สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 02/10/2024
สถิติผู้เข้าชม 45,958,353
Page Views 52,735,511
 
« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

ต้นไม้พุ่ม2

ต้นไม้พุ่ม2

ไม้พุ่ม 2

For information only the plant is not for sale

1 หงส์ฟู่/Loropetalum chinense 32 ชบาร่ม/Malvaviscus arboreus Cav.
2 แฮปปิเนส/Podranea ricasoliana 33 ชบาไทย/Hibiscus rosa-sinensis var. rosa-sinensis
3 รักแรกพบ/Xanthostemon chrysanthus 34 พวงแสดต้น/Tecoma capensis
4 หนวดฤาษี/Strophanthus preussii 35 พู่จอมพล/Calliandra haematocephala
5 คริสติน่า/Syzygium austraie 36 ยี่เข่ง/Lagerstroemia indica.
6 อ้าหลวง/Melastoma malabathricum 37 ราชาไข่มุก/Callicarpa americana
7 โคลงเคลงขน/Melastoma saigonense 38 ไข่มุกอันดามัน/Medinella magnifica
8 ม่วงมงคล/Tibouchina urvilleana 39 เทียนหยด/Duranta repens.
9 นีออนฟิลิปปินส์/Lespedeza bicolor 40 มิกกี้เม้าส์/Ochna thomasiana 
10 ชมพูนงนุช/Arachnothryx leucophylla 41 ทองอุไร/Tecoma stans.
11 โมกแดง/Wrightia dubia 42 มหัศจรรย์/Synsepalum
12 โมกเหลือง/Wrightia viridiflora  43 ผีเสื้อแสนสวย/Rotheca myricoides 
13 โมกพวง/Wrightia religiosa 44 อัคคีทวาร/Rotheca serrata
14 กระดุมไม้ใบเงิน/Conocarpus erectus
45 เข็มม่วงพญาอินทร์/Pseuderanthemum graciliflorum
15 มะละกอฝรั่ง/Jatropha multifida 46 พยับเมฆ/Orthosiphon aristatus
16 ชบาเมเปิ้ล/Hibiscus acetosella 47 พยับหมอก/Plumbago auriculata
17 มะเขือนมแพะ/Solanum mammosum 48 เข็มอินเดีย/Pentas lanceolata
18 ปักเป้า/Gomphocarpus fruticosus 49 เข็มอินเดียกราฟฟิตี้ ไวโอเลต
19 เข็มโบว์/Ixora hybrid 'Hindu Rope' 50 พวงทองต้น/Galphimia glauca
20 เข็มดาวาว/Carphalea kirondron 51 เทพนม/Pseuderanthemum laxiflorum 
21 เข็มเขียว/Tarenna stellulata 52 Aphelandra merelloae
22 เข็มเศรษฐีพิกุล/Ixora spp. 53 เหลืองคีรีบูน/Pachystachys lutea
23 เข็มศรีลังกา/Ixora spp. 54 แดงคีรีบูน/Pachystachys coccinea
24 เข็มเหลือง/Ixora coccinea 'Maui Sunset'. 55 แดงพันธุ์ทิพย์/Megaskepasma erythrochlamys
25 เข็มภูเก็ตดอกส้ม/Ixora spp.  56 ม่วงเทพรัตน์/Exacum affine
26 เข็มเชียงใหม่/Ixora x williamsii Hort. 57 พู่อมร/Combretum constrictum
27 เข็มพิษณุโลก/Ixora Hybrid 58 เกล็ดปลา/Phyllodium longipes
28 เข็มปัตตาเวีย/Jatropha integerrima  59 นูดพระ/ Flemingia stobilifera
29 นางแย้มจีน/Clerodendrum bungei  60 สร้อยสายเพ็ชร/Clerodendrum wallichii
30 ช้องนาง/Thunbergia erecta 61 ลิ้นมังกร/Sauropus spatulifolius
31 ชบา/Hibiscus rosa-sinensis  62 ผักบุ้งต้น/Ipomoea carnea
63 ตาเป็ดตาไก่/Ardisia crenata

EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int


หงส์ฟู่/Loropetalum chinense


ชื่อวิทยาศาสตร์---Loropetalum chinense (R.Br.) Oliv.(1862)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms    
---Basionym: Hamamelis chinensis R.Br.(1818)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-15100094
ชื่อสามัญ---Chinese Witch Hazel, Chinese Fringe- Flower, Fringe flower, Hazelberry, Strap flower.
ชื่ออื่น---หงส์ฟู่ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Jìmù, Mù jì mù.];[GERMAN: Reimenblüte.];[JAPANESE: Tokiwa-mansaku.];[MALAYSIA: Hazel Cina (Malay).];[PORTUGUESE: Hamamélis, Loropetalum.];[THAI: Hong- Foo.].
ชื่อวงศ์---HAMAMELIDACEAE
EPPO Code---LORCH (Preferred name: Loropetalum chinense.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Loropetalum' มาจากคำภาษากรีก 'loron'= สาย และ 'petalon' = ใบไม้หรือกลีบดอกไม้ในการอ้างอิงถึงกลีบดอกไม้แคบ ๆ ; ชื่อสปีซี่ส์ 'Chinese' หมายถึงของประเทศจีน อ้างอิงถึงถิ่นกำเนิด
Loropetalum chinense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Witch Hazel (Hamamelidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Brown (1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Daniel Oliver (1830–1916) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2405
รวม Infraspecifics ที่ยอมรับ 3 รายการ ;-
-Loropetalum chinense var. chinense (2021)-พันธุ์พื้นเมืองของ อัสสัมถึง S. China และ NE ไทย ญี่ปุ่น (ฮอนชู คิวชู) ไต้หวัน มีใบสีเขียวและดอกสีขาวหรือสีเหลือง
-Loropetalum chinense var. coloratum C.Q.Huang.(2001)-พันธุ์พื้นเมืองของ จีน (หูหนาน)
-Loropetalum chinense var. rubrum Yieh.(1942)-พันธุ์พื้นเมืองของ จีน (กวางสี หูหนาน) มีใบสีม่วงและดอกไม้สีชมพูหรือสีแดง


