สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 08/11/2024
สถิติผู้เข้าชม 58,106,324
Page Views 64,944,170
 
« December 2024»
SMTWTFS
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031    

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 2

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 2



ต้นไม้ใหญ่2

For information only-the plant is not for sale


32 กันเกรา/Fagraea fragrans 41 แคนา/Dolichandrone serrulata
33 กุ่มน้ำ/Crateva religiosa 42 แคหัวหมู/Markhamia stipulata 
34 กุ่มบก/Crateva adansonii subsp. trifoliata 43 งิ้ว/Bombax ceiba
35 กระทุ่ม/Breonia chinensis 44 สัก/Tectona grandis
36 กระทิง/Calophyllum inophyllum. 45 แสลงพัน/Bauhinia bracteata
37 กระบก/Irvingia malayana  46 สารภี/Mammea siamensis
38 กระเบา/Hydnocarpus anthelminticus 47 สาธร/Millettia leucantha
39 กระเบากลัก/Hydnocarpus ilicifolia 48 คงคาเดือด/Arfeuillea Arborescens
40 กระโดน/Careya arborea 49 อุโลก/Hymenodictyon orixense

 EPPO code---รหัส EPPO คือ รหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.i

IUCN Red List of Threatened Species https://www.iucnredlist.org/

1 สูญพันธุ์ (EX) การกำหนดที่ใช้กับสปีชีส์ที่บุคคลสุดท้ายเสียชีวิตหรือการสำรวจอย่างเป็นระบบและตามเวลาที่เหมาะสมไม่สามารถบันทึกได้แม้แต่บุคคลเดียว
2 Extinct in the Wild (EW) หมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่สมาชิกอยู่รอดได้เฉพาะในกรงขังหรือเป็นประชากรที่ได้รับการสนับสนุนเทียมซึ่งอยู่นอกขอบเขตทางภูมิศาสตร์ในอดีต
3 ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต (CR) ซึ่งเป็นประเภทที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 80 ถึงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ปัจจุบันขนาดของประชากรน้อยลง กว่า 50 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ
4 ใกล้สูญพันธุ์ (EN) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 50 ถึงมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า 250 บุคคลหรือปัจจัยอื่น ๆ
5 เปราะบาง (VU) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากการลดลงอย่างรวดเร็วของประชากร 30 ถึงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า จำนวน 1,000 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ
6 ใกล้ถูกคุกคาม Near Threatened (NT) เป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่ใกล้จะถูกคุกคามหรืออาจเข้าเกณฑ์สำหรับสถานะถูกคุกคามในอนาคตอันใกล้
7 ความกังวลน้อยที่สุด (LC) หมวดหมู่ที่มีสายพันธุ์ที่แพร่หลายและอุดมสมบูรณ์หลังจากการประเมินอย่างรอบคอบ
8 ข้อมูลไม่เพียงพอ Data Deficient (DD) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ใช้กับสปีชีส์ซึ่งจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงไม่สามารถดำเนินการประเมินได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงไม่เหมือนกับหมวดหมู่อื่นๆ ในรายการนี้ หมวดหมู่นี้ไม่ได้อธิบายถึงสถานะการอนุรักษ์ของสปีชีส์
9 ไม่ได้รับการประเมิน (NE) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ใช้รวมสัตว์เกือบ 1.9 ล้านชนิดที่อธิบายโดยวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้รับการประเมินโดย IUCN

Version 3.1:
สภา IUCN ได้นำเวอร์ชันล่าสุดนี้มาใช้ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันเป็นผลมาจากความคิดเห็นของสมาชิก IUCN และ SSC และจากการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543

Version 2.3: IUCN (1994)
สภา IUCN นำเวอร์ชันนี้มาใช้ ซึ่งรวมการเปลี่ยนแปลงไว้ด้วย ความคิดเห็นของสมาชิก IUCN ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 ฉบับเริ่มต้นของเอกสารนี้เผยแพร่โดยไม่มีรายละเอียดทางบรรณานุกรมที่จำเป็นเช่นวันที่เผยแพร่และหมายเลข ISBN แต่รวมอยู่ในพิมพ์ซ้ำในปี 2541 และ 2542 รุ่นนี้ใช้สำหรับปี 2539 IUCN Red List of Threatened Animals (Baillie and Groombridge 1996), TheWorld List of Threatened Trees (Oldfield et al. 1998) และ 2000 IUCN Red List of Threatened Species (Hilton-Taylor 2000)


สกุล Cyrtophyllum เป็นสกุลของ พันธุ์ไม้เอเชีย เขตร้อน ในวงศ์ Gentianaceae ก่อนหน้านี้สปีชีส์อาจถูกจัดให้อยู่ในสกุล Fagraea และสามารถพบได้ใน อินโดจีน และ มาเลเซีย (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
* ปัจจุบันมีห้าสายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับ:
- Cyrtophyllum caudatum (Ridl.) K.M.Wong.(2012) - เกาะบอร์เนียว (SW. Sabah ถึง Sarawak)
- Cyrtophyllum fragrans (Roxb.) DC. (1845) (the Tembusu tree) - อินโดจีนถึงนิวกินี
- Cyrtophyllum giganteum (Ridl.) Ridl. (1923) - W. Malesia
- Cyrtophyllum lanceolatum DC.(1845) - คาบสมุทรมาเลเซีย
- Cyrtophyllum minutiflorum K.M.Wong.(2012) - เกาะบอร์เนียว (กาลิมันตัน)
https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:25049-1#children

32 กันเกรา/Cyrtophyllum fragrans

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cyrtophyllum fragrans (Roxb.) DC.(1845)
ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms.
---Basionym: Fagraea fragrans Roxb.(1824) https://www.gbif.org/species/7863745
---Willughbeia fragrans (Roxb.) Spreng.(1827)
---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:546043-1#synonyms
ชื่อสามัญ --- Ironwood, Tembusu
ชื่ออื่น ---กันเกรา (ภาคกลาง); ตะมะซู, ตำมูซู (มาเลย์-ภาคใต้); ตาเตรา (เขมร-ภาคตะวันออก); ตำเสา, ทำเสา (ภาคใต้); มันปลา (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[CAMBODIA: Tatrao.];[CHINESE: Xiānghuī lì.];[FIJI: Buabua];[GERMAN: Sumatra-Eisenholzbaum.];[HAWAII: Pua Keni Keni.];[INDONESIA: Kayu kacang-kacang; Kayu Tammusu, Ki Badak (Bahasa Indonesia).];[KHMER: Ta trao.];[LAOS: Man pa.];[MALAYSIA: Tembusu hu­tan (General); Ombinaton, Tambiaton, Tambinaton (Dusun); Tembusu padang, Tembusu Tembaga (Malay, Peninsular); Banati (Murut).];[MYANMAR: Anan, Anama, Ahnyim.];[PHILIPPINES: Urung (General), Dolo (Tagbanua), Susulin (Tagalog).];[SWEDISH: Tembesu.];[THAI: Kankrao (Central), Man pIa (Northern), Thamsao (Peninsular)];[VIETNAM: Trai, Trai lý, Trai Nam Bộ, Tatrao.]
EPPO Code--- FARFR (Preferred name: Cyrtophyllum fragrans)
ชื่อวงศ์ ---GENTIANACEAE
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย ไทย พม่า เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลเดิม 'Fagraea' เป็นเกียรติแก่ Jonas Theodor Fagraeus (1729-1797) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ; ชื่อของสายพันธุ์ 'fragrans' เป็นคำภาษาละติน "fragrans" = หอม มีกลิ่นหอม อ้างอิงถึงดอกไม้มีกลิ่นหอม
Cyrtophyllum fragrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยAugustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2388


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์, กัมพูชา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทยและเวียดนาม เติบโตในพื้นที่เปิดโล่งตามแนวชายฝั่งของ แม่น้ำและที่ขอบของหนองน้ำท่วมเป็นระยะ เป็นพืชในเขตร้อนชื้นและที่ราบลุ่มซึ่งพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร
- ในประเทศไทยพบทั่วไปในป่าเบญจพรรณในทุกภาค พบมากบริเวณลุ่มที่ชื้น ใกล้แหล่งน้ำ รวมถึงพบได้ในป่าดิบชื้น และป่าพรุทางภาคใต้
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบต้นสูงประมาณ 20-30 เมตร บางครั้งสูงถึง (-55) เมตร ลำต้นอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 130 ซม.การแตกแขนงมีความโดดเด่นมาก โดยขยายออกไปด้านนอกแล้วขึ้นด้านบนเหมือนนิ้วมือ เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ขนาดใบ กว้างประมาณ 4-6 ซ.ม.ยาวประมาณ 8-12 ซ.ม ออกเรียงตรงข้าม แผ่นใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างเหนียว  สีเขียวเข้มเป็นมัน ปลายใบ โคนใบ แหลม ขอบใบเรียบ.ก้านใบยาว 1-2 ซม.ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก เริ่มบานเป็นสีขาว บานเต็มที่เป็นสีเหลืองอมแสด ดอกมีกลิ่นหอมแรงโดยเฉพาะในตอนเย็น ผลเป็นผลเดี่ยวรูปกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 ซม.มีติ่งแหลมสั้นอยู่ปลายสุด ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมากสีน้ำตาลเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้น เนื่องจากไม่ทนต่ออุณหภูมิที่ลดลงใกล้ 0 °C เว้นแต่เป็นกรณีพิเศษและในระยะเวลาอันสั้น อุณหภูมิที่เหมาะสมตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 20 - 30 °C แต่ทนได้ 10 - 36 °C เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ขึ้นได้ในดินทุกชนิด แม้แต่ดินที่ขาดธาตุอาหารหรือเสื่อมโทรมที่มีการระบายน้ำดี รวมถึงบนดินเหนียวหนักและดินที่มีการระบายน้ำน้อย ค่า pH ในช่วง 5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.5  อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ให้น้ำเป็นประจำในช่วงฤดูปลูก ทนทานต่อความแห้งแล้งในระดับปานกลาง
การตัดแต่งกิ่ง---กิ่งตอนล่างจะคงอยู่นานมาก และการตัดแต่งกิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสูง
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในช่วงที่มีการเจริญเติบโต
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาแมลงและโรคร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---Non known
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาต้มจากเปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้เพื่อรักษาสภาพเช่นมาลาเรีย ใช้บำรุงโลหิต ผิวหนัง ยาต้มกิ่งและใบใช้ในการควบคุมโรคบิดและท้องร่วงอย่างรุนแรง แก่นมีรสฝาด ใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก
- การศึกษาได้เสนอแนะคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย สารต้านอนุมูลอิสระ ต้าน mycobacterial ต้านมะเร็ง และต้าน plasmodiam
วนเกษตร---ต้นไม้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการปลูกป่าอย่างน้อยส่วนหนึ่งเนื่องจากความสามารถในการปราบปราม การปกคลุมวัชพืช บางภูมิภาคปลูกเพื่อควบคุมการพังทลายของดิน
ใช้ปลูกประดับ---มักจะปลูกเป็นไม้ประดับและต้นไม้ให้ร่มเงาในสวนสาธารณะ
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้มีสีเหลืองอ่อนมีเสี้ยนตรง มีความละเอียด ตกแต่งได้ง่าย ลวดลายของเปลือกและเนื้อไม้มีความสวยงามเป็นพิเศษ และเหนียวทนทานแข็งแรงทนปลวกได้ดี ไม้สามารถอยู่ได้นานกว่าร้อยปี เหมาะแก่การนำมาใช้ก่อสร้าง เช่น การทำเสาเรือน เสาสะพาน กระดานปูพื้น และเฟอร์นิเจอร์
- ในอดีตเคยใช้สำหรับหมอนรองรางรถไฟและในการก่อสร้างบ้าน และโครงเรือ นอกจากนี้ยังใช้เผาและผลิตถ่านได้ดีเยี่ยมอีกด้วย
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในประเทศไทย กันเกราเป็น 1 ในไม้มงคล 9 ชนิด ที่นำมาใช้ประกอบพิธีในการปลูกสร้างบ้านเพื่อความเป็นมงคล คนโบราณเชื่อว่าปลูกกันเกราไว้ภายในบ้านช่วยป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วยคุ้มภัยให้แก่คนในบ้าน และขับไล่สิ่งอัปมงคล
สำคัญ---ต้นไม้ประจำจังหวัดจังหวัดสุรินทร์และเป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดนครพนม
- ภาพต้นไม้นี้อยู่บนธนบัตรห้าดอลลาร์สิงคโปร์
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN Red List ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2018 Cyrtophyllum fragrans ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2018. Cyrtophyllum fragrans. The IUCN Red List of Threatened Species 2018: e.T135891057A135895554. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T135891057A135895554.en. เข้าถึงเมื่อ 19 ธันวาคม 2566
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-มิถุนายน/ มิถุนายน - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด รักษาความชื้นไว้ที่อุณหภูมิ 22-24 °C เมล็ดสดจะมีชีวิต 65 - 80% และงอกใน 15 - 60 วันหรือมากกว่า
- ชำราก

33 กุ่มน้ำ/Crateva religiosa

[KRAY-tev-a] [re-lij-ee-OH-suh]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Crateva religiosa G.Forst.(1786)
ชื่่อพ้อง---Has 6 Synonyms.
---Capparis trifoliata Roxb.(1824), nom. superfl.
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:147489-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Crateva, Three leaved Caper, Sacred barma, Sacred garlic-pear, Three-leaved caper, Temple plant, Spider plant, March dalur.
ชื่ออื่น---กุ่ม (เลย), กุ่มน้ำ (ชลบุรี), อำเภอ (สุพรรณบุรี), ผักกุ่ม ก่าม(ตะวันออกเฉียงเหนือ); [BANGLADESH: Bannay, Barum, Baruna, Bonna, Pithagola, Tiktoshak.];[CAMBODIA: Tonliem];[CHINESE: Yu mu, Yiu tu chih.];[HINDI: Barna, Bila, Bilasi, Cinnavulimidi, Maredu];[INDIA: Barna, Baruna, Bidasi, Varvunna.];[INDONESIA: Jaranan, Barunday, Sibaluak.];[JAPAN: Gyo-boku]; [LAOS: Kumz.];[MALAYSIA: Kepayang Air (Malay).];[MYANMAR: Hkan-tak, Lè-seik-shin, Ka-tat.];[PHILIPPINES: Salingbobog (Bis., Tag.); Mokalbot, Kalaluñgau (Tag.), Banugan (Bis.); Duliñgaok (Pamp.); Balai-lamok, Balai-namok (Ilk.).];[PORTUGUESE: Alho-sagrado, Pé-de-morto, Tapiá, Arvore-aranha.];[SANSKRIT: Varuna, Ashmarighna, Ashmaghna];[TAMIL: Navala.];[THAILAND: Kum-nam (Chon Buri), Aum phur, Phak kum, Kam.];[VIETNAM: Bún thiêu, Bún lợ].
EPPO Code--- CVARE (Preferred name: Crateva religiosa)
ชื่อวงศ์---CAPPRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crateva' หมายถึง Crateuas (หรือ Cratevas) แพทย์ของ Mithridates VI กษัตริย์แห่ง Pontus (ประมาณ 132-63 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้เขียนหอพรรณไม้ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จัก ซึ่งข้อความนี้เป็นเพียงคำพูดของ Pedanius Dioscorides (ฉบับที่ 1) ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) ในข้อความ De Materia Medica ของเขา; ชื่อเฉพาะ 'religiosa' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน “religiosus, a, um” = ศาสนา เนื่องจากความหมายที่ต้นไม้ต้นนี้มีต่อชาวฮินดู
Crateva religiosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Georg Adam Forster (1754 –1794)นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน (พฤกษศาสตร์ กีฏวิทยาและมานุษยวิทยา) ในปี พ.ศ.2329
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย (กัมพูชา, อินเดีย, อินโดจีน, ญี่ปุ่น, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, ไทยและเวียดนาม) และแปซิฟิก (เฟรนช์โปลิเซีย, ไมโครนีเซีย, หมู่เกาะโซโลมอน) เปิดตัวในอเมริกาใต้ (เวเนซุเอลา) เติบโตในป่า ตามแนวชายฝั่งของลำธารน้ำจากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงประมาณ 700 เมตร

 

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา“ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์”
- https://www.queplantaeessa.com.br/tapia-crateva-religiosa/
- https://ayurwiki.org/Ayurwiki/Crateva_religiosa_-_Varuna

ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 5-12 เมตร เปลือกต้นสีเทาอ่อน มีรูอากาศสีขาวขนาดใหญ่ กระจายและมีรอยย่นตามแนวขวาง เรือนยอดแผ่กระจายหรือรูปทรงกลม ใบประกอบแบบนิ้วมือเป็นกระจุกที่ปลายสุดของกิ่งมีก้านใบยาว 5- 10 ซม. ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ (trifoliate) รูปไข่หรือรูปหอก ยาว 7.5-12 ซม.กว้าง 4-6 ซม.ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอกดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 ซม.ดอกเริ่มบานแรกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล-ส้มตามอายุ เกสรเพศผู้มีความยาวประมาณ 6-8 ซม. มีสีแดงหรือสีม่วง ผลมีเนื้อค่อนข้างกลมมีขนาดใหญ่ประมาณ 6-15 x 5.5-9.5 ซม.ก้านผลยาวประมาณ 12 ซม.เปลือกแข็ง มีเเมล็ดค่อนข้างใหญ่รูปไต  6-17 มม.ฝังอยู่ในเนื้อสีเหลือง เมื่อผลสุกสีเทา ผลสุกมีกลิ่นฉุน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 11: above 4.5 °C) อุณหภูมิที่เหมาะสม 20 ถึง 38 ℃ ชอบแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อย ทนทานต่อความแห้งแล้งในระดับปานกลาง
การรดน้ำ---ต้องการย้ำปานกลาง รดน้ำทุก ๆ 2สัปดาห์ หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---เริ่มตัดแต่งiรักษารูปทรง กิ่งก้านที่ตายแล้ว ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์แบบเจือจางทุกเดือนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี อย่าลืมใส่ปุ๋ยก่อนที่ดอกตูมจะเริ่มออก
ศัตรูพืช/โรคพืช---Leaf beetles (ด้วงใบ) /การขาดสารอาหาร, เหี่ยวเฉาหลังดอกบาน
รู้จักอ้นตราย---สายพันธุ์นี้ถูกรายงานว่าผลไม้มีพิษทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง
ใช้ประโยชน์ ---มักจะรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ
ใช้กิน--- ใบและยอดอ่อน ปรุงและกินเป็นผัก นำมาดองและกินกับน้ำพริก ผลไม้กินเป็นครั้งคราวมักคั่ว ใช้เป็นเครื่องเทศเนื่องจากมีรสชาติและกลิ่นของกระเทียม
ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือก ราก พืชถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายในการแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียสำหรับโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคของทางเดินปัสสาวะและในรูมาติก
- ในอินเดียใช้สำหรับการอักเสบและนิ่วในไต
- ในบังคลาเทศใช้เป็นยาแก้พิษ ใช้สำหรับความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ (หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ปอดบวม, ต่อมทอนซิลอักเสบและเจ็บคอ), โรคผิวหนัง (กลาก, ฝี, สิว, หิด, แผลเป็น, หูด),โรคระบบทางเดินอาหาร (บิด, ท้องผูก, ปวดท้อง) ปวดฟัน
- ในเซเนกัลราก ใช้รักษาโรคซิฟิลิส ดีซ่านและไข้เหลือง
- ในประเทศจีน ใช้ผลไม้แห้งเป็นพืชสมุนไพร
ใช้ปลูกประดับ--- มักใช้เป็นไม้ประดับสมุนไพรและอยู่ใกล้กับวัดและสุสาน
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้มีสีขาวเหลืองเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเมื่ออายุมาก เรียบและสนิทใช้งานง่าย ใช้ในท้องถิ่นเพื่อทำกลองและสิ่งประดิษฐ์ -ผลของกุ่มน้ำที่แก่บดผสมกับซีเมนต์ทำให้โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างแข็งแรงขึ้น เนื้อผลใช้เป็นสารกันบูดในการย้อมสี
ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีความเชื่อว่าต้นไม้มีพลังลึกลับ จึงได้ปลูกไว้รอบๆ วัด
- ความเชื่อที่เป็นมงคล หากบ้านเรือนใดปลูกกุ่มน้ำนี้ไซร้ จะทำให้ครอบครัวและคนในบ้านมีฐานะ มีเงินมีทองเป็นกอบเป็นกำเป็นกลุ่มเป็นก้อน แนบแน่นมั่นคงเป็นหลักเป็นฐาน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นไม้ชนิดนี้มีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2018 Crateva religiosa ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Crateva religiosa. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T32627A145369995. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T32627A145369995.en. Accessed on 19 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32627/145369995
- สายพันธุ์นี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคามโดย MEPC CAS (2013)
ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์-มิถุนายน/ กรกฎาคม-สิงหาคม (ถึงตุลาคม)
ขยายพันธุ์--- ด้วยเมล็ด (ควรหว่านทันทีที่สุก) ปักชำ ตอนกิ่ง


