyy, Kiparisnaya liana.];[SIDDHA/TAMIL: Kembumalligai, Mayirmanikkam.];[SPANISH: Cabello de angels, Cundeamor, Estrella del sol, Fin de amor, Gloria de estrellas, Regadero, Vid de cipres, Combustera de hoja calada, Bejuco, Bejuco ciprés.];[TAMIL: Mayil manikkam.];[TELUGU: Kasiratnam.];[THAI: Khem Daeng, Dao nai roi, Phan sawan, Khon sawan.]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---IPOQU (Preferred name: Ipomoea quamoclit.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกา เม็กซิโก ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ipomea' คือการรวมกันของคำภาษากรีก '' Ips '' = หนอน หรือ "bindweed," และ '' homoios '' = 'ที่คล้ายกัน' ซึ่งน่าจะหมายถึงรากใต้ดินที่แผ่กิ่งก้านสาขาของพืชในสกุลนี้ ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าชื่อสกุลนั้นอ้างอิงถึงนิสัยของพืชที่มีลักษณะคล้ายหนอน ; ชื่อสายพันธุ์ มีสองสำนักคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสปีชีส์ 'quamoclit' ประการแรก เดิมทีหยิบยกโดยนักเขียนและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Alexandre de Théis คือรากศัพท์มาจากภาษากรีก อย่างที่สองคือชื่อนี้มาจากภาษา Nahuatl ของเม็กซิโก ไม่มีคำอธิบายใดที่สามารถยืนยันได้ แม้ว่า Daniel F. Austin นักพฤกษศาสตร์ จะโต้แย้งว่าสิ่งหลังนั้นเป็นไปได้มากที่สุด Ipomoea quamoclit เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเขตร้อน จากภาคเหนือของทวีปอเมริกาใต้, ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก ในธรรมชาติชอบขึ้นปกคลุมทรงพุ่มไม้ใหญ่กระจายพันธุ์ไปตามป่าละเมาะหรือที่รกร้างว่างเปล่า ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็ก ลำต้นมีหัวใต้ดิน ลำต้นเลื้อยพันขนาดเล็กเรียวกลมเกลี้ยงเลื้อยได้ไกล 3-6 เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมขอบขนาน ขอบใบเว้าลึกถึงเส้นกลางใบ ดูคล้ายใบประกอบแบบขนนก ขนาดใบกว้าง 1-2 ซม.ยาว 3-9 ซม.ก้านใบยาว 8-40 มม ดอกช่อออกที่ซอกใบมีดอกย่อย 2-6 ดอก กลีบดอกสีแดงเข้มและสีขาว ขนาด1-1.5 ซม.ผลแห้งรูปไข่ เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาล ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดรูปไข่สีดำหรือสีน้ำตาลดำยาว 5-6 มม. ผลแห้งแก่แล้วแตกได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่หรือร่มเงาได้บางส่วน ต้องการดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ มีความชื้นสม่ำเสมอการระบายน้ำดี ค่า pH เป็นกลางถึง เป็นกรดเล็กน้อย หรือเป็นด่างเล็กน้อย แต่จะเติบโตได้ในดินทุกประเภทและจะทนต่อช่วงแห้งแล้งได้ เป็นพืชที่โตเร็วและสามารถผลิตดอกไม้ได้ในเวลาเพียง 45 วัน การรดน้ำ---รดน้ำวันเว้นวัน ควรปล่อยให้ดินแห้งก่อนรดน้ำ ดินที่เปียกแฉะอาจทำให้รากของพืชเน่าได้ พืชสามารถทนต่อความร้อนสูง แต่จะเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วในอุณหภูมิที่เย็นจัด การตัดแต่งกิ่ง---เนื่องจากพืชเติบโตเร็วมาก มันจึงเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นเกินไป ทำให้เกิดความชื้นและปัญหาโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นตัดแต่งตามความจำเป็น ตัดกิ่งที่ตายแล้วและเป็นโรคออก และเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ย ด้วยปุ๋ย NPK 10 10 10 ผสมน้ำทุกเดือน ใส่ปุ๋ยก่อนที่ดอกไม้ดอกแรกจะบานด้วยปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง (งดการให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนร้ายแรง สามารถเป็นวัชพืชได้ รู้จักอ้นตราย--- เมล็ดและส่วนต่างๆ ของพืชมีพิษหากกินเข้าไป เป็นพิษต่อสุนัข แมว และม้า ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มักนิยมปลูกประดับซุ้มหรือรั้วแบบไม่ถาวร การดูแลต่ำ ปลูกในภาชนะขนาดเล็กหรือในภาชนะขนาดใหญ่ ปลูกในภาชนะร่วมกับพืชชนิดอื่นได้ -ใช้เป็นยา ทั้งต้นเป็นยาเย็น ใช้เป็นยานัตถุ์ ยารุ ใช้เป็นยารักษาพิษงูกัด -ต้นและใบใช้เป็นยาแก้ไอเป็นเลือดที่เกิดจากการไอแบบเรื้อรังนาน ๆ- เมล็ดใช้เป็นยาระบาย บรรเทาอาการปวดท้อง ใบนำมาตำทำเป็นยาพอกริดสีดวงทวารที่มีเลือดออก-ใบนำมาตำพอกเป็นยารักษาฝีฝักบัว รักษาสิวหัวช้าง -อื่น ๆ ใบและลำต้นมีรายงานว่ามีอัลคาลอยด์ในปริมาณเล็กน้อย มีกรดไฮโดรไซยานิคอยู่ใน ราก ลำต้นและดอกไม้ ระยะออกดอก---มิถุนายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
6 ดาวประดับ/Cryptostegia grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cryptostegia grandiflora Robx. ex R.Br (1819) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2746556 ---Cryptostegia grandiflora var. tulearensis Costantin & Gallaud.(1960) ชื่อสามัญ---Rubber Vine, Purple Allamanda, Indian Rubber Vine, Palay Rubber-vine, Rubber-plant ชื่ออื่น---ดาวประดับ ;[CUBA: Estrella del norte, Palo salomon.];[DOMINICAN: Bejuco de caucho, Caucho, Palo de caucho.];[FRENCH: Caoutchouc de Maurice, Cauthouc, Liane de gatope, Liane à caoutchouc.];[HAITI: Caoutchouc.];[MADAGASCAR: Lombiry.];[MEXICO: Bejuco, Caucho.];[NEW CALEDONIA: Liane de gatope.];[SPANISH: Canario morado, Caucho de la India, Flor de estrella.];[SWEDISH: Gummiranka.];[THAI: Dao pra-dab.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---CVRGR (Preferred name: Cryptostegia grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ แคริบเบียน, แอฟริกา, มอริเชียส, อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อินโดนีเซีย, ออสเตรเลีย, ละตินอเมริกา, ตอนใต้ของ สหรัฐอเมริกา, ฟิจิ, นิวแคลิโดเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cryptostegia' เป็นการรวมคำศัพท์ภาษากรีก "kryptos" = ซ่อนเร้น และ "stego" = ปกปิด โดยอ้างอิงถึงมงกุฎเกล็ดที่ปกคลุม stamina ; ชื่อของสายพันธุ์ 'grandiflora' คือการรวมกันของคำภาษาละติน "grandis" = ดีและ "flos, -oris" = ดอกไม้ ความหมาย 'ดอกไม้ขนาดใหญ่' Cryptostegia grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Robert Brown (1773–1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2362
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิด ตะวันตกเฉียงใต้ของมาดากัสการ์ แปลงสัญชาติใน มอริเชียส นิวแคลิโดเนีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (เช่น ฟลอริดา) เม็กซิโก อเมริกากลาง เอกวาดอร์ และแคริบเบียน เป็นไม้เลื้อยชั้นบนของป่า เป็นไม้พุ่มของป่าต้นน้ำ นอกจากนี้ยังพบเป็นไม้พุ่มแผ่กิ่งก้านสาขาตามลำห้วย รวมถึงบริเวณที่ถูกรบกวน เช่น คูน้ำข้างถนนที่มีน้ำไหลสะสมอยู่ รอบแอ่งน้ำ และพื้นที่ชายฝั่ง เป็นวัชพืชที่รุกรานใน Limpopo และ Mpumalanga ทางตอนเหนือของแอฟริกาใต้ และทางตอนเหนือของนามิเบีย พบที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตร เป็นวัชพืชที่แพร่กระจายได้มากในระบบนิเวศธรรมชาติกึ่งแห้งแล้ง โดยเฉพาะป่าดิบแล้งหรือที่มีลมมรสุม มีศักยภาพที่จะแพร่กระจายต่อไปอีกมากโดยเฉพาะในออสเตรเลียซึ่งเป็นภัยคุกคามต่ออุทยานแห่งชาติ C. grandiflora ไม่ใช่วัชพืชของพืชผลทางการเกษตร แต่เป็นวัชพืชร้ายแรงของทุ่งหญ้า ซึ่งสามารถกินหญ้าได้ทั้งหญ้าป่าและทุ่งหญ้า นอกจากนี้ยังบุกรุกและทำลายระบบป่าพื้นเมือง ( Tomley, 1995 ) -ในออสเตรเลียC. grandifloraเป็นพืชที่ได้รับการประกาศภายใต้บทบัญญัติของ Rural Lands Protection Act ในรัฐควีนส์แลนด์ และจัดอยู่ในประเภท P3 ซึ่งกำหนดให้พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดลดลง มันถูกประกาศว่าเป็นพิษใน Northern Territory ว่าเป็นวัชพืชประเภท C ซึ่งหมายความว่าไม่ควรนำมาใช้ ขณะที่ในเวสเทิร์นออสเตรเลีย จัดว่าเป็นวัชพืชชนิด P2 และต้องทำลายทิ้ง ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยหรือเถาไม้ยืนต้น ซึ่งสามารถเติบโตเป็นไม้พุ่มย่อยได้ในสภาพโล่งแจ้งสูง1-3 เมตร ในฐานะไม้เลื้อยเมื่อเติบโตบนพืชสูงสามารถเลื้อยได้สูงถึง 15-30 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวนวล มีลำต้นหนาและเปลือกสีน้ำตาลอมเทา มี lenticels ขนาดเล็กจำนวนมาก รากแข็งแรงสีน้ำตาลแดงและสามารถเจาะลึกได้ถึง 12 เมตร ใบเดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนานขนาดของใบกว้าง 3-5 ซม.ยาว 6-10 ซม.ใบสีเขียวเข้มหนาเป็นมัน ด้านล่างใบสีเขียว อ่อนกว่า ดอกออกเป็นช่อมีดอกย่อย 2-3 ดอกสีชมพูอมม่วง รูปกรวยปลายแยกเป็น 5 กลีบ ขนาดของดอก 5-8 ซ.ม ผลเป็นฝักคู่สีเขียวขนาดใหญ่ 10-15 x 3-4 ซม มีเมล็ดรูปไข่แบนด้านใน 200-350 เมล็ด ขนาด 5-10 x 1.5-3 มม. สีน้ำตาลมีกระจุก ยาว19-38 มม.มีขนละเอียดสีขาวเนียนที่ปลายด้านหนึ่ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม(ได้รับแสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมง/วัน) ถึงครึ่งวันเช้า อุณหภูมิในช่วง 23°C-34°C ทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 °C ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ในดินที่ร่วนชื้น แต่มีการระบายน้ำที่ดี สามารถทนต่อดินหลากหลายชนิดตั้งแต่ทรายชายหาดไปจนถึงดินเหนียวหนัก pH 5.6-7.5 ทนแล้ง อัตราการเจริญเติบโตเร็วปานกลาง การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำเพื่อให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ การตัดแต่งกิ่ง---เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต หรือตัดแต่งเป็นพุ่ม ในฤดูใบไม้ร่วง/ ฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก 3 เดือนครั้ง และปุ๋ย 12-24-12 ก่อนออกดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ระวังเพลี้ยอ่อน รู้จักอ้นตราย--- ทุกส่วนของพืชยังมีพิษสูงเนื่องจากมีคาร์ดิโอแอคทีฟไกลโคไซด์ โดยเฉพาะที่ใบและลำต้น ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ การกลืนกินเมล็ดพืชจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบในรูปแบบที่ร้ายแรงซึ่งอาจถึงตายได้ -มีรายงานว่าในมาดากัสการ์มีการใช้พืชเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาญาและเป็นยาพิษสำหรับหนู ใบผงผสมกับน้ำเมื่อกลืนกินอาจทำให้อาเจียนต่อเนื่องหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ตามด้วยการตายภายใน 15 ชั่วโมง -แม้ว่า Cryptostegia grandiflora จะมีพิษสูง แต่ก็ไม่อร่อยอย่างยิ่ง ดังนั้น สัตว์กินหญ้ามักจะหลีกเลี่ยงมัน ใช้ประโยชน์---ในอดีตพืชมีการใช้ประโยชน์และเพาะปลูกเป็นครั้งคราวสำหรับเส้นใยและน้ำยางที่สามารถหาได้จากลำต้น นับตั้งแต่มียางสังเคราะห์เข้ามาทดแทนจึงไม่ถือว่าเป็นของมีค่าอีกต่อไป พืชที่ปลูกมักจะเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อน -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกประดับซุ้มไม้ **การพุดคุยส่วนตัว ต้นดาวประดับนี้ (หมายถึงต้นที่อยู่ในรูปข้างบนสุด) ปลูกอยู่ห่างซุ้มประมาณ 2 เมตร ตัดแต่งพุ่มด้านล่างแล้วปล่อยให้ปลายยอดเลื้อยขึ้นซุ้ม ไม้จำพวกรอเลื้อยเถาเนื้อแข็งสามารถปลูกได้ในลักษณะเดียวกัน - ใช้เป็นยา ใบและน้ำยางใช้รักษาเชื้อราและโรคหัวใจ น้ำยางใช้รักษาแผลและปัญหาผิวหนัง เช่น โรคหิด รากแก้ปวดฟัน แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ดูอันตรายเกี่ยวกับความเป็นพิษ - การใช้วนเกษตร สามารถตัดแต่งกิ่งและปลูกเป็นรั้วได้ - อื่น ๆ น้ำยางที่ได้จากลำต้นสามารถใช้ทำยางได้ มันมีคุณภาพเท่ากับยางที่ได้จากต้นยาง Hevea sp - เส้นใยได้มาจากลำต้น กล่าวกันว่าเป็นเส้นใยละเอียด แข็งแรง คล้ายปอ ซึ่งอาจนำมาปั่นเป็นเส้นด้ายที่ดีที่สุด ระยะออกดอก----ตลอดปีแต่จะออกดอกดกข่วงเดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคม ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ
|
7 ม่วงมณีรัตน์/Bignonia magnifica
ชื่อวิทยาศาสตร์--Bignonia magnifica W.Bull.(1879) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-320078 ---Saritaea magnifica (Bull.) Dugand.(1945) ---Arrabidaea magnifica (W.Bull) Sprague ex Steenis.(1927) ชื่อสามัญ---Glow Vine, Purple Funnel Vine, Purple Bignonia. ชื่ออื่น---ม่วงมณีรัตน์ ;[BRAZIL: Sariteia.];[CHINESE: Zǐ líng téng.];[FRENCH: Bignone magnifique, Liane de La Réunion, Liane entonnoir.];[PROTUGUESE: Sariteia.];[SPANISH: Campanilla, Palo negro.];[THAI: Moung manee raat.]. ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE EPPO Code---BIGMA (Preferred name: Bignonia magnifica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย เอกวาดอร์ ปานามา เวเนซูเอลา ประเทศเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---สกุลนี้ได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกของ French Academy ได้รับการตั้งชื่อตาม Jean-Paul Bignon (1662-1743)บรรณารักษ์ละตินคนใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ของ Louis XIV ; ชื่อสายพันธุ์ 'magnifica' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน ''magnificus , a , um'' = งดงาม โอ่อ่า Bignonia magnifica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์แคหางค่างหรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมพืชชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2412
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ปานามาและตอนเหนือของอเมริกาใต้ (โคลอมเบียเอกวาดอร์และเวเนซุเอลา ) พบในป่าดิบชื้นมักขึ้นตามต้นไม้ใหญ่จากระดับน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร ปัจจุบันนี้ถูกมองว่าเป็นวัชพืชสิ่งแวดล้อมในบางส่วนของ Atherton Tableland ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ลักษณะ เป็นไม้รอเลื้อยเถากลมเนื้อแข็ง มีมือปลายม้วนเป็นตะขอระหว่างใบย่อยเกาะยึดพันต้นไม้อื่นเลื้อยได้ไกล 5-7 เมตร ใบประกอบแบบมีใบย่อย 2 ใบ รูปไข่กลับหรือรูปรี ผิวใบเรียบสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้าง 5-7 ซม.ยาว 10-12 ซม.ดอกออกเป็นช่อกระจุกสีม่วงสดใสตามซอกใบ และปลาย กิ่ง มีดอกย่อย 3–12 ดอก ดอกรูปแตร โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 กลีบ ด้านในหลอดดอกสีเหลืองนวล ขนาดของดอก 4.5-7ซม.ผลเป็นฝักแบน ยาว 15-28 ซม.แก่แล้วแตกมีเมล็ดมีปีก 2 เมล็ด ยาว 3.5 ซม.(รวมปีก) และกว้าง 0.8 ซม.ไม่ค่อยผลิตในการเพาะปลูก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงร่มรำไร ชอบดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี pH (6.1 –7.8) อุณหภูมิที่เหมาะสม 17 °C-28 °C อุณหภูมิต่ำสุดในฤดูหนาวไม่ต่ำกว่า 15 °C การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและปริมาณมากทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง เว้นระยะห่างมากขึ้นในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---หลังจากหมดช่วงดอกบานแล้ว, ตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง, เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต หรือตัดแต่งเป็นพุ่ม ในฤดูใบไม้ร่วง/ ฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกเดือน ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง ด้วยปุ๋ยสูตรสมดุลที่ละลายน้ำ ในปริมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำบน บรรจุุภัณฑ์. ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้งมะม่วง(Rastrococcus iceryoides)/มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเชื้อราควรได้รับการป้องกันด้วยยาฆ่าเชื้อรา ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับซุ้ม สามารถปลูกในกระถางและปลูกเป็นไม้พุ่ม ระยะออกดอก---ธันวาคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่ง
|
|
8 เถาวัลย์หลง/Argyreia splendens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Argyreia splendens (Hornem.) Sweet.(1826) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. ---Amphione splendens (Hornem.) Raf.(1838) ---Convolvulus splendens Hornem.(1819) ---Ipomoea splendens (Hornem.) Sims.(1826) ---Lettsomia splendens Roxb.(1832) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:265288-1#synonyms ชื่อสามัญ---Silver morning glory. ชื่ออื่น---เถาหลง, เครือเขาหลง, เถาหมาหลง, มันฤาษี, ฮ้านผีป้าย ;[CHINESE: Liang ye yin bei teng.];[THAI: Thao wan hlong, Thao hlong, Thao hma hlong, Man ruesi, Han phi pai.]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---AGJSL (Preferred name: Argyreia splendens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา จีน พม่า ไทย มอริเชียส เรอูเนียง นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Argyreia' มาจากภาษากรีกว่า 'argyro' = สีเงินที่ด้านล่างของใบ ; ชื่อสายพันธุ์ 'splendens' = ที่งดงาม Argyreia splendens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jens Wilken Hornemann (1770–1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Sweet (1783–1835) นักพฤกษศาสตร์และนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในจีน (ยูนนาน) อินเดีย พม่า ไทย เกิดขึ้นตามป่าไม้หนาทึบที่ระดับความสูง 1,000-4,000 เมตร.ประเทศไทยพบตามป่าดิบเขาและป่าผลัดใบ ที่ระดับ ความสูง 400-1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้ออ่อนล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นมีขนยาวสีเงินหรือสีน้ำตาลปนเหลืองอ่อน ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวออกสลับ รูปรี-รูปขอบขนาน 12-27 X 5-15 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบสอบ แผ่นใบด้านบนมีขนกระจายใต้ใบมีขนนุ่มสีเงินปกคลุมหนาแน่น ก้านใบยาว 5-15 ซม.ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ มี 1-5 ดอก ก้านช่อดอก 10.5-13.5 ซม.ดอกรูปกรวย กลีบดอกสีขาวหรือม่วงอ่อนอมชมพู โคนเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดภายในหลอดดอก เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 4-6 ซ.ม.ผลมีเนื้อ รูปค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 มม.สีแดงหรือแดงอมส้มล้อมด้วยกลีบเลี้ยง เมื่อแก่สีดำ มีเมล็ด 4 เมล็ด รูปไข่สีน้ำตาลขนาด 4-5 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดครึ่งวันถึงเต็มวัน (ไม่น้อยกว่า6ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี การรดน้ำ---รดน้ำวันเว้นวันเพื่อให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ (แต่ไม่แฉะ) การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งกิ่งต้นนี้หลังจากที่ดอกบานแล้วเสมอ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและกระตุ้นการออกดอกครั้งต่อไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าทุก3 เดือน งดการให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้เถาขึ้นซุ้ม -ใช้เป็นยา สรรพคุณทางเป็นยาสมุนไพร ใช้ต้นมาตำให้ละเอียดพอกแผลจะช่วยให้แผลหายเร็ว ความเชื่อ/พิธีกรรม--- คนโบราณเชื่อถือมากว่าเป็นว่านมีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี หากนำเถาแห้งพกติดตัว จะเป็นนะจังงังและนะเมตตาอีกด้วย อีกอย่างโบราณว่า ถ้าหากคนหรือสัตว์หากเข้าป่าแล้วข้ามต้นเถาวัลย์หลง จะทำให้หลงป่าแม้ นกบินผ่านก็จะวนเวียนอยู่จนตกมาตาย ใต้ต้นเครือเถาหลงจึงมีซากสัตว์ตายอยู่มากบางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่าว่าน เถาวัลย์หลง จะมีอยู่ตรงบริเวณหน้าทางเข้าเมืองลับแล เพื่อป้องกันและทำให้ผู้ที่มีเจตนาไม่ดี ต้องหลงทาง หากจะกลับออกมาต้องใช้คาถาเบิกไพรจึงจะกลับออกมาได้ ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด และปักชำกิ่ง
|
|
9 เสี้ยวเครือดอกแดง/Bauhinia galpini