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในตอนใต้ของจีน (ไต้หวัน) ญี่ปุ่น (ฮอนชู คิวชู), อินโดจีน (ไทย) หลบหนีและแปลงสัญชาติจากการเพาะปลูก
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นไม่ผลัดใบ (กึ่งผลัดใบในบริเวณที่เย็นกว่า) หรือต้นไม้ขนาดเล็กสูงไม่เกิน 3 เมตร กิ่งก้านแตกหนาแน่น กิ่งอ่อนมีขนดก ใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปรีหรือรูปไข่กลับมีฐานไม่สมมาตร กว้าง 2.5 ซม.ยาว 2.5-5 ซม. ผิวเรียบเนื้อใบค่อนข้างหนา ใบอ่อนสีแดงสดเมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงมีสีเทาปน ดอกกระเทย (มีอวัยวะทั้งเพศผู้และเพศเมีย).ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด แต่ละช่อมี 5-10 ดอก กลีบเลี้ยงสีแดงอมชมพู รูปใบหอกกลับ กลีบดอก 4 กลีบสีเดียวกัน ลักษณะเหมือนพู่เป็นเส้นยาวพลิ้วและห้อยลง กลุ่มเกสรอยู่ภายใน กลิ่นหอมอ่อนๆ ผลไม้เป็นแคปซูลมีขนรูปดาวล้อมรอบรูปไข่กว้าง เมล็ดสีดำและมันวาว
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---เติบโตในเขตที่มีอากาศอบอุ่นเป็นหลัก ชอบแดดจัด อยู่ได้ในร่มรำไร ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ มีค่า PH เป็นกลางและเป็นกรดอ่อนๆ มีการระบายน้ำดี ไม่ทนต่อดินที่เป็นด่าง พืชต้องการความชุ่มชื้น แต่ไม่เปียกแฉะ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ดอกสีแดงอมชมพูม่วง ชาวจีนถือเป็นไม้มงคล เพราะแดงทั้งต้น ใบ ดอก การออกดอกจะมากที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ แต่ดอกไม้ประปรายมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาของปี นี่คือพืชที่ดีสำหรับสวนป่า
-ใช้เป็นยา  ทุกส่วนใช้เป็นยาในการแพทย์แผนจีน ยาต้มใช้ภายใน ในการรักษาอาการไอในวัณโรค, โรคบิด, ลำไส้อักเสบ ฯลฯ ใบบดขยี้ป็นก้อนใช้ภายนอกกับบาดแผล
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน/เมล็ดสุกในเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ปักชำ


แฮปปิเนส/Podranea ricasoliana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Podranea ricasoliana (Tanfani.) Sprague.(1904)
ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-317844   
---Basionym: Tecoma ricasoliana Tanfani.(1887)    
---Pandorea ricasoliana (Tanfani) K.Schum.(1894)
---Pandorea ricasoliana (Tanfani) Baill.(1891)           
---Tecomaria ricasoliana (Tanfani) Kraenzl.(1921)
ชื่อสามัญ---Pink Trumpet Vine, Port St.John's Creeper, Zimbabwe creeper, Queen of Sheba-vine, Zimbabwe-climber, Trumpet Vine, Bubblegum-vine, Rose flowered bignonia, Ricasol podranea.
ชื่ออื่น---แฮปปิเนส, ชมพูฮาวาย, โพดราเนีย (ทั่วไป) ;[DANISH: Skær trompetranke.];[DUTCH: Trompetklimmer.];[FRENCH: Bignone rose, Liane-orchidée.];[GERMAN: Purpur-Trompetenwein, Rosa-Trompetenwein.];[ITALIAN: Bignonia rosa, Pandorea.];[PORTUGUESE: Ricasoliana, Sete-léguas.];[RUSSIA: Podraneya Rikasoli, Podraneya Rikasolya.];[SPANISH: Arbusto de Pandora, Bignonia-Rosa, Bignonia rosada, Trompetas.];[SWEDISH: Skär trumpetranka.];[THAI: Hap-pi-ness, Chomphoo Hawwaii, Phoradinia (general).].
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
EPPO Code---PDRRI (Preferred name: Podranea ricasoliana.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ แอลจีเรีย สเปน หมู่เกาะคานารี เซนต์เฮเลนา ฮาวาย โบลิเวีย อเมริกากลาง เม็กซิโก และหมู่เกาะแคริบเบียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Podranea' คือแอนนาแกรม (anagram) ของ Pandorea สกุลของ Australian Bignoniaceae ซึ่งพืชถูกแทรกไว้ที่จุดเริ่มต้น ; ชื่อสปีซี่ส์ 'ricasoliana' ได้รับเกียรติจากนายพลและนักการเมืองชาวฟลอเรนซ์ Vincenzo Ricasoli (1814-1891) ผู้ปลูกดอกไม้ที่แปลกใหม่
Podranea ricasoliana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยEnrico Tanfani (1848–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Sprague Sargent (1841–1927) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2447
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เกิดขึ้นในพื้นที่ขนาดเล็กประมาณครึ่งทางระหว่างเมืองลอนดอนตะวันออกและเดอร์บัน บนชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้ ปัจจุบันมีการแนะนำในแอลจีเรีย สเปน หมู่เกาะคานารี เซนต์เฮเลนา ฮาวาย โบลิเวีย อเมริกากลาง เม็กซิโก และหมู่เกาะแคริบเบียนอีกหลายแห่ง ในแอฟริกาใต้ยังมีสายพันธุ์อื่นอีกคือPodranea brycei ซึ่งชนิดนี้ เติบโตในซิมบับเวและโมซัมบิก สายพันธุ์นี้ถือเป็นวัชพืชในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮาวาย
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย เนื้อแข็งอายุหลายปี สูง 2-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนกยาวไม่เกิน 25 ซม.มีใบย่อย 5-13 ใบ ออกตรงข้าม ก้านใบยาว 0.8-1 ซม.ใบย่อยรูปไข่ขนาด 2-7 x 1-3 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบบิดเป็นคลื่น แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นรูประฆังกว้าง สีอ่อน ยาว 1.5-2 ซม. แบ่งครึ่งมีห้าแฉก ดอกรูประฆัง ขนาด กว้าง 5-7 ซม.มีกลิ่นหอมเล็กน้อย กลีบดอกสีชมพูอมม่วง เส้นดอกสีแดง โคนกลีบสีเหลืองเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ หลอดกลีบดอกมีเกสรเพศผู้ยาวสองอันและเกสรเพศผู้สั้นสองอัน ผลแคปซูลรูปทรงกระบอกยาวสูงสุด 40 ซม.เมื่อแก่เต็มที่แตกออกตามยาวด้านข้าง มีเมล็ดสีน้ำตาลแบนและมีปีกจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--เป็นพืชที่แพร่หลายในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ชอบแสงแดดจัดและดินที่อุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี เมื่อโตเต็มที่จะสามารถทนอุณหภูมิได้สูงถึง -6°C
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกทั่วโลกในสวนของพื้นที่ เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เป็นไม้ประดับ
ได้รับรางวัล---Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.
ระยะออกดอก---ปีละ 3-4 ครั้ง
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ


รักแรกพบ/Xanthostemon chrysanthus

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Xanthostemon chrysanthus (F.Muell.) Benth.(1867)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/xanthostemon-chrysanthus-2/?lang=en    
---Basionym: Metrosideros chrysantha F.Muell.(1864)
---Nania chrysantha    (Müller) Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---Golden Penda, Junjum, Expo Gold, Golden Myrtle, Black Penda, Johnstone river penda.
ชื่ออื่น ---รักแรกพบ, แพนด้า (ทั่วไป) ;[AUSTRALIAN: Junjum.];[CHINESE: Jin pu tau, Jīn māo xióng, Huáng jīn pú táo.];[MALAYSIAN: Jambu kuning.];[THAI: Rak -Raek- Phob, Pan-Da (general).].
ชื่อวงศ์ ---MYRTACEAE
EPPO Code---XAHCH (Preferred name: Xanthostemon chrysanthus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย โอเชียเนีย    
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย หมู่เกาะโซโลมอน และ มาเลีย รวมทั้ง ฟิลิปปินส์ นิวกินี และ อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Xanthostemon' มาจากคำภาษากรีก 'xanthos' = สีเหลือง และ 'stemon' ในภาษาละติน หมายถึง ด้ายสีเหลือง อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'chrysanthus' มาจากคำกรีกโบราณ 'chrysos'= "ทองคำ" และ "anthos"= "ดอกไม้"
Xanthostemon chrysanthus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Ferdinand Jacob Heinrich von Mueller (1825-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันออสเตรเลีย และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2410


ที่อยู่อาศัย พบในเขตร้อนทางตอนเหนือของออสเตรเลีย นิวกีนี แคลิโดเนีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เติบโตในป่าเปิดหรือป่าฝนมักอยู่ริมฝั่งลำธารและแม่น้ำ
ลักษณะ เป็นต้นไม้ขนาดกลางสูง 10–15 เมตร ทรงพุ่มกว้าง 5-8 เมตร ในป่า โดยทั่วไปจะมีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น สูง 3 - 8 เมตร ภายใต้การเพาะปลูก ลำต้นเรียบเกลี้ยงสีน้ำตาล มีกิ่งก้านแตกเหนือดิน ทำให้ทรงพุ่มแน่น ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเรียงเวียนรูปไข่แกมรูปรีถึงรูปใบหอก สีเขียวมันวาวมีขนาดความยาว 7-22 ซม. กว้าง 2–9.5 ซม. ปลายใบแหลมโคนใบสอบ ขอบใบเรียบ เห็นเส้นกลางใบชัดเจน ช่อดอกเป็นช่อกระจุกกลมออกที่ปลายกิ่ง  มีดอกหลายสี คือ เหลือง แดง ส้ม ชมพู ดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม.รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ แต่ละดอกเห็นเกสรผู้สีเหลืองเด่นชัดและหลุดร่วงง่าย ผลเป็นแคปซูลไม้สีเขียวหรือน้ำตาลขนาดเล็ก 1-1.5 ซม.ไม่ค่อยติดผล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ถึงแสงแดดรำไร หากปลูกในที่ร่มเกินไปกิ่งจะยืดยาวและไม่ค่อยออกดอก แดดจัดเกินไปใบก็จะไหม้ ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอระบายน้ำได้ดี ต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อย
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับสำหรับใช้ในสวนและจัดสวน เป็นพืชสวนยอดนิยมที่มีดอกสีเหลืองฉูดฉาด นิยมปลูกลงแปลง ปลูกเป็นกลุ่ม หรือปลูกในกระถางก็ได้
-ใช้เป็นยา ใช้สำหรับฟอกเลือด เกี่ยวข้องกับตับและปอดตับและปอด
-อื่น ๆไม้เนื้อแข็งใน Ngadjonji แห่งรัฐควีนส์แลนด์ ใช้สำหรับทำ หอก ดาบ
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกได้ตลอดปี/ผลแก่---สิงหาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด (ใช้เวลางอก 1-2 เดือนขึ้นไป ออกดอกครั้งแรกภายใต้สภาวะการเพาะปลูกที่ดีที่สุด หลังจาก 2-3 ปี), ปักชำ