34 กุ่มบก/Crateva adansonii

[KRAY-tev-a] [ad-an-SOH-nee-eye]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Crateva adansonii DC.(1824)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:147449-1#:~:text=The%20native%20range%20of%20this,the%20seasonally%20dry%20tropical%20biome.
ชื่อสามัญ ---Sacred barnar, Sacred garlic pear, Temple plant, Caper tree
ชื่ออื่น ---กุ่มบก (ภาคกลาง), ผักกุ่ม (ศรีสะเกษ);[CHINESE: Dun ye yu mu.];[INDIA: Sacred barna.];[MALAYALAM: Mavalingam.];[THAI: Kum bok (Central); Phak kum (Sri Sa Ket).];[VIETNAM: Bún trái đỏ (Mắt núi).].
ชื่อวงศ์---CAPPARACEAE
EPPO Code--- CVAAD (Preferred name: Crateva adansonii)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---ประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตามเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ แอฟริกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crateva' หมายถึง Crateuas (หรือ Cratevas) แพทย์ของ Mithridates VI กษัตริย์แห่ง Pontus (ประมาณ 132-63 ปีก่อนคริสตกาล) ผู้เขียนหอพรรณไม้ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จัก ซึ่งข้อความนี้เป็นเพียงคำพูดของ Pedanius Dioscorides (ฉบับที่ 1) ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช) ในข้อความ De Materia Medica ของเขา; ; ชื่อเฉพาะ 'adansonii' ตั้งชื่อในลักษณะภาษาละตินหลอกสำหรับนักธรรมชาติวิทยาหลายคนที่ชื่อ Adanson โดยเฉพาะ Michel Adanson (1727 – 1806) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
Crateva adansonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยAugustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2367
3 Accepted Infraspecifics:
- Crateva adansonii subsp. adansonii.(1824)
- Crateva adansonii subsp. axillaris (C.Presl) Jacobs.(1964)
- Crateva adansonii subsp. odora (Buch.-Ham.) Jacobs.(1964)


ที่อยู่อาศัย---แพร่กระจายใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ; อินเดีย พม่า จีน (ไหหลำ ไต้หวัน ยูนนาน) กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย โพลินีเซีย หมู่เกาะโซไอเอตี จีนใต้ เขตร้อนแอฟริกา ; มอริเตเนีย ไปยังเอธิโอเปียทางใต้ สู่แทนซาเนีย ซิมบับเวและมาดากัสการ์ พบที่ระดับความสูงใกล้ระดับน้ำทะเลถึง 300 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นสูง 5-12 เมตร แตกกิ่งก้านต่ำ เปลือกต้นเรียบสีเทาเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ก้านใบยาว 7-9 ซม.ประกอบด้วยใบย่อย3ใบ ใบย่อยรูปรีกว้างประมาณ 4-6 ซม.ยาว 7.5-11ซม. โคนใบมน ปลายใบย้อยป้าน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมัน ขณะมีดอกใบจะร่วงหมดต้น  ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะออกดอกตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ดอกสีขาวอมเขียวแล้วค่อยเปลี่ยนเป็น สีเหลือง เกสรสีม่วงแดงยาวกว่ากลีบดอก ผลรูปกลมรี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3.5 ซม.เปลือกมีจุดสีน้ำตาลอมแดง ผลแก่เปลือกเรียบ เมล็ดแข็งรูปคล้ายเกือกม้าจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10b-11) ต้องการแสงแดดจัด80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินทรายลึกและดินร่วนปน แต่ขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด ดินชื้นสม่ำเสมอ ทนน้ำท่วมตามฤดูกาล
การรดน้ำ---ต้องการย้ำปานกลาง รดน้ำทุก ๆ 2สัปดาห์ หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---Unknown


การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
ใช้กิน---ใบอ่อน ยอดอ่อน ดอกอ่อน ของกุ่มน้ำและกุ่มบก นำมาดองกับน้ำเกลือรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริกกระปิ น้ำพริกปลาร้า น้ำพิกตาแดง  
ใช้เป็นยา---เปลือกต้นใช้เป็นยาระงับประสาทและยาบำรุง ใบและเปลือกรากใช้ทาถูนวดให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากๆ ผล ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูก ใบ บำรุงหัวใจ ขับลม ใบสด รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ราก บำรุงธาตุ เปลือกต้น เป็นยาขับลม แก่น รักษาริดสีดวงทวาร และอาการผอมเหลือง เจริญอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ
ใช้อื่น ๆ---ไม้เนื้ออ่อนและสีเหลืองและมีกลิ่นแรงเมื่อตัด ใช้งานไม่ทนใช้ทำของเล่นชิ้นเล็กๆ อุปกรณ์เครื่องดนตรี งานแกะสลัก ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน
- สีเหลืองได้มาจากกิ่งและใบ
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในประเทศอินเดีย และโพลินีเซีย จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ไว้รอบๆวัด และมีความเชื่อว่ามีพลังลึกลับแอบแฝง
* (ส่วนตัว) ต้นที่อยู่ในรูป 2 รูปข้างบนก็ถ่ายมาจากวัดเหมือนกัน คนไทยก็น่าจะเชื่อตามด้วย แต่น่าจะไม่เชื่อหมดเพราะรูปบนสุด ถ่ายที่ปั๊มป.ต.ท.หน้า outlet ประเทศไทย
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2018 Crateva adansonii ถูกระบุว่าเป็นข้อกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1  - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group 2019. Crateva adansonii DC.. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144035295A148990804.en. Accessed on 19 December 2023
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144035295/148990804
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (Schmidt et al 2017, National Red List เข้าถึงได้ในปี 2018).
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-กรกฎาคม-ผลแก่ พฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด มีรายงานว่าเมล็ดจะไม่งอกเมื่อแข่งขันกับหญ้าหรือพุ่มไม้ เมล็ดจะต้องนอนบนดินที่ชื้นและต้องไม่มีร่มเงาเพื่อความอยู่รอด   
- พืชสามารถรอดพ้นจากไฟป่า โดยแตกหน่อจากไม้เก่า 

  

*สกุล Neolamarckia  มี 2 ชนิด พบในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีชนิดเดียว ซึ่งเดิมเข้าใจว่าชื่อพฤกษศาสตร์คือ Anthocephalus chinensis (Lam.) A. Rich. ex Walp. ที่ปัจจุบันเป็นชื่อพ้องของ Breonia chinensis (Lam.) Capuron ชื่อชนิดมาจากภาษาบาลี “กทัมพ” และเป็นที่มาของชื่อ กระทุ่ม ในภาษาไทย ชื่อสกุลน่าจะมาจากเมล็ดคล้ายหญ้าในสกุล Lamarckia https://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=286
- *ไม่มีข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับการตั้งชื่อที่ถูกต้องสำหรับสกุลนี้หรือชนิดพันธุ์ภายในสกุลนี้ เราใช้ชื่อสามัญ Neolamarckia ตามรายการตรวจสอบโลกของพืชตระกูลที่เลือก แม้ว่าหน่วยงานอื่นๆ บางแห่งจะใช้ชื่อสามัญว่า Anthocephalus https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Neolamarckia+cadamba


35 กระทุ่ม/Neolamarckia cadamba

[nee-oh-la-MAR-kee-uh] [kuh-duhm-bah]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Neolamarckia cadamba (Roxb.) Bosser.(1984)
ชื่อพ้อง ---Has 9 Synonyms.
---Basionym: Nauclea cadamba Roxb.(1824).See https://www.gbif.org/species/2896888
---Anthocephalus cadamba (Roxb.) Miq.(1856)
---Samama cadamba (Roxb.) Kuntze.(1891)
---Sarcocephalus cadamba (Roxb.) Kurz.(1875)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:914296-1#synonyms
ชื่อสามัญ ---Burflower-tree, Leichhardt-pine, Common bur-flower-tree, Amboina, Kadam, Laran, Kadamba, Wild cinchona
ชื่ออื่น ---กระทุ่ม (ภาคกลาง, ภาคเหนือ);ตะกู (จันทบุรี, นครศรีธรรมราช, สุโขทัย); ตะโกใหญ่ (ตราด); ตุ้มพราย, ทุ่มพราย (ขอนแก่น); กระทุ่มบก กระทุ่มก้านยาว (กรุงเทพ); ตะโกส้ม (ชัยภูมิ, ชลบุรี); แคแสง (ชลบุรี); โกหว่า (ตรัง); กรองประหยัน (ยะลา); ตุ้มก้านซ้วง ตุ้มก้านยาว ตุ้มเนี่ยง ตุ้มหลวง (ภาคเหนือ); ตุ้มขี้หมู (ภาคใต้); ; ทุ่มพราย (ขอนแก่น); ปะแด๊ะ, เปอแด๊ะ, สะพรั่ง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ปาแย (มาเลย์-ปัตตานี); [ASSAMESE: Kadam, Roghu.];[BENGALI: Kadam.];[CAMBODIA: Thkoow.];[CHINESE: Tuan hua.];[HINDI: Kadamb.];[INDONESIA: Jabon (Java); Laran (Kalimantan); Emajang (Sumatra).];[KANNADA: Kadamba, Kadabe, Kadava, Kadavu, Kadaha, Helthege.];[LAOS: Koo-somz, sako.];[MALAYALAM: Katampu.];[MARATHI: Kadamb.];[MYANMAR: Mau-Iettan-she, Maukadon, Yemau.];[PAPUA NEW GUINEA: Labula.];[PHILIPPINES: Kaatoan bangkal (General).];[SANSKRIT: Haripriya, Kadamba.];[TAMIL: Katampam, Vellaikkatampu.];[TELUGU: Kadambakamu.].;[THAI: Krathùm, Krathum bok, Takoo.];[VIETNAMESE: Cay gao, Caftom, Gao trawng.].
EPPO Code---NEKCA (Preferred name: Neolamarckia cadamba)
ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้-เนปาล บังกลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย พม่า จีน ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Neolamarckia' เป็นเกียรติแก่นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส; ชื่อเฉพาะ 'cadamba' จากภาษาสันสกฤต 'kadamba' ชื่อของพืชชนิดนี้
Neolamarckia cadamba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean Marie Bosser (1922 – 2013) เป็นนักพฤกษศาสตร์และวิศวกรเกษตรชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2527


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเซียใต้ พบที่อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ ศรีลังกา พม่า จีน (กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน) ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และนิวกินี ขึ้นตามชายป่า ตามหุบเขาหรือริมลำธาร ความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ สูงประมาณ 15-45 เมตร มีลำต้นทรงกระบอกตรง เส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 100 (-160) ซม. แต่ปกติจะน้อยกว่า ต้นอ่อนมีลำต้นตรงยาวกิ่งด้านข้างกางออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอดและขนานกับพื้นดิน เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาอ่อน ผิวเรียบ ต้นแก่โตเต็มที่ บางครั้งมีพูพอน เรือนยอดเป็นรูปไข่ ทรงพุ่มกลมแน่น เปลือกนอกผิวหยาบและหลุดลอกเป็นแผ่น เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อน ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ฐานใบไม่สมมาตร กว้าง 5-14 ซม.ยาว 10-30 ซม.ใบอ่อนสีเขียวอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบแห้งเป็นหนังบาง ๆ ดอกสีขาวปนเหลืองหรือสีส้ม มีกลิ่นหอมกรุ่นอ่อนๆออกเป็นช่อกระจุกแน่น ลักษณะกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 35-45 มม.ออกเดี่ยวไม่เกิน 2 ช่อ เมื่อแก่จะกลายเป็นสีเหลืองเข้ม ผลกลุ่มรูปกลมขนาด 3.5-5 ซม.ผลอ่อนสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มีเนื้อ แตกออกได้เป็นสี่เสี้ยว มีเมล็ดแบน 0.5-0.7 มม.จำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 10-12) อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 23 °C ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงมีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ดินร่วนระบายน้ำดี ต้นไม้ไวต่อน้ำค้างแข็ง ความแห้งแล้ง และความชื้นที่มากเกินไป *ต้นอ่อนมักจะโตเร็วในช่วง 6 - 8 ปีแรก เริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 4 ปี เมื่อปลูกเป็นไม้มักจะโค่นเมื่ออายุประมาณ 10 - 15 ปี https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Neolamarckia+cadamba
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งต้นไม้ตามความจำเป็น เพื่อควบคุมขนาดและรูปทรงของต้นไม้
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยสูตรสมดุลในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย--None known
ใช้ประโยชน์---กระทุ่มเป็นไม้โตเร็วจัดอยู่ในประเภท "ไม้โตเร็วมาก" ต้นสูง เปลาตรงง่ายต่อการแปรรูป ได้ปริมาณเนื้อไม้ต่อต้นสูง ได้ขนาดและความยาวตามต้องการ ทนน้ำท่วมขัง และสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้หลังน้ำลด และเมื่อตัดโค่นแล้วสามารถงอกขึ้นใหม่ได้อีก ทำให้ไม่ต้องปลูกต้นกล้าหลายรอบ อีกอย่างหากมีอายุ 2 ปีขึ้นไปจะทนต่อสภาวะน้ำท่วมและโดนไฟป่าไม่ตาย นิยมปลูกเป็นสวนป่าเพื่อการใช้สอยและปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจและไม้เศรษฐกิจ
ใช้กิน---มีรายงานว่าผลไม้และช่อดอกสามารถรับประทานได้
ใช้ปลูกประดับ---ต้นไม้ต้นนี้กำลังกลายเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ปลูกมากที่สุดในเขตร้อนต้นหนึ่ง โดยมักปลูกตามถนน ริมถนน และในหมู่บ้านทั้งเพื่อประดับและให้ร่มเงา เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกทั้งในและนอกถิ่นกำเนิด
วนเกษตรใช้---เป็นสายพันธุ์บุกเบิกทั่วไปในพันธุ์ธรรมชาติ และเหมาะสำหรับโครงการปลูกป่าในประเทศไทยรู้จักกันในชื่อ ตะกูหรือตะกูยักษ์
- เติบโตเร็วและเหมาะสมสำหรับการปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำและพื้นที่ที่ถูกกัดเซาะ และแนวกันลม ในระบบวนเกษตร อีกทั้งยังเป็นไม้ให้ร่มเงาสำหรับปลูกในแนวเต็งรัง
- ต้นไม้จะปล่อยเศษใบไม้จำนวนมาก ซึ่งเมื่อสลายตัวจะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีบางประการของดินใต้ทรงพุ่ม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของระดับอินทรีย์คาร์บอนในดิน ความสามารถในการแลกเปลี่ยนไอออนบวก ธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ และฐานที่แลกเปลี่ยนได้
ใช้เป็นยา---ใบและเปลือกลดความดัน ผลใช้เป็นยาฝาดสมานแก้โรคท้องร่วง  ใบและเปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ รักษาโรคในลำไส้ แก้อาการปวดมดลูก น้ำต้มจากใบและเปลือกต้น ใช้อมกลั้วคอแก้อาการอักเสบในปาก
ใช้อื่นๆ---เนื้อไม้ที่ละเอียด สีเหลืองหรือสีขาว ไม้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นไม้ที่ไม่ทนทาน ใช้ในงานทั่วไปงานก่อสร้างเล็กๆสามารถนำมาใช้ทำพื้นและฝาที่ใช้งานร่ม หรือนำมาใช้ทำกล่อง ทำอุปกรณ์หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่มีน้ำหนักเบา และยัง นำมาใช้ทำเป็นเยื่อกระดาษได้
- สีย้อมสีเหลืองได้จากเปลือกราก
- ดอกไม้เป็นแหล่งของน้ำมันหอมระเหย เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ‘attar’ ซึ่งเป็นน้ำหอมของอินเดียที่มีฐานเป็นไม้จันทน์ (Santalum spp.) ซึ่งหนึ่งในสาระสำคัญจะถูกดูดซึมผ่านการกลั่นด้วยพลังน้ำ
- กรมไปรษณีย์ของอินเดียออกแสตมป์เพื่อรำลึกถึงต้นไม้ต้นนี้
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ต้นไม้นี้ได้รับการยกย่องอย่างสูงทางศาสนาและวัฒนธรรมในอินเดีย ชวา และมาเลเซีย ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของพระกฤษณะ
- Karam- Kadamba เป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวยอดนิยม ซึ่งเฉลิมฉลองในวันจันทรคติที่ 11 ของเดือน Bhadra จะนำกิ่งไม้มาสักการะที่ลานบ้าน ต่อมาในช่วงกลางวัน รวงข้าวจะถูกแจกจ่ายให้กับเพื่อนๆ และญาติๆ ประเพณีเทศกาลนี้ถูกนำมาใช้โดยชาว Tulu Onam ( Kerala ) และHuttari ( Kodagu ) เป็นรูปแบบภูมิภาคของเทศกาลนี้
- ในพุทธศาสนาเถรวาทต้นกาทัมเป็นที่ที่พระสุเมธพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ (พระพุทธเจ้าสุเมธะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สิบสี่จากยี่สิบเจ็ดองค์ที่อยู่ก่อนหน้าพระพุทธเจ้าองค์ ประวัติศาสตร์)
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล ---มิถุนายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด, ตอนกิ่ง


วงศ์ Calophyllaceae เป็นวงศ์ของพืชดอกในอันดับ Malpighiales และได้รับการยอมรับจาก ระบบ การจำแนกประเภท APG III ประกอบด้วยไม้พุ่มและต้นไม้ 14 สกุลและ 475 สายพันธุ์ที่กระจายอยู่ทั่วเขตร้อน (Steven, 2012) ที่รวมอยู่ในวงศ์ นี้เคยเป็นที่รู้จักในเผ่า Calophylleae ของวงศ์ Clusiaceae กลุ่ม Angiosperm Phylogeny ตัดสินใจว่าการแบ่งกลุ่มสกุลนี้ออกเป็นกลุ่มครอบครัวของตนเองเป็นสิ่งที่จำเป็น
สกุล Calophyllum เป็นสกุลที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้ ประกอบด้วยเกือบ 190 สปีชีส์ ( Stevens, 2012 ) ก่อนหน้านี้สปีชีส์ในวงศ์ Calophyllaceae เคยอยู่ในวงศ์ Clusiaceae

36 กระทิง/Calophyllum inophyllum.