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia galpinii N.E.Br.(1891) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:481322-1#synonyms ---Bauhinia punctata Bolle.(1861) ---Perlebia galpinii (N.E.Br.) A.Schmitz.(1973) ชื่อสามัญ---Red Orchid Tree, Pride of de Kaap, Red Bauhinia, Red-butterfly-tree, African orchid tree, African Plume, Galpin's Bauhinia, Nasturtium bush. ชื่ออื่น ---ชงโคดอกแดง, เสี้ยวเครือดอกแดง ;[AFRIKAANS: Kameelpoot, Vlam-van-die-Vlakte; Mutswiriri (Venda); Umvangatane (Zulu).];[CHINESE: Jia shi yang ti jia.];[FRENCH: Arbre aux orchidees rouges, Bauhinia rouge, Boise de boeuf rouge, Plume africaine.];[GERMAN: Rote Bauhinie, Roter Orchideenbaum.];[PORTUGUESE: Bauinia-vermelha, Bauinia-vermelha-ana, Orgulho-do-cabo, Pata de camelo.];[SPANISH: Arbol de la orquidea roja, Bauhinia roja.];[THAI: Chong kho dok daeng, Sieo khruea dok daeng.]. ชื่อวงศ์ ---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE) EPPO Code---BAUGA (Preferred name: Bauhinia galpinii.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---แอฟริกาใต้-ซิมบับเว,โมซัมบิก แซมเบีย ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bauhinia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Gaspard Bauhin (1560 –1624) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ; ชื่อสายพันธุ์ 'galpinii' ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้ Ernest Edward Galpin (1858-1942) -ชื่อสามัญ 'Pride of de Kaap' ตั้งชื่อตามหุบเขา De Kaap ทางใต้ของ Nelspruit ใน Mpumalanga ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาใต้ Bauhinia galpinii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicholas Edward Brown (1849–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกและทางใต้ของแอฟริกา (แอฟริกาใต้-ซิมบับเว,โมซัมบิก, แซมเบีย) ส่วนใหญ่จะเติบโตตามชายป่าริมแม่น้ำและบนเนินหิน ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,200 เมตร สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวาง เป็นไม้ประดับในที่ค่อนข้างแห้งแล้งและไม่เป็นพิษในเขตอบอุ่นของสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก ที่ซึ่งมันได้หลบหนีการเพาะปลูกและแปลงสัญชาติในบางพื้นที่ แต่ไม่มีแนวโน้มที่สำคัญต่อการรุกราน . ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยกึ่งผลัดใบ สูงถึง 3 เมตรและแผ่กว้าง 3 เมตรหลังจากผ่านไป 10-20 ปี มีขนตามลำต้น ใบรูปกลมโคนและปลายใบเว้า คล้ายใบแฝดติดกัน (bilobed) มีเส้นใบ7เส้น ใต้ใบมีขนนุ่มสีขาว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ 2-10 ดอก กลีบเลี้ยงสีเหลืองรูปท้องเรือ2อัน กลีบดอกสีส้มอมแดงรูปช้อน 5 กลีบ เกสรผู้ 3 อันขนาดดอก 5-7 ซม.ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 ซม. ผลเป็นฝักมีสีน้ำตาลเข้มตรงยาว 10-15 ซม. กว้าง 2-3 ซม. เมล็ดสีน้ำตาลดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (6-8ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดส่องถึงหรือกึ่งร่มเงา ปลูกในดินทราย ดินร่วน หรือดินร่วนที่ชุ่มชื้นและอุดมด้วยธาตุอาหาร โดยมีค่า pH ที่เป็นกรดมากกว่า แต่ก็สามารถเติบโตได้ในดินที่ไม่ดีแต่มีการระบายน้ำดี ทนทานต่อลมแรง ทนอุณหภูมิต่ำสุด -2 °C แต่อาจเสียหายอย่างรุนแรงหรือถึงตายได้ที่อุณหภูมิ -6°C อัตราการเจริญเติบโต ค่อนข้างเร็ว สามารถมีอายุยืนยาวมากกว่า 120 ปี แต่โดยปกติจะมีอายุ 20-35 ปี การรดน้ำ---ควรอยู่ในระดับปานกลางตลอดทั้งปี (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในฤดูร้อน) มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งและเล็มเป็นประจำ เล็กน้อยในช่วงปลายฤดูหนาวเพื่อกำจัดกิ่งที่เสียหาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับพืช การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในฤดูใบไม้ร่วงปีละครั้ง และปุ๋ยละลายน้ำในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อการโจมตีจากเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะ/ทนต่อคลอโรซีสได้หากดินมีหินปูนมาก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกประดับสวนทั่วไป ไม่มีระบบรากที่ก้าวร้าว ดังนั้นจึงปลอดภัยที่จะปลูกไว้ใกล้กับโครงสร้างถาวร ใช้เป็นไม้เลื้อยเพื่อคลุมกำแพง ปลูกขึ้นซุ้ม หรือโครงสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น รั้วและโครงตาข่าย สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง และทำเป็นไม้บอนไซได้ -ใช้เป็นยา เมล็ดและรากใช้ในยาแผนโบราณ -อื่น ๆ กิ่งก้านที่มีความยืดหยุ่นใช้ทำกระเช้าและหัตถกรรมอื่น ๆโดยประชากรในท้องถิ่น ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) ระยะออกดอก---กันยายน – มีนาคม แต่จะออกดอกประปรายตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำ แต่ได้ผลไม่ค่อยดีนัก
|
|
10 ส้มเสี้ยวเถา/Bauhinia lakhonensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia lakhonensis Gagnep.(1912) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-46025 ---Bauhinia sepis Craib.(1927) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ส้มเสี้ยวเถา ;[THAI: Som sieo thao,];[VIETNAM: Móng bò la khôn.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE) EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- ไทย ลาว เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bauhinia' ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ Gaspard Bauhin (1560 –1624) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'lakhonensis' หมายถึงเมืองละคอนหรือเมืองนคร ซึ่งหมายถึงจังหวัดนครพนม ประเทศไทย Bauhinia lakhonensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francois Gagnepain (1866-1952 ) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2455
ที่อยู่อาศัย พบในลาว เวียตนามตอนบน ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่จังหวัดนครพนม สกลนคร บึงกาฬ พบขึ้นตามที่โล่งแจ้ง ข้างทางตาม ชายป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงประมาณ 200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ตามเถามีขนสีน้ำตาลแดงตามกิ่งอ่อน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปเกือบกลมคล้ายใบแฝดติดกัน (bilobed) ยาว 4-5 ซม. ปลายใบกลมแฉกลึกเกือบครึ่งหนึ่งของใบ โคนแฉกเว้าลึก มีขนสีน้ำตาลแดงตามเส้นแขนงใบด้านล่าง ดอกออกเป็นช่อเชิงหลั่นตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงแยกเป็น 5 ส่วน พับงอ กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ รูปไข่แกมขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม.เกสรเพศผู้ 3 อัน ก้านชูอับเรณูสีแดง ฝักรูปใบหอก แบน ยาว 10-12 ซม.เมล็ดแบน มี 8-16 เมล็ดรูปรียาวประมาณ 0.7- 0.9 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินโปร่งร่วนซุยอุดมสมบูรณ์เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ควรอยู่ในระดับปานกลางตลอดทั้งปี (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในฤดูร้อน) มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งและเล็มเป็นประจำ เล็กน้อยในช่วงปลายฤดูหนาวเพื่อกำจัดกิ่งที่เสียหาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับพืช การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในฤดูใบไม้ร่วงปีละครั้ง และปุ๋ยละลายน้ำในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อการโจมตีจากเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะ/ทนต่อคลอโรซีสได้หากดินมีหินปูนมาก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกประดับสวนทั่วไป ไม่มีระบบรากที่ก้าวร้าว ดังนั้นจึงปลอดภัยที่จะปลูกไว้ใกล้กับโครงสร้างถาวร ใช้เป็นไม้เลื้อยเพื่อคลุมกำแพง ปลูกขึ้นซุ้ม หรือโครงสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น รั้วและโครงตาข่าย ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับรั้ว ขึ้นซุ้ม ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนพฤกษศาสตร์ระยอง สวนสาขาภาคตะวันออกของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยูพื้นที่บึงสำนักใหญ่ (หนองจำรุง) ตำบลชากพง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
|
|
11 โนรี/Hiptage lucida
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hiptage lucida Pierre.(1893) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/194414558 ---Hiptage lucida var. acuminata Arènes.(1943) ---Hiptage lucida var. obovata Arènes.(1943) ชื่อสามัญ---Cambodia Helicopter Flower. ชื่ออื่น---โนรี ;[FRWNCH: Liane papillon.];[GERMAN: Benghalen-Liane.];[THAI: No-ree.] ชื่อวงศ์---MALPHIGHIACEAE EPPO Code---HTGSS (Preferred name: Hiptage sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย เวียตนาม กัมพูชา Hiptage lucida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โนรา (Malpighiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2436 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย เวียดนามตอนใต้ และกัมพูชา ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าดิบแล้งใกล้ชายฝั่งทะเล ความสูงไม่เกิน 100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีช่องอากาศ ตามข้อมีขนสีขาวกระจาย ใบเดี่ยวรูปรีแกมขอบขนานออกเรียงตรงข้าม แผ่นใบสีเขียว โคนใบมนหรือแหลม ปลายใบเรียวแหลม ขนาดใบกว้าง 3-5 ซม.ยาว 6-12 ซม.ก้านใบยาวประมาณ 5 มม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาวได้ถึง 15 ซม. ก้านช่อยาวประมาณ 2 ซม.ดอกย่อยสีขาวอมขมพู ก้านดอกยาว 1–2.2 ซม.กลีบดอก 5 กลีบรูปไข่กลับกว้าง โคนกลีบแต้มสีเหลือง ตรงกลางมีเกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศผู้อันยาว ยาว 8–9 มม.อันสั้นยาว 3–5 มม.ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 1 ซม.ติดทน ดอกมีกลิ่นหอม ผลเกลี้ยงหรือมีขนประปราย ปีกกลางรูปขอบขนาน ยาว 3–4.5 ซม. ปลายมนหรือเว้าตื้น ปีกข้างยาว 1.5–2.2 ซม.ผลแห้งแล้วแตก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ชอบแสงแดดจัดมากนัก ควรเลือกปลูกในตำแหน่งที่มีแสงแดดในตอนเช้าและพ้นแสงแดดในช่วงบ่าย หรือใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่มีแดดส่องถึง ดินที่เป็นกรดเล็กน้อย ทนอุณหภูมิต่ำสุด 12°C ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 18-28°C อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว การรดน้ำ---ให้น้ำเมื่อดินแห้งเมื่อสัมผัส อย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ต้องการ การตัดแต่งกิ่งเป็นประจำ เพื่อควบคุมการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือปุ๋ยเม็ดสูตรสมดุล เช่น 16-16-16 ทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ดูแมลงเกล็ดและเพลี้ยแป้ง/ อาจเกิดโรคใบจุด และหากมีน้ำขังแฉะอาจเกิดโรครากเน่าได้ ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล--- ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
|
|
12 นาวน้ำ/Artabotrys spinosus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Artabotrys spinosus Craib.(1925) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2653365 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---นาวน้ำ, หนาวน้ำ (เลย, อุบลราชธานี); หัวชุม (อุบลราชธานี) ; [THAI: Naw nam, Hua choom.] ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---BTBSS (Preferred name: Artabotrys sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภูมิภาคอินโดจีน Artabotrys spinosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2468
ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีน แนวริมฝั่งแม่น้ำโขง ในประเทศไทย พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดอุบลราชธานี) ในธรรมชาติพบขึ้นตามริมน้ำ ลำคลอง หนองบึง รวมทั้งตามริมถนน หากขึ้นในที่กลางแจ้ง สามารถแตกกิ่งกระโดงได้เป็นจำนวนมากจนเป็นพุ่มใหญ่ พบที่ระดับความสูง 200-300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่นได้ไกล 3-10 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา กิ่งเรียวเล็ก แตกกิ่งมาก เนื้อไม้เหนียวมาก ตามกิ่งมีหนามเรียวเล็กเป็นคู่ๆ ยาว 1.5-2 ซม ลักษณะใบ รูปไข่กลับ ขอบใบเรียบ ใบหนาแข็งด้านบนใบสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอกเดี่ยวออกตรงข้ามใบ ตะขอมีขนาดเล็กมาก ดอกสีเขียวหรือม่วงแดง ดอกมีกลิ่นหอมแรงช่วงพลบค่ำ ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 5-9 ผล ก้านผลย่อยสั้นมาก แต่ละผลรูปหอกกลับ กว้าง 1-1.3 ซม. ยาว 2.5-3 ซม.เปลือกผลสีเขียวเข้มเป็นมัน มีช่องอากาศประจุดขาวทั่วไป ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินชื้น ระบายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์----เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
13 คัดเค้าเครือ/Oxyceros horridus
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Oxyceros horridus Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Gardenia horrida (Lour.) Spreng.(1824) ---Griffithia siamensis Miq.(1869) ---Randia horrida (Lour.) Schult.(1819) ---Randia siamensis (Miq.) Craib.(1911) ---Solena horrida (Lour.) D.Dietr.(1839) ---Webera siamensis (Miq.) Kurz.(1877) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-145029 ชื่อสามัญ ---Fragrant Randia, Siamese Randi. ชื่ออื่น --- จีเก๊า, จีเค้า, โยทะกา, หนามลิดเค้า (เชียงใหม่), จีเค๊า, พญาเท้าเอว (กาญจนบุรี), คัดเค้าหนาม (ชัยภูมิ), คัดเค้าเครือ (นครราชสีมา), เค็ดเค้า (ภาคเหนือ), คัดเค้า, คันเค่า (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), คัดเค้า, คัดค้าว (ภาคกลาง), เขี้ยวกระจับ (ภาคใต้, ภาคตะวันตกเฉียงใต้), จี้เค้า, หนามเล็บแมว ;[THAI: Khat khao khruea, Khiao krachap, Khat kao, Khat khao nam ,Chi khao.];[VIETNAM: Cây Găng Gai Cong.]. ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE EPPO Code---OXWSS (Preferred name: Oxyceros sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้- มาเลเซีย ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'horridus' มาจากภาษาละติน = หยาบ, แข็ง, กระด้าง, อำมหิต, มีขนดก, หยาบคาย" จาก 'horrere'= ("เป็นขนแปรง") ดูน่ากลัวสยองขวัญ อ้างอิงถึงหนามแข็งของพืช Oxyceros horridus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ และตามป่าละเมาะตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อเหนียวแข็งหรือไม้พุ่มรอเลื้อย อายุหลายปีสูงประมาณ 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลเข้ม กิ่งอ่อนเป็นรูปเหลี่ยม เนื้อไม้เหนียวมาก ตามลำต้นและกิ่งมีหนามงอโค้งเป็นคู่ หนามยาวประมาณ 1 ซม. ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ขนาดของใบกว้าง2.5-5 ซม.ยาว5-9 ซม.เนื้อใบเหนียวหนาแข็งสีเขียวเข้ม โคนใบสอบปลายใบแหลม มีหูใบขนาดเล็กลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ระหว่างก้านใบ ดอกเป็นดอกช่อออกเป็นกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีขนาดตั้งแต่ 4-10 ซม. ในแต่ละช่อจะมีดอกย่อยประมาณ 10-25 ดอก ดอกบานขนาด1.5-2 ซม.ดอกบานสีขาวเมื่อใกล้โรยสีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โคนของกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ๆออกดอกพร้อมกันทั้งต้น แต่จะทยอยบาน ดอกบานทน ประมาณ1สัปดาห์ ดอกมีกลิ่นหอมมาก ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1-1.5 ซม.สีเขียวเป็นมัน เมื่อแก่สีจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็กอัดแน่นกันเป็นจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดแบบเต็มวัน (6-8ชั่วโมงต่อวัน) ครึ่งวันเช้าหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนปนทรายดินมีการระบายน้ำดี การรดน้ำ---ควรอยู่ในระดับปานกลางตลอดทั้งปี (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในฤดูร้อน) มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งและเล็มเป็นประจำ เล็กน้อยในช่วงปลายฤดูหนาวเพื่อกำจัดกิ่งที่เสียหาย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในฤดูใบไม้ร่วงปีละ3ครั้ง และปุ๋ยละลายน้ำในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนกินเป็นผัก ผลอ่อนหรือผลแก่ ดิบ-สุก กินเป็นผัก -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณเป็นสมุนไพรหลายขนาน รากหรือแก่นใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ รากนำมาต้มกินเป็นยารักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน รากใช้ฝนกับน้ำซาวข้าวช่วยรักษาฝีและรักษาแผลทั่วไป โดยเฉพาะแผลสุนัขกัด- หนามใช้เป็นยาลดไข้ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ช่วยแก้พิษไข้กาฬ แก้พิษฝีต่าง ๆ แก้ฝีประคำร้อย -ผลใช้เป็นยาขับระดู ขับโลหิตประจำเดือนเสียของสตรี ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเลื้อยขึ้นซุ้ม ดอกดกสวยงามมีกลิ่นหอม -วนเกษตร ปลูกเป็นแถวเป็นรั้วป้องกันความเสี่ยง ไม่ให้คนหรือสัตว์ผ่านได้ -อื่น ๆ ผลคัดเค้ามีสารจำพวกไตรเทอร์ปีนซาโปนินที่มีฤทธิ์เป็นยาเบื่อปลา ความเชื่อ/พิธีกรรม---คนสมัยก่อนมักนิยมปลูกคัดเค้าสะเป็นรั้วหนามรอบบ้าน นัยว่ากันกระสือ ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มกราคม/กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำ
**การพูดคุยส่วนตัว รูปต้นคัดเค้าอายุมากกว่า 20 ปีเห็นจะได้ ถ่ายมาจากบ้านเพื่อนที่สุพรรณ ต้นนี้กะว่าจะเลื้อยแล้วไม่ได้เลื้อย เพื่อนตัดเป็นพุ่มไว้สูงซักประมาณ 3-4 เมตร นำรูปมาให้ดูเยอะ อยากให้เห็นว่าเวลาออกดอกแล้วน่าปลูกแค่ไหน ขนาดดอกใกล้โรยก็ยังมีกลิ่นหอมระรวยอยู่แล้วแต่ก็ยังออกดอกได้หลายรอบจนกว่าจะหมดระยะออกดอกในแต่ละปี** สถานที่่ถ่ายภาพ---บ้าน คุณนภาภรณ์และ ดร วิทยา มีเนตรทิพย์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
|
14 เถาวัลย์เขียว/Tiliacora triandra
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tiliacora triandra (Colebr.) Diels.(1910) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Basionym: Cocculus triandrus Colebr.(1822) ---Limacia amherstiana Miers.(1871) ---Limacia triandra (Colebr.) Hook.f. & Thomson.(1855) ---Limacia wallichiana Miers.(1871) ---Menispermum triandrum Roxb.(1832) ---Tiliacora stipularis Pierre ex Diel.(1910) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:581568-1#synonyms ชื่อสามัญ---Bai-ya-nang, Ya-nang, Vietnamese Jello Plant, Yanang Grass Jelly Vine ชื่ออื่น---เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี (ภาคกลาง) ; จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง (เชียงใหม่) ; ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ (ภาคใต้ ) ; ยาดนาง, วันยอ (สุราษฎร์ธานี) ; ย่านาง (ภาคอีสาน) ; เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว, เครือเขา ; [CAMBODIA: Voar yeav (Khmer).];[FRENCH: Tiliacora à trois étamines.];[THAI: Bai-ya-nang, Ya-nang, Thao wan khiao (Central); Choi nang (Chiang Mai); Yat nang (Surat Thani).];[VIETNAM: Dây sương sâm, Suong sâm.]; ชื่อวงศ์---MENISPERMACEAE EPPO Code---TLCTR (Preferred name: Tiliacora triandra.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้- มาเลเซีย ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม Tiliacora triandra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอระเพ็ด (Minispermaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Thomas Colebrooke (1765 –1837) เป็นนักคณิตศาสตร์ตะวันออกชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dr. Friedrich Ludwig Emil Diels (1874 –1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2453
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดในป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และ ป่าโปร่ง ภูเขาหินปูน ที่ลุ่ม ริมลำธาร ที่ระดับความสูงถึง 200 (-800) เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นเป็นเถากลมสีเขียว ขนาดเล็ก เลื้อยเกาะไปตามต้นไม้หรือกิ่งไม้ เมื่อเถาแก่สีจะคล้ำขึ้น เถาเหนียวมาก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 4-6 ซม.ยาว 7.5-12 ซม.ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย เนื้อใบบางแต่เหนียวและแข็ง ดอกเป็นช่อเล็กๆ แบบแยกแขนงตามข้อและซอกใบ มีสีเหลือง ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5 ซม.แยกเป็นช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมีย ดอกเพศผู้สีเหลือง กลีบเลี้ยงมี 6-12 กลีบ กลีบดอกมี 3 หรือ 6 กลีบ สอบแคบ ปลายเว้าตื้น ยาว 1 มม. เกสรเพศผู้มี 3 อัน เป็นรูปกระบอง ยาว 1.5-2 มม.ดอกเพศเมีย กลีบดอกมี 6 กลีบ เกสรเพศเมียมี 8-9 อัน ผลกลุ่มทรงกระบอกย่อยถึงทรงกลม กว้าง 5-7 ซม.ยาว 8-10 ซม.ผลสีเขียว ฉ่ำน้ำเเมื่อแก่สีแดงสด เมล็ดลักษณะแข็ง รูปเกือกม้า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดถึงร่มรำไร ปลูกได้ในสภาพดินแทบทุกชนิด ดินชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำดี pH 6.1-7.5 การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออกเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและสร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก สามารถเพิ่มปุ๋ยหมักลงในดินได้ปีละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยาและบางครั้งก็เพาะปลูก พวกเขามักจะขายในตลาดท้องถิ่นทั้งสดและกระป๋อง -ใช้กิน ใช้เป็นอาหารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและลาว นำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ใบย่านางสามารถช่วยต้านพิษกรดยูริกที่มีในหน่อไม้ได้ จึงเห็นใบย่านางมักเป็นส่วนประกอบของอาหารที่มีหน่อไม้ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ แกงอ่อม แกงเห็ด แกงเลียง เป็นต้น-ในเวียดนามพืชชนิดนี้เรียกว่า Dây sương sâmและสามารถทำเป็นวุ้นได้ชนิดหนึ่ง: "sươngsâm"-ในประเทศกัมพูชาก็ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำซุปเปรี้ยวเรียกว่าMachu samlar -ใช้เป็นยา ปรับสมดุลย์ร่างกาย ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดความดัน เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยชะลอวัย เพิ่มภูมิต้านทานโรค -ใช้ปลูกประดับ ปลูกประดับขึ้นซุ้ม ใบสวยมีประโยชน์ เป็นพืชที่ให้ออกซิเจน เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีมลพิษสุง หากปลูกต้นย่านางจะช่วยเพิ่มออกซิเจน และสร้างความร่มเย็นให้กับพื้นที่ได้ดี ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม/เมษายน/-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หัวใต้ดิน ปักชำยอด สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดระยอง
|