หนวดฤาษี/Strophanthus preussii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Strophanthus preussii Engl. & Pax.(1892)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Strophanthus bracteatus Franch.(1893)
---Strophanthus preussii var. scabridulus Monach.(1951)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.net/tpl/record/kew-198272
ชื่อสามัญ---Medisa-flower, Corkscrew Flower, Spider Tresses, Foo manchu plant, Poison arrow vine, Preuss’ Strophanthus, , Tassel Vine, Climbing Oleander.
ชื่ออื่น---หนวดฤาษี (ทั่วไป); [CHINESE: Chuí sī yángjiǎo ǎo, Chuí sī jīnlóng téng];[GERMAN: Westafrikanische korkenzieherblume.];[FRENCH: Strophanthus de Preuss.];[LITHUANIA: Rusvasis strofanta.];[THAI: Hnuead ruesi (general).].
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
EPPO Code---SHTPR (Preferred name: Strophanthus preussi.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แองโกลา เบนิน แคเมอรูน คองโก โกตดิวัวร์ กาบอง กานา กินี อิเควทอเรียลกินี ไลบีเรีย ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน แทนซาเนีย โตโก ยูกันดา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Strophanthus' เป็นคำรวมกันของคำกรีก "strophos" = สายบิด และ ''anthos'' = ดอกไม้ โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของกลีบดอกคล้ายเส้นด้ายโดยเฉพาะเมื่อยังคงอยู่ในตา ; ชื่อสายพันธุ์ 'preussii' เป็นเกียรติแก่ Dr. Paul Rudolf Preuss (1861-) นักพฤกษศาสตร์ นักเดินทางและนักสะสมชาวเยอรมัน
Strophanthus preussii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และFerdinand Albin Pax (1858-1942) ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2435

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อน (แองโกลา เบนิน แคเมอรูน คองโก โกตดิวัวร์ กาบอง กานา กินี อิเควทอเรียลกินี ไลบีเรีย ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน แทนซาเนีย โตโก ยูกันดา) เติบโตในป่าชื้นระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้เลื้อยไม่ผลัดใบ ถ้าเป็นไม้พุ่มสูงถึง 5 เมตร ทรงพุ่มกว้าง 3.5 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2.5 ซม.ถ้าปล่อยเป็นไม้เลื้อยสูงได้ถึง12 เมตร อายุหลายปี เปลือกต้นสีน้ำตาลถึงดำ แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้าม รูปไข่ ขอบใบเรียบ ปลายแหลมมีติ่ง โคนใบมน ขนาดใบกว้างประมาณ 6-8 ซม.ยาว 10-13 ซม.ดอกไม้กะเทย (มีอวัยวะทั้งเพศผู้และเพศเมีย) ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่งยาวได้ถึง 18 ซม.ขนาดดอก 4-5 ซม.รูปแตรตื้นสีขาวครีม กลางกลีบดอกสีน้ำตาลแดง ปลายกลีบเรียบแหลมยาวสีน้ำตาลแดงเข้ม ผลทรงกระบอกสีน้ำตาล ยาวประมาณ 28 ซม. มีเมล็ดหลายเมล็ดยาวประมาณ 2 ซม.มีขนเป็นกระจุกสำหรับกระจายเมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์ระบายน้ำดี ชอบดินที่มีความเป็นด่างเล็กน้อย การบำรุงรักษา ปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน มีการกล่าวกันว่าใบอ่อนจะนำมาปรุงและกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา น้ำยางหรือใบอ่อนมาบดให้ละเอียดรักษาโรคหนองใน น้ำยางใช้รักษาแผล ใช้ยาต้มใบเพื่อรักษาอาการปวดหลังคลอด
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกในกระถางขนาดใหญ่, ปลูกลงดินตัดแต่งเป็นไม้ประดับทรงพุ่ม หรือปลูกเป็นไม้กระถางแขวน หรือปล่อยให้เลื้อยก็เลื้อยได้
-อื่น ๆ เส้นใยที่ได้จากลำต้นใช้ทำเส้นเบ็ดอวนและเชือก น้ำยางของพืชใช้สำหรับการจับตัวของยาง Futumia elastica ในการทำยาง -ลำต้นใช้ทำคันธนู
รู้จักอันตราย---น้ำยางหรือเมล็ดมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษ ใช้ในส่วนผสมยาพิษลูกศร
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล--- ออกเป็นระยะเกือบตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ปักชำ


คริสติน่า/Syzygium austraie


ชื่อวิทยาศาสตร์---Syzygium australe (J.C.Wendl. ex Link) B.Hyland.(1983)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms  
---Basionym: Eugenia australis J.C.Wendl. ex Link.(1822)
---Jambosa australis (J.C.Wendl. ex Link) DC.(1828)
---Myrtus australis (J.C.Wendl. ex Link) Spreng.(1825)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-199250
ชื่อสามัญ---Australian brush-cherry, Australian Rose Apple, Australian water-pear, Brush Cherry, Creek lily- pilly, Creek satin-ash, Creek-cherry, Scrub-cherry, Purple monkey apple.
ชื่ออื่น ---คริสตีน่า (ทั่วไป) ; [AFRIKAANS: Australiese waterpear.];[AUSTRALIA: Creek lilly-pilly, Creek satin-ash.];[THAI: Kris ti na (general).].
ชื่อวงศ์---MYRTACEAE
EPPO Code---SYZAU (Preferred name: Syzygium australe.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคลิฟอร์เนีย กัวเตมาลา
Syzygium australe เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย(Johan Christoph Wendland (1755–1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Johann Heinrich Friedrich Link (1767–1850)  นักธรรมชาติวิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bernard Patrick Matthew Hyland (1937– ) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ในปี พ.ศ.2526