[kal-oh-FIL-lum] [in-oh-FILL-um]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Calophyllum inophyllum L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.
---Balsamaria inophyllum (L.) Lour.(1790)
---Calophyllum bintagor Roxb.(1824)
---Calophyllum blumei Wight.(1840 )
---Calophyllum wakamatsui Kanehira,(1934)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:427190-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Alexandrian Laurel, Bornero mahogany, Indian laurel, Beautiful-leaf, Indian doomba oiltree, Satin touriga, Tacamahac-tree, Sweet-scented calophyllum, Beach mahogany.
ชื่ออื่น---กระทิง, สารภีทะเล, สารภีแนน; [AYURVEDA: Punnaaga, Tunga, Sultaan champaa, Naagchampaa, Raajchampaa.];[BANGLADESH: Ponyal.];[BENGALI: Kathchampa, Punnang, Sultanachampa.];[CHINESE: Hu tong.];[CUBA: Palo María.];[DUTCH: Zee-bintangor-boom.];[FIJI: Dilo.];[FRENCH: Loureiro de Alexandria, Takamaka, Takamaka bord de mer, Tamanou.];[GERMAN: Alexandrinischer Lorbeer, Ostindischer Takamahakbaum, Rosenholz, Wohlriechendes Schönblatt.];[HAWAII: Kamani, Kamanu, Foraha, Tamanu.];[HINDI: Sultan-champa, Surpunka, Undi.];[INDONESIA: Bintangor laut; Nyamplung (Javanese and Sundanese); Dingkaran (Sulawesi); Punaga, Penago (Sumatra).];[KANNADA: Hona, Hone, Honne kaayi mara, Mara, Surahonne ponne, Voma, Uma.];[MALAYALAM: Betan, Cerupunna, Pine, Ponna.];[MALAYSIA: Penaga laut, Bentagor bunga, Bintagor, Bintangor laut, Enaga, Penaga air (Malay); Pudek, Senaga.];[MARATHI: Nagchampa, Pumag, Surangi, Undag, Undi.];[MYANMAR: Ponnyet, Ph'ong.];[PAPUA NEW GUINEA: Beach calophyllum.];[PHILIPPINES: Bitaog, Bitok, Bitong, Butulau, Dagkalan, Palo maria de la playa (Tagalog); Pamitaogen (Iloko); Vutalau (Ivatan).];[PORTUGUESE: Loureiro-de-Alexandria, Pau-de-Santa-Maria, Pau-Maria, Tamanu.];[SANSKRIT: Namaeruak, Panchakaeshera, Punnaman, Tunga.];[SEYCHELLES: Takamaka, Tatamaka.];[SIDDHA/TAMIL: Punnai, Punnagam.];[SINHALA: Domba.];[SPANISH: Palo maría, Palo de Santa María, Tamanou.];[TAMIL: Arttakecam, Cayantakam, Koppika, Pinnai, Punnakam, Tevali.];[TELUGU: Naameru, Puna, Pumagamu.];[THAI: Kating, Kra ting (General); Saraphee naen (Northern); Naowakan (Nan).];[USA: Kamani, Kamanu (Hawaii), Mastwood.];[VIETNAM: Cong, Mù u.];[TRADE NAME: Beach calophyllum, Poon.].
EPPO Code--- CMUIN (Preferred name: Calophyllum inophyllum)
ชื่อวงศ์---COLOPHYLLACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---ทุกภูมิภาคเขตร้อนของโลก
* นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Calophyllum' คือการรวมกันระหว่างคำคุณศัพท์ภาษากรีก “καγός” (kalos) = สวยงาม และคำนามสำคัญ “φύγλον” (phyllon) = ใบไม้ โดยมีการอ้างอิงที่ชัดเจน ; ชื่อเฉพาะ 'nophyllum' คือการรวมกันของคำสำคัญในภาษากรีก “ις, ινος” (คือ, inos) = ไฟเบอร์ และ “φύллον” (phyllon) = ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงเส้นประสาทของใบ https://www.monaconatureencyclopedia.com/calophyllum-inophyllum-2/?lang=en
Calophyllum inophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด(Clusiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย---ถิ่นกำเนิด-แอฟริกาใน  คอโมโรส ; เคนยา ; มาดากัสการ์ ; มอริเชียส ; โมซัมบิก ; เซเชลส์ ; แทนซาเนีย-เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกใน: บังคลาเทศ ; กัมพูชา ; จีน (บนไหหลำ ); อินเดียตอนใต้ หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์อินโดนีเซีย ; ญี่ปุ่น ( หมู่เกาะริวกิว ); มาเลเซีย ; พม่า; ปาปัวนิวกินี ; ฟิลิปปินส์ ; ศรีลังกา ; ไต้หวัน ; ประเทศไทย ; เวียดนาม ;-โอเชียเนีย  หมู่เกาะคุก ; ฟิจิ ; เฟรนช์โปลินีเซีย; กวม ; หมู่เกาะมาร์แชลล์ ; ไมโครนีเซีย ; หมู่เกาะมาเรียนาเหนือ ; ปาเลา ; และซามัว ; และออสเตรเลียใน: นอร์เทิร์นเทร์ริทอรีและควีนส์แลนด์ มักพบตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดหินและทรายที่ระดับความสูงถึง 200 เมตร ปัจจุบันมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุก ภูมิภาค เขตร้อนของโลก
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบอาจสูงถึง 10-20 เมตร เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มหนาทึบไม่เป็นระเบียบ ลำต้นค่อนข้างสั้นและกิ่งก้านมักคดงอ เปลือกของลำต้นค่อนข้างเรียบเกลี้ยงไม่ตกสะเก็ดเหมือนสารภี นี่เป็นข้อแตกต่างข้อหนึ่ง เนื่องจากเป็นไม้วงศ์เดียวกัน ดูผิวเผินจะคล้ายกันมาก เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มปนเทาหรือค่อนข้างดำ ทุกส่วนของพืชมีน้ำยางข้นสีเหลืองเหนียว ใบหนาค่อนข้างแข็งเหนียวเป็นสีเขียวเข้มเป็นมันวาวเรียบเกลี้ยง ขนาดของใบกว้าง 5-8 ซม.ยาว 10-17 ซม. ใบรูปไข่มนกว้าง เส้นใบเป็นเส้นตรงขนานกันถี่มากและเกือบทำแนวขวางกับใบ ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ออกตามปลายกิ่ง โคนก้านใบ มีดอกย่อย 5-7 ดอก ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ผลทรงกลมเปลือกเหนียวและหนา เริ่มแรกมีสีเขียว สีเหลืองอมน้ำตาลเมื่อสุก ข้างในมีเนื้อ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-5 ซม. มีเมล็ดสีน้ำตาลทรงกลมเพียง 1 เมล็ด ยาว 1.5-4 ซม.     
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 10-11) อุณหภูมิที่เหมาะสม 18–33°C ทนอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 8°C ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดจัดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ทนร่มเงาได้บ้างแต่อาจจะไม่มีดอกมากนัก ชอบดินร่วนปนทราย ค่า pH ในช่วง 5.5 - 7 ทนได้ 5 - 8 อย่างไรก็ตามมันทนทานต่อดินหลายประเภท ทรายชายฝั่ง ดินเหนียว หรือแม้แต่ดินเสื่อมโทรม ปรับตัวได้ดีเพื่อให้ทนต่อลม การกัดเซาะ พายุไซโคลน และเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอื่นๆ อัตราการเติบโตช้าถึงปานกลาง การเจริญเติบโตในช่วงแรกจะช้าและออกดอกครั้งแรกจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านไป 7-8 ปี เป็นพืชที่ต้องดูแลรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการรดน้ำปานกลาง รดน้ำให้ลึกสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพดิน หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไปเพราะอาจทำให้รากเน่าและปัญหาอื่นๆ ได้
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกๆ สามเดือนในช่วงฤดูปลูก หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เนื่องจากปุ๋ยจะทำให้ใบเจริญเติบโตได้โดยไม่ออกดอกและผล
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อแมลงศัตรูพืช ไวรัส และเชื้อราหลายชนิด ส่งผลต่อใบ ผล และราก อาจได้รับผลกระทบจากโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อราLeptographium calophylliซึ่งทำให้ต้นตาย ด้วง Cryphalus trypanus เป็นพาหะของเชื้อโรค
รู้จักอ้นตราย---เมล็ดและทุกส่วนของพืชมีพิษหากกินเข้าไป น้ำยางระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา และอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

 

การใช้ประโยชน์--- พืชเอนกประสงค์ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งวัสดุ น้ำมันจากเมล็ดมีการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศในฐานะน้ำมัน tamanu oil หรือ foraha oil
ใช้เป็นยา---ทุกส่วนของพืชทั้งหมดมีคุณสมบัติเป็นยา ใช้ในการแพทย์แผนโบราณในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น การใช้งานจำนวนมากเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนโดยการวิจัยสมัยใหม่ น้ำมันเมล็ดใช้ภายนอกเป็นยาแก้ปวดกับโรคไขข้อและปวดตะโพกและเป็นยาแก้บวม, แผล, หิด, กลาก, ฝีและคัน
- ใช้ผสมทำเครื่องสำอางในพื้นถิ่นเรียกว่าTamanu Oil น้ำมันนี้ถูกใช้โดยชาวตาฮิติและประชากรอื่น ๆ ในแปซิฟิกใต้ ในฐานะที่เป็นครีมกันแดดและรักษาผิวตามธรรมชาติจากสภาพผิวที่เสียหายเช่น ผิวแห้งขาดน้ำ โรคผิวหนัง กลาก ผื่น สิว ป้องกันรังสี UVA และ UVB ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อใหม่จะช่วยฟื้นฟูไขมันในผิวหนังซึ่งช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก ส่วนประกอบทางเคมีและคุณสมบัติทางชีวภาพของน้ำมันทามานูนั้นได้ถูกนำเสนอโดยมุ่งเน้นการใช้งานแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการประเมินมูลค่าสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง
- Coumarins ที่แยกได้จากใบและเมล็ดแสดงให้เห็นว่าเป็นสารยับยั้งการติดเชื้อเอชไอวีชนิดที่ 1 พวกเขาอาจมีค่าในฐานะสารป้องกันมะเร็งเคมีบำบัด
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นต้นไม้ให้ร่มเงาและปลูกประดับใช้จัดสวนทั่วไป มักปลูกตามสวนสาธารณะและริมถนนด้วย สามาถปลูกใกล้ทะเล
วนเกษตร---ปลูกเป็นแนวป้องกันลมและ ยังใช้ในการเลี้ยงผึ้ง
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีชมพูถึงน้ำตาลแดง ทนต่อเชื้อราและปลวกได้พอสมควร เนื้อไม้แห้งช้าเสี่ยงกับการบิด เมื่อแห้งแล้วจะเสถียวในการใช้งาน ไม่แนะนำให้ใช้ไม้ซุงนี้ยาวเกิน 3 เมตรเพราะมักจะงอ ใช้สำหรับการก่อสร้างเรือแคนูและเรือเล็กเสากระโดงกระดูกงู ใช้สำหรับการก่อสร้างงานช่างไม้พื้นบันไดงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรี
- น้ำมันจากเมล็ดใช้ทำผ้ากันน้ำและใช้เป็นสารเคลือบเงา ในสมัยก่อนสารสกัดจากผลไม้ถูกนำมาใช้ในการทำสีย้อมสีน้ำตาลกับผ้าสี น้ำมันยังสามารถใช้ทำสบู่
- ผลสุกถูกเผาเป็นยาขับไล่ยุง
- Mavilan ชน เผ่าที่พูดภาษา TuluทางตอนเหนือของKeralaในอินเดีย ใช้เปลือกไม้ทำเป็นผงผสมกับน้ำ และนำไปใช้กับพืชที่ได้รับผลกระทบจากโรคพืชชนิดหนึ่งที่เกิดจากน้ำที่เรียกว่า neeru vembu
- ในพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะลูซอนในฟิลิปปินส์ น้ำมันถูกนำมาใช้สำหรับโคมไฟกลางคืน การใช้อย่างแพร่หลายนี้เริ่มลดลงเมื่อมีการจำหน่ายน้ำมันก๊าดนอกจากนี้ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับวิทยุในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
รู้จักอันตราย--- สารประกอบที่เป็นพิษอาจมีอยู่ในผลไม้สุก
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Calophyllum inophyllumถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด '(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.2018
source: Barstow, M. 2019. Calophyllum inophyllum. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T33196A67775081. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-1.RLTS.T33196A67775081.en. Accessed on 20 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33196/67775081
- ชนิดพันธุ์นี้พบได้ในการเพาะปลูกและการเก็บสะสมนอกแหล่งกำเนิด
- ในสถานที่ซึ่งชนิดนี้ถูกคุกคาม ควรส่งเสริมให้มีการปลูกทดแทนและปกป้องต้นไม้ที่เหลือ (Thomson et al. 2018)
ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี
ขยายพันธุ์ ---โดยการเพาะเมล็ดในดินร่วนทรายที่อุณหภูมิ 24-26 °C โดยมีระยะเวลาการงอกประมาณหนึ่งเดือน


37 กระบก/Irvingia malayana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Irvingia malayana Oliv. ex A.W.Benn.(1875)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.
---Irvingella malayana (Oliv. ex A.W.Benn.) Tiegh.(1905)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:813775-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Barking deer’s mango, Wild almond, African Mango Irvingia
ชื่ออื่น---กระบก, กะบก, จะบก, ตระบก (ภาคกลาง); จำเมาะ (เขมร); ซะอัง (ชอง-ตราด); บก, หมักลื่น, หมากบก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะมื่น, มื่น (ภาคเหนือ); มะลื่น (นครราชสีมา, สุโขทัย); หลักกาย (ส่วย-สุรินทร์) ;[CAMBODIA: Chambok, Cham mo.];[INDONESIA: Asem pau, Batu, Euselu, Kayu batu, Kayu tulang, Kayu tulung, Kerangi, Melenna gunung, Patok entilit, Pau kijang, Tengilan.(Borneo).];[MALAYSIA: Bunga paukijang, Kebayang, Merelang, Mirlang, Pauh kijang (Malay); Emplas batu, Kulut, Pauh bayan, Pauh kijang, Pauh rusu, Sepah bougin, Sepah bungin, Kalek, Karsik, Kaju bongin, Sepah, Pauh mente (Sumatra).];[THAI: Bok, Cha bok, Krabok, Kabok, Lak kai, Ma luen, Ma muen, Mak bok (North-Eastern Thailand); Mak luen, Muen (Northern Thailand), Sa ang, Tra bok (Central Thailand).];[VIETNAM: Kơ nia, Đậu trướng.].
EPPO Code---IRVMA (Preferred name: Irvingia malayana)
ชื่อวงศ์---IRVINGIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้-อินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย ศิงคโปร์ บรูไน สุมาตรา บอร์เนียว
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Irvingia' เป็นเกียรติแก่ Edward George Irving (1816–1855) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ; ชื่อเฉพาะ 'malayana' มาจากภาษาละตินหมายถึง "แห่งมลายา"
Irvingia malayana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระบก (Irvingiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Daniel Oliver (1830–1916)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Alfred William Bennett (1833–1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2418
ที่อยู่อาศัย---เติบโตตามธรรมชาติในอินโดจีนและมาเลเซีย มีถิ่นกำเนิดในบรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ลาว ไทย เมียนมาร์ และเวียดนาม พบในป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ตามป่าเต็งรังผสม จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 0-600 เมตร
-ในประเทศไทย พบในภาคต่างๆทั่วประเทศไทย

ลักษณะ---เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 50 เมตรในบางช่วงของพันธุ์ (Kulip and Wong 1995) ในพื้นที่อื่นๆ เช่น เวียดนามและ สปป. ลาว  ชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่า โดยมีความสูงถึง 35 เมตร (Van Sam et al. 2004) มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุดได้ถึง 2 เมตร เรือนยอดทึบแผ่กว้าง ลำต้นหนา เปลาตรงโคนต้นเป็นพูพอนขนาดใหญ่ เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ด เปลือกชั้นในสีส้มอ่อน ใบเดี่ยวขนาดกว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 7-12 ซม.เรียงสลับแบบวนรอบ รูปมนรีปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างมักมีนวลสีเขียวเทา หูใบเรียวม้วนหุ้มยอด ดอกขนาด0.6ซม.สีขาวอมเขียว ออกเป็นกลุ่มช่อแบบช่อกระจะสั้นๆในซอกใบ ดอกมักออกก่อนจะเกิดใบชุดใหม่ ดอกร่วงอย่างรวดเร็ว กลีบเลี้ยง 5 กลีบเชื่อมกัน กลีบดอก 5 กลีบยาวเป็น 3 เท่าของกลีบเลี้ยง เกสรเพศผู้ 10 อัน ติดกับขอบนอกของหมอนรองดอก ผลเมล็ดเดียว ขนาด 4-6 ซม.สีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุกภายในมีเนื้อสีส้ม ผลห้อยมีก้านยาวคล้ายๆกับมะม่วงขนาดเล็ก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) ดินร่วนอุดมสมบูรณ์เป็นกรดเล็กน้อย มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินชื้นสม่ำเสมอ
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและเป็นแหล่งของน้ำมันและไม้
ใช้กิน---ผลไม้มีรสหวาน เมล็ด - ดิบหรือสุก เนื้อในเมล็ดนำมาคั่วกินได้
ใช้เป็นยา---ในอินโดนีเซียสารสกัดเปลือกลำต้นใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาโรคมะเร็งและ มาลาเรีย
- * ปัจจุบันมีการวิจัยพบว่าเมล็ดกระบกจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ  เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดไขมันชนิดอิ่มตัว ได้แก่ กรดปาล์มมิติก กรดลอริก ไมริสติก และกรดสเตียริก ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ กรดไลโนเลอิก กรดโอเลอิกและกรดปาล์มมิโตเลอิก ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยบำรุงไต ช่วยบำรุงเส้นเอ็นและไขข้อ https://www.thaihof.org/
ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกตามสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ทั่วไป
อื่น ๆ---เนื้อไม้แข็งแต่ใช้งานยาก ไม้มีคุณภาพต่ำไม่ทนทาน ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป แต่ส่วนมากจะใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่านอย่างดี  
- ผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับสัตว์กินพืชหลายชนิด
- ต้นไม้มักถูกละเว้นในระหว่างการเคลียร์แหล่งที่อยู่อาศัย เนื่องจากไม้นั้นตัดยากเกินไป
- เมล็ดเป็นแหล่งของน้ำมันที่ไม่ทำให้แห้งซึ่งเรียกว่า 'cay-cay fat' มีศักยภาพที่จะใช้ในอาหาร ใช้ทำสบู่ เทียน และมีการศึกษาอย่างกว้างขวางเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงดีเซล
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในภูมิภาคและแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งมีการตัดไม้ทำลายป่าในอัตราสูง สิ่งนี้อยู่ในรูปแบบของการเปลี่ยนมาสู่เกษตรกรรม (ทั้งการยังชีพและอุตสาหกรรมเกษตร) การตั้งถิ่นฐานและเขตเมือง ป่าที่ลุ่มมักถูกตัดไม้ซึ่งทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรมและคุกคามต้นไม้โดยตรงเมื่อถูกถอนออกไปเป็นไม้ บางท้องถิ่นจะได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามเหล่านี้แย่กว่าที่อื่น ดังนั้นจึงไม่ใช่ภัยคุกคามที่สำคัญในทุกสายพันธุ์ ได้รับการประเมินใน บัญชีแดงของ IUCN Red List of Threatened Speciesในปี 2019 Irvingia Malayana ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.2019
source: Barstow, M. 2020. Irvingia malayana. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T33227A67741108. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-2.RLTS.T33227A67741108.en. Accessed on 21 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33227/67741108
-พบสายพันธุ์นี้ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิดเจ็ดแห่ง (BGCI 2019) มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองตลอดแนว นอกจากนี้ ในกรณีที่ใช้พันธุ์ไม้เป็นผลไม้ ต้นไม้จะได้รับการคุ้มครองตามคุณค่าในการดำรงชีวิต ชนิดพันธุ์นี้ถือว่าถูกคุกคามในสิงคโปร์ (Chong et al. 2009) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะภัยคุกคามและขอบเขตของการใช้ประโยชน์ในแต่ละสถานะช่วงจะเป็นประโยชน์สำหรับสายพันธุ์นี้
สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---Native to Singapore (Critically Endangered (CR))
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม/ กุมภาพันธ์ - เมษายน
ขยายพันธุ์ --- เพาะเมล็ด