15 เถาวัลย์แดง/Toxocarpus villosus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Toxocarpus villosus (Blume) Decne.(1844) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. ---Secamone villosa Blume.(1826) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:102262-1#synonyms ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เถาวัลย์แดง, เครือซูด, เครือมะแตก ;[CHINESE: Mao gong guo teng.];[INDONESIA: Serut rambat (Java).];[LAOS: Mok khan ngue.];[THAI: Thao wan daeng (Ratchaburi), Khruea sut (Loei), Khruea ma taek (northern).];[VIETNAM: Dây giang mủ, Dây gáo vàng, Tieu quả lông.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE รหัสอนุกรมวิธาน: 429532 (สำหรับการอ้างอิงในบทความ โปรดใช้ NCBI:txid429532) ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน และชวา Toxocarpus villosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Decaisne (1807–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2387 Includes 3 Accepted Infraspecifics ;- -Toxocarpus villosus var. brevistylis Costantin (1912) -Toxocarpus villosus var. thorelii Costantin (1912) -Toxocarpus villosus var. villosus -See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:102262-1#children
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (ฝูเจี้ยน, กวางสี, กุ้ยโจว, หูเป่ย, เสฉวน, ยูนนาน) กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, เวียดนาม เติบโตตามธรรมชาติในป่าเปิด ป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 500-1500 เมตร ลักษณะ เป็น ไม้เลื้อยขนาดเล็ก เลื้อยได้ไกล 2-4 เมตร มียางขาวทุกส่วนของลำต้น เถาแตกเป็นร่องเหนียวมาก ใช้แทนเชือกได้เถาอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงหนาแน่น ใบเดี่ยวรูปไข่ออกเรียงสลับกันปลายใบแหลม มีติ่งหนามเล็กๆ แผ่นใบขนาดกว้าง3-4.5ซม. ยาว5-8ซม.ดอกออกเป็นช่อกระจุกซ้อนขนาดใหญ่ ดอกย่อย1-1.5ซม. กลีบดอกมี5กลีบ สีเหลืองสด ออกที่ซอกใบและปลายยอด มีกลิ่นหอมอ่อนๆผลเป็นฝัก 8-18 ซม.× 5-10 มม.เมื่อแก่จะแห้งแล้วแตก เมล็ดขนาด 10 x 2 มม มีขนปุยปลิวไปตามลม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกได้ในสภาพดินแทบทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี pH 6.1-7.5 การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออกเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและสร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก สามารถเพิ่มปุ๋ยหมักลงในดินได้ปีละ 1-2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนาม ใช้ใบรักษาอาการเต้านมบวม ถุงลมโป่งพอง โรคไขข้ออักเสบ ขับปัสสาวะ -ในประเทศจีน ใช้ภายนอกเพื่อรักษาบาดแผล และฝี -อื่น ๆ เถาสามารถนำมาทำเป็นเครื่องจักสานได้ ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/มิถุนายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด และการปักชำกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนพฤกษศาสตร์ภาคกลาง (พุแค) จังหวัดสระบุรี
|
16 ถั่วแปบช้าง/Afgekia sericea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Afgekia sericea Craib.(1927) ชื่อพ้อง ---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Silky Afgekia, Kan Phai, Thua Paep Chaang ชื่ออื่น--- กันภัย (สระบุรี), กันภัยใบขน (กรุงเทพฯ), ปากีเดิด (มหาสารคาม) ; [THAI: Kan phai, Thua paep chaang.] ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) EPPO Code---1LEGF (Preferred name: Fabaceae.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-ไทย เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล '' Afgekia '' เป็นคำย่อของแพทย์ชาวไอริช Arthur Francis George Kerr (1877-1942) ; ชื่อสายพันธุ์ '' sericea '' มาจากคำภาษาละตินว่า '' sericeus, a, um '' = sericeous, silken โดยอ้างอิงถึงรูปลักษณ์ที่อ่อนนุ่มทุกส่วนของพืช Afgekia sericea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2470
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ระดับความสูง 100-400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดกลางอายุหลายปี เถามีขนาดใหญ่ได้ถึง 10 ซม.ทุกส่วนมีขนสีขาว เลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น เลื้อยยาวได้ไกลถึง15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ มีใบย่อย15หรือ17ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่ ขนาดของใบกว้าง1.7-2.3ซม.ยาว3.5-4.5ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ใต้ใบสีขาวมีขนสีเงิน ก้านช่อดอกยาวมีขนสีขาว ดอกออกเป็นช่อกระจะแน่นที่ปลายยอด ช่อดอกยาว0.5-1เมตร ทยอยบานจากโคนช่อถึงปลายช่อ ดอกเก่าจะโรยเห็นเป็นก้านช่อดอกยาว ช่อดอกที่เหลือ ยาว10-12ซม. กลีบประดับรูปท้องเรือสีชมพูอมเขียว มีขนนุ่มเรียงซ้อนกันแน่น กลีบดอกสีชมพูแกมม่วง ดอกรูปดอกถั่วมี5กลีบขนาดไม่เท่ากัน กลีบร่วงง่าย ดอกขนาด1-1.5ซม. ผลเป็นฝัก เปลือกแข็งมีขนอ่อนสีขาวปกคลุมตลอดฝัก มี1-2เมล็ด เมื่อแก่จัดแตกตามรอยประสานเป็น2ซีก เมล็ดสีน้ำตาล มีลายสีเทา ผิวเป็นมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชที่ทนทานไม่ตายง่าย ไม่พักตัว สามารถปลูกได้ดีในสภาพดินร่วนซุยและปนทราย การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ต้องการน้ำสูงสุดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ในช่วงฤดูร้อน อาจต้องให้น้ำพืชชนิดนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอกหมด และตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยในฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน ทำด้วยผลิตภัณฑ์ที่สมดุล ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านจะใช้รากถั่วแปบช้างผสมกับเปลือกต้นมะกอกเหลี่ยม เปลือกต้นหนามหัน และเปลือกต้นยางนา นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคอีสุกอีใสและซาง -ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปตามบ้านเรือนและตามสวนทั่วไป เหมาะปลูกขึ้นเลื้อยให้ไต่ซุ้ม แตกยอดจำนวนมากปกคลุมซุ้มแน่น และดอกดกสวยงาม ความเชื่อ/พิธีกรรม---ถั่วแปบช้างถือเป็นไม้มงคลนามที่มีอิทธิฤทธิ์สมชื่อว่า "กันภัย" ระยะออกดอก---พฤษภาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
17 ถั่วแปบม่วง/Lablab purpureus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lablab purpureus (L.) Sweet.(1826) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:501411-1 ---Basionym: Dolichos purpureus L.(1763) ชื่อสามัญ---Hyacinth bean, Lablab-bean, Egyptian kidney bean, Indian bean, Bataw, Australian pea, Banner Bean ชื่ออื่น---ถั่วแปบม่วง, ถั่วคล้า, ถั่วกระเป๋า, ถั่วแปะยี ;[ASSAMESE: Urahi,Urohi,Uri,Urchi.];[AUSTRALIA: Tonga bean.];[BENGALI: Rajashimbi.];[BOLIVIA: Frijol bocón chileno.];[CHINESE: Biǎn dòu.];[HINDI: Bhatvas, Shimi, Sem.];[FIJI: Natoba, Toba.];[FRENCH: Lablab, Dolique lab-lab, Dolique d'Egypte, Pois boucoussou, Pois Antaque, Pois nourrice, Pois de senteur, Pois Gervais, pois Gerville.];[GERMAN: Faselbohne, Helmbohne, Indische Bohne, Schlangenbohne.];[INDONESIA: Komak, Kacang komak, Kacang bado, Kacang biduk.];[ITALIAN: Dolico egiziano, Dolico lablab, Fagiolo indiano.];[JAPANESE: Fuji mame.];[KOREA: Pyeondu.];[MALAYALAM: Avara, Amara.];[NEPALI: Anvare, Kadavebaala, Pandhre Pavate.];[PHILIPPINES: Bitsuwelas, Abitsuwelas, Habitsuwelas, Sibatse, Bataw (Tagalog).];[PORTUGUESE: Labe-labe, Feijão cutelinho, Feijão padre, Feijão da India, Cumandatiá .];[SANSKRIT: Nispavah.];[SPANISH: Fríjol permanente, Fríjol permanente blanco, Fríjol permanente cáscara verde, Fríjol permanente cáscara morada, Frijola, Frijola negra, Fríjol railón, Gallinita, Habichuela trepadora.];[TAMIL: Motchai, Avarai.];[TELUGU: Adavichikkudu, Alsanda, Chikkudu.];[THAI: Thua paep mouang, Thua khlaa, Thua kra pao, Thua pae yi.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) EPPO Code---DOLLA (Preferred name: Lablab purpureus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย ศรีลังกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก Lablab purpureus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (FabaceaeหรือLeguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Sweet (1783–1835) นักพฤกษศาสตร์และนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2369 ชนิดย่อย (Subspecies) ---Lablab purpureus subsp. bengalensis (Jacq.) Verdc.(1970) ---Lablab purpureus subsp. purpureus. ---Lablab purpureus subsp. uncinatus Verdc.(1970) ความหลากหลาย (Varieties) ---Lablab purpureus var. purpureus ---Lablab purpureus var. rhomboideus (Schinz) Verdc.(1970)
ที่อยู่อาศัย พบใน อินเดีย ศรีลังกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ขึ้นทั่วไปในที่โล่งชายฝั่งทะเล ป่าชายเลนที่ถูกทำลาย หรือ พื้นที่เป็นดินเลนแข็งใกล้ทะเล ริมแม่น้ำลำคลอง ที่ระดับความสูง 100-2,130 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยล้มลุกโตเร็ว ลำต้นไม่มีเนื้อไม้ อายุหลายปี ลักษณะลำต้นทอดเลื้อยตามพื้นดินหรือพาดพันต้นไม้อื่น ยาวได้ถึง 6 เมตร ลำต้นแก่เกลี้ยงและเป็นร่องตื้นตามยาว ส่วนต่างๆที่ยังอ่อนมีขนสั้นปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือมี3ใบ ย่อยสีเขียวเข้ม ก้านช่อใบยาว 5-12 ซม.แผ่นใบย่อยรูปไข่กว้าง ขนาดกว้าง 5-10 ซม.ยาว 7-15 ซม. ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีซีดกว่า ใบอ่อนมีขนคล้ายไหมปกคลุมหนาแน่น ดอกแบบช่อเชิงลดออกตามง่ามใบ ช่อดอกห้อยลงยาว 20-40 ซม.ดอกย่อยรูปดอกถั่วมีสีขาวและชมพูอมม่วง สวยงาม มีเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1.5-2 ซม.กลิ่นหอมดีงดูดผีเสื้อ ผล แบบฝักถั่ว รูปขอบขนานโค้งเล็กน้อย ขนาดกว้าง 2.5-3 ซม.ยาว 6-15 ซม.ฝักมีขนอ่อนปกคลุมหนาแน่น ฝักแก่เกลี้ยง เมล็ดแบนสีน้ำตาลมี 2-10 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่โล่งแจ้งแสงแดดจัด ชอบดินชื้นที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูงและมีค่าความเป็นกรดอยู่ระหว่าง 5.5 และ 6 ชอบ pH ในช่วง 5 - 7.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8 พืชจะเติบโตได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิระหว่าง 28°C - 30°C ทนต่ออุณหภูมิเฉลี่ยที่ต่ำถึง 9°C อัตราการเจริญเติบโต เร็ว สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้ในพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้เช่นกัน การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ ต้องการน้ำสูงสุดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ในช่วงฤดูร้อน อาจต้องให้น้ำพืชชนิดนี้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำน้อยลง พืชทนแล้งได้ดี การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอกหมด และตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่สมดุลในฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค พืชได้รับการปลูกทั่วไปทั้งใน บ้าน สวนและในเชิงพาณิชย์ -ใช้กิน ฝักอ่อน ดอกปรุงสุกใช้ประกอบอาหาร หรือกินเป็นผักสด ใบใช้เป็นผักใบเขียวเหมือนผักขม เมล็ดสามารถเตรียมเป็น 'เต้าหู้' หรือหมักใน 'เทมเป้' ในแบบเดียวกับที่ใช้ถั่วเหลืองในญี่ปุ่น -ใช้เป็นยา ดอกไม้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, alexiteric และขับลม -น้ำผลไม้จากฝักใช้รักษาหูและคออักเสบ-เมล็ดแห้งดีแล้วจึงคั่วก่อนใช้ โดยใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ, antispasmodic, aphrodisiac, ย่อยอาหาร, ยาแก้ไข้และแก้ปวดท้อง และใช้ในการรักษาอหิวาตกโรค, คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องร่วง, ลำไส้, ปวดท้อง, พิษสุราเรื้อรังและพิษสารหนู -ใช้ใบไม้สีเขียวบดในน้ำส้มสายชูเพื่อรักษางูกัด -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยหรือแนวรั้ว ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินในสวน -อื่น ๆใบให้สีย้อมสีเขียว รู้จักอันตราย---เมล็ดดิบมีสารไซยาโนจีนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic glycoside) ที่เป็นพิษกับร่างกาย หากนำมารับประทานควรปรุงให้สุก ก่อนการปรุงอาหารจะทำลายสารพิษอย่างสมบูรณ์ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธฺุ์---เมล็ด
|
18 ส่าเหล้าปัตตานี/Desmos cochinchinensis
[DES-mos] [(ko-chin-chin-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Desmos cochinchinensis Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2763020 ---Desmos hancei Merr.(1915) ---Desmos cochinchinensis var. fulvescells Bân.(1974) ---Desmos velutinus (Hance) Ast.(1938) ---Unona velutina Hance.(1877) ชื่อสามัญ---Dwarf ylang-ylang, Dwarf ylang-ylang shrub. ชื่ออื่น---ส่าเหล้าปัตตานี; พี้เขา พีพวนน้อย (นครพนม); นางดำ (นครศรีธรรมราช); โยม (มลายู-ปัตตานี); ส่าเหล้าช้าง (ประจวบคีรีขันธ์); [CHINESE: Chia ying chao, Jia ying zhua.];[MALAYSIA: Akar Sugi-sugi, Kenanga hutan, Larak Api, Larak Salai, Pisang-pisang (Malay).];[PHILIPPINES: Ilang-ilang gubat, Ylang-Ylang gubat (Tag.).];[THAI: Saa hlao pat-ta- ni, Nang dam, Pee khao, Pee puan noi.];[VIETNAMESE: Hoa gie.]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Desmos' จากภาษากรีกหมายถึงความผูกพัน อ้างอิงถึงผลไม้; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'cochinchinensis' หมายถึงเวียตนาม Desmos cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) สกุลสายหยุด (Desmos) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปีพ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย อัสสัมและพม่า ทางตอนใต้ของจีน ตลอดทั้งมาเลเซียและคาบสมุทรมลายู พบขึ้นกระจายตามป่าดิบชื้น และป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูง 100-600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง1.5-3 เมตร รอเลื้อยหรือเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยพาดต้นไม้อื่นไปได้ไกล 3-5 เมตร แตกกิ่งน้อย เปลือกเรียบ สีน้ำตาล มีช่องอากาศเป็นจุดสีขาว เนื้อไม้เหนียว ใบเดี่ยวรูปไข่ถึงรูปไข่แคบออกเรียงสลับ ขนาดใบรูปไข่ 10-24 x 3-8 ซม เนื้อใบหนา ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีเขียวอมเทา ดอกออกเดี่ยว ๆ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก้านดอกเรียวยาวสีม่วง ยาว15-30ซม. กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมแผ่กางออก ดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ ปลายกลีบโค้งงอเข้า โคนกลีบดอกใกล้ฐานคอดเล็กน้อย กลีบชั้นในมีขนาดเล็กและสั้นกว่า ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆผลเป็นผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาวเหมือนก้านดอก มีผลย่อยไม่เกิน 20 ผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีดำ มี 2-6 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน อุณหภูมิระหว่าง 12°C-35°C อุณหภูมิต่ำสุดคือ 10 °C ดินร่วนมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางและมีค่า pH 6.5-7.6 เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี การรดน้ำ---สัปดาห์ละสองครั้ง ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พื้นดินชื้นเล็กน้อย อย่าให้น้ำมากเกินไป และขาดน้ำจนทำให้ใบร่วง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเป็นไม้พุ่มได้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือป๋ยหมักปีละ 2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อแมลงศัตรูพืช ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ราก ลำต้น ใบ ใช้เป็นยาพื้นบ้านสำหรับบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต -ในประเทศจีนมีการศึกษาโดยใช้สารสกัดจากรากของส่าเหล้าปัตตานีในการต้านมาลาเรีย -ในแหลมมลายูรากใช้สำหรับโรคบิดและมีไข้ -ในเวียดนามใช้เป็นยาต้านมาลาเรีย ยาฆ่าแมลง ยาแก้ปวดและไขข้อ ใบใช้สำหรับแก้ท้องผูก และลำต้นใช้โดยชนเผ่า Dao สำหรับอาการท้องผูก -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้พุ่มหรือเป็นไม้ขึ้นซุ้ม สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง -อื่น ๆ ในเวียดนามใช้เป็นยาฆ่าแมลง ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/กันยายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---ร้านต้นไม้ คลอง 15 จังหวัดนครนายก
|
19 กล้วยหมูสัง/Uvaria grandiflora
[oo-voo-LAR-ee-a] [gran-dih-FLOR-uh]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria grandiflora Roxb. ex Hornem.(1819) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms. ---Uvaria platypetala Champ. ex Benth.(1851) ---Unona grandiflora Lesch. ex DC.(1824) ---Uvaria rubra C.B.Rob.(1908) ---More See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2448240 ชื่อสามัญ ---Large-flowered Uvaria, Large Bellwort, Large-flowered Bellwort, Wisley Strain bellwort ชื่ออื่น---กล้วยหมูสัง (ภาคใต้, ทั่วไป); กล้วยมูซัง (สงขลา); กล้วยมดสัง, กล้วยมุดสัง, ย่านนมควาย (ตรัง);[CHINESE: Dà huā zǐ yù pán, Shān jiāo zi.];[THAI: Kluey moo sang, Yan nom kwai,];[VIETNAM: Cây Bù Dẻ Tía.]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---UVAGF (Preferred name: Uvaria grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Uvaria' เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน "uvarius, a, um" จาก "uva" = องุ่น, ดังนั้นจึงคล้ายกับพวงองุ่นโดยอ้างอิงถึงผลไม้บางชนิดในสกุล; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'grandiflora' คือการรวมกันของคำศัพท์ภาษาละติน "grandis" = ยิ่งใหญ่ และ "flos, -oris" = ดอกไม้ โดยมีการอ้างอิงถึง ดอกไม้ขนาดใหญ่ Uvaria grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Jens Wilken Hornemann (1770 – 1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ.2362 ความหลากหลาย (Varieties);- -Uvaria grandiflora var. grandiflora -Uvaria grandiflora var. flava (Teijsm. & Binn. ex Miq.)Scheff.กลีบดอกสีขาวนวลกลีบกว้างและสั้นกว่าเรียกว่ากล้วยหมูสังสีนวล ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน (กวางตุ้ง,กวางสีและไหหลำ) พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ภูมิภาคมาเลเซียและอินโดนีเซีย เกิดขึ้นในป่าเปิดป่าทึบที่ระดับความสูง 400 - 1,000 เมตรในภาคใต้ของประเทศจีน ในประเทศไทยพบทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ตามป่าดิบชื้น ป่าโปร่งและบริเวณริมห้วย ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ แยกจากโคนต้นได้หลายเถา สามารถเลื้อยพาดตามพุ่มไม้ไปได้ไกล 5-15 เมตร เนื้อไม้เหนียวแข็ง กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลเหลืองคลุมอยู่หนาแน่น ใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง 8 ซม.ยาว 21 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบมน ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามกิ่งใกล้ปลายยอด กลีบรองดอกรูปสามเหลี่ยมสีเขียวอ่อน ขนาด 2-3.2 ซม.กลีบดอก 6 กลีบ รูปขอบขนานถึงรูปไข่แคบค่อนข้างหนาสีแดงเข้ม โคนกลีบดอกสีเหลืองอ่อน กลางดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลืองอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-11 ซม.ดอกบาน1-2 วัน กลิ่นหอมอ่อนๆตอนค่ำ ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อยรูปทรงกระบอก 6-15 ผล อยู่บนแกนตุ้มกลม ก้านช่อผลยาว 4-6 ซม.ส่วนก้านช่อผลย่อยยาวประมาณ 1-4 ซม.ผลย่อย ยาว 3-6 ซม. มีเมล็ดรูปรีแบนสีน้ำตาลซีด 5-20 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวันถึงมีร่มเงาบางส่วน อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 °C ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ที่ชื้นและระบายน้ำดี แต่สามารถทนต่อดินแห้งได้ในบางครั้ง การรดน้ำ---การให้น้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ให้น้ำน้อยลงในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่มได้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกเดือนในช่วงฤดูปลูก ใส่ปุ๋ยคอกหรือป๋ยหมักปีละ 1 หรือ 2 ครั้ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ทากและหอยทากอาจเป็นปัญหาได้ ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้ถูกใช้ในท้องถิ่นโดยเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นผลไม้กินได้ ใช้เป็นยา ลำต้นซึ่งสามารถใช้ประโยชน์แทนหวาย (rattans) และบางครั้งปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ผลสุกมีกลิ่นหอมรสหวานเปรี้ยว กินได้ -ใช้เป็นยา ใบและรากต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ปวดท้อง -ชาวมลายูใช้ใบต้มกับข้าวกินเป็นยาบรรเทาอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ -ใช้ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับ เหมาะสำหรับสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ใช้งานได้ดีในสวนป่า สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง -อื่น ๆ เถาใช้แทนหวาย ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2017 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/พฤศจิกายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด (ระยะเวลางอก 1-2 เดือน ออกดอกครั้งแรกเมื่อมีความสูงประมาณ 1 เมตร) และตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