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ออสเตรเลีย (นิวเซาธ์เวลส์, ควีนส์แลนด์) แนะนำในนิวซีแลนด์ตอนเหนือ แคลิฟอร์เนีย กัวเตมาลา เติบโตในป่าดิบชื้น ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง 1,100 เมตร
ลักษณะ คริสติน่าเป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 2-5 เมตรหรือไม้ต้นขนาดเล็ก (18 เมตร) ลำต้นสีน้ำตาลอ่อน ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปใบหอกยาว 4-8 ซม.ยาว 1–30 ซม. ก้านใบยาว 0.3-1 ซม. กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม ใบอ่อนสีแดงเป็นมัน ช่อดอกเป็นกระจุกออกที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง 3-5 ดอกขึ้นไป ดอกสีขาว มีเกสรเพศผู้ยาวมากกว่ากลีบดอก 0.5-2 ซม.ผลมีเนื้อรูปไข่กลับสีแดงอมชมพูถึงแดงยาว 1.5-2 ซม.มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.5 ซม.มีเมล็ดขนาดใหญ่ 1-2 เมล็ด เมล็ดเป็นโพลีเอ็มบริโอ (polyembryonic)
ข้อกำหนดด้าสิ่งแวดล้อม---ปลูกในที่ที่มีแสงแดดจัด, แสงแดดเต็มวัน (6-8ชั่วโมง) หรือครึ่งวัน ดินร่วนปนทรายชื้น ระบายน้ำได้ดี pH ที่เหมาะสม (เป็นกรดอ่อนๆ, เป็นกลาง และเป็นด่างอ่อน)
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ ใช้กินดิบสดหรือปรุงสุก มีรสชาติที่สดชื่นและมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย หรือใช่ทำเป็นแยม, เยลลี่
-ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสองข้างถนน และตกแต่งสวน คริสตินาไม้ยอดนิยมของสิงคโปร์ ไปทางไหนเห็นแต่ยอดแดงๆของคริสติน่า เป็นไม้ใบที่มีสีสันสวยงามมากยิ่งตัดแต่งจะทำให้ได้ยอดสีแดงเสมอๆ ทำเป็นแนวรั้ว ปลูกเดี่ยวตัดแต่งเป็นพุ่มได้ ยังมีพันธุ์ใหม่ที่ให้ยอดสีแดงเข้มและพันธุ์แคระ สามสารถใช้ทำบอนไซ
ระยะออกดอก---มกราคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด (ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ในการงอก), ปักชำ


โคลงเคลง/Melastoma malabathricum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Melastoma malabathricum L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Melastoma malabathricum var. polyanthum Benth.(1867), not validly publ.
---Melastoma polyanthum Blume.(1831), nom. superfl.
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/570989-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Indian-rhododendron, Malabar Melastoma, Melastoma, Planter's rhododendron, Singapore rhododendron, Straits rhododendron, Banks melastoma.
ชื่ออื่น---โคลงเคลงขี้นก, โคลงเคลงขี้หมา (ตราด) อ้าหลวง ,มังเคร่, จักรนารี ;[ASSAMESE: Phutuki, Phutkala.];[CHINESE: Ye mu dan.];[FRENCH: Mélastome du Malabar.];[GERMAN: Malabar-Erdbeerstrauch, Singapur-Rhododendron.];[HINDI: Shapti.];[INDONESIAN: Harendong, Senduduk, Senggani, Kemanden, Kluruk.];[KANNADA: Ankerki, Kinkenrika.];[MALAYALAM: Palore.];[MALAYSIA: Senduduk, Senduduk merah, Sekedudok, Sikadudok, Kendudok, Kedudok, Sedudok, Lingangadi, Gosing-gosing, Gagabang, Ngongodo, Gata-gata, Kelarit, Pokok senduduk, Sendukuk putih.];[MARATHI: Bobuchunmei, Rongmei, Rindha, Palore.];[MYANMAR: Kyet-gale, Linda-pabyin, Myetpye, Nyaung-ye-o-pan, Sahkao, Sshame, Wachyang, Wagangga.];[NEPALESE: Diklak, Gabrasai, Koilar, Anguri, Tun kaphal, Angeri, Kali angeri, Thulo chulesi, Chulesi, Lemlang.];[PALAUA: Matakul.];[PHILIPPINES: Malatungaw (Tag.); Malatungau (Ibn.); Bubtoi (Sbl.); Yagomyum (C. Bis.).];[SRI LANKA: Bowitiya, Mahabowitiya, Katakaloowa.];[SWEDISH: Malabarbuske.];[TAMIL: Nakkukappan.];[TELUGU: Nekkarike.];[THAI: Khlong khleng khee nok, Khlong khleng khi hma (Trat); Aa hluang, Mang khre, Chak nari.];[USA: Banks melastoma.];[VIETNAMESE: Mua da hung, Mua se.].
ชื่อวงศ์---MELASTOMACEAE
EPPO Code---MESMA (Preferred name: Melastoma malabathricum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เทือกเขาหิมาลัย บังคลาเทศ ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) นิวกินี ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลียและมาดากัสการ์
Melastoma malabathricum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
Includes 3 Accepted Infraspecifics ;-
-Melastoma malabathricum subsp. malabathricum
-Melastoma malabathricum var. mariannum (Naudin) Fosberg & Sachet.(1980)
-Melastoma malabathricum subsp. normale (D.Don) Karst.Mey.(2001)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน เทือกเขาหิมาลัย บังคลาเทศ ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) นิวกินี ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เปิดตัวในมาดากัสการ์ เติบโตในป่าโปร่งในดินหลากหลายชนิด ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 3,000 เมตร ในประเทศไทยพบตามทุ่งที่ชื้นแฉะหรือที่ลุ่ม จากที่ราบจนถึงระดับความสูง 1,900 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มแตกกอและแขนงเป็นพุ่มกว้างสูง 1-3 เมตร กิ่งสี่เหลี่ยมปกคลุมด้วยขนสีสนิม ใบหนาแข็งรูปไข่ยาวรีหรือรูปขอบขนานปลายแหลมกว้าง 1.7-5 ซม.ยาว 4-14 ซม.มีขนสีขาวทางด้านบนใบเนื้อใบบางแกมอวบน้ำ เมื่อจับแผ่นใบจะรู้สึกคายมือ ดอกออกที่ปลายยอด 2-3 ดอกสีม่วงอ่อนหรือม่วงแก่ เกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่กลางดอก 5 อัน ผลกลมรูปถ้วยมีตุ่มขนรอบๆ ขนาด 6 มม.เมื่อสุกแตกอย่างไม่สม่ำเสมอ เห็นเนื้อสีฟ้าเข้มและเมล็ดสีส้มอ่อน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อผลไม้ค่อนข้างหวานฝาดเล็กน้อย - เมล็ดจะถูกเคลือบด้วยเนื้อสีแดงบาง ๆเวลากินจะทำให้ปากเป็นสีแดง -ใบอ่อนรสเปรี้ยวในชวาใช้กินเป็นผักกับอาหารอื่น
-ใช้เป็นยา ถูกนำมาใช้เป็นพืชสมุนไพรในบางส่วนของโลก ยาพื้นบ้านของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ ใบ หน่อ เปลือก เปลือกเมล็ดและราก ใช้ในการรักษาอาการท้องเสีย บิด ริดสีดวงทวาร บาดแผล ปวดฟัน ปวดท้อง
-รากใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อบรรเทาอาการปวดฟันหรือเพื่อรักษาโรคลมชัก
-ใบและรากผงโรยบนบาดแผล ยังสามารถโรยรักษาไข้ทรพิษเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น
-ในยาจีนโบราณ, เมล็ดที่ใช้ในยา "poh ch i" เพื่อรักษาอาการท้องร่วง
-ในอินเดียเปลือก ใช้สำหรับโรคผิวหนัง ใบสำหรับไข้ทรพิษและบาดแผล; และรากรักษาอาการท้องร่วงและโรคบิด
-ในอินโดจีน พืชใช้รักษาอาการท้องร่วง ตกขาว และบิด; ใบ ยอดดอก และรากเป็นยาฝาดสมาน (Perry 1980)
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
ระยะออกดอก/ติดผล --- ตลอดปี
ขยายพันธุ์--- ด้วยเมล็ดหรือแยกกอ