* lHydnocarpus เป็นสกุลของต้นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ในวงศ์ Achariaceae ; สกุลนี้เคยถูกจัดอยู่ในวงศ์ Flacourtiaceae ที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไป แล้ว มีการบันทึกชนิดพันธุ์จากอิน โดจีนอินโดนีเซียมาเลเซียและฟิลิปปินส์ https://en.wikipedia.org/wiki/Hydnocarpus

* Hydnocarpus castaneus เป็นพรรณไม้ในวงศ์ Achariaceae ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า Hydnocarpus anthelminthicus เป็นคำพ้องความหมาย https://en.wikipedia.org/wiki/Hydnocarpus_castaneus

38 กระเบา/Hydnocarpus castaneus

   

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydnocarpus castaneus Hook.f. & Thomson (1872)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms .See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:111741-1#synonyms
---Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness.(1886)
---Hydnocarpus castaneus var. pseudoverrucosus Sleumer in(1938)
ชื่อสามัญ---Chaulmoogra Tree, Siamese chaulmoogra.
ชื่ออื่น--- กระเบา (ทั่วไป); กระเบาค่าง (ยะลา); กระเบาแดง (ตรัง); กระเบาตึก (เขมร-ภาคตะวันออก); กระเบาน้ำ, กระเบาเบ้าแข็ง, กระเบาใหญ่, กาหลง (ภาคกลาง); ตัวโฮ่งจี๊ (จีน); เบา (สุราฎร์ธานี); เบาดง (สตูล); มันหมู (ตรัง); หัวค่าง (ภาคใต้);[CHINESE: Tai guo da feng zi, Da feng zi (Taiwan).];[FRENCH: Hydnocarpus du Cochin.];[ITALIAN: Hydnocarpus, Lukrabo.];[JAPANESE: Daifuushi no ki.];[MALAYSIA: Setumpul, Setumpol (Malay).];[THAI: Bao (Surat Thani); Bao dong (Satun); Krabao (General); Krabao bao khaeng (Central); Krabao daeng (Trang); Krabao yai (Central); Krabao khang (Yala); Kra-bao-tuek (Khmer-Eastern); Krabao nam (Central); Ka long (Central); Tua-hong-chi (Chinese); Man mu (Trang); Hua khang (Peninsular).];[VIETNAM: Chùm bao lớn, Đại phong tử, Lọ nồi].
EPPO Code---HDCCA (Preferred name: Hydnocarpus castanea)
ชื่อวงศ์---ACHARIACEAE (FLACOURTIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ภูมิภาคอินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hydnocarpus' รนิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hydnocarpus' มาจากคำภาษากรีกว่า "hydnon" ซึ่งแปลว่า "หัวหรือตุ่ม" และ "karpos" ซึ่งแปลว่า "ผลไม้" และหมายถึงรูปร่างของผลไม้ = "truffle-fruit" โดยอ้างอิงถึงรูปลักษณ์ของผลไม้ ; ชื่อเฉพาะ 'castaneus' หมายถึง สีน้ำตาลเกาลัด
Hydnocarpus castaneus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Achariaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และ Thomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2415

   

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดมาจากพม่า พบในจีนตอนใต้ (กวางสี , ยูนนาน , ปลูกในมณฑลไห่หนานและไต้หวัน) กัมพูชาไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ พบได้ทั่วไปในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ป่าฝนหรือ ป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 300 - 1,300 เมตร
- ในประเทศไทยพบกระจายทุกภาค ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึง 1600 เมตร
ลักษณะ--- เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-20 เมตรไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทาน้ำตาล เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบรูปไข่แกมรูปหอก 10-20 ? 3-8 ซม., ใบหนาเกลี้ยง ก้านใบยาว0. 5-1.5 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) มีกระเบาต้นตัวผู้ ดอกมีกลิ่นหอม เรียกว่า "แก้วกาหลง" ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวหรือช่อสั้นๆตามง่ามใบ ดอกสีชมพู กลีบรองดอกและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลกลมใหญ่ ขนาด 5-10 ซม.ผิวเรียบมีขนสีน้ำตาลแดง ผนังผลชั้นกลางหนาประมาณ 1 ซม.ประกอบด้วยเมล็ดหนาแน่น 20 - 30 เมล็ด ยาวประมาณ 25 - 33 มม. และกว้าง 18 - 25 มม.
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น (USDA Zone 10-12) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ปลูกได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี และเติบโตได้ดีที่สุดตามลำห้วยหรือบนฝั่งลำธาร อัตราการเจริญเติบโตของพืชปานกลาง
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้ง รดน้ำน้อยลงตลอดช่วงฤดูหนาว 
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ
รู้จักอันตราย---*แม้ว่าเราจะไม่เห็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสปีชีส์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกในประเภทนี้มักมี cyanogenic glycosides แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากสิ่งนี้ถูกใช้เป็นยาเพื่อกระตุ้นการหายใจและปรับปรุงการย่อยอาหาร มันถูกอ้างว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกินอาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Hydnocarpus+castaneus
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและเพื่อการค้า ใช้ เป็นอาหารและแหล่งที่มาของเส้นใย มันถูกเพาะปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในแอฟริกาตะวันตกสำหรับน้ำมันเมล็ด และยังใช้เป็นไม้ประดับ
ใช้กิน---เนื้อผลกินได้
ใช้เป็นยา---เป็นหนึ่งในสมุนไพรพื้นฐาน 50 ที่ใช้เป็นยาในการแพทย์แผนจีนซึ่ง มีชื่อว่า Da feng zi
- น้ำมันจากเมล็ดที่รู้จักกันในชื่อ Lukrabao หรือน้ำมัน Chaulmoogra ใช้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษาสภาพผิวที่หลากหลายรวมถึงโรคเรื้อน ใช้เฉพาะที่ในการรักษาเท้าช้าง, โรคไขข้อ, เคล็ดขัดยอก, ฟกช้ำ ปวดตะโพกและหน้าอก เปลือกไม้ใช้ในการรักษาไข้
- ในประเทศไทยใช้เมล็ดแก่นำไปหีบทำน้ำมันทาแก้โรคผิวหนัง และวัณโรค สมัยก่อนมักนิยมนำมาใช้สำหรับรักษาโรคเรื้อน ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว ยังช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง รักษาโรคผิวหนังเรียกได้ว่าแทบทุกชนิด คุดทะราด และโรคผิวหนังผื่นคัน
ใช้ปลูกประดับ---ใช้ปลูกเป็นต้นไม้ริมถนน ปลูกในสวนสาธารณะและสวนทั่วไป
ใช้อื่น ๆ---ไม้มีสีขาว มักใช้เฉพาะกับอาคารบ้านเรือน (เสา) การก่อสร้างหนักชั่วคราวเสารั้ว วงกบประตูและหน้าต่าง
- เมล็ดนั้นเป็นแหล่งของน้ำมันที่ไม่ทำให้แห้ง มันใช้สำหรับให้แสงสว่างเพื่อทำสบู่และยา เปลือกที่ทำจากเส้นใยใช้เป็นสายระนาบ
- เมล็ดใช้เป็นยาฆ่าแมลง
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มกราคม - มิถุนายน
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด  หว่านทันทีที่สุก ซึ่งมักจะงอกเร็ว การงอกของเมล็ดที่เก็บไว้อาจทำได้ช้า โดยบางชนิดในสกุลอาจใช้เวลานานถึง 2 ปี เพาะเมล็ดในที่ร่มในแปลงเพาะเมล็ดและให้ความชุ่มชื้น ปลูกบนกล้าไม้ในที่ร่มจนโตพอที่จะย้ายปลูกในตำแหน่งถาวร  

       

39 กระเบากลัก/Hydnocarpus ilicifolia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydnocarpus ilicifolia King.(1896)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Taraktogenos ilicifolia (King) Kerr.(1930)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:111748-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Indian oil tree, Holly Leaf Hydnocarpus
ชื่ออื่น---กระเบากลัก (สระบุรี); กระเบาซาวา (เขมร-กาญจนบุรี); กระเบาพนม (เขมร-สุรินทร์); กระเบาลิง (ทั่วไป); กระเบาหิน (อุดรธานี); กระเบียน (จันทบุรี); กระเรียน (ชลบุรี); ขี้มอด (จันทบุรี); คมขวาน (ประจวบคีรีขันธ์); จ้าเมี่ยง (สระบุรี, แพร่); ดูกช้าง (กระบี่); บักกราย, พะโลลูตุ้ม (มาเลย์-ปัตตานี); หัวค่าง (ภาคใต้) ; [THAI: Krabao klak (Saraburi); Kra-bao-sa-wa (Khmer-Kanchanaburi); Kra-bao-pha-nom (Khmer-Surin); Krabao ling (General); Krabao hin (Udon Thani); Krabian (Chanthaburi); Krarian (Chon Buri); Khi mot (Chanthaburi); Khom khwan (Prachuap Khiri Khan); Cha miang (Saraburi, Phrae); Duk chang (Krabi); Bak-krai (Malay-Pattani); Pha-lo-lu-tum (Malay-Pattani); Hua khang (Peninsular).]; [VIETNAM: Lọ nồi ô rô].
EPPO Code---HDCSS (Preferred name: Hydnocarpus sp.)
ชื่อวงศ์---ACHARIACEAE (FLACOURTIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้: ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hydnocarpus' รากศัพท์จากภาษากรีก uδνον (hýdnon) = ฟองน้ำและ χαρπoς (karpós) = ผลไม้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'ilicifolia' คำคุณศัพท์ภาษาละตินที่แปลว่า " ilex (ฮอลลี่) ใบ"
Hydnocarpus ilicifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Achariaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียในปี พ.ศ.2439


ที่อยู่อาศัย---ขึ้นกระจายอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพรรณไม้หลักของป่าดิบแล้งและป่าเบณจพรรณชื้น ป่าใกล้ชายทะเลบริเวณใกล้เขาหินปูนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 20-400 เมตร
- ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยมักขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามเขาหินปูน และใกล้ชายทะเล บนพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงประมาณ 800 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูง 15-20 เมตร ลำต้นส่วนใหญ่เปลาตรงเปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมแดง ผิวเรียบ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยง กลิ่นเหม็นเขียว ใบ เดี่ยวเรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมใบหอก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-7.5 ซม.และยาวประมาณ 7.5-16 ซม.เนื้อใบหนาเกลี้ยงเป็นมัน โคนใบมนหรือเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบจักฟันเลื่อยห่าง เห็นได้ชัดในใบอ่อน ก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.5 ซม.ดอกสีเขียวอ่อน แยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ช่อละประมาณ 2-10 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1.5 ซม.มีขนสีน้ำตาลแดง ดอกย่อยเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอมเขียว กลีบดอกมี 4 กลีบรูปขอบขนาน ปลายตัด ความยาวไล่เลี่ยกับกลีบเลี้ยง มีขนที่ปลายกลีบ ด้านนอกเกลี้ยง ที่โคนก้านในมีเกล็ดรูปเกือบสี่เหลี่ยม ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มม.ดอกเพศผู้มีเกสรประมาณ 14-20 อัน ก้านชูอับเรณูสั้น มีขน ส่วนดอกเพศเมีย จะมีเกสรเพศผู้ที่ไม่สมบูรณ์จำนวน 15 อัน รังไข่เป็นรูปไข่ มีขนสีน้ำตาลแดง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 4 แฉก ผลกลมแข็งขนาด4-8ซม.ผิวมีขนนุ่มเป็นกำมะหยี่สีดำ ผลหนึ่งๆมีเมล็ด10-15 เมล็ด เมล็ดรูปไข่ ขนาดกว้างประมาณ 1-1.5ซม.ยาวประมาณ 1.3-2.2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น (USDA Zone 10-12) อุณหภูมิกลางวันประจำปีตกอยู่ในช่วง 28 - 34°C ทนอุณหภูมิได้ต่ำถึง (- 4 °C) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และร่มเงา (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ทนต่อดินได้หลากหลาย โดยเลือกใช้ค่า pH ในช่วง 4.5 - 5 แต่ทนได้ 4 - 5.5 เจริญเติบโตได้ดีที่สุดตามลำห้วยหรือริมลำธาร
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้ง รดน้ำน้อยลงตลอดช่วงฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อศัตรูพืชและโรค
รู้จักอันตราย---แม้ว่าเราจะไม่เห็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสปีชีส์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกในประเภทนี้มักมีไซยาโนเนติก glycosides แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากสิ่งนี้ถูกใช้เป็นยาเพื่อกระตุ้นการหายใจและปรับปรุงการย่อยอาหาร มันถูกอ้างว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกินอาจทำให้หายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน  เนื้อในผลกินได้ ลิงชอบเป็นพิเศษ
ใช้เป็นยา---* เราไม่พบข้อมูลเฉพาะสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่เมล็ดของสมาชิกหลายชนิดในสกุลนี้มีน้ำมันที่อุดมไปด้วยสารประกอบออกฤทธิ์ทางการแพทย์อย่างกรด chalmogric, กรด hydnocarpic น้ำมันได้รับการแสดงให้เห็นว่าเป็นการรักษาเฉพาะที่ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับปัญหาผิวต่างๆ (รวมถึงโรคเรื้อน) บาดแผล โรคไขข้อ ฯลฯ https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Hydnocarpus+ilicifolius
- ผลใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคเรื้อน มะเร็ง คุดทะราด
- เมล็ดให้น้ำมัน (chaulmoogra oil ) ที่เหมาะแก่การบำบัด โรคผิวหนัง ทำยาถ่ายพยาธิ แก้โรคเรื้อน แก้วัณโรค
- รากและเนื้อไม้ใช้เป็นยาดับพิษทั้งปวง แก้เสมหะเป็นพิษ
- ใบใช้เป็นยาแก้พิษบาดแผล ฆ่าพยาธิบาดแผล และแก้กลากเกลื้อน
ใช้ปลูกประดับ--- กระเบากลักมีเรือนยอดกลมใบหนาให้ร่มเงาได้ดี ใช้ปลูกตกแต่งบริเวณบ้าน ที่ทำการ สวนหย่อมสาธารณะได้เป็นอย่างดี สามารถปลูกในภาชนะได้
ช้อื่นๆ--- เนื้อไม้แปรรูป ใช้ทำกระดาน ด้ามเครื่องมือ เครื่องแกะสลัก ทำฟืนและถ่าน  น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้ทำสบู่
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Hydnocarpus ilicifolius ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2021. Hydnocarpus ilicifolius. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T192354498A192374361. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T192354498A192374361.en. Accessed on 22 December 2023.
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน – พฤษภาคม/ผลแก่ กรกฎาคม- สิงหาคม
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เพาะเมล็ด  หว่านทันทีที่สุก ซึ่งมักจะงอกเร็ว การงอกของเมล็ดที่เก็บไว้อาจทำได้ช้า โดยบางชนิดในสกุลอาจใช้เวลานานถึง 2 ปี เพาะเมล็ดในที่ร่มในแปลงเพาะเมล็ดและให้ความชุ่มชื้น ปลูกบนกล้าไม้ในที่ร่มจนโตพอที่จะย้ายปลูกในตำแหน่งถาวร    

      

40 กระโดน/Careya arborea

[KARE-ee-a] [ar-BOR-ee-uh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Careya arborea Roxb.(1819)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.
---Barringtonia arborea (Roxb.) F.Muell.(1866)
---(More). See all https://powo.science.kew.org/taxon/469163-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Ceylon oak, Tummy-wood, Patana oak, Slow- Match Tree, Wild Guava, Ceylon Oak.
ชื่ออื่น--กระโดน (ภาคกลาง, ภาคใต้); กะนอล (เขมร); ขุย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); แซงจิแหน่, เส่เจ๊อะบะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ปุย (ภาคเหนือ, ภาคใต้); ปุยกระโดน (ภาคใต้); ปุยขาว, ผ้าฮาด (ภาคเหนือ); พุย (ละว้า-เชียงใหม่); หูกวาง (จันทบุรี) ;[ARABIC: Jazar-ul-Shaitan.];[ASSAMESE: Kumari, Kumbhi, Kumrega, Panibhela, Kum Kumari, Pani-bhela.];[AYURVEDA: Katabhi, Kumbhika, Kumbhi, Kumbi, Kaitrya, Kumudikaa.];[BENGALI: Kamber.];[CAMBODIA: Kandaol (Central Khmer).];[CHINESE: Dà hú guǒ.];[HINDI: Kumbhi, Pilu.];[INDIA: Alam, Araya, Ayma, Kumbi, Pelu.];[KANNADA: Daddala, Kavalu mara, Kaval.];[KHMER: Kandaol.];[MALAYALAM: Alasoo, Aalam, peezh.];[MALAYSIA: Putat- kedang.];[MARATHI: Kumbhi.];[MYANMAR: Sangawn-gmawt, Bambwe, Hou-no, Mai-pinngo, Thelaw.; Patana oak, Slow match tree, Tummy wood.(English).];[SANSKRIT: Avima, Kumbha, Kumbhi, Katabhi, Pelaimaram.];[SIDDHA/TAMIL: Kumbi, Ayma.];[SRI LANKA: Kahata, Kachaddai.];[TAMIL: Avima, Kumpi, Kachaddai, Pelaimaram, Puta-tanni-maram.];[TELUGU: Araya, Budatadadimma, Budatanevadi, Buddaburija, Gadava.];[THAI: Kradone (Central, Peninsular); Ka-non (Khmer); Khui (Karen-Kanchanaburi); Se-choe-ba, Saeng-chi-nae (Karen-Mae Hong Son); Pui (Peninsular, Northern); Pui kradon (Peninsular); Pui khao, Pha hat (Northern); Phui (Lawa-Chiang Mai); Hu kwang (Chanthaburi).];[TULU: Daddaal.];[VIETNAM: Vừng, Vừng xoan.];[TRADE NAME: Careya, Kumbi.]
EPPO Code--- CBRAR (Preferred name: Careya arborea)  
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา เนปาล พม่า ไทย ลาว มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Careya' ตั้งตาม William Carey (1761-1834)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นหมอสอนศาสนาในอินเดีย ; ชื่อเฉพา 'arborea'
Careya arborea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2362
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย อัฟกานิสถาน และอินโดจีน กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในศรีลังกา อินเดีย คาบสมุทมาเลย์ ที่ระดับความสูง 1,500 เมตร
- ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าโล่ง รวมทั้งป่าเบญจพรรณและป่าแดงทั่วทุกภาค ในระดับความสูง 50-500 เมตร