20 นมควาย/Uvaria rufa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Uvaria rufa Blume.(1828) ชื่อพ้อง ---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-1602088 ชื่อสามัญ---Torres Strait scrambler, Carabao's teats, Calabao, Suso ng kalabaw, Susung-kalabaw ชื่ออื่น---*นมแมวป่า (เชียงใหม่), ติงตัง (นครราชสีมา), สีม่วน (ชัยภูมิ), พีพวน ผีพวนน้อย (อุดรธานี), พีพวนน้อย (ชุมพร), ตีนตั่ง ตีนตั่งเครือ (ศรีษะเกษ, อุบลราชธานี, นครราชสีมา), นมวัว นมควาย บุหงาใหญ่ หมากผีผวน (พิษณุโลก, กระบี่), บุหงาใหญ่ นมแมวป่า หมากผีผ่วน (ภาคเหนือ), หำลิง พีพวนน้อย (ภาคอีสาน), นมแมว นมวัว (ภาคกลาง), นมควาย (ภาคใต้), ลูกเตรียน กรีล (เขมร, ศรีสะเกษ, สุรินทร์), บักผีผ่วน (ลาว) *ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/; [CAMBODIA: Triəl sva (Central Khmer).];[CHINESE: Xiao hua zi yu pan.];[FRENCH: Uvaria rouge.];[INDONESIAN: Lelak.];[LAOS: Phil phouan.];[PHILIPPINES: Batag-kabalang (Bik.); Hilagak, Susung-kabayo, Susung-kalabaw (Tag.); Susung-damulag (Pamp.).];[THAI: Nom kwai, Yan nom kwai.]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE EPPO Code---UVASS (Preferred name: Uvaria sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Uvaria' มาจากภาษาละติน ''uvarius, a, um'', จาก ''uva'' = องุ่น อ้างอิงถึงผลไม้ที่คล้ายพวงองุ่น ; ชื่อของสายพันธุ์ 'rufa' = Red haired Uvaria rufa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2371
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังแพร่กระจายในคาบสมุทรเคปยอร์คในออสเตรเลีย และพบในภาคใต้ของจีน ตามป่าที่ลาดประปรายที่ระดับความสูง 400-1,700 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายในป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้งทั่วประเทศ ที่ระดับความสูง 50-600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งเลื้อยพาดพันไม้อื่นได้ไกล 5-9 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 4 ซม.เปลือกลำต้นเป็นสีม่วงอมเทา ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนละเอียดหนาแน่น สีน้ำตาลแดง แตกกิ่งน้อย ตามกิ่งมีใบน้อย ใบเดี่ยว รูปรีกว้าง 3-6 ซม.ยาว 7-15 ซม.โคนใบเว้าเล็กน้อย ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม ใบด้านบนเกลี้ยง ยกเว้นเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบมีขนสีน้ำตาลแดงหนาแน่น ดอกสีแดงเข้มออกเป็นกระจุก 2-3 ดอกเมื่อดอกบาน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของดอกประมาณ 2-2.5 ซม. มีกลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม มีจำนวน 6-9 ผล ผลย่อยรูปกลมรีถึงรูปทรงกระบอก กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 3-4 ซม.ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีแดงส้ม มีเมล็ดจำนวนมากห่อหุ้มด้วยเนื้อโปร่งแสง ขนาดประมาณ 9-10 x 7 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้นปานกลางและระบายน้ำดี การรดน้ำ---การให้น้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ให้น้ำน้อยลงในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง--- ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออกหรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกเดือนในช่วงฤดูปลูก ใส่ปุ๋ยคอกหรือป๋ยหมักปีละ 1 หรือ 2 ครั้ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยงแต่ปลูกเป็นพืชสมุนไพร ผลไม้ที่กินได้นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในท้องถิ่นโดยเฉพาะการเก็บเกี่ยวจากป่าและขายในตลาดท้องถิ่น -ใช้กิน ผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว ใช้กินเป็นผลไม้ ในฟิลิปปินส์เรียกผลไม้นี้ว่า Suso ng kalabaw หรือ Susung-kalabaw ('จุกนมคาราบาว') เนื่องจากมีลักษณะเหมือนทางกายภาพ -ใช้เป็นยา แก่นและรากนำมาต้มรวมกันกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้กลับหรือไข้ซ้ำ ต้มกินแก้ไข้อันเนื่องมาจากรับประทานของแสลงที่เป็นพิษ ผลสุกเป็นยารักษาโรคหืด รากช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี -รากใช้เป็นยากระตุ้นการคลอดบุตรของสตรี ซึ่งชาวบ้านในแถบหมู่เกาะลูซอนและมินดาเนาของประเทศฟิลิปปินส์จะใช้รากนมควายนำมาแช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ให้หญิงที่จะคลอดบุตรdกิน -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้หายาก ผลกินได้ ดอกสวยงามเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ -อื่น ๆ ชาวชนบททางภาคอีสาน นิยมใช้เป็นวัตถุดิบในการเตรียมสีย้อมฝ้ายหรือไหม โดยการสกัดสีจากกิ่งของต้นด้วยตัวทำละลาย -เนื้อไม้ใช้แทนหวายในการทำเฟอร์นิเจอร์และงานฝีมือ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล--มีนาคม-เมษายน/มิถุนายน-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
21 นมแมวซ้อน/Uvaria dulcis
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Uvaria dulcis Dunal.(1817) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms. ---Anomianthus dulcis (Dunal) J.Sincl.(1953) ---Anomianthus auritus (Blume) Backer.(1911) ---Anomianthus heterocarpus Zoll.(1858) ---Uvaria heterocarpa Blume.(1830) ---More.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:75659-1#synonyms ชื่อสามัญ --None (Not recorded) ชื่ออื่น---นมแมวดอกซ้อน, ตบหู ตีนตังน้อย (นครพนม), ตีนตั่ง (อุบลราชธานี), นมวัว ;[CAMBODIA: Triël dâhs krabéi (="เต้านมของควาย").];[THAI: Nom meow dok son, Nom ngoa, Khruea nom ngoa, Tin tang noi.];[VIETNAM: Dũ dẻ trâu, Nhị tuyến, Vô danh hoa, Dây trái lông.]. ชื่อวงศ์ ---ANNONACEAE EPPO Code---ZNODU (Preferred name: Anomianthus dulcis.) ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Uvaria' มาจากภาษาละติน ''uvarius, a, um'', จาก ''uva'' = องุ่น อ้างอิงถึงผลไม้ที่คล้ายพวงองุ่น ;ชื่อเฉพาะสายพัรธุ์ 'dulcis' จากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม *dl̥kú- (“หวาน”) Anomianthus dulcis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Michel Felix Dunal (1789–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปีพ.ศ.2496 -JF Maxwell ได้พิจารณาว่าพืชชนิดนี้อยู่ใน สกุล Uvariaในปี พ.ศ 2518 -ในปี พ.ศ.2552 การวิเคราะห์สายวิวัฒนาการโดย Zhou Jun (1932–2020) นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรพืชและพฤกษเคมี,จากอดีต Su และ William Saunders (1822 –1900) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันแสดงให้เห็นว่ สกุล Anomianthus เป็นส่วนหนึ่งของ สกุล Uvaria และชื่อ Uvaria dulcisได้รับการยอมรับอีกครั้ง ที่อยู่อาศัย พบที่พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อยและโมลุกกะ ขึ้นกระจายอยู่ตามป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ป่าละเมาะและทุ่งโล่งทั่วไป ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ และชายป่าหรือป่าดงดิบแล้งที่กำลังฟื้นตัว ที่ระดับความสูงไม่เกิน 800 เมตร. ลักษณะ เป็นไม้รอเลื้อยเนื้อแข็ง เถาค่อนข้างใหญ่แข็งแรงเปลือกต้นเรียบสีเทา เถาเลื้อยได้ไกล 4-8 เมตร มีกิ่งที่ปลายเป็นหนามแข็งอยู่ทั่วไปตามลำต้น เนื้อไม้เหนียว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับสองด้านในระนาบเดียวกันสีเขียวเข้มรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 5-7 ซม.ยาว 10-15 ซม.โคนใบสอบมนหรือหยักเว้าเล็กน้อย ปลายใบแหลม ใบอ่อนมีขนทั้งสองด้าน ใบแก่หลังใบด้านบนเกลี้ยง ส่วนท้องใบด้านล่างมีขนหนาแน่นกว่า ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อกระจุกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง 2-4 ดอก กลีบซ้อนกัน 2 ชั้นสีเหลือง หรือ ชมพู กลีบดอกมี6กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น กลีบดอกเป็นแผ่นบาง ขอบกลีบบิดเป็นคลื่น เมื่อบานมีขนาด 3-4 ซม.มีกลิ่นหอมอ่อน ๆส่งกลิ่นช่วงบ่ายถึงกลางคืน บานอยู่ได้ 1 วันแล้วโรย ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 7-15 ผล ผลรูปกลมรีจนถึงทรงกระบอก ยาว 1-2.5 ซม.ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจนถึงสีแดงเข้ม มีเมล็ด 1-2 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน หรือร่มเงาบางส่วน ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---การให้น้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ให้น้ำน้อยลงในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออกหรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการ สามารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่ม การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกเดือนในช่วงฤดูปลูก ใส่ปุ๋ยคอกหรือป๋ยหมักปีละ 1 หรือ 2 ครั้ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยา มักนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและพืชสมุนไพร -ใช้กิน ผลสุกมีรสหวานกินได้ -ใช้เป็นยา ลำต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงน้ำนมขณะอยู่ไฟของสตรี -ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับรั้วหรือขึ้นซุ้ม ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง แยกเอาไหลที่ขึ้นรอบๆต้นเดิมมาปลูก **การพูดคุยส่วนตัว นมแมวซ้อนนี่ค่อนข้างหายาก รูปพวกนี้ได้มาดดยบังเอิญ (3/4/2018) ติดมากับต้นจิกน้ำที่พวกขุดล้อมจะล้อมเอาต้นจิกแต่ติดอีกต้นที่ขึ้นอยู่ชิดติดกันพาดเลื้อยต้นจิกอยู่นัวเนีย เลยพามาด้วย พอเห็นดอกถึงรู้ว่าเป็นต้นอะไร
|
|
22 ช้องแมว/Gmelina philippinsis
[g-MEL-in-uh] [fil-lip-EN-sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Gmelina philippinsis Cham.(1832) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Gmelina finlaysoniana Wall. ex Kuntze.(1891) [Illegitimate] ---Gmelina hystrix Schult. ex Kurz.(1870) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-91224 ชื่อสามัญ--- Wild Sage, Hedgehog, Parrot's Beak, Asian bushbeech, Asiatic beechberry. ชื่ออื่น---ซ้องแมวใหญ่ ซ้องแมวน้ำ (ทั่วไป), ซ้อแมว (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ซองแมว ซ้องแมว ซ้องแมวควาย (ภาคกลาง), จิงจาย จิ้งจาย ยองขนุน (ภาคใต้), หนุน (เกาะสมัย), จิงจ้อ (ปัตตานี), ยวงขนุน (สุราษฎ์ธานี), ปะงางอ (มลายู-ปัตตานี) ;[ASSAMESE: Korobi.];[BENGALI: Badhara.];[FRENCH: Sousou.];[HINDI: Badhara.];[JAPANESE: Kibana Yoraku.];[MALAYSIA: Purple Bulang, Bulongan, Bulang, Pekan, Parrot's Beak, Bulangan, Bulangan Duri.];[PHILIPPINES: Alipung, Alipuñga (Tag.); Baga babui (Tag., Bis.); Bosel-bosel (Ilk.); Tuloñgan (P. Bis.); Sousou (Ig.).];[THAI: Shong meow, Zong meow.];[VIETNAM: Tu hú Philippin.]. ชื่อวงศ์ --- LAMIACEAE (LABIATAE) EPPO Code---GMEPH (Preferred name: Gmelina philippinsis.) ถิ่นกำเนิด --- ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย, บังคลาเทศ, ปากีสถาน, ศรีลังกา, พม่า, ไทย, เวียดนาม, จีน, (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'philippinsis' อ้างอิงถึงสถานที่กำเนิดคือประเทศฟิลิปปินส์ Gmelina philippinsis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adelbert von Chamisso (1781–1838) เป็นกวีและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ แพร่กระจายอยู่ในอนุทวีปอินเดีย: อินเดีย [Kerala, Tamil Nadu] บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล ปากีสถานและศรีลังกา ; อินโดจีน [พม่า, ไทย, เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย (หมู่เกาะซุนดาน้อย) ฟิลิปปินส์ (Luzon, มินดาเนา, Panay).] มักขึ้นอยู่ตามบริเวณป่าราบทั่วไป บางครั้งมีการเพาะปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่ Flora Zambesiaca ประเทศโมซัมบิก ซิมบับเว แซมเบีย ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยมีเนื้อไม้แข็ง พาดพันต้นไม้อื่นสูงได้ถึง 8 เมตร ทุกส่วนมีขนขาวนุ่มปกคลุม แตกกิ่งก้านใบเป็นพุ่มแน่น ใบเดี่ยวรูปรีแกมรูปไข่เรียงตรงข้ามเป็นคู่ ขนาดใบ 1.5 – l0 × l.5–6 ซม ปลายใบแหลมโคนใบโค้งมนเล็กน้อย มักมีหนามแหลมยาวเป็นคู่แต่ละคู่ตั้งฉากกันบริเวณโคนกิ่งและง่ามใบ ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง หรือง่ามใบ ขนาดดอกย่อย 2-5 ซม.โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายเป็นติ่งเล็กๆ 5 อัน ด้านนอกมีขนสีขาวคลุม ด้านในเกลี้ยง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆปลายแยกเป็น 2 ปาก ผลสดรูปค่อนข้างกลม ขนาด 2-3.5 ซม.เมื่อสุกสีเหลือง มีเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด (อย่างน้อย 4-5 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี pH 6.1- 6.5 ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-6.6 °C) เป็นพืชเขตร้อนสามารถผลัดใบได้ในสภาพอากาศเย็น การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---สามารถทนต่อการตัดแต่งรากจำนวนมากได้หากสมดุลกับการตัดแต่งกิ่งหรือการผลัดใบ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดลเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา มันได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวาง เป็นไม้ประดับทั่วเขตร้อน -ใช้เป็นยา รากมีรสขมเย็น ใช้เป็นยาแก้กระษัย แก้อาการร้อนใน ใช้เป็นยาแก้พิษฝีภายใน ใช้เป็นยาดับพิษทุกชนิด ใช้กินเป็นยาแก้บวม ใบนำมาต้ม แก้อาการปวดฟัน แก้เหงือกบวม ใบสดตำให้ละเอียด ใช้พอกสุมลงบนศีรษะ เป็นยาแก้ปวดศีรษะ -ในอินเดียมักใช้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วเขตร้อน ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้งหรือเลื้อยขึ้นซุ้ม สามารถปลูกเป็นไม้ออกดอกในกระถาง -ในฐานะที่เป็นบอนไซ Gmelina กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับบอนไซเขตร้อน การเติบโตและการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้การพัฒนาการออกแบบเป็นเรื่องง่ายในเวลาอันสั้น -อื่น ๆใบสดนำมาตำให้ละเอียด ใช้พอกศีรษะกันผมร่วง ขจัดรังแค -น้ำคั้นผลไม้ใช้ไล่ปลิง "anti -limatik " (สายพันธุ์ของปลิงของพืช Haemadipsa) ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020) ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ปักชำและการตอนกิ่ง
|
|
23 เถาขยัน/Lysiphyllum strychnifolium
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lysiphyllum strychnifolium (Craib) A. Schmitz.(1977) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/505340-1#synonyms ---Basionym: Bauhinia strychnifolia Craib.(1924) ชื่อสามัญ---Hooker's bauhinia, Mountain ebony, Pegunny, Queensland ebony. ชื่ออื่น---สยาน (ตาก, ลำปาง), เครือขยัน (ภาคเหนือ), หญ้านางแดง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ขยัน, เถาขยัน (ทั่วไป) ;[THAI: Sayan (Tak, Lampang); Khruea khayan (Northern); Yaa nang daeng (North-Easthern); Khayan, Thao khayan (General).]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE) EPPO Code---LYMST (Preferred name: Lysiphyllum strychnifolium.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย, มาเลเซีย Lysiphyllum strychnifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johann Anton Schmidt (1823-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2520
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยถึงคาบสมุทรมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือที่จังหวัด เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร นครสวรรค์และสุโขทัย ในธรรมชาติพบตามที่ราบลุ่ม ป่าเต็งรัง ป้าผลัดใบ และป่าหญ้า ลักษณะ เถาขยันเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง พันต้นไม้อื่นได้สูงถึงยอดไม้ ความยาวถึง 5 เมตร เปลือกเถาเรียบมักมีร่องตรงกลาง มีใบดกหนาทึบ เป็นใบเดี่ยว รูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 3-7 ซม.ยาว 6-12 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ผิวใบเรียบ หูใบโค้งเป็นเส้นงอคล้ายมือเกาะออกเป็นคู่สำหรับยึดเกาะ ก้านใบยาว 2-3.5 ซม.ดอกออกเป็นช่อยาวเรียงกันที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาวได้ถึง1เมตร มีดอกย่อยจำนวนมากขนาด 3-4.5 ซม. กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วย มีขนสั้นปกคลุม ปลายแยก 5 แฉก กลีบดอกสีแดงรูปไข่กลับ เกสรผู้ 3 อัน ก้านชูอับเรณูสีแดงยาวพ้นกลีบดอกเล็กน้อย เกสรผู้ที่เป็นหมัน7อันมีขนาดไม่เท่ากัน ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนานกว้าง 3.5 ซม.ยาว 10 ซม.เปลือกแข็ง เมล็ดรูปขอบขนานมี 5-8 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---การให้น้ำต้องสม่ำเสมอและมีปริมาณมากในฤดูร้อน ให้น้ำน้อยลงในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออกหรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักปีละ 2-3 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อน ใช้กินเป็นผักสด -ใช้เป็นยา ถูกนำมาใช้เป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมสำหรับรักษาอาการไข้และพิษจากแอลกอฮอล์มานานแล้ว ตำรายาพื้นบ้านบันทึกว่า ยอดอ่อนของเถาขยัน ใช้ชงเป็นชา ทำให้กระชุ่มกระชวย ขยันทำงานได้ทั้งวันโดยไม่เหน็ดเหนื่อยและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยเพื่อล้างพิษและรักษาพิษของยาฆ่าแมลงในมนุษย์ -ใช้ปลูกประดับ ปัจจุบันนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับรั้ว และ ซุ้มต้นไม้ในสวนสาธารณะ ระยะออกดอก---พฤษภาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ แยกหัว สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม **การพูดคุยส่วนตัว มาปรากฎโฉมอีกครั้งในหมู่ไม้ประดับเลื้อยหลังจากอวดสรรพคุณอยู่ในหมู่พืชสมุนไพรไปแล้ว ทำไงได้ในเมื่อปัจจุบันนิยมนำต้นไม้ที่มีคุณสมบัติอื่นๆนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ นอกจากสรรหาความแปลกแล้ว มันดูดีมากนะ ที่จะอวดคุณสมบัติเฉพาะตัวเช่นสรรพคุณทางเป็นยารักษาโรคโน่นนี่นั่น **
|
|
24 เถาเอ็นอ่อน/Cryptolepis dubia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cryptolepis dubia (Burm.f.) M.R.Almeida.(2001) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2746366 ---Basionym: Cryptolepis buchanani Roem Schult.(1819) ---Cryptolepis reticulata (Roth) Wall. ex Steud.(1840) ---Nerium reticulatum Roxb.(1832) ---Periploca dubia Burm.f.(1768) ชื่อสามัญ---Wax Leaved Climber ชื่ออื่น---เครือเถาเอ็น, เครือเขาเอ็น (เชียงใหม่), เขาควาย (นครราชสีมา), เสน่งกู (บุรีรัมย์), หญ้าลิเลน (ปัตตานี), หมอตีนเป็ด (สุราษฎร์ธานี), ตีนเป็ดเครือ (ภาคเหนือ), เครือเอ็นอ่อน (ภาคอีสาน), เมื่อย, เถาเอ็นอ่อน (ภาคกลาง) ;[AYURVEDA: Krishna Saarivaa, Jambupatraa Saarivaa, Karantaa, Shyamalataa, Shyaama, Gopi, Gopavadhu, Kaalghatika.];[CHINESE: Gǔ gōu téng.];[HINDI: Kala Bel,Karanta.];[KANNADA: Medhaguli Hambu.];[MALAYALAM: Katupaalvalli, Kilipalvalli, Kattupalvalli, Palvalli, Kalipalvalli.];[MARATHI: Dudh-vel.];[SANSKRIT: Krishnasariva.];[SIDDHA/TAMIL: Maattan-kodi, Paal-Kodi, Kattupala.];[TAMIL: Pala Koti.];[TELUGU: Adavipalatiga.];[THAI: Thao en on, Khruea khao en, Khao kwai.];[VIETNAM: Dây càng cua, CâyDâycàng cua, Dâysữa.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---KWODU (Preferred name: Cryptolepis dubia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---เอเชียใต้, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ตอนใต้ของจีน Cryptolepis dubia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dr. Marselein Rusario Almeida (1939-2017) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดีย ในปีพ.ศ.2544
ที่อยู่อาศัย พบได้ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับทางตอนใต้ของจีน ในประเทศไทย มักพบขึ้นตามป่าราบหรือตามที่รกร้างทั่วทุกภาคโดยเฉพาะที่จังหวัดสระบุรี ลักษณะ เถาเอ็นอ่อนเป็นไม้เลื้อยจำพวกไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ที่ชอบขึ้นพาดพันต้นไม้อื่น เปลือกเถาเรียบสีน้ำตาลแกมดำ เปลือกแก่จะหลุดออกมาเป็นแผ่น ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวออกตรงข้าม แผ่นใบหนารูปรีขนาดใบกว้าง 3-8 ซม.ยาว 5-18 ซม.หลังใบเรียบเป็นมันและลื่น ท้องใบเรียบเป็นสีเขียวนวล ใบอ่อนมีขนปกคลุม ส่วนใบแก่ไม่มีขนปลายใบมน โคนสอบ ก้านใบยาว 0.5-1 ซม.ดอกเป็นดอกช่ออยู่ตามซอกใบ ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน มีกลีบดอก 5 กลีบโคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียวมี 5 กลีบ ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอก ยาว 6.5-10 ซม. เนื้อแข็ง ติดกันเป็นคู่ๆ ปลายแหลม ผิวลื่น เมื่อแก่ผลจะแตกออกเพียงด้านเดียว มีเมล็ดรูปทรงรี ยาว 1 ซม.สีน้ำตาล พร้อมขนปุยสีขาวติดอยู่ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด (แสงแดด 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ทนต่อดินที่ไม่ดี แต่มีการระบายน้ำได้ดี pH 4.8-7.2 การรดน้ำ---รอจนกว่าดินด้านบนจะแห้งก่อนรดน้ำอีกครั้ง การให้น้ำมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดเชื้อราที่ทำให้ตายได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เล็มใบและกิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่เสียหาย หรือกิ่งที่ตายแล้วออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย พืชสามารถทนต่อดินที่ไม่ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อน, แมลงหวี่ขาว, แมลงเกล็ด, ไรเดอร์, เพลี้ยไฟและหนอนใบไม้ รักษาศัตรูพืชด้วยการฉีดพ่นทั้งสองด้านของใบไม้และบริเวณอื่น ๆ ด้วยสบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดา ทำการรักษาซ้ำตามคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์/ระวังปัญหาเชื้อรา เช่น โรคใบจุดโรคเหี่ยว verticilliumและรากเน่า รู้จักอ้นตราย---เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์พื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการรักษาความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และโรคไขข้อ -ในประเทศไทยใช้ ราก เถา และใบที่มีรสขมเบื่อเอียนเป็นยาเย็น มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ ใช้เป็นยาฟอกเลือด -ในอินเดียมีการใช้เพื่อรักษาอัมพาตและโรคกระดูกอ่อนของเด็ก รากเป็นยาบำรุงธาตุ ยาบำรุงกำลัง แก้เบื่ออาหาร เป็นไข้ และโรคผิวหนัง ถือเป็นเครื่องฟอกเลือดและใช้กันอย่างแพร่หลายในโรคผิวหนังและโรคเรื้อน -ในประเทศจีนผู้คนใช้ทั้งต้นรักษาอาการสูญเสียมวลกระดูก หิด ผื่นสิว แผลพุพองและใช้รักษามะเร็งเต้านม -ในเวียตนามใช้ลดอาการปวด ล้างพิษ ล้างหนองและใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ -ใช้ปลูกประดับ สำหรับปัจจุบันมีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านมากขึ้นด้วย ดูลักษณะการเลื้อยพาดพันแล้วมีลีลาสวยงาม -อื่น ๆ ใช้ในสูตรยาอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพ โดยใช้เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมจากสูตรยาหลัก เมื่อต้องการอบเพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือมีอาการปวดหลัง ปวดเอว ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด และปักชำ สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