โคลงเคลงขน/Melastoma saigonense


ชื่อวิทยาศาสตร์---Melastoma saigonense (Kuntze) Merr.(1948)
ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms   
---Osbeckia saigonensis Kuntze.(1891)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-50269052
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โคลงเคลงขน, คลองคลองขน (ปราจีนบุรี), โคลงเคลงญวน, คลอง, เขล่ง, หยวน (ทั่วไป), ม่ายะ (ช่อง-ตราด), เอ็นอ้า (อุบลราชธานี) ; [CAMBODIA: Nhi nh bat (Central Khmer).];[THAI: Khlong khleng khon (Prachin Buri), Khlong khleng yuan (General), Ma-ya (Chong-Trat); En aa (Ubon Ratchathani).]; [VIETNAM: Mua lông, Mua sài gòn.].
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
EPPO Code---MESSS (Preferred name: Melastoma sp.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีซี่ส์ 'saigonense' หมายถึง ของไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนาม
Melastoma saigonense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2391

 

ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองในอินโดจีน (ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม)
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง1-3 เมตร แตกกิ่งต่ำทรงพุ่มแน่นทึบกิ่งสี่เหลี่ยมปกคลุมด้วยขนแข็งสีน้ำตาลแดงหนาแน่น ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก แผ่นใบรูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง1.2-2.5ซม.ยาว 3-9ซม. ผิวใบด้านบนสีเขียวคล้ำมีขนอุยปกคลุมบางๆ ด้านล่างสีซีดกว่ามีขนปกคลุมหนาแน่น แผ่นใบบางแกมอวบน้ำ มีขนปกคลุม ดอกเดี่ยวหรือแบบช่อกระจุก ออกตามปลายกิ่งหรือง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง มี 3-5 ดอกต่อช่อ ดอกย่อยขนาดใหญ่สีชมพูถึงม่วงแดงเข้ม ขนาดดอก 4-6 ซม. ผลเป็นแคปซูลแบบมีเนื้อหลายเมล็ด ยาวประมาณ 8 - 13 มม ผลแก่แตกตามขวางไม่เป็นระเบียบเนื้อผลสีม่วงแยกเป็น 5 พู มีเมล็ดจำนวนมากฝังอยู่ภายใน
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้นสม่ำเสมอ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและอาหาร
-ใช้กิน ผลไม้- ดิบ สุก กินเป็นอาหารว่างมีรสหวาน
-ใช้เป็นยา ราก ใบ ดอก ผล หน่ออ่อน เป็นยาสมานแผลและนำมาใช้ในการรักษาสภาพ เช่นท้องเสีย leucorrhoeaและบิด
-อื่น ๆสายพันธุ์ Melastoma อุดมไปด้วยแทนนินประเภทย่อยสลายได้ ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็น di- และ trimers กับรายงานกิจกรรมฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์--- ด้วยเมล็ดหรือแยกกอ


ม่วงมงคล/Tibouchina urvilleana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pleroma urvilleanum (DC.) P.J.F.Guim. & Michelang.(2019)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms    
---Lasiandra urvilleana DC.(1828)
---Basionym: Tibouchina urvilleana (DC.) Cogn.(1885)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77206410-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Brazilian Spider Flower, Glory bush, Princess flower, Purple glory tree, Lasiandra, Purple Glory Tree, Pleroma, Brazilian Sendudok.
ชื่ออื่น---ม่วงมงคล,โคลงเคลงแคระ (ทั่วไป) ;[BRAZIL: Buscopam-de-casa.];[FRENCH: Balmane, Doudoul, Fleur araignée, Griffe du diable, Pensée malgache, Tibouchina, Tibouchine.];[GERMAN: Glänzende Tibouche.];[JAPANESE: Shikonnobotan, Tibôkina.];[PORTUGUESE: Flor-princesa, Tibuchina-das-flores-roxas.];[SPANISH: Aranha, Planta de la gloria, Siete cueros, Tibuchina.];[SWEDISH: Diadembuske.];[THAI: Muoang mong khol, Khlong kleng khrae (general).].
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
EPPO Code---TIBUR (Preferred name: Tibouchina urvilleana.) Syn
ถิ่นกำเนิด--ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์----บราซิล แคริบเบียน อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Tibouchina" มาจากชื่อพืชในภาษาพื้นเมืองของกีอานา (Guiana)
Pleroma urvilleanum ภายใต้คำพ้องความหมายTibouchina urvilleana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Paulo José Fernandes Guimarães (fl. 1997) นักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล และ Fabián Armando Michelangeli (1970– ) นักพฤกษศาสตร์ชาวเวเนซุเอลา ในปี พ.ศ.2562