ลักษณะ---กระโดนเป็นต้นไม้ผลัดใบ ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 8-20 เมตร ลำต้นเปลาตรงมีกิ่งก้านสาขามาก  เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลปนเทาหรือปนดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดทั่วไป ใบเดี่ยว รูปไข่กลับเรียงเวียนสลับตามปลายกิ่งขนาดใบกว้างประมาณ 8-14 ซม.ยาว15-30 ซม. ขอบใบหยักมน ปลายใบมน ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ประมาณ 5-6 ซม.สีขาวหรือสีเขียวอ่อนออกเป็นช่อตามกิ่งหลังผลิใบใหม่ มีเกสรเพศผู้ยาวเป็นฝอยจำนวนมากสีแดงหรือม่วงยาวเป็น2เท่าของกลีบดอก ดอกบานตอนกลางคืนและร่วงตอนเช้าตรู่ของวันถัดไป ผล อวบน้ำมีเนื้อมาก เปลือกหนาขนาดประมาณ 6.3-7.5 ซม. สีเขียวสดเมื่อสุกสีน้ำตาล มีก้านเกสรเพศเมียและกลีบเลี้ยงติดอยู่ มีเมล็ดหลายเมล็ด สีน้ำตาลเข้ม รูปไข่ ทรงรี ยาว 1.5 ถึง 2 ซม.ไม่แยกส่วน เทสต้าแข็งและมีรอยย่น  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9-11) ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) พืชสามารถทนต่อสภาพแสงได้หลากหลาย ทนต่อดินได้หลากหลายประเภท ขึ้นได้ในดินที่เต็มไปด้วยทรายหรือแม้กระทั่งหินและทนความแห้งแล้งได้ดี อัตราการเจริญเติบโตในระดับปานกลาง และอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะโตเต็มที่ ขนาดเส้นผ่านศุนย์กลางเพิ่ม 0.5 ซม.ต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ
*การรดน้ำ---รดน้ำต้นไม้เป็นประจำ แต่ต้องแน่ใจว่าดินมีการระบายน้ำดีเพื่อป้องกันน้ำขัง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยพืชด้วยปุ๋ยที่สมดุลในฤดูปลูกเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี https://leaflibrary.com/careya-arborea/
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อศัตรูพืชและโรค อย่างไรก็ตาม อาจได้รับผลกระทบจากสิ่งต่อไปนี้ Bactrocera kandiensis (แมลงวันผลไม้),Cricula trifenestrata (ผีเสื้อกลางคืนไหมป่า), Trirachys holosericeus (หนอนเจาะลำต้น), Redbanded Thrips (เพลี้ยไฟแถบแดง)/ ใบจุด, รากเน่า (เกิดจากรดน้ำมากเกินไปหรือดินระบายน้ำไม่ดี)
รู้จักอันตราย---เมล็ดและรากมีพิษเล็กน้อย มีปริมาณ oxalic acid สูง อาจทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ช้ประโยชน์ ---ใช้กิน ยอดอ่อน ดอกอ่อน เมล็ดอ่อน กินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก รส ฝาดมัน
ใช้เป็นยา---พืชชนิดนี้เป็นยาสมุนไพรยอดนิยมในอินเดีย ซึ่งมักเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้และค้าขายในท้องถิ่น
- ส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ใช้ในการแพทย์อายุรเวท เรีกว่า 'kumbhi' เปลือกลำต้นและดอกเป็นสมุนไพรทำยาหลายตำรับ สรรพคุณของเปลือกใช้แก้อาการจุกเสียด, ท้องอืด, ท้องผูก, ปวดท้อง, ไอ, ผื่นไข้ ใช้เป็นยาทำความสะอาดบาดแผล รักษาโรคผิวหนังได้ดี โรคบิด หน้าบวม
- ผลไม้แห้ง มีกลิ่นหอม รสฝาดใช้เป็นยาขับลมในท้อง-ใบไม้ป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร
- ในกัมพูขา เปลือกใช้รักษางูกัด ใบช้รักษาแผลเปื่อย
- แพทย์พื้นบ้านใช้เปลือกต้นเป็นยาสมาน
- ดอกใช้บำรุงสตรีหลังคลอด ผลช่วยการย่อยอาหาร
- ในพม่า เปลือกใช้รักษางูกัด ใบ ใช้รักษาแผลพุพอง
- ในอินเดีย ผลไม้และเปลือกไม้ ใช้รักษางูกัด
- น้ำจากเปลือกและดอกของดอกมีรสฝาดและเป็นเมือก มักใช้ในประเทศอินเดียเพื่อรักษาอาการไอและหวัด และใช้ภายนอกเป็นยาคุมกำเนิด
ใช้ปลูกประดับ---ใบที่มีสีสันและลักษณะการเติบโตที่รวดเร็วทำให้พืชชนิดนี้เหมาะสำหรับการปลูกไม้ประดับให้ร่มเงา ตามสวนสาธารณะและตามที่พักอาศัย แต่เนื่องจากผลไม้มีรูปร่างกลมและหนักจึงต้องมีการวางแผนเลือกตำแหน่งที่ปลูกอย่างรอบคอบ
อื่น ๆ---แก่นไม้สีแดงอ่อนถึงน้ำตาลแดงเข้มในต้นไม้ที่มีอายุมาก ไม้ที่ใช้ส่วนใหญ่ในอินเดียและพม่า เนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้าง เสาบ้าน กระดานปูพื้น ทำเฟอร์นิเจอร์ ในอดีตใช้ทำลำกล้องปืน หมอนรถไฟ  ทำเครื่องเรือน ทำเรือ ทำครกสาก ทำเกวียน เป็นไม้เนื้อแข็งใช้ทำหมอนรองรถไฟได้ดี  เนื้อไม้มีความทนทานโดยเฉพาะใต้น้ำ-เปลือกของเส้นใยให้สีย้อมสีน้ำตาลแดง เปลือกต้นให้เส้นใยที่ดีที่ใช้ในท้องถิ่นสำหรับสายระโยงระยาง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการทำกระดาษสีน้ำตาลและใช้เป็นไม้ขีดไฟช้าเพื่อจุดชนวนดินปืน
- เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน หมากฝรั่งได้มาจากต้นไม้
- ใบใช้เป็นอาหารสัตว์,เลี้ยงหนอนไหม
- เปลือกเส้นใยให้สีย้อม สีน้ำตาล
- Lodhas ใช้ยาต้มเปลือกลำต้นสดเพื่อล้างบาดแผลของโค และเก็บผลไม้แห้งไว้ในห้องเพื่อใช้ไล่งู
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธ์-กรกฎาคม (ดอกไม้บานในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสุกในช่วงเดือนมิถุนายน)
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ตอนกิ่ง
- เมล็ด  มีความงอกมากกว่า 90% ระยะเวลาการงอก 11 - 46 วัน


41 แคนา/Dolichandrone serrulata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Dolichandrone serrulata (Wall. ex DC.) Seem.(1870)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.
---Basionym: Bignonia serrulata Wall. ex DC.(1838). https://www.gbif.org/species/4091062
---Spathodea serrulata (Wall. ex DC.) DC.(1845)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:109555-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Trumpet Tree, Cat tail tree
ชื่ออื่น---แคเก็ตถวา(เชียงใหม่); แคขาว(เชียงใหม่); แคตุ้ย(ภาคเหนือ); แคทราย(นครราชสีมา); แคนา(ภาคกลาง); แคแน (ภาคเหนือ); แคป่า (ลำปาง, เลย); แคฝอย (ภาคเหนือ); แคฝา แคฟ้า (ภาคเหนือ); แคพูฮ่อ (ลำปาง); แคยาว (ปราจีนบุรี); แคหยุยฮ่อ (ภาคเหนือ); แคแหนแห้ (ภาคเหนือ); แคอาว (ปราจีนบุรี) ;[HINDI: Hawar.];[KANNADA: Godmurki, Udure, Muduvudure.];[MALAYALAM: Attulottappala, Nirpponnalyam.];[MARATHI: Bhersing, Medhshingi.];[SANSKRIT: Visanika, Mesasrnga.];[TAMIL: Kadalatti, Kattuvarucham, Kaliyacha.];[TELUGU: Chittivoddi, Chittiniruvoddi.];[THAI: Khae ket thawa (Chiang Mai), Khae khao (Chiang Mai), Khae tui (Northern), Khae sai (Nakhon Ratchasima), Khae na (Central), Khae nae (Northern), Khae pa (Lampang, Loei), Khae foi (Northern), Khae fa (Northern), Khae phu ho (Lampang), Khae yao (Prachin Buri), Khae yui ho (Northern), Khae haen hae (Northern), Khae ao (Prachin Buri).].
EPPO Code--- DQLSE (Preferred name: Dolichandrone serrulata.)
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว เวียตนาม มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dolichandrone' ; ชื่อเฉพาะ 'serrulata' จากภาษาละติน 'serrula' แปลว่า เลื่อยขนาดเล็ก อ้างอิงถึง ฟันเลื่อยละเอียดของขอบใบ
Dolichandrone serrulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่างหรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2413


ที่อยู่อาศัย--- พบที่พม่า และภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ชายทุ่งหรือทุ่งนา ที่ระดับความสูงำม่เกิน 300 เมตร
ลักษณะ ---เป็นต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางสูงถึง 20-25 เมตร เรือนยอดแคบทรงกระบอก กิ่งก้านเรียวเล็ก เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน เรียบหรือล่อนหลุดเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวยาว 12-35 ซม. ใบย่อย3-5คู่ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ยาว 5-14 ซม.ขอบใบหยักเป็นซี่ประปรายฐานใบไม่สมมาตรใบอ่อนจับแล้วรู้สึกเหนียว ช่อดอกสั้นไม่แตกแขนงช่อละ3-7ดอกออกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 2-3 ซม. ก้านดอกยาว 1.8-4 ซม. กลีบเลี้ยงเป็นกาบ ยาว 4-5 ซม. กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 6-10 ซม.ปลายบานออกรูประฆังปลายแยกและแผ่บาน 5 แฉก คล้ายปากแตร มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ  ดอกสีขาวสะอาดบานตอนกลางคืน ตอนเช้าร่วง ผลเป็นฝักเรียวยาวปลายแหลมบิดเป็นเกลียว ยาวได้ถึง 85 ซม. เมล็ดรูปสี่เหลี่ยม ยาว 2.2-2.8 ซม. รวมปีกบางใส
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9-11) ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ในการเพาะปลูกสามารถทนต่อดินได้หลากหลาย ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ดินชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ปีละ 2 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกไม้ใช้กินดิบ-สุก ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นผักในภาคเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย
ใช้เป็นยา--- รากมีรสเย็น ช่วยบำรุงโลหิต แก้เสมหะและลม ดอกมีรสหวานเย็น ใช้เป็นยาขับเสมหะ โลหิต แก้ไข้ หัวลมได้เหมือนกับดอกแคบ้าน ใบนำมาต้มกับน้ำเป็นยาบ้วนปาก เมล็ดใช้เป็นยาแก้อาการปวดประสาท แก้ลมชัก เปลิอกต้น ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อโดยใช้กับสตรีหลังคลอดบุตร
ใช้ปลูกประดับ--- ปลูกเป็นต้นไม้สำหรับให้ร่มเงา  นิยมปลูกในสถานที่ราชการ สวนสาธารณะ และสวนทั่วไป
อื่น ๆ---เนื้อไม้ใช้ทำสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนได้ เช่น ทำเป็นเสา ไม้กระดาน ฝ้าเพดาน พื้น ฯลฯ
พืธีกรรม/ความเชื่อ---ในประเทศไทยตามความเชื่อของคนไทย เป็นต้นไม้มงคล หากปลูกไว้จะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลในชีวิต ช่วยให้กิจการ หรือทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง
ระยะออกดอก---มีนาคม-มิถุนายน
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และ ปักชำ


42 แคหัวหมู/Markhamia stipulata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Markhamia stipulata (Wall.) Seem.(1863)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms.
---Basionym: Spathodea stipulata Wall. (1832).https://www.gbif.org/species/7298701
---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:110029-1#synonyms
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- ขุ่ย, แคว (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); แคขอน (เลย); แคปุ๋มหมู (เชียงใหม่); แคยอดดำ (ภาคใต้); แคหมากลิ่ม (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน); แคหมู, แคหัวหมู (ภาคกลาง); แคหางค่าง (เลย); แคอาว (นครราชสีมา); [CAMBODIA: Dk p (Central Khmer).];[CHINESE: Xi nan mao wei mu.]; [LAOS: Dok kae.];[MYANMAR: Kwe, Ma-hlwa, Mai-kye, Mayu-de, Pauk-kyan.];[THAI: Khui ,Khwae (Karen-Mae Hong Son); Khae khon (Loei); Khae pum mu (Chiang Mai); Khae yotdam (Peninsular); Khan-mak-lim (Shan-Mae Hong Son); Khae mu, Khae hua mu (Central); Khae hang khang (Loei); Khae ao (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: C?y ?inh.].
EPPO Code---MKMST (Preferred name: Markhamia stipulata)
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--จีนตอนใต้ พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Markhamia' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ Clements Robert Markham (1830-1916) ; ชื่อเฉพาะ 'stipulata' เป็นภาษาละตินสำหรับเงื่อนไข; มันหมายถึงข้อกำหนดขนาดใหญ่ของสายพันธุ์นี้
Markhamia stipulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่างหรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยNathaniel Wallich (1786-1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กที่ทำงานในอินเดียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2406

ที่อยู่อาศัย---พบในจีน (ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กวางสี ไห่หนาน ยูนนาน) พม่า ภูมิภาคอินโดจีน (ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม) เติบโตในป่าดิบเขาบนภูเขาหินปูน ป่าโปร่งและสถานที่ชื้นที่ระดับความสูง 300 -1,700 เมตร
- ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือและภาคกลาง  ตามที่โล่งแจ้ง ในป่าเบญจพรรณหรือป่าดิบ ที่ระดับความสูง 600-1,000 เมตร
ลักษณะ--- เป็นไม้ต้นผลัดหรือไม่ผลัดใบสูง 8-15 เมตร ลักษณะทรงต้นเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นสีครีมออกน้ำตาล มีรอยแตกตามแนวยาวเล็กน้อย เปลือกชั้นในมีชั้นสีส้มอ่อนกับส้มแก่สลับกัน กิ่งอ่อนมีขนแน่น มีรอยแผลใบให้เห็นอยู่ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ (imparipinnate) ยาวประมาณ 20-55 ซม. มีใบย่อยประมาณ 4-8 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานยาว 8-25 ซม. ติดตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ ปลายใบสอบหยักคดเป็นติ่งยาว เนื้อใบค่อนข้างหนาสีเขียวเข้ม ด้านล่างของใบมีขนสีน้ำตาลอ่อนซึ่งหลุดลอกง่าย ดอกช่อแบบช่อกระจะออกตามปลายกิ่ง ยาว 10-20 ซม.ดอกรูปแตรบาน สีเหลืองหม่น และมีสีน้ำตาลแดงบริเวณโคนหลอดกลีบดอกด้านใน ปลายดอกแยกเป็น 5 แฉก ขอบกลีบหยัก เมื่อบานมีขนาด 8-10 ซม.ฝักแห้งแล้วแตก กลมค่อนข้างแบน กว้าง 2.5 ซม.ยาว 40-60 ซม.ผิวฝักมีขนยาวสีเทาหนาแน่น เมล็ดบมีปีก เมล็ดกว้างประมาณ 1-1.3 ซม.และยาวประมาณ 3.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10a-11) ชอบแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทราย อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและไม้ซุง ส่วนหน่ออ่อนขายเป็นผักในตลาดท้องถิ่นของลาว
ใช้กิน--- ยอดอ่อนขายเป็นผักในตลาดท้องถิ่นของลาว ดอกสดหรือลวกสุกกินเป็นผักจิ้ม ฝักอ่อน เผาขูดขนออกรับประทานกับน้ำพริก นิยมใน ภาคตะวันออก ภาคเหนือของไทย และลาว  
ใช้เป็นยา--- เปลือกต้นใช้ต้มกินเป็นยารักษาโรคอัมพฤกษ์
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกให้ร่มเงาสำหรับสวนทั่วไป
วนเกษตร--- เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับชนิดพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว เรือนยอดที่หนาแน่นและปราบวัชพืช ดึงดูดสัตว์ป่าที่กระจัดกระจายโดยเฉพาะนกและค้างคาว
อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีส้มแดงและมีรอยด่างสวยงาม ไม้มีเนื้อละเอียด แข็งหนักและทนทานต่อแมลงโดยเฉพาะปลวก ใช้สำหรับการก่อสร้างและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีค่าใช้ทำเสาและอุปกรณ์การเกษตร
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - IUCN Red List of Threatened Species. (2018)
source via: https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Markhamia+stipulata
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/พฤษภาคม-มิถุนายน
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด


43 งิ้ว/Bombax ceiba

[BOM-baks] [SAY-buh]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Bombax ceiba L.(1753)
ชื่อพ้อง ---Has 12 Synonyms
---Bombax malabaricum DC.(1824)
---Gossampinus malabarica Merr.(1928)
---(More) See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2679086
ชื่อสามัญ---Red cotton tree, Silk cotton, Kapok tree, Malabar Silk-cotton Tree, Indian bombax, Malabar Semul.
ชื่ออื่น---งิ้ว (ทั่วไป); งิ้วแดง (กาญจนบุรี); งิ้วบ้าน (ทั่วไป); งิ้วปง, งิ้วปงแดง, สะเน้มระกา (ชอง-จันทบุรี) ;[ASSAMESE: Himolu, Himila, Tula-goch, Simolu, Simul.];[BENGALI: Roktosimul, Katseori.];[CHINESE: Hong mian, Ban zhi mian, Mù mián, Ying xiong shu.];[DURCH: Kaasboom.];[FRENCH: Arbre à bourre, Arbre à coton, Ceïba, Fromager, Semoule.];[GERMAN: Kapokbaum, Wollbaum, Indischer Seiden.];[HINDI: Shimbal, Simal, Shembal, Semul, Semar Kanda.];[INDONESIA: Kapok kalingi, Kapuk hutan.];[KANNADA: Booragada Mara, Sauri, Booraga, Burla.];[KHMER: Roka.];[MALAYALAM: Poorani, Elavu, Panjimaram, Poola.];[MALAYSIA: Kapok, Tambaluang (Sabah); Randu agung (Java).];[MARATHI: Shaalmali, Saura, Saanvari, Saanvar.];[MYANMAR: Letpan.];[NEPALESE: Simal];[NETHERLANDS: Kaasboom.];[PAPUA NEW GUINEA: Bombax, Kapok.];[PHILIPPINES: Babui-gubat, Bobor, Bubui-gubat, Malabulak, Ttaglinan, Tag-linau, Ttaroktok.];[PORTUGUESE: Algodoeiro do mato, Aarvore-da-lã, Bómbax, Bonga, Panheira, Sumaúma.];[SANSAKRIT: Shaalmali, Shalmali.];[SPANISH: Arbol capoc, Arbol kapok, Bombax, Cedro espino, Cedro espinoso, Cedro macho, Ceiba roja, Ceibo, Malabarico, Pachote.];[SRI LANKA: Katu-imbul.];[TAMIL: Puulaa, Elava Maram, Moul Elavou, Purani, Pulai.];[TELUGU: Buruga.];[THAI: Ngio (General); Ngio daeng (Kanchanaburi); Ngio ban (General); Ngio pong (Chong-Chanthaburi); Ngio pong daeng, Sa-nem-ra-ka (Chong-Chanthaburi)].                 [TRADE NAME: Semal]
EPPO Code--- BOMCE (Preferred name: Bombax ceiba)
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า กัมพูชา ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ ไต้หวัน คาบสมุทรมาเลย์ บอร์เนียว(ซาบาห์) ฟิลิปปินส์ ชวา สุลาวาสี หมู่เกาะซุนดาน้อย โมลุกกะ นิวกินี ตอนเหนือของออสเตรเลีย อเมริกาเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bombax' มาจากภาษากรีกคำว่า Bombyx แปลว่า ไหม โดยอ้างอิงถึงขนที่นุ่มในแคปซูลเมล็ด; ชื่อเฉพาะ 'ceiba' จากชื่ออนุพันธ์ของภาษาสเปนโดยอ้างอิงถึงกลุ่มต้นไม้เขตร้อนขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับBombax
Bombax ceiba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในสกุลงิ้ว (Bombax) ปัจจุบันคือการถ่ายโอนส่วนใหญ่ของอดีตครอบครัว Bombacaceae เพื่อนุวงศ์ Bombacoideae ในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก (บังกลาเทศ), เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย (กัว, คุชราต, กรณาฏกะ, เกรละ, มหาราษฏระ, ทมิฬนาฑู), ศรีลังกา, จีน (ยูนนาน เสฉวน เจียงซี ไห่หนาน กว่างซี ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กุ้ยโจว รวมไต้หวัน),พม่า, กัมพูชา, ลาว, เวียตนาม, มาเลเซีย, นิวกินี, ออสเตรเลีย (ตอนเหนือ) ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในอเมริกากลาง แคริบเบียน บราซิลตอนเหนือ พื้นที่ป่ามรสุมรวมถึงหุบเขาแม่น้ำสะวันนาและเนินเขาที่ระดับความสูง 0- 1,400 เมตร
- ในประเทศไทยปัจจุบันจะพบได้ไม่กี่ที่ในภาคเหนือมักขึ้นตามริมทางที่โล่งแจ้งตามเชิงเขาและไหล่เขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-600 เมตร ไม่ค่อยพบในป่าหายาก
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบมีอายุยืนนาน สูง 25-30 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.80 -1.5 เมตร ต้นไม้เก่าแก่ที่พบสูงถึง 60 เมตร ลำต้นและกิ่งจะมีหนามรูปกรวย แหลมคม ต้นอายุไม่มากลำต้นมีสีเขียวอ่อนตามลำต้นมีปุ่มหนามมาก แก่หน่อยจะเป็นสีเขียวเข้มหนามจะน้อยลง (รูปซ้ายบน) ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือแต่ละช่อมีใบย่อย 3-7ใบ  กว้าง 7 - 10 ซม.ยาว 13 - 15 ซม. ก้านใบ ยาว  20 ซม.จะทิ้งใบหมดก่อนออกดอก (ธันวาคม-มีนาคม) ดอกสีแดงรูปถ้วย ออกเป็นเดี่ยวหรือกระจุก ออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง หรือออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือใกล้ปลายกิ่ง ดอกมีขนาดใหญ่ กว้าง 8-10 ซม. กว้าง 14 ซม.มีดอกสีเหลืองแต่ไม่ค่อยพบ ผลงิ้วรูปกลมยาว 15 ซม.เหมือนลูกนุ่น ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่สีน้ำตาลและแตก ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด ยาว รูปไข่ สีดำหรือสีเทา มีปุยสีขาวหุ้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในภูมิภาคเขตร้อนถึงกึ่งเขตร้อนทั่วโลก (Zone: 10-12) เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (6-8 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) อุณหภูมิกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 28 - 42°C แม้ว่าจะทนอุณหภูมิได้ 5 - 49°C สามารถต้านทานน้ำค้างแข็งเล็กน้อยเป็นครั้งคราว โดยการเจริญเติบโตใหม่จะถูกฆ่าที่อุณหภูมิ -1°C แต่การเจริญเติบโตที่อยู่เฉยๆ นั้นสามารถทนได้จนถึง -3°C ชอบดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี แต่ทนกับสภาพดิน ที่หลากหลาย ดินควรมีค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.9 - 7.2 มีความทนทานต่อความแห้งแล้งและทนต่อน้ำท่วม มีการบำรุงรักษาต่ำ เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเมื่ออายุยังน้อย สามารถออกดอกเมื่ออายุประมาณ 8-10 ปีจากเมล็ด
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำเมื่อดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อาจมีผลกระทบจาก Phenacoccus solenopsis (เพลี้ยแป้งฝ้าย) ; Steirastoma breve (ด้วงโกโก้) ; Trirachys holosericeus (หนอนเจาะลำต้นแอปเปิ้ล)/ Phellinus noxius (โรครากชาสีน้ำตาล) ; Rosellinia necatrix (โรครากเน่า dematophora)
รู้จักอ้นตราย---None known

 

การใช้ประโยชน์---ต้นไม้เอนกประสงค์ส่วนใหญ่จะรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นเส้นใยที่มีประโยชน์ดอกไม้กินได้ยาและอื่น ๆ
ใช้กิน---ดอก, ดอกอ่อน กลีบเลี้ยง ปรุงสุก กินเป็นผัก หรือแกง, รากอ่อน - ดิบหรือคั่วอุดมไปด้วยแป้ง เมล็ดคั่วกิน น้ำมันจากเมล็ดใช้ประกอบอาหาร (ใช้แทนน้ำมันปาล์มได้ )
ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้ ราก, ใบ, ยาง, เปลือกไม้, ดอกไม้                                                                                                                     - รากใช้สำหรับโรคท้องร่วง, บิด, เบาหวาน, งูกัด, ระดูขาว; รากใช้ภายนอกสำหรับบวมและปวดไขข้อ
- รากอ่อนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและเป็นยาชูกำลัง ใช้รักษาอหิวาตกโรค วัณโรค อาการไอ ปัสสาวะเล็ด มลพิษในเวลากลางคืน ปวดท้องเนื่องจากโรคบิด
- ดอกมีรสฝาดและเย็น ใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนัง
- ใบมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดต่ำ
- เชื่อกันว่าการต้มหน่อใช้รักษาแผลที่เพดานปาก ซิฟิลิส โรคเรื้อน และแมงมุมหรืองูกัด
วนเกษคร--- เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้บุกเบิกสายพันธุ์สำหรับการฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมืองหรือเพื่อจัดตั้งสวนป่า  เป็นไม้ประดับซึ่งมันมีค่าเมื่อตอนออกดอกเต็มต้น ดอกไม้อายุสั้น แต่หอม ดึงดูดนก กระรอกและผึ้งเพื่อผสมเกสรเหมือนแม่เหล็ก
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงา
ใช้อื่น ๆ---ไม้สีเทาลายเข้มมีเนื้อหยาบ ลายตรง น้ำหนักเบา นุ่มมาก สามารถใช้ทำกล่องใส่ของ ของเล่น ไม้ขีด ดินสอ ฯลฯ
- ลำต้นขนาดใหญ่มักถูกขุดขึ้นมาเพื่อใช้ทำเรือแคนู
- สารสกัดจากดอกไม้ถูกใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมเครื่องสำอางเชิงพาณิชย์เป็นสารให้ความชุ่มชื้น
- ปุยที่ได้จากภายในผลเป็นวัสดุบรรจุหมอน หมอนอิง ฯลฯ ถือว่าป้องกันสัตว์รบกวนได้ กันน้ำและลอยตัวได้ สามารถใช้เป็นไส้ในเสื้อชูชีพ ส่วนใยของเปลือกใช้ทำกระดาษ  
- การสกัดผงใบเมทานอลแสดงให้เห็นว่าเป็นสารกำจัดตัวอ่อนที่มีฤทธิ์รุนแรงในโครงการควบคุมยุง สารสกัดจากพืชสามารถนำมาใช้ในแหล่งน้ำนิ่งซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
พิธีกรรม/ความเชื่อ--- ในอินเดียถือว่าต้นงิ้วเป็นไม้ของพระศิวะ ในวรรณคดีอินเดียเรียกไม้ชนิดนี้ว่า" ยมะทรุมะ "แปลว่า "ไม้นรก" แต่ตามเรื่องคนไทยรู้จักกันดีว่า ต้นงิ้วเป็นที่อยู่ของครุฑ ในเรื่องกากี เรียกว่า วิมานฉิมพลี ชื่อเสียงของต้นงิ้วในภาคภาษาไทยเลยไม่ค่อยเป็นมงคล ในแง่ผิดศีลข้อ3  ตายไปจะตกนรกและรับโทษให้ปีนต้นงิ้ว ลำต้นของงิ้วมีหนามทำให้กลายเป็นตำนาน เตือนสติคนที่คิดจะผิดศีล แต่นักนิยมธรรมชาติคงไม่ปฏิเสธว่าต้นไม้ต้นนี้ให้ความประทับใจในเรื่องความงาม ดูลีลาทรงต้นสวยไม่เบา ดอกก็สวยมากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ นำมาปลูกเป็นไม้ประดับ แต่ก็ยังมีความเชื่อว่ามีวิญญานอาศัยอยู่ปลูกแล้วไม่นิยมตัด
- ในตรินิแดดและโตเบโกชาวบ้านถือต้นไม้คือ "ปราสาทแห่งปีศาจ" "Castle of the Devil," ที่ Brazil คือปีศาจแห่งความตายถูกล่อลวงและถูกคุมขังโดยช่างไม้ ในปีพ. ศ. 2545 ต้นไม้ถูกตัดโดยผู้ที่ไม่เชื่อ กลายเป็นรัฐบาลปล่อยปีศาจที่อาศัยอยู่จึงก่อให้เกิดอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้น
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 ถูกระบุว่าเป็นความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Barstow, M. 2020. Bombax ceiba. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T61781914A61781917. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-2.RLTS.T61781914A61781917.en. Accessed on 26 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/61781914/61781917
- สายพันธุ์นี้มีการปลูกกันทั่วโลก
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
- *เพาะเมล็ด หว่านสด ไม่มีการเตรียมการ มีอัตราการงอกสูง
- รายงานบางฉบับแนะนำว่าอัตราการงอกสามารถปรับปรุงได้โดยการแช่เมล็ดไว้ล่วงหน้าเป็นเวลา 12 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด ในตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง ไม่ว่าจะในแหล่งกำเนิดหรือในแปลงเพาะชำ การงอกจะเกิดขึ้นใน 10 - 25 วัน ย้ายต้นกล้าสูง 5 ซม.ไปยังภาชนะเดี่ยวๆ และปลูกใน 12 เดือนต่อมา
- พืชผลิตหน่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุยังน้อย แม้ว่าพวกมันมักจะตายหลังจากผ่านไป 2-3 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้นไม้โตขึ้น https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Bombax+ceiba


44 สัก/Tectona grandis

[tec-TAWN-uh] [GRAN-dees]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Tectona grandis L.f.(1782)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Jatus grandis (L. f.) Kuntze.(1891)
---Theka grandis (L. f.) Lam.(1797)
---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:864923-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Teak, Teakwood tree, Bankok teak, Indian-oak
ชื่ออื่น---ปีฮี ปีฮือ เป้อยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปายี้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เส่บายี้ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), สัก (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Chingjagu Sagun.];[AYURVEDA: Shaaka, Bhuumisaha, Dwaaradaaru, Varadaaru, Kharachhada, Saagawaan, Saagauna.];[BENGALI: Segunagachh.];[BRAZIL: Teca.];[BURMA: Kyun.];[CAMBODIA: Maisak (Central Khmer).];[CHINESE: Yòumù, You mu.];[FRENCH: Teck, Teck commun, Teck d'Indochine.];[GERMAN: Gemeiner Teakholzbaum, Teak(holz)baum, Tiek.];[HINDI: Sagun, Sagwan, Saigun, Sāgauna.];[INDONESIA: Deleg, Jati, Kulidawa.];[JAPANESE: Chīku, Chīku no ki.];[LAOS: May sak, Sak.];[MALAYALAM: Thekku.];[MALAYSIA : Deleg, Jati, Kembal, Kulidawa, Pokok jati, Semarang (Malay).];[NEPALESE: Saguan, Teak];[PORTUGUESE: Djati, Teak, Teca.];[PHILIPPINES: Tekla (Tag.); Dalanang, Djati];[SANSKRIT : Gandhasara, Śāka, Shak];[SIDDHA/TAMIL: Thekku.];[SPANISH: Teca, Teca común.];[TAMIL: Tekku.];[TELUGU: Teku, Pedda.];[THAI: Kho-yia-o (Lawa-Chiang Mai); Poe-yi, Se-ba-yi, Pi-hue, Pi-hi (Karen-Mae Hong Son); Se-ba-yi (Karen-Kamphaeng Phet); Pa-yi (Karen-Kanchanaburi); Sak, Dton máai sàk, Máai sàk (General).];[VIETNAMESE: Gỗ tếch, Tếch.];[TRADE NAME: Teak].
EPPO Code--- TCTGR (Preferred name: Tectona grandis)
ชื่อวงศ์---VERBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'Tectona' มาจากคำว่า 'tekku' หรือ 'thekku' ซึ่งเป็นชื่อพื้นถิ่นของอินเดียสำหรับต้นไม้ ; ชื่อเฉพาะ 'grandis' หมายถึงใหญ่หรือฉูดฉาด
Tectona grandis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeusในปี พ.ศ.2325
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซียและพม่า ในประเทศจีนพบที่ ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไต้หวัน, ยูนนาน ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 900 เมตร - ในประเทศไทย พบเกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,200 เมตร ในการเพาะปลูก ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่ควรเกิน 700 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดใหญ่สูงถึง 20-30 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางถึง1-1.80 เมตรลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เมื่ออายุมากโคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน บางหลุดล่อนเป็นชิ้นแถบตามยาว เปลือกชั้นในสีขาว ใบเดี่ยวใหญ่มากขนาดของใบกว้าง12-35 ซม.ยาว15-60 ซม รูปไข่กลับ ขอบใบเรียบ ยอดอ่อนมีขนสีเหลืองรูปดาวใบแก่ด้านบนสากคาย ด้านล่างมีขนอ่อนนุ่ม กิ่งก้านเป็นสี่เหลี่ยม ดอกออกเป็นช่อใหญ่รูปปิรามิดที่ปลายกิ่ง ยาวถึง50 ซม. ช่อดอกสาขามาก ยาว 30- 80 ซม.ดอกเล็กสีขาว ผลแห้งกลมเปลือกแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3 ซม.ภายในมี4ช่องแต่ละช่องมีเมล็ด1เมล็ด


ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---USDA Zone 10b: to 1.7 °C (35 °F) การปลูกต้องใช้ตำแหน่งที่มีแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินที่ลึก แห้งและอุดมสมบูรณ์ มีค่า pH 6 - 7.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8.5 และมีปริมาณธาตุแคลเซี่ยม (Ca) และฟอสฟอรัส (P) อยู่ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างจะสูง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---เริ่มตัดแต่งกิ่งต้นสักในปีที่ 2 สำหรับปีแรก ควรทำเฉพาะตัดต้นสักที่ขึ้นแซมออก โดยคัดเลือกให้เหลือต้นที่แข็งแรงและลักษณะดีไว้เพียง 1 ต้นเท่านั้น ตัดแต่งแต่ละครั้งเพียง 1/3 เท่านั้น ควรเหลือเรือนยอดที่เป็นกิ่งสดไว้พอเพียงกับการเจริญเติบโต ทำปีละ 1 ครั้งในฤดูแล้ง
การใส่ปุ๋ย---การใส่ปุ๋ยเพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตให้ต้นไม้ในระยะแรก นับว่ามีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่มีสภาพดินเลว ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15,22-11-11-หรือ 18-12-6 ให้แก่ต้นไม้ปีละ 2 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
รู้จักอันตราย--- ฝุ่นละเอียดหรือขี้เลื่อยที่เกิดขึ้นในขั้นการตัดเฉือนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง โรคหอบ หืด โรคจมูกอักเสบหลังจากสูดดม แนะนำให้ใช้พัดลมดูดฝุ่นที่ใช้งานได้ดี
การใช้ประโยชน์---ไม้สักเป็นหนึ่งในไม้ที่สำคัญที่สุดในโลก คุณสมบัติทางกายภาพที่เหนือกว่า ทำให้มันกลายเป็นไม้ซุงที่โดดเด่นกว่าไม้อื่นๆ
ใช้กิน--- ใบจะถูกเพิ่มลงไปในน้ำที่ต้มขนุนสุกก่อนที่จะทำจานชวา 'Gudeg ซึ่งเป็นการทำให้ขนุนมีสีสดใหม่ สีย้อมสีแดงที่ใช้ระบายสีในไข่อีสเตอร์ ได้จากการต้มเศษไม้ของต้นไม้
ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้เป็นยาใบ เปลือก ผล ราก
- ยาต้มใบสดหรือแห้งใช้สำหรับไอเป็นเลือด สามารถใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากสำหรับอาการเจ็บคอ
- ยาต้มใบเหลืองร่วงใช้สำหรับโรคโลหิตจาง
- ใช้พลาสเตอร์จากไม้ผงสำหรับอาการปวดหัวที่เจ็บปวดและการแพร่กระจายของอาการบวม
- ในแคเมอรูนใช้เป็นยาระบายและรักษาโรคผิวหนังและท้องร่วง
- ในอายุรเวทใช้เป็นยากล่อมประสาทเพื่อมดลูก ตัวแทน tocolytic ที่ใช้ในการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
- ในฟิลิปปินส์ ต้มใบสดหรือแห้ง ใช้สำหรับความผิดปกติของประจำเดือนและอาการตกเลือดโดยทั่วไป
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นต้นไม้ให้ร่มเงาหรือตัวอย่างสนามหญ้าสำหรับภูมิประเทศขนาดใหญ่ ต้นไม้ริมถนน
วนเกษตร---ไม้สักได้รับการจัดให้เป็นสายพันธุ์บุกเบิก มีช่วงชีวิตที่ยาวนาน ตรงกันข้ามกับผู้บุกเบิกสายพันธุ์อื่น ๆ  สามารถยืนหยัดและครองและปฏิรูปไปสู่ช่วงสูงสุด แห่งการสืบทอดในส่วนต่าง ๆตามธรรมชาติ
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้มักมีสีเหลืองหม่นเมื่อตัดใหม่ แต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองหรือบางครั้งเป็นสีน้ำตาลเทาเข้มหลังสัมผัส มักมีลายเป็นสีเทาหรือสีดำ มีการแบ่งเขตอย่างชัดเจนจากแถบหนาไม่เกิน 50 มม. ของกระพี้สีเหลืองอมขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลืองอ่อน ลายไม้มีลักษณะตรง เป็นคลื่นหรือประสานกันเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวค่อนข้างหยาบและไม่สม่ำเสมอ วงแหวนการเจริญเติบโตจะมีความแตกต่างกัน ไม้มีความมันเมื่อสัมผัส และเมื่อตัดใหม่จะมีกลิ่นคล้ายหนัง ไม้เป็นไม้น้ำหนักปานกลางที่ค่อนข้างอ่อน ทนทานถึงทนทานมาก โดยมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยเมื่อสัมผัสกับพื้นมากกว่า 10 ปีในสภาพอากาศเขตร้อน และมากกว่า 25 ปีภายใต้สภาพอากาศอบอุ่น แห้งได้ดีแต่ค่อนข้างช้า อัตราการหดตัวต่ำ เมื่อแห้งแล้วจะมีเสถียรภาพในการใช้งานมาก ความเข้าใจที่คิดว่าไม้สักเป็นไม้เนื้อแข็งนั้นเป็นเพราะสักเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีความแข็งแรงทนทานกว่าไม้เนื้อแข็งบางชนิด ทนมอด ปลวกได้อย่างดี ใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง พื้นปาร์เกต์ คาน การต่อเรือ งานตู้ ฯลฯ
- ให้สีย้อม ทั้งเปลือกรากและใบอ่อนให้สีสีเหลืองน้ำตาลหรือแดงซึ่งใช้สำหรับย้อมกระดาษเสื้อผ้าและเครื่องปูลาด ในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกมีการใช้ใบอ่อนเพื่อย้อมสี ใช้เป็นพืชอาหารโดยตัวอ่อนของแมลงเม่าชนิดต่าง ๆ
- ขี้เลื่อยจากไม้สัก ใช้ทำธูปในชวาอย่างไรก็ตามผงฝุ่นอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ ขี้เลื่อยยังใช้ในการผลิตถ่านกัมมันต์
สำคัญ---ครั้งหนึ่งไม้สักเคยเป็นองค์ประกอบสำคัญของป่าชื้นผลัดใบทั่วภาคเหนือ แต่ได้ถูกโค่นลงแทบหมด และมักมีป่าไผ่เกิดแทนที่ อย่างไรไม้สักมีการฟื้นตัวเร็ว ถึงแม้จะเป็นบริเวณที่ค่อนข้างเสื่อมโทรม ถ้าไม่ถูกโค่นซ้ำอาจจะมีโอกาสกลับมาเป็นป่าสักใหม่
- ต้องการดูต้นสักที่อายุ1,500 ปีและใหญ่ที่สุดในโลก ให้ไปที่ วนอุทยานต้นสักใหญ่ บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ประเทศไทย สักต้นนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "มเหสักข์"
- ในประเทศไทย ต้นสักเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก (ตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484) ที่กำหนดว่า การตัดฟันออก ต้องได้รับอนุญาตกับทางการเสียก่อน ถึงจะดำเนินการได้ ไม่ว่าต้นไม้ จะขึ้นอยู่ที่ใดในผืนแผ่นดินประเทศไทยก็ตาม หรือปลูกไว้ในบริเวณที่ของตนเอง หรือจะทำอะไร กับไม้ก็ตาม เช่น ตัด ฟัน โค่น เลื่อย ถอน ขุด เป็นต้น โดยในต่างจังหวัดให้ไปยื่นคำขออนุญาตทำไม้ ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ส่วนในกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอที่กลุ่มงานอนุญาตไม้และของป่า กองการอนุญาต กรมป่าไม้ ถ้าหากฝ่าฝืนมีความผิด มีโทษจำคุก 1 - 20 ปี และถูกปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท
- * ปัจจุบันมีต้นไม้ Tectona grandis หนึ่งต้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นต้นไม้มรดกในสิงคโปร์ สามารถพบได้ที่สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นไม้เหล่านี้ โปรดไปที่ The Heritage Tree Register https://www.nparks.gov.sg/FloraFaunaWeb/Flora/3/1/3178
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2021 Tectona grandis ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ A2cd
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED A2cd - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2021)
source: Gua, B., Pedersen, A. & Barstow, M. 2022. Tectona grandis. The IUCN Red List of Threatened Species 2022: e.T62019830A62019832. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2022-2.RLTS.T62019830A62019832.en. Accessed on 26 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/62019830/62019832
- ทุกประเทศได้พิจารณายุทธศาสตร์การอนุรักษ์ และมี  การริเริ่มโครงการอนุรักษ์ยีน ในแหล่งกำเนิด และ  นอกถิ่น ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทรัพยากรพันธุกรรมป่าไม้ระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติในประเทศไทย สปป. ลาว และอินเดีย แผนการอนุรักษ์ในประเทศไทยได้รับการพัฒนาโดยใช้การแบ่งเขตทางพันธุศาสตร์ เพื่อสนับสนุนและสร้างเครือข่ายของการแปรผันทางพันธุกรรมที่แตกต่างกันและประชากรย่อยที่ปรับตัวตามท้องถิ่น (Suangtho et al. 2000)
- ชนิดนี้ได้รับการประเมินระดับประเทศว่ามีความเสี่ยงใน สปป. ลาว (Phongoudome and Mounlamai 2004).
- สายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักจากพื้นที่คุ้มครองบางแห่ง แต่การป้องกันที่นำเสนอนั้นแปรผัน พบชนิดนี้ในพื้นที่คุ้มครองอย่างดีหลายแห่งในอินเดีย (A. Watve pers. comm. 2021) กฎหมายและการห้ามตัดไม้เพื่อปกป้องสายพันธุ์จากการค้าตามกฎหมายในอินเดีย ไทย และ สปป.ลาว ได้ผลแล้ว เนื่องจากขณะนี้เมียนมาร์เป็นประเทศเดียวที่ได้รับรายงานว่ามีการเก็บเกี่ยวสายพันธุ์จากป่า (EIA 2019) อย่างไรก็ตาม ยังมีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายในขอบเขตต่างๆ รัฐ เนื่องจากลักษณะที่ผิดกฎหมายของกิจกรรมเหล่านี้ ไม่มีข้อมูลในระดับมาตราส่วนและต้องมีการตรวจสอบ
- การหยุดยั้งกิจกรรมที่ผิดกฎหมายถือเป็นเป้าหมายหลักในการอนุรักษ์สายพันธุ์ควบคู่ไปกับการฟื้นฟู เนื่องจากพันธุ์ไม้มีความหลากหลาย จึงมักขาดทรัพยากรในการบังคับใช้คำสั่งห้ามตัดไม้ จำเป็นต้องมีความคิดริเริ่มเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับวิถีชีวิตทางเลือก เพื่อลดแรงกดดันจากการเก็บเกี่ยวไม้ จำเป็นต้องมีการลงทุนและทำความเข้าใจพันธุ์พืชในสวนเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ติดตา ปักชำราก เพาะเนื้อเยื่อ
- เมล็ดสดงอกยากกว่าเมล็ดที่เก็บไว้ 12 เดือน เมล็ดที่เก็บไว้จะงอกได้ดีที่สุดหากแช่ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 24 - 48 ชั่วโมง ก่อนหยอดเมล็ด
- อัตราการงอกต่ำ ปกติจะน้อยกว่า 50% แต่บางครั้งก็สูงถึง 80% การงอกมักจะเริ่มหลังจาก 10 วัน แต่อาจใช้เวลา 2 - 3 เดือน ต้นกล้าควรได้รับร่มเงาเล็กน้อยในปีแรก จากนั้นจึงสามารถปลูกในตำแหน่งถาวรได้


45 แสลงพัน/Bauhinia bracteata

[baw-HIN-ee-uh] [brak-tee-Ah]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Phanera bracteata Benth.(1852)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:513504-1#synonyms
---Bauhinia bracteata (Benth.) Graham ex Baker. (1878)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ชงโค (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ปอแก้ว (กะเหรี่ยง-ภาคเหนือ); ปอเจี๋ยน (ภาคเหนือ); ปอบุ้ง (เชียงใหม่); ส้มเสี้ยว (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); เสี้ยวเครือ (นครราชสีมา); เสี้ยวดอกขาว, เสี้ยวเตี้ย (เลย); เสี้ยวส้ม (สกลนคร, อุทัยธานี); แสนพัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); แสลงพัน (ชลบุรี);[THAI: Chongkho (Northeastern); Po-kaeo (Karen-Northern); Po chian (Northern); Po bung (Chiang Mai); Som siao (Northeastern); Siao khruea (Nakhon Ratchasima); Siao tia, Siao dok khao (Loei); Siao som (Sakon Nakhon, Uthai Thani); Saen phan (Northeastern); Salaeng phan (Chon Buri).];[VIETNAMESE: Dây mấu, Mấu đỏ, cánh dơi.].
EPPO Code---QRWSS (Preferred name: Phanera sp.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - CAESALPINIOIDEAE).
ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Phanera' ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'bracteata'
Phanera bracteata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวตระกูลถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2395
- สกุล Phanera ประเภทนี้แตกต่างจาก Bauhinia ในการเป็นไม้เถาหรือเถาวัลย์ทั่วไปกับไม้เลื้อย
Accepted Infraspecifics
Includes 2 Accepted Infraspecifics
- Phanera bracteata subsp. astylosa (K.Larsen & S.S.Larsen) Bandyop., Ghoshal & M.K.Pathak. (2012)
- Phanera bracteata subsp. bracteata


ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโดจีน เติบโตตามธรรมชาติตามป่าโปร่ง ริมถนน และตามหมู่บ้าน
- ในประเทศไทยไทยพบทุกภาค ภาคใต้พบถึงชุมพร ขึ้นตามชายป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือเขาหินปูน ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 500 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีมือจับ ขึ้นพาดพันตามเรือนยอดของต้นไม้ไปได้ไกล เถาแก่แข็งเหนียว แบน โค้งไปมาเป็นลอนสม่ำเสมอลักษณะเป็นขั้นๆ คล้ายบันได ลักษณะใบดอกเหมือนไม้ตระกูลเสี้ยวทั่วไป ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 5-12 ซม.ยาว 6-15 ซม.ปลายใบแยกเป็นสองแฉก ปลายมน โคนใบรูปหัวใจ  เส้นโคนใบข้างละ 4-5 เส้น ก้านใบยาวได้ถึง 7 ซม. ดอกช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอด ดอกย่อยจำนวนมาก  ขนาด2-3ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 4-5แฉก กลีบดอก 5 กลีบ สีเขียวแกมเหลือง รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดถึงรูปไข่แกมรูปหัวใจ เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี 3 อัน เกสรเพศผู้ที่ลดรูปมี 7 อัน จานฐานดอกเป็นท่อยื่นออก รังไข่มีขนสั้นนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ผลเป็นฝักแบนแห้งแตก รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ แบน ยาวได้ถึง 17 ซม.เมล็ดรูปรี มีประมาณ 8-10 เมล็ด ขนาด 2-2.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9a-11) ตำแหน่งแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ระยายน้ดี อัตราการเจริญเติบโตของพืช เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ความชื้นสม่ำเสมอ
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
ช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เถา ขับฟอกโลหิตระดู กระจายโลหิตที่เป็นลิ่มเป็นก้อน บำรุงโลหิต แก้น้ำเหลืองเสีย และแก้ผื่นคันตามผิวหนัง
- เมล็ด ยาถ่ายพยาธิ แก้ร้อนใน ขับเหงื่อ แก้ไข้ แก้พิษฝี  
- ในเวียตนามใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและใช้เป็นยาแก้พิษ
ระยะออกดอก---มิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด และการปักชำ
  

46 สารภี/Mammea siamensis

[MAM-ee-uh] [sy-am-EN-sis]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Mammea siamensis (Miq.) T.Anderson.(1867)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:428781-1#synonyms   
---Basionym: Calysaccion siamense Miq.(1863).See https://www.gbif.org/species/7809699
---Ochrocarpos siamensis (Miq.) T.Anderson.(1874)
---Mammea birmannica T.Anderson.(1867)
---Ochrocarpos siamensis var. odoratissimus Pierre.(1883)
ชื่อสามัญ---Mammee, Negkassar, Siamese Mammea
ชื่ออื่น ---ทรพี (จันทบุรี), สร้อยพี (ภาคใต้), สารภี (ทั่วไป), สารภีแนน (เชียงใหม่) ;[THAI: Tho ra phi (Chanthaburi); Sroi phi (Peninsular); Saraphi (General); Saraphi naen (Chiang Mai).]; [LAOS: Salapee.]; [VIETNAM: Trau tráu].
EPPO Code---MAFSI (Preferred name: Mammea siamensis)
ชื่อวงศ์---CALOPHYLLACEAE
* Calophyllaceae เป็นวงศ์ของพืชดอกในอันดับ Malpighiales และได้รับการยอมรับจาก ระบบการจำแนกประเภท APG III สกุลส่วนใหญ่ 14 สกุลและ 475 สปีชีส์ ที่รวมอยู่ในวงศ์นี้เคยเป็นที่รู้จักในเผ่า Calophylleae ของวงศ์ Clusiaceae กลุ่ม Angiosperm Phylogeny ตัดสินใจว่าการแบ่งกลุ่มสกุลนี้ออกเป็นกลุ่มครอบครัวของตนเองเป็นสิ่งที่จำเป็น source: https://en.wikipedia.org/wiki/Calophyllaceae
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Mammea' ( นิรุกติศาสตร์ นี้ ขาดหายไปหรือไม่สมบูรณ์ โปรดเพิ่มหรืออภิปรายที่ Etymology scriptorium ) https://en.wiktionary.org/wiki/Mammea ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'siamensis' มีความหมายถึงประเทศไทย
Mammea siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Calophyllaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยThomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2410


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในพม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
- ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและตามป่าดงดิบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20-400 เมตร
ลักษณะ---สารภีเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 12-15เมตร เปลือกต้นสีคล้ำมีรอยแตกเป็นสะเก็ดอยู่ทั่วไป ใบแน่นเป็นพุ่มทึบแตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบรูปไข่กลับหรือเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนกว้าง  บางทีอาจมีติ่งสั้น ๆ หรือหยักเว้าแบบตื้น ๆ โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 2.5-7ซม.ยาว 7.5-25 ซม. แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบจะสีอ่อนกว่า เนื้อใบหนาและค่อนข้างเรียบ เส้นแขนงของใบไม่มี ออกดอกเรียงแน่นเป็นกระจุกตามซอกกิ่งหรือตามกิ่งแก่ สารภีมีดอกย่อยสีขาว ที่มีกลิ่นหอมแรงและหอมได้ไกลมาก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก ผลของสารภีเป็นกระปุกเล็กๆรูปกมรีขนาดประมาณ 2.5-5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อน (USDA zones 10-12) ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดรำไร (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่อง) ขึ้นได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ ความชื้นสม่ำเสมอ

การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินชื้นสม่ำเสมอ ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ใส่ปีละ 3 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---None known

 

การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้เมื่อสุกสีเหลืองเข้มมีรสหวานรับประทานได้
ใช้เป็นยา---ในประเทศไทย ดอกสารภีจัดอยู่ในตำรับยาไทย "พิกัดเกสรทั้งห้า" (ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง), ตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเจ็ด" (เพิ่มดอกกระดังงา ดอกจำปา), และในตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเก้า" (เพิ่มดอกลำดวน ดอกลำเจียก) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ แก้ลมกองละเอียด แก้อาการหน้ามืดตาลาย วิงเวียนศีรษะ แก้โรคตา แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี
ใช้ปลูกประดับ---เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและร่มรำไร ขึ้นได้ในดินทุกชนิดไม่เรื่องมาก ไม่เลือกปุ๋ย ไม่ค่อยพบในป่า มักเป็นไม้ปลูก และพบปลูกมากตามวัดเนื่องจากมีกลิ่นหอม เป็นไม้ที่นำมาใช้จัดสวนอยู่เสมอ เหมาะสำหรับปลูกเพื่อประดับบริเวณอาคารบ้านและสวนทั่วไป
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ แข็ง และค่อนข้างทนทาน เนื้อไม้คุณภาพดีใช้งานง่าย ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลัก เรือ และงานก่อสร้างต่างๆ
- ดอกตูมของสารภีใช้สกัดทำสีย้อมผ้าโดยจะให้สีแดง
- ดอกแห้งใช้ทำเป็นน้ำหอม โดยเพิ่มดอกคำฝอย ส้มป่อยเผา นำมาแช่ในน้ำจะได้น้ำหอมสำหรับไว้ใช้เป็นน้ำสรงพระในเทศกาลสงกรานต์
ความเชื่อ/พิธีกรรม---คนไทยโบราณเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นสารภีไว้ประจำบ้านจะส่งผลให้มีอายุยืนยาวเหมือนเช่นต้นสารภี เพื่อความเป็นสิริมงคลผู้ปลูก ควรปลูกในวันเสาร์ (โบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณให้ปลูกในวันเสาร์) และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อจะช่วยป้องกันเสนียดจัญไร ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี


*(ส่วนตัว) สารภีเป็นต้นไม้ในดวงใจของใครหลายๆคน ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ลองกลับไปสังเกตุดูต้นไม้ที่ถ่ายรูปมาสองต้นข้างบนเป็นต้นสารภีทั้งคู่ ถ่ายมาในช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน (สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จ.ระยอง) ทำไมถึงแตกต่างเหมือนเป็นต้นไม้คนละชนิด ก็เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมมีอิทธิพลส่งผลให้เป็นแบบนี้ ต้นซ้ายมืออยู่ในร่ม น่าจะไม่ได้ปุ๋ยนานแล้ว ต้นขวามืออยู่กลางแจ้งได้รับการดูแลตัดแต่งทรงพุ่มได้น้ำได้ปุ๋ย แล้วอีกอย่างก็เด็กกว่าเยอะ  บางทีก็ให้นึกเห็นใจผู้คนที่อยากได้ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ลีลามาปลูกไว้เป็นสมบัติส่วนตัว หารู้ไม่ว่าถ้าไม่ได้สนใจเรื่องอายุขัยของต้นไม้ ก็อาจเชยชมได้ไม่นาน เหมือนพาคนแก่ย้ายบ้านไงงั้น ทั้งเหนื่อยทั้งผิดที่ ทั้งเหงาทั้งหงอยแล้วก็ไม่โตแล้ว*
ระยะเวลาดอก/ติดผล--- มกราคม - มีนาคม/กุมภาพันธ์ - เมษายน
การขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง


47 สาธร/Millettia leucantha

[mil-LET-ee-uh] [lew-KAN-thuh]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Imbralyx leucanthus (Kurz) Z.Q.Song (2021)  
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms .https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77222793-1#synonyms
---Basionym: Millettia leucantha Kurz.(1873) https://www.gbif.org/species/11405495
ชื่อสามัญ---Yellow Millettia wood, Sathon (Thai), White-flowered Imbralyx
ชื่ออื่น---ไม้กระทงน้ำผัก (เลย), กระเจ๊าะ, ขะเจ๊าะ (ภาคเหนือ), กระท้อน (เพชรบูรณ์-พิษณุโลก), สะท้อน (สระบุรี), สาธร (อุบลราชธานี) ;[BURMESE: Thinwin.];[CHINESE: Chui xu ya dou];[PORTUGUESE: Khacho.];[THAI: Mai kra thong nam phak (Loei); Kracho (Northern); Kra thon (Phetchabun, Phitsanulok); Sathon (Saraburi); Sa thon (Ubon Ratchathani).].
EPPO Code--- MIJLE (Preferred name: Millettia leucantha.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย ลาว
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Millettia' ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr. JA Millett นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้เขียนเกี่ยวกับประเทศจีนในปี 1726 ; ฉายาเฉพาะ 'leucanthus' = ดอกสีขาว
Imbralyx leucanthus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้รับชื่อแน่นอนในปัจจุบันโดย Zhu Qiu Song (fl. 2014) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนในปี พ.ศ.2564
Accepted Infraspecifics
Includes 2 Accepted Infraspecifics
- Imbralyx leucanthus var. buteoides (Gagnep.) Z.Q.Song. (2021) – กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม
- Imbralyx leucanthus var. leucanthus – บังกลาเทศ เมียนมาร์ ไทย และยูนนานตอนใต้
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจีน (ยูนนาน) พม่า ไทย ลาว (Wei et al. 2010) พบได้ในป่าสะวันนาและเนินเขาตอนล่างที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูงถึง 600 เมตร ขึ้นตามป่าเบญจพรรณใกล้แหล่งน้ำทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,100 เมตร
- ในประเทศไทยพบในป่าผสมผลัดใบและป่าดิบแล้งทั่วประเทศที่ระดับความสูง 100-450 เมตร


ลักษณะ---เป็นต้นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5-18 เมตร ลักษณะทั่วไปของต้นสาธร ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างต่ำ เรือนยอดโปร่งแผ่กว้าง เปลือกนอกสีเทาเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบ ประกอบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ยาว20-30 ซม.ใบย่อย7ใบเรียงตรงข้ามรูปหอกกลับยาว 5-12 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนนุ่มเล็กน้อย ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ช่อดอกแยกแขนง ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว20-45 ซม.ดอกย่อยรูปถั่ว กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบติดกันเป็นหลอดสั้น กลีบดอกมีสีของดอกแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ทั้งดอกสีขาวครีม ดอกสีม่วงและดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักแบบฝักถั่วเปลือกแข็ง กว้าง3.5-4 ซม.ยาว 7-14 ซม.รูปขอบขนานแกมใบหอกกลับ ฝักอ่อนมีขน ฝักแก่แห้งและแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดรูปขอบขนานแกมรูปรีแบนคล้ายโล่มี 1-3 เมล็ด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3 ซม.   
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในภูมิอากาศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยของเดือนที่ร้อนที่สุดคือ 41.5°C อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดคือ 10.7°C ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึง (ไม่ใช่แสงแดดโดยตรงบางชั่วโมงต่อวัน) ในดินร่วนซุยที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการความชื้นและน้ำในปริมาณมาก ไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย แต่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ปีละ 4-6 ครั้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---*ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อให้ได้ไม้คุณภาพดี นี่เป็นหนึ่งใน 33 สายพันธุ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นไม้ Hongmu (ไม้แดง) ที่เหมาะสม ซึ่งใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์จีนคุณภาพสูงตามประเพณีจากราชวงศ์ Ming และ Quing ซึ่งทำให้เป็นไม้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง [พ.ศ. 2334] https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Millettia+leucantha
ใช้ปลูกประดับ---เป็นไม้ประดับให้ร่มเงา
ใช้กิน---ซอสสาทรเป็นซอสปรุงรสที่ใช้ในอาหารอีสาน ใบของ Millettia สองชนิดใช้สำหรับทำซอสสาธร : Millettia utilis และ Millettia leucantha var. buetoides ซอสที่ใช้ประกอบอาหารเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP หนึ่งเดียวที่ทำจากต้นสาธร  
ใช้เป็นยา---พืชที่อยู่ในสกุลนี้ใช้เป็นยาพื้นบ้านสำหรับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่นในการรักษาบาดแผล, ต้ม, แผล, โรคผิวหนัง, งูกัด, ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ,โรคไขข้ออักเสบและโรคทางนรีเวช
อื่น ๆ---เนื้อไม้และแก่นมีสีม่วง-ดำมีลายสวยงาม หนาแน่นและแข็ง ใช้ในการก่อสร้าง ใช้สำหรับทำตู้และผลิตเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง
พิธีกรรม/ความเชื่อ---*คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นสาธรไว้ที่หน้าบ้านจะช่วยให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ปลูกเอาไว้ทางตะวันตกเฉียงใต้
- ใบของต้นสาธรคนไทยโบราณเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก จึงมักนำมาใช้พรมน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ หรือทำพิธีทางโหราศาสตร์ source: https://plantlover.net/
สำคัญ---พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดนครราชสีมา และต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพฯ ประเทศไทย
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงเนื่องจากสายพันธุ์ดังกล่าวแพร่หลายมากและพบได้ในพื้นที่คุ้มครอง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Millettia leucantha ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Barstow, M. 2019. Millettia leucantha. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T62026460A62026462. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-1.RLTS.T62026460A62026462.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/62026460/62026462
- สายพันธุ์นี้มีอยู่ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิดสามแห่ง (BGCI 2018) นอกจากนี้ยังมีอยู่ใน พื้นที่คุ้มครองบางแห่ง (GBIF 2018) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชนิดพันธุ์นี้
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มีนาคม - พฤษภาคม/พฤษภาคม - สิงหาคม
การขยายพันธุ์---การเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง
* เช่นเดียวกับหลายสายพันธุ์ในตระกูล Fabaceae เมื่อพวกมันถูกทำให้แห้งเพื่อเก็บรักษา เมล็ดของสายพันธุ์นี้อาจได้รับประโยชน์จากการทำให้เป็นแผลก่อนหว่าน เพื่อเร่งและปรับปรุงการงอก โดยปกติสามารถทำได้โดยการเทน้ำเกือบเดือดจำนวนเล็กน้อยลงบนเมล็ด (ระวังอย่าให้สุก!) แล้วแช่ไว้ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้พวกมันควรจะดูดซับความชื้นและบวมแล้ว
- หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้ทำการกรีดเปลือกเมล็ดอย่างระมัดระวัง (ระวังอย่าให้ตัวอ่อนเสียหาย) และแช่ไว้อีก 12 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Millettia+leucantha


Arfeuillea เป็นสกุล monotypic ในวงศ์ Sapindaceae โดยมี Arfeuillea arborescens เป็นสายพันธุ์เดียว

48 คงคาเดือด/Arfeuillea Arborescens

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Arfeuillea arborescens Pierre ex Radlk.(1895)
ชื่อพ้อง--No synonyms are not recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:782067-1/images
ชื่อสามัญ---Hop Tree
ชื่ออื่น---คงคาเดือด, หมากเล็กหมากน้อย (ภาคกลาง); ช้างเผือก (ลำปาง); ตะไล (ราชบุรี); ตะไลคงคา (ชัยนาท); สมุยกุย (นครราชสีมา) ; [JAPANESE: Mukuroji-ka.];[LAOS: Sangpheuok, Ta lai khong kha, Khong khaleuod, Mak leknony mak nony.];[THAI: Khongkha dueat, Mak lek mak noi (Central); Chang phueak (Lampang); Talai (Ratchaburi); Talai khongkha (Chai Nat); Samui kui (Nakhon Ratchasima).]
EPPO Code---1SAPF (Preferred name: Sapindaceae)
ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ไทย ลาว
เขตกระจายพันธุ์---พม่า, ภูมิภาคอินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arfeuillea' Pierre นักพฤกษศาสตร์ผู้บรรยายสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรก ตั้งชื่อสกุลตามชื่อเพื่อนของเขา Arfeuille ; *ฉายาเฉพาะ 'arborescens' ปัจจุบันกริยานามที่ใช้งานของ arborēscō ( “ กลายเป็นต้นไม้” ) https://en.wiktionary.org/wiki/arborescens
Arfeuillea arborescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวSapindaceae (หรือ soapberry)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Ludwig Adolph Timotheus Radlkofer (1829–1927) นักอนุกรมวิธานและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2438
Hybrids---Arfeuilleaไม่มีพันธุ์ผสมที่เปิดเผยต่อสาธารณะใดๆ นอกเหนือจากArfeuillea arborescens เนื่องจากมีการเพาะปลูก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีพันธุ์ลูกผสมที่มนุษย์สร้างขึ้น

 

ที่อยู่อาศัย---พบที่พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม
- ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้งที่เป็นเขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร
- อย่างไรก็ตามพืชในป่านั้นหายาก Arfeuillea aborescensได้รับการเพาะปลูกเท่านั้น
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ ทึบ เปลือกนอกสีเทาอมดำเรียบหรือแตกล่อนเป็นแผ่น เปลือกในสีขาว กิ่งก้านมาก ใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่ เรียงสลับ ใบย่อยเรียงตรงข้ามหรือเยื้องกัน 4-5 คู่ ใบรูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 4.5-7 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลมหรือเรียงแหลม โคนใบสอบหรือเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบบางสีเขียวเข้ม ผิวใบด้านล่างสากมือ ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่ร่วมต้น ออกดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ยาวประมาณ 15ซม. โดยจะออกที่ปลายยอด ช่อกระจุกเรียวยาว ม้วนขดเล็กน้อย ยาวประมาณ 2-4 ซม. ดอกออกเป็นช่อดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ในช่อเดียวกัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกมี 2-4 กลีบ ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-1.5 ซม. ดอกสีน้ำตาลมีกลิ่นหอม ผลอ่อนสีเขียวมีปีก 3 ปีก ขนาด 3.5-5 ซม.ปีกกว้างประมาณ 2 ซม. ผลแก่สีน้ำตาล แห้งแตกได้ มี เมล็ด 3 เมล็ดต่อผล เมล็ดยาวรีค่อนข้างกลมสีดำ ยาวประมาณ 5 มม.มีขน ขั้วเมล็ดขนาดเล็ก ไม่มีเยื่อหุ้ม

 

ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตของพืชปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ให้มีน้ำเพียงพอตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูแล้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งและคลุมดินเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยให้มันเจริญเติบโตในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะในช่วงออกดอก
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์ ---ใช้กิน เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศ
ใช้เป็นยา---ใบสดของ Arfeuillea arborescens มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จึงรวมอยู่ในสมุนไพรไทยหลายชนิด
- ในประเทศไทยใช้ แก่น ฝนกับน้ำกินเป็นยาฆ่าพยาธิ เปลือกต้น ต้มน้ำดื่ม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้ และช่วยให้เจริญอาหาร ต้มน้ำอาบ ช่วยรักษาอาการคัน แสบร้อนตามผิวหนัง และโรคซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการสำคัญคือ เบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า)
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวน ปลูกเป็นต้นไม้ริมถนน นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับเป็นต้นไม้พักอาศัยให้ร่มเงาตามสวนสาธารณะและพื้นที่เปิดโล่ง ต้นไม้ชนิดนี้สามารถทำให้ทุกภูมิทัศน์มีชีวิตชีวาได้
ระยะออกดอก/ติดผล --- พฤศจิกายน-ธันวาคม
การขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ 

       

49 อุโลก/Hymenodictyon orixense


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hymenodictyon orixense (Roxb.) Mabb.(1982)
ชื่อพ้อง ---Has 13 Synonyms.   
---Basionym: Cinchona orixensis Roxb. (1793).https://www.gbif.org/species/2904440
---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:910769-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Bridal couch tree, Bridal Couch Plant, Mountain sage.
ชื่ออื่น ---ลาตา (ตรัง), ลุ, ส้มลุ (สุราษฎร์ธานี), ส้มเห็ด (ภาคใต้), ส้มกบ (ภาคเหนือ), สังเหาะ (กระเหรี่ยง-เชียงใหม่), อุโลก (ราชบุรี); [ASSAMESE: Kodam, Baja-phuti, Pani-kadam, Paroli, Bhur-kundi.];[BENGALI: Latikarum.];[CHINESE: Zhu du shu, Mao tu lian qiao.];[HINDI: Bhurkur, Kala Bachnag.];[KANNADA: Doli Mara, Diddi Mara, Doddi Mara.];[MALAYALAM: Perantholi, Perumtholi, Malamkall.];[MARATHI: Kambal, Bhorsal, Bhramarsali.];[PHILIPPINES: Hibau, Balangkori (Tag.).];[SANSKRIT: Bhramarchalli, Bhringah-vriksha, Ugragandha.];[TAMIL: Nirkadambam, Kadappu, Vellai-k-katampu, Vellai-kadambu.];[TELUGU: Bandaaru-chettu.];[THAI: Lata (Trang); Lu, Som lu (Surat Thani); Som het (Peninsular); Som kop (Northern); Sang-ho (Karen-Chiang Mai); U lok (Ratchaburi).].  
EPPO Code--- 1HDVG (Preferred name: Hymenodictyon)
ชื่อวงศ์---RUBIACEA
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว เวียตนาม ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hymenodictyon' ได้รับการตั้งชื่อโดยNathaniel Wallichในปี 1824 มา จาก คำภาษากรีกสอง คำ ได้แก่ "membrane", และ diktyon, "net" อ้างอิงถึงปีกที่ล้อมรอบเมล็ดแต่ละเมล็ด ; ฉายาเฉพาะ 'orixense'
Hymenodictyon orixense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2525

 

ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย พบในจีนตอนกลาง จีนตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฟิลิปปินส์
- ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรัง และป่าผสมผลัดใบในทุกภาคของประเทศ ที่ระดับความสูง 30-500เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลัดใบ สูง 10-30 เมตร ลักษณะลำต้นเปลาตรงเปลือกหนา2 ซม สีน้ำตาลปนเทา แตกล่อนเป็นสะเก็ด เนื้อไม้สดสีเหลืองทิ้งไว้นานเป็นสีเทาปนเหลือง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเรียงเป็นกระจุกอยู่ตามปลายกิ่ง ก้านใบยาว 3-20 ซม. อ้วนแบนมีขนสั้นมีร่องด้านบนเล็กน้อย ใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง 8-12 ซม.ยาว 12-2 5ซม.โคนใบสอบ ปลายใบมนและมีติ่งทู่ ใบอ่อนสีชมพูอ่อนและมีขน ใบแก่เกลี้ยง หูใบอยู่ระหว่างก้านใบ ดอก ออกเป็นช่อยาว 5-8 ซม.ตามปลายกิ่ง ดอกย่อยสีขาวขนาดเล็ก กลีบดอก 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ผลแคปซูลสีน้ำตาลรูปรี ยาว 2-3 ซม.แก่แห้งแล้วแตก เมล็ดมีขนาดเล็กจำนวนมาก มีปีกกว้าง เมล็ด (รวมปีก) 7-8 มม.
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นที่ราบลุ่ม เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 22 - 33°C แต่สามารถทนอุณหภูมิได้ 5 - 47°C มันสามารถตายได้ด้วยอุณหภูมิ -1°C หรือต่ำกว่า ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี และมีน้ำหนักเบามีค่า pH ในช่วง 5.5-6.5 ทนได้ 5-7 ต้นไม้ไม่ทนต่อไฟ
การรดน้ำ---Unknown
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
ใช้ประโยชน์---พืชที่รวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาไม้อาจถูกนำมาใช้ไม่มากมีการใช้ในระดับท้องถิ่นเท่านั้น
ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ ใบไม้ ประกอบไปด้วย scopoletin และ glycoside ที่ขมมาก ใช้ในการแพทย์พื้นบ้าน ใช้เป็นยาสมุนไพร
- ในอินเดียเปลือกไม้ขมใช้เป็นยาสมานแผลและยาแก้ไข้ รากไม้และเปลือกลำต้นใช้สำหรับแก้ไข้และบรรเทาอาการกระหายน้ำ
- ในรัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดียเปลือกลำต้นใช้สำหรับระดูขาวและประจำเดือน ใบใช้ในการรักษาแผล เจ็บคอ, ต่อมทอนซิลอักเสบ ในบังคลาเทศเปลือกใช้เพื่อเพิ่มความอยากอาหารและรักษาเนื้องอก ไม้ผงใช้สำหรับเริม ใบต้มในน้ำใช้ในอ่างอาบน้ำในการรักษาโรคดีซ่าน
อื่น ๆ--- แก่นไม้เป็นสีขาวเมื่อสด จากนั้นกลายเป็นสีเหลืองอมเทาหรือสีน้ำตาลปนเทาอ่อน เนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ ใช้ในงานก่อสร้างตกแต่งภายใน ทำลังใส่ของหรือกล่องบรรจุภัณฑ์อุปกรณ์ของเล่นและไม้ขีดไฟ  
- ในประเทศอินเดียได้รับการแนะนำสำหรับใช้ทำ เกรดเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาถูกลง *และเป็นแหล่งของสีย้อม (ไม่ได้ระบุสี; Razafimandimbison & Bremer, Bot. J. Linn. Soc. 152: 375-377. 2549) source via: http://www.efloras.org/florataxon.aspx?flora_id=2&taxon_id=250090853
ระยะออกดอก/ติดผล--- กรกฎาคม - มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ไม่แนะนำให้เพาะเมล็ดโดยตรงเนื่องจากเมล็ดมีขนาดเล็กมาก (ประมาณ 170,000 เมล็ด / กิโลกรัม) และล้างออกง่าย ควรเพาะต้นกล้าก่อนในกระบะเพาะชำหลังจากหนึ่งปีไปแล้วค่อยนำไปปลูกในตำแหน่งถาวร ต้นอ่อนมีความต้องการแสงและสามารถฆ่าได้ง่ายโดยวัชพืช


Up date: 27/12/2023

อ้างอิง, แหล่งที่มา
ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 .  
---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ
---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/
---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/
---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are
---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku
---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm
---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm
---https://whatflower.net/about/
---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ >
---https://gd.eppo.int/search
---http://www.worldfloraonline.org
---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/
---https://www.cabidigitallibrary.org/
---การออกเสียงสะกดชื่อละตินโดย edric https://www.palmpedia.net/wiki/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary


Check for more information on the species:    
        
---Plants Database -Names, synonymy and distribution-The Garden.org Plants Database.  https://garden.org/plants/
---Global Plant Initiative-Digitized type specimens, descriptions and use    
----หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ  www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
---Tropicos- Nomenclature, literature, distribution and collections-Tropicos - Home.  www.tropicos.org/
---GBIF-Global Biodiversity Information Facility-Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
---IPNI- International Plant Names Index- The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
---EOL-Descriptions, photos, distribution and literature-Global access to knowledge about life on Earth. Encyclopedia of Life eol.org/
---PROTA- Uses-The Plant Resources of Tropical Africa.https://books.google.co.th/
---Prelude-Medicinal uses-Prelude Medicinal Plants Database.    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google- Images-Images       


รวบรวมเรียบเรียง: Tipvipa..V
รูปภาพ : ทิพพ์วิภา วิรัชติ
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์  จำกัด
สวนเทวา-เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com

Up date--- 17/5/2020

27/12/2023

















  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view