25 ถั่วดาวอินคา/Plukenetia volubilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Plukenetia volubilis L.(1753) ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-161508 ---Fragariopsis paxii Pittier.(1929) ---Plukenetia macrostyla Ule.(1909) ---Plukenetia peruviana Müll.Arg.(1865) ---Sajorium volubile (L.) Baill.(1858) ชื่อสามัญ–-Sacha inchi, Inca peanut, Sacha peanut, Mountain peanut, Supua peanut. ชื่ออื่น---ถั่วดาวอินคา, ดาวอินคา ;[FRENCH: Inca inchi, Sacha inchi.];[GERMAN: Inka-Nuss, Sacha Inchi.];[ITALIAN: arachide dell'Inca, Sacha Inchi.];[SPANISH: Sacha inche, Sacha inchi, Supua.];[THAI: Thua dao in-ca, Dao in-ca.]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE EPPO Code---PKZVO (Preferred name: Plukenetia volubilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-เปรู, เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Plukenetia' เป็นเกียรติแก่ Leonard Plukenet (1641–1706) แพทย์ชาวอังกฤษ ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์และนักจัดสวนในราชวงศ์ของสมเด็จพระราชินีแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'volubilis' หมายถึง 'การเลื้อย' ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับลักษณะการปีนของกิ่งไม้ Plukenetia volubilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกําเนิดในเขตร้อนของอเมริกาใต้ (ซูรินาเม ,เวเนซุเอลา ,โบลิเวีย ,โคลอมเบีย ,เอกวาดอร์ ,เปรูและตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล ) รวมถึงหมู่เกาะแคริบเบียน พบเติบโต และแพร่กระจายทั่วไปในพื้นที่รกร้างหรือขอบป่าของที่ราบลุ่มชื้น ที่ระดับความสูง เหนือระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 100-2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อย เถาแก่สีน้ำตาลมีแก่น ส่วนเถาอ่อนสีเขียว เลื้อยได้ยาวประมาณ 2 เมตรหรือมากกว่า เป็นพืชใบเลี้ยงคู่แต่แตกใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบสีเขียวสด และมีร่องตื้นๆตามเส้นแขนงใบ ส่วนขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ลักษณะใบเป็นรูปหัวใจ โคนใบกว้าง เว้าตรงกลางส่วนปลายใบแหลม กว้างประมาณ 8-10 ซ.ม. ยาวประมาณ 12-18 ซ.ม.ออกดอกหลังจากปลูกได้ 5 เดือน ดอกออกเป็นดอกช่อ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) และร่วมช่อเดียวกัน ในแต่ละช่อมีดอกขนาดเล็กรูปกลมสีเขียวอมเหลืองจำนวนมาก ดอกเพศผู้มีขนาดเล็ก สีขาว เรียงเป็นกระจุก ดอกเพศเมีย 2 ดอกอยู่ที่ ฐานของช่อดอก ให้ผลในเดือนที่ 8 หลังปลูก ผลเป็นแคปซูลแบ่งออกเป็นพูหรือแฉก 4-7 พู ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซ.ม ผลอ่อนสีเขียวสด มีประสีขาวกระจายทั่ว จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอมดำเมื่อสุก เปลือกจะปริแตกมองเห็นเมล็ด มีเมล็ดตามจำนวนพู รูปทรงกลมและแบนตรงกลางนูนเด่น ขนาดเมล็ดกว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 1.8-2.2 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี เติบโตได้ดีกว่าในดินที่เป็นกรด pH 4.5-6.0 ทนอุณหภูมิต่ำสุด 1.7 °C อัตราการเติบโตรวดเร็ว อายุยืน10-50 ปี การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ ถ้าให้น้ำมากเกินไปใบจะเหลืองและใบอาจร่วงหล่น จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ในช่วงฤดูหนาว ต้องการน้ำน้อยกว่ามาก รดน้ำทุกๆ 2 ถึง 3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออกหรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการให้โปร่งอยู่เสมอเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น การใส่ปุ๋ย-ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 3-4 ครั้ง ปุ๋ยทางใบ เดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงก่อนออกดอก และหลังจากเก็บผลผลิต ศัตรูพืช/โรคพืช---ที่พบบ่อย คือ ด้วง, แมงอินูน, หนอนผีเสื้อ, หนอนเจาะผล, มดคันไฟ, จิ้งหรีด และปลวก มีความไวจากผลกระทบที่เกิดจากสารเคมี ห้ามใช้ปุ๋ยเคมีและและยาฆ่าแมลงต่าง ๆให้ฉีดพ่นให้ทั่วลำต้นด้วยน้ำหมักสะเดาสด หรือผงสะเดา หากพบแมลงกินใบ/รากเน่าโคนเน่าอาจเกิดขึ้นได้ได้ ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นสำหรับใบไม้และเมล็ดที่กินได้ สายพันธุ์นี้มีการใช้มานานแล้วโดยคนพื้นเมือง แต่เพิ่งเป็นที่รู้จักกันดีและเพิ่งได้รับการปลูกฝังสำหรับน้ำมันคุณภาพสูงที่ได้จากเมล็ด มีการเพาะปลูกในเชิงพานิชย์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นประเทศไทย แต่ปัจจุบันซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดคือเปรู -ใช้กิน เมล็ดดิบกินไม่ได้ต้องคั่วใหสุกก่อนกิน เนื้อเมล็ดถั่วดาวอินคาคั่ว กินได้อร่อยเหมือนถั่วมีน้ำมันมาก ใบอ่อน และยอดอ่อนนำมาประกอบอาหารได้มีรสมันไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว-ใบแก่ตากแดดแห้งใช้ชงเป็นชาดื่ม -ใช้ปลูกประดับ ปลูกไว้เป็นไม้ประดับโชว์ผลรูปทรงแปลกแล้วยังมีประโยชน์หลายอย่าง -อื่น ๆ เมล็ดอุดมไปด้วยน้ำมัน (35 - 60%) และโปรตีน (27%) และน้ำมันอุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น โอเมก้า 3 กรดไลโนเลนิค (≈45-53% ของปริมาณไขมันทั้งหมด) และโอเมก้า - 6 กรดไลโนเลอิก (≈34-39% ของปริมาณไขมัน) -เมล็ดที่นำมาสกัดน้ำมันนำมาใช้ใช้ปรุงอาหาร ใช้สำหรับทานวดแก้ปวดเมื่อยและใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง เช่น โฟมล้างหน้า สบู่ น้ำหอม และครีมบำรุงผิว-เปลือกฝักและเปลือกเมล็ดใช้ทำปุ๋ยหมัก-นำไปอัดเป็นเชื้อเพลิงแท่งใช้เหมือนถ่าน รู้จักอันตราย---เมล็ดสดและใบดิบมีสารชีวพิษมีปริมาณ อัลคาลอยด์ ซาโปนิน และเลคติน ในปริมาณที่ประเมินได้ ซึ่งอาจเป็นพิษหากบริโภคก่อนปรุงอาหาร แต่เมื่อผ่านกระบวนการให้ความร้อนโดยการคั่วก็จะปลอดภัยสำหรับการบริโภค ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกหลังจากปลูกได้ 5 เดือน/ให้เมล็ดประมาณเดือนที่ 8 เกือบตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด (ใช้เวลาในการงอก 14 วัน) สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดระยอง
|
|
26 ก่ายกอมเครือ/Aspidopterys tomentosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aspidopterys tomentosa (Blume) A.Juss.(1840) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Hiraea tomentosa Blume.(1825) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/555480-1#synonyms ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ก่ายกอมเครือ (ภาคเหนือ); [CHINESE: Dao xin dun chi teng..];[THAI: Kaai kom khruea (Northern).]. ชื่อวงศ์---MALPIGHIACEAE EPPO Code---BZTSS (Preferred name: Aspidopterys sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ : ภาคตะวันออกของพม่า ไทย กัมพูชา เวียตนาม ลาว ภูมิภาคมาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ 'tomentosa' มีความหมายว่า "มีขน" อ้างอิงถึงกิ่งและใบ Aspidopterys tomentosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โนรา (Malpighiaceae ) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Adrien Henri Laurent de Jussieu (1797–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2383 Accepted Infraspecifics. Includes 2 Accepted Infraspecifics ;- ความหลากหลาย(Varieties) - Aspidopterys tomentosa var. hutchinsonii (Haines) R.C.Srivast.(1985).พันธุ์พื้นเมืองของ อินเดีย (โอริสสา) - Aspidopterys tomentosa var. tomentosa ถิ่นกำเนิดของพันธุ์นี้คือจีน (ยูนนาน) ถึงคาบสมุทรมาเลเซีย (ลังกาวี)
ที่อยู่อาศัย พบในพม่า ไทย กัมพูชา เวียตนาม ลาว ภูมิภาคมาเลเซีย ตรมป่าบนเนินเขาสูง ป่าโปร่ง หรือป่าไม้พุ่มของหุบเขาหรือภูเขาที่ระดับความสูง 600-1600 เมตร.ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาคที่จังหวัด เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, พิษณุโลก, ชัยภูมิ, สระบุรี, ชลบุรี, กาญจนบุรี เติบโตในบริเวณป่าดิบชื้น บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 275-2,000 เมตร ลักษณะ ก่ายกอมเครือเป็นไม้เถาเนื้อแข็งมีเนื้อไม้ ตามลำต้น กิ่งก้านและใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแดง ซึ่งจะค่อยๆ หลุดไป ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม มีรูปร่างหลายแบบ ค่อนข้างกลม รูปไข่ รูปไข่กลับ รูปใบหอก หรือรูปรี ขนาดใบกว้าง 5-14 ซม. ยาว 6-13 ซม.ปลายใบอ่อนเรียวแหลม ปลายใบแก่รูปหัวใจกลับหรือมนมีติ่งแหลม โคนมนสอบ ขอบเรียบ แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง เมื่อแห้งสีขาวนวล ด้านล่างมีขนสีเหลืองหรือน้ำตาลหนาแน่น หรือบางครั้งเกลี้ยง เส้นใบนูนเห็นเด่นชัดทางด้านล่าง ก้านใบยาว 1-4 ซม. หูใบเล็กมาก ร่วงง่าย ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ก้านช่อดอกยาว 1.5-7 ซม. มีขนสีเหลืองหรือน้ำตาลตลอดถึงแกนช่อ มีใบประดับย่อยคู่หนึ่ง เล็กมาก ปลายแหลม ติดตรงก้านดอกในตำแหน่งต่ำกว่าข้อต่อของก้านดอกเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เล็กมาก รูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายมน กลีบดอก 5 กลีบ ใหญ่กว่ากลีบเลี้ยงเล็กน้อย สีขาวหรือเหลืองอ่อน รูปขอบขนาน ปลายมน ผลมี 3 พู แตกได้เป็น 3 เสี่ยง แต่ละเสี่ยงมีปีกบางใส ปีกที่แผ่ออกไปทั้ง 2 ข้างของแต่ละเสี่ยงเป็นรูปไข่ กว้าง 1.5-3 ซม. ยาวประมาณ 2.5 ซม.ปีกตรงสันกลางเจริญออกมาเพียงเล็กน้อย เมื่อแต่ละเสี่ยงหลุดไปแล้วเหลือแกนรูปกรวยแหลมติดอยู่กับก้านของผล เมล็ดกว้างประมาณ 2 มม.ยาว 1 ซม. http://www.rspg.or.th/plants_data/plantdat/ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ เติบโตได้ในดินหลายชนิดที่มีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออก หรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการให้โปร่งอยู่เสมอเพื่อการเจริญเติบโต ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง หลังการตัดแต่งกิ่ง ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ราก ต้มน้ำหรือดองเหล้าดื่ม บำรุงกำลัง -ใช้ปลูกประดับ **การพูดคุยส่วนตัว พวกไม้ป่าพากันยกโขยงเข้าบ้านเป็นแถว เนื่องจากสรรพคุณที่โดดเด่นด้านต่าง ๆเช่นมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร ถ้ามีดอกมีดวงเข้าตามีลีลาถูกใจ ก็ไม่ยากที่จะพัฒนาเป็นไม้ประดับได้ แต่ถ้าบางต้นไม่ถูกใจก็ผ่านไปละกัน ดูเพลิน ๆไป** ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
27 ถอบแถบเครือ/Connarus semidecandrus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Connarus semidecandrus Jack.(1822) ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms ---Connarus amplifolius Pierre.(1898) ---Connarus balsahanensis Elmer.(1913) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2734439 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เครือไหลน้อย (เชียงราย); เครือหมาว้อ (หนองคาย); ขางขาว, ขางแดง, ขางน้ำครั่ง, ขี้อ้ายเครือ (ภาคเหนือ); กะลำเพาะ, จำเพาะ, ทอบแทบ (ภาคกลาง); ตองตีน, ลำเพาะ, ไม้ลำเพาะ (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); ลาโพ, หมากสง (ภาคใต้) ;[CAMBODIA: Volli pongokd (Central Khmer).];[MALAYSIA: Akar kuaya, Akar tanga burong, Akar tukor nyamok, Akar tupai tupai, Abasambor pok (Malay).];[PHILIPPINES: Kamot (Pamp.), Kamagsang-brown, Sandalino (Tag.).];[THAI: Thopthaep khruea, Torptaep kreua.];[VIETNAMESE: Dây lốp bốp.]. ชื่อวงศ์---CONNARACEAE EPPO Code---CNVSS (Preferred name: Connarus sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Connarus semidecandrus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Connaraceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2365
ที่อยู่อาศัย พบในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (พม่า ไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย) ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค โดยมักขึ้นตามป่าดิบ ป่าผลัดใบ ป่าละเมาะ ป่าแพะ ตามริมฝั่งแม่น้ำ และตามที่รกร้างว่างเปล่าที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง เจริญขึ้นพาดพันต้นไม้อื่นได้ 2-6 เมตร เถาสีน้ำตาลแดงเปลือกเป็นตุ่มเล็กๆทั่วเถา ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปใบหอกใบย่อย 3-7 ใบ กว้าง 2-7 ซม.ยาว 4-20 ซม.สีเขียวเข้ม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาวได้ถึง 30 ซม.กลีบดอกสีขาวเมื่อเริ่มบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวแกมน้ำตาลอ่อน ผลเป็นกระเปาะ รูปทรงกระบอกเบี้ยวและสั้น มีสันเล็กน้อย ไม่มีเนื้อ มีกลีบเลี้ยงติดคงทน ก้านผลยาวประมาณ 1.5 ซม.ผลมีขนาดกว้าง 2-3 ซม.ความยาว 4.5-6.5 ซม.ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ปริแตกเมื่อยังไม่แห้ง ผลแก่จัดจะแตกออกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดสีดำ 1 เมล็ด มีเยื่อหุ้มสีเหลืองส้มที่โคนเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ เติบโตได้ในดินหลายชนิดที่มีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตายหรือเสียหายออก หรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการให้โปร่งอยู่เสมอเพื่อการเจริญเติบโต ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง หลังการตัดแต่งกิ่ง ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนกินเป็นผักสด -ใช้เป็นยา ในประเทศไทย ใช้ทั้งต้นเป็นยาแก้พิษตานซาง ใช้เป็นยาขับพยาธิ ทั้งต้นและใบมีสรรพคุณเป็นยาระบาย ใช้เป็นยาถ่ายเสมหะ รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ ใช้ตำพอกแก้หิด ใช้ใบถอบแถบเครือ 3 ใบ ใส่เกลือต้มให้เด็กกินเล็กน้อยเป็นยาแก้ท้องผูก -รากใช้สำหรับบาดทะยัก ใบยาต้มใช้สำหรับอาการเจ็บหน้าอก รากใช้แก้ไข้ ใบและลำต้นใช้เป็นยาระบายและยาฆ่าแมลง -ในมาเลเซีย ในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ รากใช้รักษาไข้ -ในอินเดีย ยาต้มรากใช้สำหรับอาการจุกเสียด -ในฟิลิปปินส์ ยาต้มจากรากสดหรือแห้งใช้เป็นยาบำรุงประจำเดือนและเป็นยาบำรุงมดลูก ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มิถุนายน/เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ แยกหน่อ สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
28 น้ำใจใคร่/Olax scandens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Olax psittacorum (Lam.) Vahl.(1805) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/169847870 ---Basionym: Fissilia psittacorum Lam.(1792) ---Olax breonii Baill.(1862) ---Olax thouarsiana Baill.(1862) ---Turraea thouarsiana (Baill.) Cavaco & Keraudren.(1955) ชื่อสามัญ---Sprawling olax. ชื่ออื่น---กระดอกอก (สุพรรณบุรี); กระเดาะ (สงขลา); กระทอก, ชักกระทอก (ประจวบคีรีขันธ์); น้ำใจใคร่ (ราชบุรี ,กาญจนบุรี); นางจุม นางชม (ภาคเหนือ); เยี่ยวงัว (อุดรธานี); หญ้าถลกบาตร (พิษณุโลก, อุตรดิตถ์); กะทกรก, กะทกรกต้น (ภาคกลาง); ควยเซียก (นครราชสีมา); ผักรูด (สุราษฎร์ธานี) ;[BENGALI: Koko-aru.];[FRENCH: Bois d'effort, Olace des perroquets, Bois de parroquet.];[HINDI: Dheniani.];[INDONESIA: Wangon (Java), Puluur (Madura).];[LOAS: 'Ii thôk, Kh'ôôy sièk.];[MARATHI: Harduli.];[MALATSIA: Meribut, Kodak acing.];[REUNION: Bois d'effort, Corce rouge.];[TAMIL: Kataliranci.];[TELUGU: Turakavepa.];[THAI: Katokrok (central); Phakrut (southern); Nangchom (northern); Nam jai khrai, Kra dor kok, Kra tok.];[VIETNAM: Mao trật, Dương đầu tà.]. ชื่อวงศ์---OLACACEAE EPPO Code---OLXPS (Preferred name: Olax psittacorum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย ศรีลังกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Olax' = การดมกลิ่น อ้างอิงถึงธรรมชาติที่มีกลิ่นหอมของพืช ; ชื่อสายพันธุ์ 'psittacorum' มาจากภาษากรีก 'psittakos' = ของนกแก้ว Olax psittacorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์น้ำใจใคร่ (Olacaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ในปี พ.ศ.2348
ที่อยู่อาศัย มีการแพร่กระจายในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงการขยายจากอินเดียและศรีลังกาผ่านพม่าและอินโดจีนไปยังอินโดนีเซีย (ตะวันออกไปจนถึงชวา ซุนดาน้อย เรอูนียงและมอริเชียส) พบขึ้นในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าสนเขา ที่ลุ่มตามขอบพรุ เขตรอยต่อระหว่างป่าชายเลนกับป่าชายหาด บางครั้งพบตามชายคลองที่น้ำทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราว พบที่ระดับความสูง 300- 1,100 เมตร ลักษณะ น้ำใจใคร่เป็นไม้เถาเลื้อยพันต้นอื่นมีรากเบียนดูดอาหารจากรากไม้อื่น ลำต้นทอดยาวได้ไกล 2-20 เมตร เปลือกเรียบสีเขียวเข้มถึงเทา กิ่งแขนงมักออกสลับตามแนวระนาบและเป็นหนามแข็งโค้งงอขนาดใหญ่ ตามลำต้นหรือกิ่งแก่ ส่วนต่างๆที่ยังอ่อนมีขนสั้นนุ่มปกคลุมใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว แผ่นใบรีรูปหอกถึงรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 3-6 ซม.ยาว 5-12ซม.โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบอ่อนมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ใบแก่ผิวเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนังนุ่ม ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีก้านแยกแขนงสั้นๆ เป็นช่อเดี่ยวหรือ 2-3 ช่อ ออกตั้งเฉียงขึ้นตามซอกใบยาว 0.5-3.5 ซม.ดอกสมบูรณ์เพศ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก สีขาว กลิ่นหอม ผลแบบผลเมล็ดเดียวแข็ง รูปทรงไข่ถึงกลมมน สีเขียวผลสุกสีเหลือง ขนาดกว้าง 0.8-1ซม.ยาว 1-1.5 ซม.ปลาย ผลเป็นติ่งแหลมอ่อนตัวผลถูกหุ้มแน่นด้วยถ้วยกลีบเลี้ยงสีขาวคล้ายเยื่อ ประมาณ 2/3 ของตัวผลส่วนปลายเปิด ผลสุกสีเหลืองถึงแสดเป็นมันวาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา เนื้อไม้มีรสฝาดใช้แก้พิษเบื่อเมา รักษาโรคตาแดง รักษาบาดแผล แก้อาการปวดเมื่อย -ใบตำพอกศีรษะ แก้หวัดคัดจมูก ปวดศีรษะ ใบใช้เป็นยาขับพยาธิ พืชที่เรียกกะทกรกในตำรายาโบราณ มักหมายถึงพืชชนิดนี้ -ในการแพทย์อินเดียโบราณในอายุรเวทใช้แบบดั้งเดิมใช้โดยชุมชนชนเผ่าของ 'อินเดีย' เพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ความเจ็บปวด โรคสะเก็ดเงิน แผลในปาก โรคโลหิตจาง อาการท้องผูก และโรคเบาหวาน ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย การลดลงอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ ขอบเขต และ/หรือคุณภาพของที่อยู่อาศัย เพิ่งได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN Red List of Threatened Species ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต' ในปี 1998 สถานะการอนุรักษ์---CR- Critical Endangered - IUCN Red List of Threatened Species 1998 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด สถานที่่ถ่ายภาพ---หลังวัดเขาพระ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี (18/9/2009) update 2/8/2020, 31/12/22
|
|
29 อวดเชือก/Combretum latifolium