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล ( ปารานา, ริโอกรันเดโดซูล, ซานตากาตารีนา, เซาเปาโล) พืชเจริญเติบโตกระจายตามธรรมชาติ ในพื้นที่เขตร้อนในประเทศที่มีภูมิอากาศชื้น ที่ระดับความสูง 1,600-2,600 เมตร มันสามารถสร้างกลุ่มพืชหนาแน่นในสถานที่ที่ถูกรบกวนเช่นพื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกทิ้งร้าง ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในอเมริกากลาง แคริบเบียน อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ในรัฐฮาวายถูกจดทะเบียนเป็นวัชพืชพิษถือเป็นสายพันธุ์ที่รุกราน ซึ่งพบได้ในพื้นที่ชื้นแฉะ เช่น ป่าและริมถนน แม้ว่าดอกไม้จะปลูกเป็นพืชสวนที่สวยงามในที่อื่น แต่ในฮาวายกลับเป็นพืชที่พบได้ทั่วไปและเป็นวัชพืชเด่นชัดที่ขึ้นรูปหนาทึบบุกรุกป่าและขับไล่พืชพื้นเมือง เป็นไม้ในวงศ์เดียวกับโคลงเคลง ต่างกันตรงที่ขนาดของดอกที่ใหญ่กว่า และสีที่ออกม่วงเข้มกว่า
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ 3-4.6 เมตร พุ่มกว้างประมาณ 2.5 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยมมีขนสั้น เป็นไม้ไม่มียาง ใบเดี่ยวรูปรีหรือรูปไข่ ยาว 5-15 ซม. กว้าง 2-7 ซม.สีเขียวลักษณะพิเศษของใบ มีเส้นใบที่ชัดเจน 3 เส้นบนแผ่นใบ ดอกไม้กะเทย ออกดอก ที่ปลายยอด กลีบเลี้ยงแยกจากกัน 5 กลีบสีเขียวอมม่วง กลีบดอกมี 5 กลีบ กว้าง 7.5 ซม สีม่วง เส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 8-13 ซม.ไม่มีกลิ่น Hypanthium พัฒนาเป็นผลไม้ มีสีแดงและมีรูปร่างคล้ายแจกันรูปตัวยู ยาว 1.5 ซม. กว้าง 1 ซม.ผลเมื่อแก่เปลือกจะแห้งและแตกออก ภายในมีเมล็ดเล็กๆ สีดำจำนวนมาก
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---เติบโตในเขตร้อน ตำแหน่งแสงแดดจัด ปกป้องสายพันธุ์นี้จากลมและแสงแดดยามบ่ายโดยตรงในช่วงอากาศร้อน ปลูกได้ดีในมี่มีแสงแดดส่องถึง แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ความชื้นสม่ำเสมอ (ชอบน้ำ) ระบายน้ำได้ดีไม่ขังแฉะ ดินมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย ( pH ต่ำ) ทนอุณหภูมิต่ำสุด 3 °C เลี้ยงง่าย ตายยากอย่าให้ขาดน้ำเท่านั้น ต้องการการบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อย
ศัตรูพืช/โรคพืช---มักจะทนต่อศัตรูพืชและโรคต่างๆ แต่บางครั้งก็ถูกโจมตีโดยไส้เดือนฝอย scale insects และ geranium budworm หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไปเพื่อป้องกันไม่ให้รากเน่า
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับปลูกในกระถาง หรือปลูกต้นเดี่ยวลงดิน หรือปลูกเป็นกลุ่มใหญ่เป็นแปลง
** การพูดคุยส่วนตัว คนหลงสเน่ห์ดอกไม้สีม่วงเห็นต้นนี้แล้วคงเปิดกระเป๋าหยิบสตางค์มือไม้สั่นเพราะราคาที่แพงเอาเรื่อง (2018)
-ใช้เป็นยา ในบราซิลมีการใช้เป็นยาแก้ปัญหากระเพาะ
ได้รับรางวัล---Award of Garden Merit (AGM) จาก Royal Horticultural Society.
ระยะออกดอก/ติดผล--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์--ด้วยวิธีปักชำ