[kom-BREE-tum] [lat-ee-FOH-lee-um or lat-ih-FOH-lee-um]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum latifolium Blume.(1825) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms. ---Combretum extensum Roxb. ex G.Don.(1827) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2732728 ชื่อสามัญ---Large Leaved Climbing Bushwillow. ชื่ออื่น---ถั่วแป๋เถา (เชียงใหม่), แกดำ (หนองคาย), แหนเหลือง (กาญจนบุรี), ขมิ้นเครือ (ปราจีนบุรี, ภาคอีสาน), มันแดง แหนเครือ (ภาคเหนือ), เครืออวดเชือก ;[CHINESE: Kuo ye feng che zi.];[KANNADA: Kojambe balli.];[KONKONI: Gamgoli.];[MALAYALAM: Manna-valli.];[MARATHI: Motha piluk.];[THAI: Chueak, Man daeng (Peninsular); Kae dam, Thua pae thao, Haen lueang.];[VIETNAM: Cây QuỳnhTàu, QuỳnhTàu.]. ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'latifolium' จากภาษาละติน =ใบกว้าง อ้างอิงถึงใบของพืช Combretum latifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ในเอเซียพบขึ้นกระจายในประเทศจีน (ยูนนาน) บังคลาเทศ กัมพูชา อินเดีย (รวมถึงหมู่เกาะอันดามัน), อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, นิวกินี, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม ที่ระดับความสูง 500-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคตามที่เปิดใกล้ริมลำธารที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ 600 เมตร ลักษณะ เป็น ไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยไกลได้ถึง 5-25 เมตร ขึ้นคลุมตามยอดไม้ใหญ่ เปลือกต้นมีช่องอากาศเป็นลายขีดตามยาว กิ่งอ่อนมีขนเล็กน้อย สีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปรีกว้าง 5-9 ซม.ยาวประมาณ 8-12 ซม.โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน เนื้อใบหนาและเหนียว ดอกเป็นดอกช่อ ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อยาวประมาณ 5-10 ซ.ม ดอกย่อยสีขาวปนเขียวหรือเหลืองอ่อน กลีบดอก 4 กลีบ ลักษณะค่อนข้างกลมเกลี้ยง ขนาด 2 ซม.และมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลรูปรีขนาด 2.5-4 ซม.มี 4 ปีก สีน้ำตาลอ่อน มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6-8ชั่วโมงต่อวัน) และแสงแดดส่องถึงในที่ร่มบางส่วน เจริญในดินทราย ดินเหนียว หรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี ค่าpH ของดินต้องอยู่ในช่วงตั้งแต่เป็นกรดถึงเป็นกลาง ชื้นแต่ระบายน้ำได้ดี และอุดมไปด้วยวัตถุอินทรีย์ การรดน้ำ---ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง อย่างไรก็ตาม ความถี่ของการรดน้ำจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ รดน้ำให้ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งตาย กิ่งที่เป็นโรค หรือเสียหายออก หรือตัดแต่งกิ่งตามความต้องการให้โปร่งอยู่เสมอเพื่อการเจริญเติบโต ในช่วง ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงที่ออกดอกออกผล เนื่องจากจะส่งเสริมการแตกใบมากกว่าการสร้างดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้สบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดาในกรณีที่มีแมลงหรือโรคเข้าทำลาย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนกินได้ -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณทางสมุนไพร บำรุงโลหิตและช่วยให้เจริญอาหาร เนื้อไม้ใช้เป็นยาสมานลำไส้ เครือหรือทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดท้องจากท้องเสีย รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษากามโรค -รากมีสรรพคุณเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี -ในเวียตนามใช้ ผล กิ่ง และใบ รักษาอาการปวดเมื่อย ปวดหลังส่วนล่าง โรคไต -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับดอกสวยงามและมีกลิ่นหอม -อื่น ๆเถามีความหนาและแข็งมากใช้เผาทำถ่านคุณภาพดี -สารสกัดด้วยน้ำของลำต้นมีศักยภาพในการใช้เป็นสีย้อมสำหรับย้อมผ้าฝ้าย ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด ปักชำเถา สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
30 ยางน่องเถา/Strophanthus caudatu
ชื่อวิทยาศาสตร์---Strophanthus caudatus (L.) Kurz.(1877) ชื่อพ้อง---Has 27 Synonyms ---Nerium caudatum (L.) Lam.(1792) ---Echites caudata L.(1767) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-198201 ชื่อสามัญ---Twisted cord flower. ชื่ออื่น--- เครืองน่อง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม่ฮ่องสอน); ตะเกาะแบเวาะ (มลายู ภาคใต้); น่อง (ภาคกลาง นครราชสีมา); บานบุรีป่า (ภาคใต้); ยางน่องเครือ (อุบลราชธานี); ยางน่องเถา (จันทบุรี ปราจีนบุรี) ;[CHINESE: Luǎ nè yáng jiǎo ǎo.];[MALAYSIA: Dudur kijang.];[PHILIPPINES: Sarasara (Ilk.); Baging (Bataan).];[THAI: Yaang nong thao, Yaang nong khruea.];[VIETNAM: Sung trau, Dương giác nữu, Cây sừng bò.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---SHTCA (Preferred name: Strophanthus caudatus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซียอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และนิวกินี Strophanthus caudatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ (กวางสี)ผ่านอินโดจีน (รวมทั้งหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ) ไปมาเลเซียและนิวกินี มักอยู่ในป่าที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 900 เมตร ในประเทศไทยพบได้ตามธรรมชาติบริเวณขอบป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้นโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือแถบจังหวัดนครพนม อุบลราชธานี นครราชสีมา ภาคตะวันออกและภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มแกมไม้เถา สูง 1-3 เมตร หรืออาจมีความยาวของเถาได้ 8 เมตร ถึง 12 เมตร ลำต้นกลมมีน้ำยางขาว ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรี รูปไข่กลับหรือรูปไข่ ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว เมื่อแรกบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดง ปลายกลีบสีเหลืองแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงและม่วง ระยางค์รูปมงกุฎสีแดง แล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วง ผลเป็นฝักคู่รูปทรงกระบอกสีเขียวอ่อนขนาดใหญ่ กว้าง2-5 ซม.ยาว 10-30 ซม.เมื่อแก่จัดสีน้ำตาลแดง และแตกออก เมล็ดสีน้ำตาลมีขนสีขาว ปลิวไปจามลม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์---พันธุ์ไม้ชนิดนี้สามารถเก็บได้จากป่า ชาวบ้านใช้ ยางจากต้น ผสมกับยาพิษชนิดอื่น ทาลูกหน้าไม้ล่าสัตว์ หรือใช้เป็นยาเบื่อปลา และสมารถพบเห็นนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพราะดอกที่สวยงาม -ใช้เป็นยา เมล็ดที่ใช้ในท้องถิ่นเป็นยากระตุ้นหัวใจอย่างแรง ไม่ควรนำมาใช้เอง ในเวียดนามทุกส่วนของพืชใช้สำหรับรักษาความดันโลหิตสูง -อื่น ๆใช้แบบดั้งเดิมในฟิลิปปินส์ ใช้เปลือกเป็นส่วนผสมของพิษลูกศรที่มีประสิทธิภาพ-ในเวียตนามใช้เป็นยาเบื่อปลา รู้จักอันตราย---น้ำยางหรือเปลือกมีคาร์ดิแอกไกลโคไซด์ (Cardiac glycoside) จึงทำให้เป็นพิษต่อหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง เต้นไม่เป็นจังหวะและหัวใจวายตาย ถ้าโดนพิษจากยางน่องเครือให้ใช้เถาย่านางแดงหรือรากรางจืดฝนกับมะนาวกินและทา ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
31 โล่ติ๊น/Derris elliptica
[der·ris] [el·lip·ti·cal]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Derris elliptica (Roxb.) Benth.(1860) ชื่อพ้อง---Has 21 Synonyms. ---Basionym: Galedupa elliptica (Wall.) Roxb.(1832) ---Millettia piscatoria Merr.(1905) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:491300-1#synonyms ชื่อสามัญ---Tuba Root, Derris, Derris Root, Oiltree, Poison vine, East Indian Fish Poison. ชื่ออื่น---กะลำเพาะ (เพชรบุรี), อวดน้ำ (สุราษฎร์ธานี), ไหลน้ำ ไกล เครือไกลน้ำ (ภาคเหนือ), โพตะโกส้า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), โล่ติ๊น ;[BRUNEI: Tuba.];[CAMBODIA: Ca bia, K’biehs, Volli kbies (Central Khmer).];[CHINESE: Du yu teng, Yu teng, Nan ya yu teng, Mao yu teng.];[DUTCH: Derriswortel.];[FIJIAN: Nduva, Duva ni Vavalgai.];[FRENCH: Touba.];[GERMAN: Derris-wurzel, Tuba-wurzel.];[INDONESIAN: Tuba, Oyod tungkul, Tuwa leteng.];[JAPANESE: Derisu, haitoba, shirotoba, toba.];[MALAYSIA: Akar tuba, Tuba (Borneo), Tuba benar.];[MYANMAR: Hon.];[PHILIPPINES: Tubli (P. Bis., Tag., Buk.); Bauit, Tibanglan, Tugli, Tugling-pula (Tag.); Tuba (Malay).];[PORTUGUESE: Derris.];[SPANISH: Derris.];[THAI: Hang lai daeng, Ka-lam-pho, Kalamphoh, Khreua-lai-nam, Pho-ta-ko-sa, Uat-nam, Lain am.];[VIETNAMESE: Day thuos cas.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE–PAPILIONOIDEAE) EPPO Code---DRREL (Preferred name: Derris elliptica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'elliptica' = รูปไข่ อ้างอิงถึงใบไม้ Derris elliptica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2403
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน สามารถพบได้ในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกาเขตร้อนและเขตอบอุ่น อเมริกากลาง หมู่เกาะอินเดียตะวันตกและภูมิภาคแปซิฟิก ปัจจุบันถูกระบุว่าเป็นพืชรุกรานในฟิจิ เฟรนช์โปลินีเซีย ฮาวาย ปาเลา ญี่ปุ่น และคิวบา พบที่ที่ระดับความสูง (-1,500 เมตร)ในประเทศไทยพบ ตามที่ราบต่ำที่มีฝนตกชุก ในภาคเหนือและภาคกลาง โดยมากจะพบขึ้นตามบริเวณแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนทางภาคกลางจะพบได้มากที่จังหวัดปราจีนบุรี จันทบุรี ชลบุรี และในท้องที่ใกล้เคียง ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งมีเนื้อไม้ขนาดใหญ่ รากมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 2 ซม.และยาวมากกว่า 2 เมตร เลื้อยได้ไกล 5-12 เมตร มีรูอากาศสีขาวกระจายตามกิ่งและเถา กิ่งอ่อน กิ่งใบ และก้านใบมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น เถาหรือลำต้นส่วนที่แก่เป็นสีน้ำตาลปนแดงเกลี้ยง แต่จะเริ่มมีสีเขียวเห็นได้ชัดตรงปล้องที่อยู่ก่อนถึงยอดประมาณ 2-3 ปล้อง ใบใหม่มีสีแดง แต่เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) เรียงสลับป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน มีใบย่อยประมาณ 9-13 ใบ ใบย่อยรูปไข่กลับ หรือรูปไข่กลับแกมขอบขนานกว้าง 5-7 ซม.ยาว10-20 ซม.ด้านล่างใบสีเขียวซีดมาก ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกแต่ละช่อมีความยาวประมาณ 22.5-30 ซม.ดอกย่อยรูปถั่วกลีบดอกสีชมพูแกมม่วง มีที่เป็นสีขาวเหมือนกันแต่ก็หายาก ผลเป็นฝักรูปขอบขนานถึงรูปใบหอก กว้าง 1.7-2 ซม. ยาว 3.5-8.5 ซม.มีขนเมื่อยังอ่อน ตะเข็บบนแผ่เป็นปีกกว้าง 2 มม.มีเมล็ด 1-4 เมล็ด สีเขียวมะกอก สีน้ำตาลหรือสีดำ [พืชอาจเริ่มออกดอกเมื่ออายุ 18 เดือน ฝักจะสุกประมาณ 4 เดือนหลังการปฏิสนธิ (de Padua et al., 1999 ) เห็นได้ชัดว่าในการเพาะปลูกออกผลได้ยาก (Orwa et al., 2009)..] ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแหล่งที่อยู่อาศัยที่ชื้นมากในตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วง 24°C ถึง 30°C (แต่ทนได้ ถึง 36°C ) ขึ้นได้ดีในดินหลายชนิดตั้งแต่ดินทรายหยาบไปจนถึงดินเหนียวจัดที่มีค่า pH อยู่ในช่วง 4.3-8.6 ทนแล้งได้นานถึง 4 เดือนแต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนรดน้ำเมื่อดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอก ตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก สามารถเพิ่มปุ๋ยหมักลงในดินได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงเกล็ด ด้วงเจาะลำต้น ด้วงกว่าง/โรคใบไหม้, Erythricium Salmonicolor (โรคสีชมพู) ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในประเทศไทย รากใช้เป็นยาถ่ายพยาธิและลำต้นเป็นยาบำรุงโลหิต เถาตากแห้ง นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาถ่ายลม ถ่ายเสมหะ ถ่ายโลหิต และถ่ายเส้นเอ็น ทำให้เส้นเอ็นหย่อน เถาผสมกับยาอื่นปรุงเป็นยาแก้ประจำเดือนเป็นลิ่มหรือเป็นก้อน และเป็นยาขับประจำเดือน -ในการแพทย์แผนเอเชียใช้ในการรักษาโรคเรื้อน อาการคัน และฝีในฐานะที่เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อ -ใช้ปลูกประดับ ใช้ในงานภูมิทัศน์ ปลูกเป็นไม้เลื้อยขึ้นซุ้มในสวนสาธารณะ และสวนธรรมชาติ
Pictures: http://luirig.altervista.org/pics/ -อืน ๆฆ่าแมลงจาก Rotenone ด้วยราก - ความเป็นพิษ / บันทึกทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยโบราณ รากถูกใช้เป็นพิษกับปลาในฟิลิปปินส์ หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ และคาบสมุทรมลายู ชาวจีนและชาวมาเลย์ใช้รากต้มเป็นยาฆ่าแมลง ใช้ยางไม้ในเกาะบอร์เนียวเป็นส่วนผสมของพิษลูกดอกและลูกศร Kayan หรือพิษลูกดอกสำหรับล่าสัตว์ -พืชชนิดนี้มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญคือโรติโนน (Rotenone) พบมากในราก มีฤทธิ์ฆ่าแมลงโดยการกินหรือการสัมผัสตัว ใช้รากกำจัดหนอนแมลงวัน ฆ่าเหา หิด เรือด แมลง เบื่อปลา โดยนำราก (ใช้ได้ทั้งรากแห้งและรากสด) นำมาทุบแช่น้ำใช้เฉพาะส่วนน้ำ พิษสลายตัวง่ายเมื่อถูกความร้อนหรือแสงแดด ไม่มีพิษตกค้าง เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ และไม่เป็นพิษต่อพืชและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม -Derris elliptica ส่วนใหญ่ปลูกในเขตร้อนของโลก เพื่อใช้รากของมันเป็นหลัก รากผงถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นแหล่งของ Rotenone ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกทางธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพแทนยาฆ่าแมลงที่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ทั่วไปในพืชสวนและเกษตรกรรม ( Duke, 1981 ; de Padua et al., 1999 ; Orwa et al., 2009 ; Flora ของ China Editorial Committee, 2018 ). รู้จักอันตราย---การกินหรือสูดดมโล่ติ๊นหรือ Rotenone เข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ครั้งแรกการหายใจเพิ่มขึ้น แต่ต่อมาการหายใจลดลง ตายเนื่องจากการหายใจหยุดชะงัก และการชัก ตับและไตถูกทำลายได้ อาการพิษเกิดขึ้นภายหลัง 2-3 นาที หรือ 2-3 ชั่วโมง และตายในเวลา 5 ชั่วโมง ถึง 10 วัน ขนาดของผงรากโล่ติ๊นที่ทำให้ผู้ใหญ่ตายได้คือ 2-6.5 กรัม สำคัญ---โรทีโนนเป็นหนึ่งในสารกำจัดศัตรูพืชเพียงสี่ชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการทำเกษตรอินทรีย์โดย Soil Association ซึ่งประเมินสารตามแหล่งกำเนิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการคงอยู่ในฐานะสารตกค้าง ปัจจุบัน การใช้เดอร์ริสเป็นยาฆ่าแมลงได้ลดลงอย่างมากจากระดับเดิม อาจเป็นเพราะการศึกษาที่เชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน การอนุมัติอย่างเป็นทางการสำหรับการใช้เดอร์ริสถูกเพิกถอนในปี 2551 หมายความว่าการจัดเก็บหรือใช้เป็นยาฆ่าแมลงในสหราชอาณาจักรเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ภัยคุกคาม---เนื่องจากยังไม่ได้รับการประเมินอนุกรมวิธานนี้ จัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท ไม่ได้รับการประเมิน สถานะการอนุรักษ์---NE - Not Evaluated - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/มิถุนายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
32 โคคลาน/Mallotus repandus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Mallotus repandus (Willd.) Mull.Arg.(1865) ชื่อพ้อง---Has 28 synonyms ---Basionym: Croton repandus Willd.(1803) ---Trewia nudifolia Hance.(1878) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-119060 ชื่อสามัญ---Thavatti, Fishberry indian berry, Creeping mallotus, Creepy mallotus. ชื่ออื่น---มะปอบเครือ (เหนือ), กุระเปี้ยะ (ปัตตานี),โพคาน (ชัยนาท), แนวน้ำ (ประจวบคีรีขันธ์), เยี่ยวแมว (ใต้), เยี่ยวแมวเถา (นราธิวาส), มะกายเครือ,โคคลาน (ภาคกลาง).;[AUSTRALIA: Climbing mallotus.];[BENGALI: Gunti, Jhante.];[CAMBODIA: Chumpu préi, Champou prei, Mtehs barang (Khmer).];[CHINESE: Shi yan feng, Káng xiāng téng, Pāngāo téng, Shān lóngyǎn, Huángdòu shù.];[HINDI: Akoos.];[HONG KONG: Shi yan feng.];[INDIA: Kanda-veltoo (Teling, India); Watta-tali.];[INDONESIA: Nono nuifmetan (Dawan); Bina (Rote); Keterakaba, Ikur wase, Rowe (Lesser Sunda Isl.); Katjoe-kilang, Merangan, Sindukan, Toekal takal (Java).];[LAOS: Ma-pawp-kua.];[MALAYALAM: Thavatti.];[MALAYSIA: Ku-ko-mu-ya (Malay).];[MYANMAR: Ngahlaing-bo, Taw-thidin-nww.];[NEW GUINEA: Ngontoen.];[PHILIPPINES: Panuálan (Tagalog).]; Adgao, Ambao, Tagbanua, Tapin.]; [TAIWAN: Tǒng jiāo téng.];[THAI: Makai khruea, Mapop khruea (Northern), Makai khruea, Kho klaan, Pho khan, Yiao maeo thao .]. ชื่อวงศ์--- EUPHORBIACEAE EPPO Code---MLLSS (Preferred name: Mallotus sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนตอนใต้ ปาปัวเซีย นิวคาลิโดเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'repandus'=ขอบใบหยัก อ้างอิงถึงใบไม้ Mallotus repandus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2408
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของจีน (ไหหลำ ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง เหอเป่ย์ เจียงซู เทียนจิน ปักกิ่ง ยูนนาน เหอหนาน เน่ยมองโกล เซี่ยงไฮ้ ทิเบต [หรือซีซาง] เจ้อเจียง หูเป่ย์ กว่างซี หูหนาน ซานซี อานฮุย); ฮ่องกง;ไต้หวัน; อินเดีย (เกาะนิโคบาร์, เกาะอันดามัน, รัฐอัสสัม); ศรีลังกา; เนปาล; บังคลาเทศ; ภูฏาน ; บรูไนดารุสซาลาม; พม่า; ลาว; ไทย; กัมพูชา; เวียดนาม; มาเลเซีย (ซาบาห์ ซาราวัก คาบสมุทรมาเลเซีย); อินโดนีเซีย (สุมาตรา, สุลาเวสี, มาลูกู, ชวา, หมู่เกาะซุนดาน้อย, ปาปัว, กาลิมันตัน); นิวแคลิโดเนีย; ปาปัวนิวกินี ; ฟิลิปปินส์; หมู่เกาะโซโลมอน; ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) ในธรรมชาติมักพบได้ตามป่าพรุ ป่าโปร่งที่โล่งแจ้ง ที่มีความสูงจากน้ำทะเลตั้งแต่ 100-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบตามชายป่าดิบชื้นของทุกภาค แต่จะพบมากที่สุด ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคใต้ และภาคกลางบางจังหวัด ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยเนื้อแข็งหรือเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น สูงประมาณ 5-15 เมตร ลำต้นอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 22 ซม.ต้นแก่ของโคคลาน เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ตามลำต้นจะมีหนามยาวประมาณ 7-12 ซ.ม.ส่วนกิ่งอ่อนและช่อดอกมีขนนุ่มรูปดาว ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยม หรือ รูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดของใบ กว้าง 5-8 ซ.ม.ยาว 6-10 ซ.ม.ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบแหลม แผ่นใบบาง หลังใบเรียบ ท้องใบมีขนสั้นนุ่มสีเหลืองรูปดาวหนาแน่น ดอกออกเป็นช่อกระจุกบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง มีดอกย่อยหลายดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) สีขาวอมเหลือง โดยช่อดอกผู้จะออกที่ปลายยอด ออกรวมกันเป็นกระจุกประมาณ 2-5 ดอก ยาวประมาณ 5-15 ซ.ม.ส่วนช่อดอกเมียจะสั้นกว่า ยาวประมาณ 5-8 ซ.ม. ผลรูปทรงกลมแบบแคปซูลมี 2 ห้อง แห้งแล้วแตก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผล ประมาณ 1-1.2 ซม.สีน้ำตาลเหลืองและมีขนนุ่ม เมล็ดรูปกึ่งทรงกลมสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี pH เป็นกลางหรือเป็นกรดอ่อน ๆ ระหว่าง 5.0 ถึง 7.0 นั้นดีที่สุด แม้ว่าจะทำงานได้ดีในดินที่เป็นด่างเล็กน้อยเช่นกัน การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนรดน้ำเมื่อดินแห้ง ในช่วงฤดูหนาวรดน้ำเฉพาะเมื่อพืชแสดงอาการเหี่ยว การตัดแต่งกิ่ง---ในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ ตัดส่วนที่เป็นกิ่งไม้ออกเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตใหม่ หรือตัดแต่งตามความต้องการเพื่อรักษารูปทรง ควบคุมขนาดและการเจริญเติบโตของพืช สามมารถตัดแต่งเป็นไม้พุ่มได้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีสรรพคุณทางเป็นสมุนไพร แก่นหรือเนื้อไม้โคคลานใช้ต้มน้ำดื่ม ช่วยชูกำลังอย่างดี นำไปเข้ายาให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ดื่มให้มีเรี่ยวแรงได้ -ใช้ เถา แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ครั่นตัว เส้นตึง แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงโลหิต แก้พิษภายใน เข้ายาแก้โรคมะเร็ง -ตำรายาพื้นบ้าน อ.กุดชุม จ.ยโสธร ใช้โคคลานเป็นส่วนประกอบของยาที่ชื่อ “ตำรับยาโคคลาน” ประกอบด้วย เถาโคคลาน 2 ส่วน ทองพันชั่ง โด่ไม่รู้ล้ม และมะตูม อย่างละ 1 ส่วน เตรียมเป็นยาต้มหรือยาเม็ด ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ และแก้ปวดกระดูก -ชาวไทยอีสานนำไปต้มกับทองพันชั่งและโด่ไม่รู้ล้ม ใช้น้ำดื่มแก้ปวดเมื่อย -เปลือกเถาไม่มีกลิ่น มีสารกลุ่มเทอร์พีน มีฤทธิ์ต้านเชื้อเริมที่ริมฝีปาก ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดพิษต่อตับ ต้านการเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ -อื่น ๆบนเกาะ Rote ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ไม้ของพืชชนิดนี้ เป็นหนึ่งในสองชนิดที่ใช้ทำลูกระนาดสำหรับ meko ai ( ระนาดที่มีลูกระนาดทำจากไม้) รู้จักอันตราย---Euphorbiaceae ทั้งหมดเป็นพิษต่อมนุษย์ และเป็นพิษต่อสุนัขและแมว ระดับความเป็นพิษในพืชจะแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/มิถุนายน-กันยายน ฃยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง **การพูดคุยส่วนตัว จากรูปบนสุดขวามือตัดแต่งเลี้ยงเป็นไม้พุ่ม ส่วนรูปซ้ายมือปลูกขึ้นซุ้มเป็นไม้เลื้อย** สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
33 สวาด/Caesalpinia bonduc
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caesalpinia bonduc (L.) Roxb.(1824) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-927 ---Basionym: Guilandina bonduc L.(1753) ---Caesalpinia bonducella (L.) Fleming.(1810) ชื่อสามัญ---Knicker nut, Nickernut, Grey Nickers, Physic-Nut, Fever-Nut, Bonduc nut, Febrifuge Nut, Sea Pearl, Molucca Bean, Yellow Nicker, Guilandina Seed, Sea Pod, Mysore Thorn, beach nicker, Divi-divi, Wait-a- while. ชื่ออื่น---หวาด, บ่าขี้แฮด (เชียงใหม่), หวาด, ตามั้ด, มะกาเลิง (ภาคใต้), สวาด (ภาคกลาง), มะกาเล็ง (เงี้ยว-เชียงใหม่), ดามั้ด (มลายู-สตูล) ;[AFRIKAANS: Knitkerjie.];[ARABIC: Akit-makit, Banduc, Bunduq hindi.];[ASSAMESE: Letai-goch, Letaguti-goch, Letaguti.];[AUSTRALIA: Grey nickerbean.];[AYURVEDA: Kuberaksha.];[BENGALI: Natakaranja.];[BRAZIL: Carnica, Juquirionano.];[CHINESE: Ci guo su mu.];[CUBA: Mate amarillo, Mate gris.];[FRENCH: Bonduc, Cadoc, Cadoque, Cassie, Cniquier, Yeux de bourrique, Yeux de chat.];[GERMAN: Kugelstrauch, Molukkenbohne.];[HAITI: Nickel quinine.];[HAWAII: Hihikolo, Kakalaioa.];[HINDI: Putikaranj, Panshul, Gajga, Kat Karanj, Putik, Kat-kaleji, Kat-karan.];[INDONESIA: Kemrunggi (Javanese); Areuy mata hiyang (Sundanese); Kate-kate (Ternate).];[JAMAICA: Grey nickel, Grey nicker.];[JAPANESE: Sirotuku.];[KANNADA: Gejjuga.];[MADAGASCAR: Vatolalaka.];[MALAYALAM: Kazhanchikkuru, Kazhanchi, Kalimarakam, Kazhanji.];[MALAYSIA: Gorek, Kelichi, Tinglur (Java).];[MARATHI: Sagargoti, Katukaranja.];[PAKISTAN: Katkaranj, Khayah-i-iblis.];[PAPUA NEW GUINEA: Kurere.];[PHILIPPINES: Kalumbibit (Tagalog); Sabinit (Bikol); Singor (Iloko); Kamaunggi (Sul.).];[PORTUGUESE: Hidó-hidó, Noz de bonduque, Silva-da-praia.];[SANSKRIT: Puti, Raktakaranjavruksha, Angarhavallari, Putikaranja.];[SINHALESE: Kalu vavuletiya, Kumburu wel, Wael kumburu.];[SPANISH: Mate de costa, Matojo de playa, Ojo de Venado, Semilla del pasmo.];[SWAHILI: Komwe.];[TAMIL: Kaccuram, Kalarci, Kazharchikkaai, Vajrapijam, Kalichikai.];[TELUGU: Yakshakshi, Sukajambuka, Gatstsa.];[THAI: Sawad, Waat, Ba khee haad.];[URDU: Karanja.];[USA: Nicker-nut caesalpinia, Yellow nickers.];[VIETNAMESE: Điệp mắt mèo, Móc mèo.]. ชื่อวงศ์ ---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIODEAE) EPPO Code---CAEBO (Preferred name: Caesalpinia bonduc.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---Pantropical. นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caesalpinia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ แพทย์ และนักปรัชญา ชาวอิตาลี Andrea Cesalpino (1519-1603) Caesalpinia bonduc เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย กระจายกว้างขวางทั่วเขตร้อน ทวีปเอเซียพบทั่วเนปาล สิกขิม อินเดีย ศรีลังกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนใต้ของจีน ปาปัว นิวกินี พบขึ้นตามริมแม่น้ำลาธารในป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะใกล้ทะเลป่าโปร่งทั่วไปและตามชายหาดหรือแนวหลังป่าชายเลน ที่ระดับความสูงถึง 800 เมตร ลักษณะ สวาดเป็นไม้เถาเลื้อยมีหนาม พาดเลื้อย ยาว 5-15 เมตร ลำต้นกิ่งและแกนช่อใบ มีขนสั้นนุ่มและหนามงองุ้มรูปตะขอสั้น คล้ายหนามกุหลาบปกคลุม ใบ ประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (Bipinnate) ปลายคู่ (Paripinnate) ขนาดใหญ่ มี 4-11คู่ เรียงเวียนสลับยาวประมาณ 30-50 ซ.ม.ใบย่อยออกที่ซอกใบ มักแตกแขนง ยาว 10-20 ซม. มีขนสั้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซ.ม. แผ่นใบย่อยรูปรี ขนาดกว้าง 1-2 ซ.ม.ยาว 2-4 ซ.ม. ขอบใบเรียบเป็นขนครุย ปลายใบเป็นติ่งหนามสั้น ดอก แบบช่อเชิงลดออกเหนือง่ามใบ แกนช่อดอกยาวถึง 50 ซม.มีหนาม ดอกไม่สมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบเรียงซ้อนเหลื่อมสลับกันกลีบเลี้ยงมีขน สนิมปกคลุม กลีบดอกสีเหลืองมีสีแดงเรื่อแต้มเป็นจุดหรือแถบ ผล แบบฝักถั่ว รูปขอบขนานขนาด 3-5 ซม.ยาว5-7ซม.โคนฝักสอบเข้าหากัน ปลายฝักมนกลม และมีก้านเกสรเมียติดอยู่ ผิวฝักมีหนามแหลมและขนแข็งปกคลุม ฝักแก่จัดแตกตามรอยตะเข็บ มีเมล็ดรูปรีถึงกลมเกลี้ยง 1-2 เมล็ด สีเทาปนเขียวมัน (เรียกว่าสีสวาด) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องใช้ตำแหน่งในดวงอาทิตย์เต็ม (8ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิในช่วง 15°C-35°C ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้ในพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียง การรดน้ำ---1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ รดน้ำมากขึ้นในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งประจำปี ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งกิ่ง หากต้องการควบคุมขนาด สามารถตัดแต่งได้ตามความต้องการ แต่ระวังอย่าตัดแต่งกิ่งเกินหนึ่งในสามของขนาดต้นไม้ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยไนโตรเจน (N) สูง ทุก 2 สัปดาห์ ในฤดูใบไม้ผลิ และเพื่อเตรียมการออกดอกให้ใช้ปุ๋ยที่มี P และ K สูง ศัตรูพืช/โรคพืช---มักได้รับผลกระทบจากไรเดอร์/มีความต้านทานโรคดี อาจมีปัญหาเรื่องขาดการออกดอก ซึ่งเกี่ยวข้องกับแสงไม่เพียงพอ รู้จักอ้นตราย---ไม่มีข้อมูลยืนยันความเป็นพิษของพืชชนิดนี้ สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
Picture: https://www.ecrater.com/p/29135009/3-big-seeds-caesalpinia-bonduc-sea Picture: https://sites.google.com/site/efloraofindia/species/a---l/f/fabaceae/caesalpinia/caesalpinia-bonduc ใช้ประโยชน์---พืชที่ใช้กันทั่วไปเป็นสมุนไพรในพื้นที่ที่มันเติบโตส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวจากป่า เมล็ดมักจะขายในตลาดท้องถิ่น พืชได้รับการเพาะปลูกเป็นครั้งคราวสำหรับน้ำมันเมล็ด -ใช้กิน น้ำมันจากเมล็ดใช้สำหรับทำอาหาร -ใช้เป็นยา ถือเป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญในการแพทย์แผนโบราณในแอฟริกา เอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมีการใช้งานที่คล้ายคลึงกันอย่างกว้างขวางในแต่ละพื้นที่ เมล็ดมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านมะเร็ง เชื้อรา ไวรัส ไข้เลือดออก-Bonducin สารสกัดรสขมที่ได้จากใบเลี้ยงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็น 'ควินินของชายยากจน' ( ‘poor man’s quinine’ ) เพราะมันถูกใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย-น้ำมันเมล็ด ใช้ในการรักษาโรคไขข้ออักเสบ -ในแอฟริกาใบ เปลือกและราก ใช้สำหรับแก้ไข้ ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอกและเป็นยาแก้พยาธิ ในแอฟริกาตะวันตกพืชจะใช้เป็น rubefacient และเป็นยาชูกำลังในการรักษาโรคดีซ่าน ท้องเสียและการปะทุของผิวหนัง ที่เคนยาใบไม้และรากจะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหอบหืดและภาวะแทรกซ้อนในระหว่างมีประจำเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการแท้งบุตรและเป็นยาหยอดตาเพื่อรักษาลิ่มเลือดภายในตา -วนเกษตรใช้ ในเซียร์ราลีโอนและเอธิโอเปียปลูกต้นไม้เป็นรั้วมีชีวิต -อื่น ๆ เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 20% ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิก (68%) โดยเฉพาะและมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้น-น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้ในการเตรียมเครื่องสำอาง-เมล็ดถูกนำมา.ใช้กันอย่างแพร่หลายทำเป็นลูกปัดสำหรับสร้อยคอ, กำไล, ลูกประคำ ระยะออกดอก---กรกฎาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
|
34 ตานหม่อน/Tarlmounia elliptica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tarlmounia elliptica (DC.) H. Rob., S.C. Keeley, Skvarla & R. Chan.(2008) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. ---Basionym: Vernonia elliptica DC.(1834) ---Vernonia elaeagnifolia DC.(1836) ---Cacalia elaeagnifolia Kuntze.(1891) ---More.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77094700-1#synonyms ชื่อสามัญ---Curtain creeper, Vernonia creeper, Parda bel, Kheua sa lot, Lee Kwan Yew's hair ชื่ออื่น---ข้ามักหลอด (หนองคาย), ลีกวนยู (กรุงเทพฯ), ตานหม่น (นครศรีธรรมราช), ตานค้อน (สุราษฎร์ธานี) ลีกวนยูแฮร์, ตานหม่อน (ทั่วไป) ;[CHINESE: Guang yao teng.];[HINDI: Parda bel.];[SINGAPORE: Lee Kwan Yew's hair.];[THAI:Taan mon, Cha mak lod,]. ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) *ตามกฎของ ICBN ชื่อวงศ์ควรลงท้ายด้วย-aceae ดังนั้นชื่อใหม่สำหรับวงศ์ Compositae จึงกลายเป็น Asteraceae อย่างไรก็ตาม ชื่อ Compositae ได้รับการยกเว้นและอนุรักษ์ไว้ภายใต้ 'Nomina Conservanda'เนื่องจากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน EPPO Code---VENEL (Preferred name: Tarlmounia elliptica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่าและไทย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tarlmounia' ตั้งตามชื่อท้องถิ่น (ประเทศไทย) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'elliptica' = รูปไข่ อ้างอิงถึงใบไม้ Tarlmounia elliptica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae) สกุลTarlmounia เป็น monotypic มีเพียงสายพันธุ์เดียวคือ Tarlmounia elliptica ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Harold Ernest Robinson (1932–2020) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวอเมริกัน., Sterling C. Keeley (born 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน, John Jerome Skvarla (1935–2014) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และ Raymund Chan (born 1965) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน-อเมริกัน ในปี พ.ศ.2551
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบในอินเดีย พม่า ไทย เวียดนามและมาเลเซีย กระจายไปยังจีนตอนใต้และไต้หวันรวมถึงออสเตรเลียตอนเหนือและหมู่เกาะฮาวาย ในประเทศไทยพบได้ในทุกภาค ตามชายป่าผสมผลัดใบ ป่าดงดิบแล้งทั่วไป ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเปลือกเถาเรียบเป็นสีน้ำตาล ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีขาวปกคลุมอยู่หนาแน่น ยาว 1.5-2 เมตร ใบของตานหม่อนเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ใบรูปใบหอกกลับกว้างประมาณ 3-4 ซม.ยาว 6-10 ซม.ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา อวบน้ำ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างใบมีขนสีเงินหรือสีขาวนวล ดอกเล็กออกเป็นช่อกระจุกแน่นออกที่ยอดหรือซอกใบ ดอกย่อยเป็นสีขาวนวลหรือขาวอมชมพู เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม.กลีบดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ จำนวนมาก ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ด้านนอกมีขน ผลเป็นผลแห้งไม่แตกมีสัน 5 สันเมล็ดล่อนรูปกระสวยสีดำ (มักไม่ค่อยพบและเมล็ดอาจเป็นหมัน) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1.1 °C) สามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิดที่มีการระบายน้ำได้ดี pH 6.6 - 7.5 ทนทานต่อความร้อนและความชื้นได้ดี อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อยพืชค่อนข้างทนแล้ง รดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---มีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออก เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ สร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่และไม่เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์เลื้อยคลาน การใส่ปุ๋ย---ปุ๋ยสูตรเสมอละลายน้ำเจือจางเดือนละ 1 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน รู้จักอ้นตราย---ไม่มีข้อมูลยืนยันความเป็นพิษของพืชชนิดนี้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับในสวนและในพื้นที่สีเขียวสาธารณะของเขตร้อน ส่วนใหญ่ที่พบเห็นมักนำไปปลูกในที่สูงแล้วให้กิ่งก้านห้อยย้อยลงมา เช่นปลูกตามแนวขอบของสวนบนดาดฟ้า กระบะหน้ามุข ด้วยคุณลักษณะของลำต้นที่แตกกิ่งแขนงระเกะระกะ ห้อยระย้าลงมา ทำให้ลดความกระด้างของผนังลง ในสิงคโปร์นิยมปลูกกันมาก ดูจากชื่อสามัญ ชื่อหนึ่ง 'ลีกวนยูแฮร์' (Lee Kwan Yew's Hair) ที่แปลได้ว่า ผมของลีกวนยู - ใช้เป็นยา เป็นสมุนไพรหนึ่งในตำรับยาประสะมะแว้ง ซึ่งใช้บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยให้ชุ่มคอ - ต้นใช้เป็นยาขับพยาธิ แก้ตานซาง - รากมีรสหวานชุ่มใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน แก้พิษตานซาง - ใบสดนำมาใช้เป็นยาห้ามเลือด - ราก ใบ ดอก ใช้แก้ตานซางในเด็ก รักษาลำไส้ ฆ่าพยาธิ ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์ - มีนาคม ขยายพันธุ์---ปักชำต้น สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
35 มะกล่ำเผือก/Abrus pulchellus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Abrus pulchellus Wall. ex Thwaites.(1859) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Abrus pulchellus ssp. pulchellus Wall. ex Thwaites ---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-31852 ชื่อสามัญ---Liquorice Root, Asian abrus, Crab's eye, Jacqurity, Rosary Pea. ชื่ออื่น---มะกล่ำตาหนู, แปบฝาง (เชียงใหม่), คอกิ่ว, มะขามป่า (จันทบุรี), มะขามย่าน (ตรัง) ; [CHINESE: Mei li xiang si zi, Yuan ya zhong.]; [FRENCH: Abrus d'Asie.]; [MALAYALAM: Valiya kattumuthira.];[SANSKRIT: Ela-olinda.];[TAMIL: Vellai kunri mani.];[THAI: Ma klam phueak.]; ชื่อวงศ์ ---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา : เซเนกัล เอธิโอเปีย แองโกลา โมซัมบิก , เอเซีย : อนุทวีปอินเดีย จีน มาเลเซีย อินโดจีน ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Abrus' มาจากคำภาษากรีก 'abros' แปลว่าละเอียดอ่อนหรือนุ่มนวล Abrus pulchellus เป็นสายพันธุ์พืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae) สกุลมะกล่ำ (Abrus) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดึต George Henry Kendrick Thwaites (1812-1882) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2402 มี 1 ความหลากหลาย (Varieties) - Abrus pulchellus var. latifoliolatus (De Wild.) De Wild. มี 4 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ ;- - Abrus pulchellus subsp. cantoniensis (Hance) Verdc. - Abrus pulchellus subsp. mollis (Hance) Verdc. - Abrus pulchellus subsp. suffruticosus (Boutique) Verdc. - Abrus pulchellus subsp. tenuiflorus (Benth.) Verdc. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-31852
ที่อยู่อาศัย ในทวีปเอเซีย พบใน จีน ( ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, หูหนาน, ยูนนาน) ภูฏาน เนปาล อินเดีย บังกลาเทศ ศรีลังกา พม่า ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย เกิดในป่าเนินเขาที่ระดับตวามสูง 200-3,000 เมตรในประเทศจีน ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายทั่วไปตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งที่ระดับต่ำ ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่นหรือเลื้อยบนพื้นดินยาวประมาณ 0.5-1 (5) เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก สีน้ำตาลเข้มอมสีม่วงแดง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ (Paripinnate) ออกเรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 5-6 (7) คู่ (10–12- 14 ใบ) ออกเรียงตรงข้าม ก้านใบยาวประมาณ 2-3 ซม.มีขนหนาแน่น ใบย่อยรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ยาว 0.5-3 ซม.กว้าง 0.3-1 ซม.ปลายใบเป็นติ่งหนามหรือมน โคนใบเบี้ยว ส่วนขอบใบเรียบ แผ่นใบบาง ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ส่วนด้านล่างมีขนสีขาวประปราย ก้านใบย่อยยาวประมาณ 1.5 มม.มีขนหนาแน่น ดอกออกเป็นช่อกระจะตามซอกใบยาว 4-9 ซม. ดอกเป็นรูปดอกถั่ว กลีบเลี้ยงดอกเป็นสีขาว โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอกมี 5 กลีบ ผล เป็นฝักรูปขอบขนานกว้างประมาณ 0.8-1.5 ซม.ยาวประมาณ 2.2–7(–9) ซม.มีขนสีเหลืองอ่อน ฝักแห้งแตกออกได้ ในฝักมีเมล็ดประมาณ 4-12 เมล็ด รูปไข่ เมล็ดอ่อนเป็นสีขาว เมื่อสุกเป็นสีน้ำตาลดำหรือสีเหลืองอ่อน เป็นมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด (8ชั่วโมงต่อวัน) ดินร่วนซุยมีความอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี การดน้ำ---สัปดาห์ละ 2 ครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---มีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออก เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ สร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 2 ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่แล้ว พืชค่อนข้างไม่มีปัญหา มึความต้านทานต่อแมลงและโรคพืชได้พอสมควร รู้จักอันตราย--การเคี้ยวและกินเมล็ดมะกล่ำเผือกมีพิษทำให้ตายได้ อาการพิษ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ชัก ตับวาย และเสียชีวิต เมล็ดที่ใช้เป็นยาให้ใช้ได้เฉพาะภายนอกเท่านั้น การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้อาการร้อนใน แก้พิษร้อน ถอนพิษไข้ ทั้งต้นหรือเครือ นำไปต้มกับน้ำดื่มช่วยลดความดันโลหิต ใช้เป็นยาขับความชื้น แก้อาการปวดข้อ ปวดกระดูกเนื่องจากลมชื้นเกาะติด ทั้งต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้พิษงู เถาและรากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หืด หลอดลมอักเสบ แก้ไอแห้ง แก้เจ็บคอ ช่วยกัดเสมหะ ขับเสมหะ แก้อาเจียน แก้ร้อนใน ใบใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ใช้ขับปัสสาวะ-รากใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและแก้จุกเสียด -อื่น ๆ ใบมะกล่ำเผือกมีสารให้ความหวานชื่อ (abrusoside A,B,Cและ D) ซึ่งมีความหวานกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 50 เท่า ซึ่งอาจนำมาพัฒนาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแทนน้ำตาลทรายได้ -ใบใช้ตำพอกแก้จุดด่างดำบนใบหน้า -เมล็ดใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลง ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
36 มะกล่ำดำ/Abrus pulchellus
**การพูดคุยส่วนตัว มีมะกล่ำอีกชนิดที่เรียกว่ามะกล่ำดำ เป็นมะกล่ำที่มีเมล็ดสีดำแต่กำเนิด ไม่ใช่ชนิดเดียวกับ มะกล่ำดำที่เป็นของมงคลทนสิทธิ์หายาก ซึ่งเกิดจากมะกล่ำตาหนู ที่ปกติจะมีเมล็ดสีแดงดำ แต่แล้วเกิดมีเมล็ดเป็นสีดำทั้งเมล็ดซึ่งจะเกิดซักเมล็ดนี่ยากมาก จึงถือเป็นของมงคลทนสิทธิ์หายาก
แต่มะกล่ำดำต้นนี้มีเมล็ดในฝักเป็นสีดำทุกเมล็ดและทุกฝัก พบที่อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติตรงลานไม้เลื้อย ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์กำกับไว้ อย่างที่นำมาแสดง ไมรู้ว่าเพาะเมล็ดแล้วจะเกิดเหมือนต้นเดิมหรือเปล่า เพราะหาข้อมูลเฉพาะไม่เจอเลย สงสัยว่ากลายมา1ต้น (Variety) หรือเป็นอีก1ชนิดพันธุ์ (ssp) สำหรับท่านผู้รู้ที่ผ่านมา ขอความอนุเคราะห์เรื่องนี้เป็นวิทยาทานด้วยจะขอขอบคุณอย่างสูงสุด** (tipvipavi@gmail.com)
|
|
37 มะลิซาไก/Jasminum rambayense
ชื่อวิทยาศาสตร์---Jasminum rambayense Kuntze.(1891) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. ---Jasminum curtilobum S.Moore.(1925) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:609732-1#synonyms ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---มะลิซาไก มะลิรำ ; [THAI: Mali sakai, Mali ram.]. ชื่อวงศ์---OLEACEAE EPPO Code---IASSS (Preferred name: Jasminum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---สุมาตรา ชวา ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jasminum' สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอาหรับและเปอร์เซีย "yâsmîn 'หรือ' yasaman ' ซึ่งหมายถึง" ของขวัญแห่งเทพเจ้า " Jasminum rambayense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย อินโดนีเซีย ลักษณะ มะลิซาไกเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย สูงได้ถึง 2เมตร ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ท้องใบมีต่อมขนสีน้ำตาลบริเวณซอกเส้นใบ ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 7-13 ดอก กลีบดอกสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ที่พบในประเทศไทยมักไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดตลอดวัน (6-8 ชั่วโมงต่อวันและ 2 – 4 ชั่วโมงต่อวันสำหรับแสงแดดบางส่วน) อุณหภูมิ 18°C – 22°C ชอบดินร่วนปนทราย แต่ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ที่ระบายน้ำได้ดีแต่ชุ่มชื้นและอุดมสมบูรณ์ปานกลาง pH ที่เป็นกรดอ่อน ๆ การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ถ้าดินแห้งหรือร้อนผิดปกติ ให้เพิ่มความถี่ แต่ปล่อยให้ดินแห้งในระหว่างนั้น หากปลูกอยู่ในภาชนะ ก็มักจะต้องการน้ำหลายครั้งในแต่ละสัปดาห์ โดยเฉพาะในเดือนที่อากาศร้อน รดน้ำเมื่อดินด้านบน 1 นิ้วแห้ง ลดการรดน้ำในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดลำต้นที่เสียหาย เป็นโรค หรือตายออกจากต้นก่อน จากนั้นนำก้านที่พันกันหรือไม่มีดอกออกเด็ดก้านที่งอกห่างจากต้น สามารถปลูกเป็นไม้พุ่ม และมักจะทำหลังจากฤดูหนาวผ่านไป การตัดแต่งกิ่งที่เหมาะสมและสม่ำเสมอจะช่วยให้ใบเขียวชอุ่มสมบูรณ์และเติบโตอย่างรวดเร็ว การใส่ปุ๋ย---การใส่ปุ๋ยหมักจะช่วยทำให้ดินร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ และทำให้ดินชุ่มชื้น เริ่มใส่ปุ๋ยหลังจากตัดแต่งกิ่ง พฤษภาคม-กุมภาพันธ์เดือนละ1ครั้ง ไม่มีการใส่ปุ๋ยตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมีนาคม ศัตรูพืช/โรคพืช---มีแนวโน้มที่จะเกิดไรเดอร์ ซึ่งสามารถกำจัดได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือน้ำมันสะเดา ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านใช้ รากสดหรือรากแห้ง 2 ราก กินวันละ 2 ครั้ง เป็นยาคุมกำเนิดในสตรี -ใช้ปลูกประดับ สามารถปลูกเป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย หรือปลูกเป็นไม้กระถาง ระยะออกดอก---ออกดอกเป็นระยะตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
38 มะลิวัลย์/Jasminum adenophyllum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Jasminum adenophyllum Wall. ex C.B.Clarke.(1882) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-351833 ---Jasminum trangense Kerr.(1938) ชื่อสามัญ--Scent star jasmine, Climbing jasmine, Princess Jasmine, Bluegrape Jasmine ชื่ออื่น---มะลิวัลย์ มะลิวัน มะลิป่า มะลิเลื้อย ;[THAI: Maliwan, Mali paa.]. ชื่อวงศ์---OLEACEAE EPPO Code---IASSS (Preferred name: Jasminum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามัน อัสสัม บังคลาเทศ พม่า ไทย จีน ไต้หวัน ไทย เวียตนาม มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jasminum' สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอาหรับและเปอร์เซีย "yâsmîn 'หรือ' yasaman ' ซึ่งหมายถึง" ของขวัญแห่งเทพเจ้า " Jasminum adenophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Charles Baron Clarke (1832-1906) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2425
ที่อยู่อาศัย เป็นไม้เลื้อยในสกุลมะลิ พบครั้งแรกที่ประเทศอินเดียและประเทศจีย กระจายพันธุ์จนถึงไทย พม่า มาเลเซีย และเวียดนาม ในไทยพบได้ทุกภาค ลักษณะ เป็นไม้เลื้อย เถาแก่มีเนื้อไม้ ลำต้นกลมเกลี้ยงสีน้ำตาลอ่อน เลื้อยพันต้นไม้อื่นได้ไกล 2-3 เมตร ใบแตกเป็นคู่ไปตามข้อต้น อาจลดรูปเหลือใบย่อยเพียงใบเดียว รูปไข่แกมรูปรีถึงรูปใบหอก โคนใบแหลมปลายใบเรียวแหลม ขนาดใบยาวประมาณ 5 ซ.ม. ใบเป็นสีเขียวอมเหลือง ลักษณะใบบางแต่แข็ง ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ในช่อหนึ่งๆจะมีดอกตั้งแต่2-6ดอก ออกที่ปลายยอดและที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว 3 ซม.กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น7แฉก ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2.5 ซ.ม. สีขาว มีกลิ่นหอม ผลสดทรงกลมสีดำหรือดำแกมม่วง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด เติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ความชื้นในดินสม่ำเสมอ น้ำปานกลาง เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นง่ายและเจริญได้ดีในดินทุกประเภท หากเจ้าของดูแลดี รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยตัวN เอาไว้ อาทิตย์ละครั้ง ก็จะออกดอกดกไม่ขาดต้นเลย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และ 2 – 4 ชั่วโมงต่อวันสำหรับที่ร่มบางส่วน) เติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ความชื้นในดินสม่ำเสมอ น้ำปานกลาง เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นง่ายและเจริญได้ดีในดินทุกประเภท หากเจ้าของดูแลดี รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยตัวN เอาไว้ อาทิตย์ละครั้ง ก็จะออกดอกดกไม่ขาดต้นเลย การรดน้ำ---รดน้ำ 1-2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ถ้าดินแห้งหรือร้อนผิดปกติ ให้เพิ่มความถี่ ลดการรดน้ำในช่วงฤดูหนาว ทนแล้งปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดลำต้นที่เสียหาย เป็นโรค หรือตายออกจากต้นก่อน จากนั้นนำก้านที่พันกันหรือไม่มีดอกออกเด็ดก้านที่งอกห่างจากต้น มักจะทำหลังจากฤดูหนาวผ่านไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ใส่ปุ๋ยหมัก ปีละ 2 ครั้ง เริ่มใส่ปุ๋ยหลังจากตัดแต่งกิ่ง งดการให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีแนวโน้มที่จะเกิดไรเดอร์ ซึ่งสามารถกำจัดได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือน้ำมันสะเดา ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา รากของของมะลิวัลย์ มีรสจืดและเย็นใช้เป็นสมุนไพรและยาถอนพิษได้หลายอย่าง รวมทั้งถอนพิษยาก็ได้ ถ้าเกิดอาการแพ้ยา ดอก ปรุงผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เป็นยาหอม ใช้เป็นยาแก้ไข แก้ร้อนใน เป็นยาบำรุงหัวใจ -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับมีกลิ่นหอม หากต้องการให้มะลิเลื้อย ต้นไม้จะต้องมีโครงสร้างรองรับ โครงตาข่ายหรือรั้วจะใช้งานได้ทั้งคู่ สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง พรรณไม้ในวรรณคดี---** การพูดคุยส่วนตัว มะลิวัลย์เป็นดอกไม้ที่สำคัญที่สุดในวรรณคดีไทยอีกชนิดหนึ่งที่ในวรรณคดีหลายๆเรื่องกล่าวถึงมะลิวัลย์เอาไว้ จะยกโคลงกลอนมา ก็จะว่าโอ้เอ้นอกเรื่องในขณะที่ต้นอื่นในบทนี้ไม่มี เป็นว่าเว้นเรื่องนี้ไว้แล้วกัน มาดูความความสำคัญอีกประการ "มะลิวัลย์"เป็นไม้ป่าไทยพันธุ์แท้แต่โบราณ ออกดอกหอมแรงตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน ระยะออกดอก---เป็นระยะตลอดปี ขยายพันธุ์---ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ พื้นที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
|
|
39 มะลุลี, มะลุลีสีชมพู/Jasminum multiflorum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Jasminum multiflorum (Burm.f.) Andrews.(1807) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Jasminum pubescens (Retz.) Willd.(1797) ---Jasminum gracillimum Hook. f.(1881) ---Mogorium multiflorum (Burm.f.) Lam.(1797) ---Mogorium pubescens (Retz.) Lam.(1797) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-351552 ชื่อสามัญ ---Angel-hair jasmine, Winter jasmine, Indian jasmine, Downy jasmine, Star jasmine, Furry jasmine, Slender jasmine ชื่ออื่น ---มะลุลี, มะลิพวง, มะลิซ่อม, มะลิเลื้อย ;[ASSAMESE: Kharikajai, Dua-mali.];[CHINESE: Mao mo li.];[CUBA: Jazmín café, Jazmín de España.];[GERMAN: Sternblütiger Jasmin.];[GUATEMALA: Jazmín de novia.];[HINDI: Kunda.];[INDONESIA: Gambir utan, Melati bintang, Melati gambir, Pontjasuda.]; [JAMAICA: Hairy jasmine.];[MALAYALAM: Kurukuttimulla.];[MEXICO: Estrella, Guirnalda.];[MYANMAR: Kadawn, Kadawnla, Sabe-hmwe-sok, Tawsabe.];[NEPALI: Beli puspa,];[PANAMA: Jasmín del papel, Jazmín de San José.];[PHILIPPINES: Sampagita de china, Sampagita del japón, Sampagitang-sunsong.];[SPANISH: Jazmín, Jazmín de estrella, Jazmín estrellado, Jazmín de papel.];[SRILANKA: Pichcha.];[SWEDISH: Borneojasmin.];[TAMIL: Makarandam.];[TELUGU: Kundamu Malle.];[THAI: Malulee, Mali phuong, Mali som.];[VIETNAM: Lài dúng, Nhài nhăn, Nhài nhiều hoa.]. ชื่อวงศ์ ---OLEACEAE EPPO Code---IASMU (Preferred name: Jasminum multiflorum.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเชีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย เนปาล ภูฏาน ลาว พม่า ไทย เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jasminum' สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอาหรับและเปอร์เซีย "yâsmîn 'หรือ' yasaman ' ซึ่งหมายถึง" ของขวัญแห่งเทพเจ้า " Jasminum multiflorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Cranke Andrews (fl. 1794 – 1830) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2350
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ปากีสถาน, อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, บังกลาเทศ, พม่า, ไทย, ลาวและเวียดนาม) ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ได้รับการแนะนำในสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) จาเมกา โดมินิกัน ฮาวาย เปอร์โตริโก เซเชลส์ ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าสูง ตามแนวขอบแม่น้ำ ที่ระดับความสูงถึง 1200 เมตร เมื่อแปลงสัญชาติ มักจะพบในพื้นที่เปิดโล่งที่ถูกรบกวน ทุ่งหญ้า สวนร้าง พื้นที่ว่างเปล่ามากมายและริมถนน ในโบลิเวียมีการรายงานที่ระดับความสูงไม่เกิน 3,500 เมตร ลักษณะ มะลุลีเป็นไม้ พุ่มกึ่งเลื้อยเนื้อแข็งเลื้อยได้ไกล 2 – 5 เมตร พุ่มกลมแน่นทึบ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กว้าง 2.5 – 5ซม. ยาว 4 – 7 ซม.สีเขียวอมเหลือง ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อสีขาว ที่ปลายกิ่ง 8 – 20ดอก กลีบเลี้ยงสีเขียวเป็นซี่เรียวแหลม โคนเชื่อมติดกันและมีขนปกคลุม กลีบดอกสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกออกเป็น 7 – 8กลีบ ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม. ดอกมีกลิ่นหอมแรงและจะหอมตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ดอกบานวันเดียวแล้วโรย ผลรูปรีมีเนื้อขนาดยาว 1ซม.สีดำเมื่อสุก เมล็ด 2 เมล็ด ไม่ค่อยเห็นผลในการเพาะปลูก ส่วนมะลุลีสีชมพู (ในรูป) ดอกย่อยจะมีประมาณ 9-15ดอก ดอกตูมจะมีสีชมพูเข้ม บานแล้วเป็นสีขาว ออกดอกตลอดปีเหมือนกัน ตอนนี้มีแต่รูปมะลุลีสีชมพูลงไว้ ทั้งคู่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกัน คือเป็นชนิดเดียวกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และ 2 – 4 ชั่วโมงต่อวันสำหรับที่ร่มบางส่วน) เติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ความชื้นในดินสม่ำเสมอ น้ำปานกลาง เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นง่ายและเจริญได้ดีในดินทุกประเภท หากเจ้าของดูแลดี รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยตัวN เอาไว้ อาทิตย์ละครั้ง ก็จะออกดอกดกไม่ขาดต้นเลย การรดน้ำ---รดน้ำ 1-2 ครั้ง ทุกสัปดาห์ถ้าดินแห้งหรือร้อนผิดปกติ ให้เพิ่มความถี่ ลดการรดน้ำในช่วงฤดูหนาว ทนแล้งปานกลางและทนเค็มเล็กน้อย การตัดแต่งกิ่ง---ตัดลำต้นที่เสียหาย เป็นโรค หรือตายออกจากต้นก่อน จากนั้นนำก้านที่พันกันหรือไม่มีดอกออกเด็ดก้านที่งอกห่างจากต้น มักจะทำหลังจากฤดูหนาวผ่านไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ใส่ปุ๋ยหมัก ปีละ 2 ครั้ง เริ่มใส่ปุ๋ยหลังจากตัดแต่งกิ่ง งดการให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีแนวโน้มที่จะเกิดไรเดอร์ ซึ่งสามารถกำจัดได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือน้ำมันสะเดา ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นและมักถูกปลูกเป็นไม้ประดับมีมูลค่าที่มีกลิ่นหอม -ใช้เป็นยา น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยามากมายรวมถึงการคลายความเหนื่อยล้า ยาแก้ปวด ต้านอนุมูลอิสระ ต้านจุลชีพ cardioprotective nematicide และ lactifuge -ในอายุรเวทและ Sidhaใช้ในการรักษาความเจ็บป่วยที่หลากหลาย -ใบทุบผสมกับน้ำใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ใช้เป็นยาพอกสำหรับแผล หรือในรูปแบบของการวางเพื่อรักษาอาการปวดหัว, ปวดไขข้อ, แผลผิวหนัง, ภูมิแพ้, คันและการอักเสบ ยาแก้พิษสำหรับงูกัด เปลือกต้มในน้ำใช้ในการรักษาแผลไฟไหม้ -ดอกไม้ถูกใช้เพื่อยับยั้งการผลิตน้ำนมในผู้หญิง -อื่น ๆ ดอกไม้มีกลิ่นหอมแม้ว่าจะไม่หอมเหมือนดอกมะลิอื่น ๆ ก็เป็นแหล่งของ น้ำมันหอมระเหยดอกมะลิ ซึ่งมีมูลค่าสูงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นพืชที่สำคัญในวัฒนธรรมอินเดีย ในบางรัฐดอกไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญของพิธีแต่งงาน ถูกใช้เพื่อทำช่อดอกไม้และมาลัยซึ่งมีการแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าสาวและเจ้าบ่าวเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับและการรวมกัน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการทับกิ่ง ปักชำและตอนกิ่ง สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดระยอง
|
|
40 พุทธชาดก้านแดง/Jasminum officinale L. var. grandiflorum
[JAZZ-mih-num] [uh-fiss-ih-NAY-lee]
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Jasminum officinale f. grandiflorum (L.) Kobuski.(1932) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Jasminum grandiflorum L. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-357571 ชื่อสามัญ ---French Jasmine, Spanish jasmine, Catalonian Jasmine, Poet's Jasmine, Large-flowered jasmine. ชื่ออื่น ---จัสมิน, พุทธชาดก้านแดง, มะลิก้านแดง, มะลิฝรั่งเศส ;[CHINESE: Su xin hua, Mo li hua.];[FRENCH: Jasmin à grandes fleurs.];[GERMAN: Chinesischer Tee-Jasmin.];[INDIA: Chameli, Jati.];[KANNADA: Jati Maltiga, Sanna Jati Mallige.];[MALAYSIA: Melur.];[MALYALAM: Pichi.];[PAKISTAN: Chambeli, Yasmin.];[SIDDHA: Manmadabanam, Mullai, Padar-malligai.];[SWEDISH: Luktjasmin.];[TAMIL: Pichi, Jatimalli.];[TELUGU: Jati, Sannajati.];[THAI: Putthachat kan daeng, Mali kan daeng, Mali farang saes.];[URDU: Chameli, Yasmeen.]. ชื่อวงศ์ --- OLEACEAE EPPO Code---IASOG (Preferred name: Jasminum grandiflorum.) ถิ่นกำเนิด---แอฟริกา อาระเบีย ปากีสถาน จีน เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jasminum' สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอาหรับและเปอร์เซีย "yâsmîn 'หรือ' yasaman ' ซึ่งหมายถึง" ของขวัญแห่งเทพเจ้า " Jasminum officinale forma grandiflorum เป็นชื่อพ้องของ Jasminum officinale สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะลิ (Oleaceae) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ลำต้นเป็นเหลี่ยม เลื้อยได้ไกลถึง 6 เมตร ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ใบย่อยมี5-9ใบ รูปรี ขนาดกว้าง2-3ซม.ยาว4-5ซม.ปลายใบและโคนใบมน ก้านใบย่อยไม่มีหรือสั้นมาก ดอกใหญ่สีขาว ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งแต่ละช่อมักออกเป็นช่อย่อย3ช่อ ช่อย่อยกลางจะมีก้านสั้น ส่วนช่อย่อยสองข้างมีก้านยาว ดอกกลางจะบานก่อน กลีบดอกมี5กลีบ ดอกบานกว้างถึง5ซม. กลิ่นหอมมาก ดอกตูมสีแดงเข้ม ดอกบานสีขาวส่สนสีแดงกลับไปอยู่ด้านหลังกลีบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดส่องถึงในที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่าหกชั่วโมงทุกวัน) ปลูกได้ในดินที่ระบายน้ำได้ดีเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ดินเหนียวปนทรายหรือดินร่วนที่มีค่า pH ตั้งแต่ 6 ถึง 8 อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้ง ไม่ชอบน้ำขังแฉะ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดลำต้นที่เสียหายหรือเป็นโรคออกทุกครั้งที่พบ พรุนกิ่งในช่วงปลายฤดูร้อนหรือต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อดอกบานลดลงเพื่อให้การเจริญเติบโตใหม่ การใส่ปุ๋ย---ขอแนะนำให้ใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง(P)และโพแทสเซียม(K)กับต้นมะลิในทุกฤดู ศัตรูพืช/โรคพืช---ไส้เดือนฝอยปมราก แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง โรคใบไหม้ โรคราสนิม โรคเหี่ยวฟิวซาเรี่ยม ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบใช้ชงเป็นชา -ในประเทศฝรั่งเศสตอนใต้และอเมริกาใต้ นิยมปลูกกันมาก เพื่อทำหัวน้ำหอม -ใช้เป็นยา การใช้ยาของพืชชนิดนี้ถูกกล่าวถึงในตำราอายุรเวทแบบดั้งเดิม แพทย์ชาวฮินดูใช้ใบเป็นยารักษาโรคผิวหนังแผลในปากและหูน้ำหนวก ดอกไม้ ใช้เป็นยาพอกเพื่อป้องกันการไหลของน้ำนม-ในประเทศจีนใช้น้ำมันเป็นยาบำรุงกำลัง ใช้รักษาโรคตับอักเสบ ฯลฯ-เป็นพืชที่มีฤทธิ์ลดการแข็งตัวของหลอดเลือด, ยาแก้พยาธิ, ยาขับปัสสาวะ, ต้านการอักเสบ, ยาต้านจุลชีพ, ต้านมะเร็ง, ยาโป๊ -อื่น ๆใช้เป็นเครื่องสำอางค์ สารสกัดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นบนใบหน้า, การฟอกสี, ต่อต้านริ้วรอย, โลชั่น, สเปรย์และแชมพู -ใช้กำจัดวัชพืช เมื่อสกัดด้วยน้ำให้ได้ความเข้มข้น 3.12 – 100 mg/ml สารสกัดจากใบยับยั้งการเจริญเติบโตของหญ้าข้าวนกและโสน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---โดยการตอนกิ่งและปักชำ สถานที่่ถ่ายภาพ---สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จังหวัดระยอง
|
|
41 โกลด์ฟิงเกอร์/Juanulloa mexicana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Juanulloa mexicana (Schltdl.) Miers.(1849) ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl/record/tro-29600767 ---Basionym: Laureria mexicana Schltdl.(1833) ---Juanulloa bicolor Gleason.(1933) ---Juanulloa sargii J. D. Smith.(1893) ---Juanulloa panamensis Miers.(1849) ชื่อสามัญ---Don Juan Plant, Monaloa Parrot Plant, Gaucamaya Vine, Golden Star, Goldfinger , Goldfinger plant, Mexican Spoon Flower. ชื่ออื่น---โกลด์ฟิงเกอร์,โกลเด้นสตาร์, ดาวทอง, นิ้วทอง, นิ้วนางฟ้า;[CHINESE: Huāpíng huā, Léngpíng huā];[FRENCH: Juanulloa à fleurs orangées.];[SPANISH: Dedo de Dios, Dedo de oro.];[THAI: Gold finger, Golden ginger, Doa thong.]. ชื่อวงศ์---SOLANACEAE EPPO Code---IUASS (Preferred name: Juanulloa sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--เม็กซิโก,โคลัมเบีย, คอสตาริกา, เอกวาดอร์, เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อ่าวเม็กซิโก, ปานามา, เปรู นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล ' Juanulloa ' ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2337 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนผู้เชี่ยวชาญด้านพืชของเปรูและชิลี Hipólito Ruiz LópezและJosé Antonio PavónJiménezในงาน Florae Peruvianae ชื่อนี้ได้รับเกียรติจากนักสำรวจชาวสเปนสองคนที่ไปเที่ยวเปรูอย่างครอบคลุม: Jorge Juan และ Santacilia รวมถึง Antonio de Ulloa และ de la Torre-Giralt ; ชื่อสายพันธุ์ มาจากภาษาละติน '' mexicanus, a, um '' = ของเม็กซิโก อ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดของชนิดพันธุ์ Juanulloa mexicana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเขือ (Solanaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Diederich Franz Leonhard von Schlechtendal (1794–1866) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Miers (1789 –1879)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2392 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกากระจายจากเม็กซิโกไปเปรู แต่ก็มีการปลูกฝังในภูมิภาคอื่นของโลกที่มีภูมิอากาศอบอุ่นเช่นภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรป พืชชนิดนี้โดยทั่วไปและในป่าพบว่าเป็นพืชอิงอาศัย แต่เมื่อถูกใช้เป็นไม้ประดับใช้เป็นไม้พุ่มบนพื้นดิน เติบโตที่ระดับความสูง 300-1,450 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ เลื้อยไปได้ไกลประมาณ 2-5เมตร มีรากพิเศษออกตามลำต้น ใบรูปรีแกมใบหอก ขนาดกว้าง 7-9 ซม.ยาว 12-15 ซม. ปลายใบเรียวแหลม มนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบบิดเป็นคลื่น แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ใต้ใบมีขนรูปดาวดอกออกเป็นช่อกระจุกตามปลายยอด ดอกย่อย 1-3 ดอก ดอกสีส้ม กลีบเลี้ยงหนา โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปไข่แคบ ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาวประมาณ 8 เซนติเมตร ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก รูปไข่เกือบกลม ปลายมน ไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการในที่ ที่มีแสงแดดจัด อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพืชคือ (22° C-24 ° C) ในฤดูร้อนและไม่น้อยกว่า (+ 8-11 ° C) ในฤดูหนาว ในดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ค่อนข้างโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รอจนกว่าพื้นผิวเกือบแห้ง สิ่งสำคัญคือความชื้นในสิ่งแวดล้อมจะสูงปานกลาง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดลำต้นเล็กน้อยในปลายฤดูใบไม้ร่วงเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำเฉพาะสำหรับพืชดอก 2-3 ครั้งต่อเดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ตามปกติค่อนข้างต้านทานต่อศัตรูพืชและโรค /ไวต่อน้ำส่วนเกิน น้ำขังแฉะอาจทำให้เกิดโรครากเน่า โคนเน่า ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกขึ้นเป็นซุ้มไม้เลื้อย หรือปลูกลงแปลงเป็นไม้พุ่ม ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์--- การปักชำ และตอนกื่ง
|
|
|
|
แหล่งที่มา-อ้างอิง
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp ---เต็ม สมิตินันทน์. 2557. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทธยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช. โรงพิมพ์พุทธศาสนาแห่งชาติ. กรุงเทพ.http://www.dnp.go.th/botany/ ---เว็บไซต์เมดไทย (MedThai) URL: https://www.medthai.com ---เถาเอ็นอ่อน- Cryptolepis buchanani Roem. & Schult.-India Biodiversity Portal Species Data. http://eol.org/pages/8744344/names/common_names ---มะกล่ำเผือก, สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Abrus0pulchellus0Wall.0ex0Thwaites ---โคคลาน สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโคคลาน 20 ข้อ !By MedThai https://medthai.com/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99/
Check for more information on the species: Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ Global Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images ---Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan theva.com 8/8/2008 Update9/11/2016 ---28/4/2561---3/8/2020---17/7/2022
|
|
|