นีออนฟิลิปปินส์/Lespedeza bicolor

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lespedeza bicolor Turcz.(1840)
ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms    
---Lespedeza bicolor f. pendula S.L. Tung & Z. Lu.(1988)
---Lespedeza veitchii Ricker.(1942)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:502415-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Bicolor lespedeza, Ezo-Yama-Hagi, Shrubby bushclover, Shrub lespedeza, Bicolored lespedeza, Silky bush-clover, Two-coloured bush-clover.
ชื่ออื่น---นีออนฟิลิปปินส์, ชมพูนุช (ทั่วไป);[CHINESE: Hu zhi zi.];[FRENCH:  Luzerne Tropicale.];[GERMAN: Buschklee, Zweifarbiger, Zweifarbiger Buschklee.];[JAPANESE: Ezo-Yama-Hagi, Yama-hagi.];[KOREA: Ssali, Ssarinamu.];[LITHUANIA: Dvispalve Dobilune.];[POLISH: Koniczyna Japonska.];[RUSSIA: Derzhi-Koren, Lespedetsa dvutsvetnaya.];[TAIWAN: Shān hú zhīzi zhōngwén.];[THAI: Nī-on filippins̄̒,  Chomphoo nuch  (general).].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE)
EPPO Code---LESBI (Preferred name: Lespedeza bicolor.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออก-รัสเซีย (ไซบีเรียตะวันออก), มองโกเลีย จีนตะวันออกเฉียงเหนือ, ญี่ปุ่น, เกาหลี แมนจูเรีย
Lespedeza bicolor เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolai Stepanovich Turczaninow (1796–1863) เป็นนักพฤกษศาสตร์และนักสะสมพืช ชาวรัสเซีย ในปี  พ.ศ.2483  
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน รัสเซีย (ไซบีเรียตะวันออก) จีน (มองโกเลีย แมนจูเรีย) ญี่ปุ่น เกาหลี  เติบโตใน Anthropogenic (ที่อยู่อาศัยที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือถูกรบกวน) ทุ่งหญ้าและทุ่งนา เป็นผู้รุกรานพื้นที่เปิดโล่งซึ่งก่อตัวเป็นดงทึบหนาแน่นซึ่งแทนที่พืชพันธุ์พื้นเมือง ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายสำหรับที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยเฉพาะนกกระทาเหนือ เติบโตที่ระดับความสูง 150 - 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มตระกูลถั่วสูงประมาณ 0.9-3 เมตร อายุหลายปี มีลำต้นเรียวยาวและกิ่งก้านโค้ง ใบเป็นรูปไข่1.5-6 × 1-3.5 ซม.สลับกันมากมายและแยกสามส่วน แผ่นใบเป็นรูปไข่ที่มีพื้นผิวด้านล่างอ่อนกว่าพื้นผิวด้านบน ดอกไม้มักแตกแขนงออกเป็นช่อใหญ่ ยาว 4-10 ซม.มีขนหนาแน่น พืชสร้างดอกไม้สองประเภท: ดอกไม้ที่ปิดสนิท (cleistogamous) ที่ผสมเกสรด้วยตนเองและดอกไม้เปิด (chasmogamous) ที่ดึงดูดผึ้ง ดอกไม้มีขนาดน้อยกว่า 1.3 ซม.ผลเป็นฝักแบนยาว 6–8 มม.แห้ง แต่เมื่อแก่ไม่แตก มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดและแสงแดดรำไร ชอบดินกรดปานกลางแห้งหรือชื้น ทนแล้ง สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้มักจะถูกนำมาใช้เป็นไม้ประดับและในโครงการอนุรักษ์ดินในสหรัฐอเมริกา มันได้หลบหนีจากการเพาะปลูกโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นธรรมชาติในพื้นที่
-ใช้กิน ใบอ่อนและลำต้น - สุก ดอกไม้ - ปรุง เมล็ดสุกต้มและกินแทนข้าวเป็นครั้งคราว ใบใช้ชงแทนใบชา
-ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในพืชสวน ปลูกเป็นกลุ่มหรือใช้ปลูกยึดหน้าดินกันพังทลายได้
-วนเกษตร เนื่องจากสปีชีส์นี้ทนต่อดินแห้งแล้งและยังแก้ไขไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศ, มันถูกปลูกขึ้นเพื่อป้องกันลม, และเพื่อรักษาเสถียรภาพของทราย, และการอนุรักษ์ดินสามารถใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกสำหรับการฟื้นฟูดินและเป็นไม้พุ่มพยาบาลในระยะแรกของการปลูกป่า-ดอกไม้เป็นแหล่งที่ดีของละอองเกสรและน้ำหวานและพืชมีระยะเวลาออกดอกนานทำให้เป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับผึ้ง
-อื่น ๆ น้ำมันเมล็ดใช้เป็นสารหล่อลื่น สารสกัดจากเปลือกจะใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมเครื่องสำอางเพื่อการค้าเป็นครีมบำรุงผิว กิ่งก้านใช้สำหรับทำตะกร้า
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---เดือนสิงหาคม-กันยายน/เมล็ดสุกตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด
** การพูดคุยส่วนตัว ไม้ต้นนี้บอกตรง ๆว่าตอนอยู่ในกระถางไม่น่าซื้อเลย เพราะทรงพุ่มที่ดูเก้งก้างดอกใบก็อยู่ห่างๆกัน ดอกน่ารักก็จริงแต่ดูรวมแล้วงั้นๆดูดอกน้อย แต่ด้วยความที่เขาคือต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็เลยมีสิทธิ์ที่จะเชิดหน้าอยู่มุมหนึ่งมุมใดของสวนก็ได้ พอปลูกลงดินแล้วก็เกิดอาการอย่างที่เห็นคงจะได้ปุ๋ยได้น้ำได้มุมที่ชื่นชอบ เลยแตกต้นแตกกิ่งออกดอกได้ยุบยิบซะ ทำให้เราคนจัด และเจ้าของติดอกติดใจ ยิ่งหน้าหนาวอากาศเย็นดอกยิ่งออกเยอะมาก นีออนฟิลิปปินส์หรือชมพูนุช ชื่อหลังนี้จะไปคล้ายกับไม้พุ่มอีกชนิดหนึ่งคือชมพูนงนุช (รูปถัดลงไปข้างล่างจากนี้) แต่ลักษณะจะแตกต่างกันมาก ถ้าหากเพิ่มคำว่า "นง" ไป หรือขาดคำว่า"นง" ไป ได้ต้นไม้มาคนละต้นเลยนะท่าน**


ชมพูนงนุช/Arachnothryx leucophylla

ชื่อวิทยาศาสตร์---Arachnothryx leucophylla (Kunth) Planch.(1849)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Basionym: Rondeletia leucophylla Kunth.(1820)
---Hedyotis leucophylla (Kunth) Spreng.(1824)    
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:743565-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Panama rose, Pink Bush Penta, Fragrant Pink.
ชื่ออื่น---ชมพูนงนุช, เข็มชมพูนงนุช (ทั่วไป) ;[MEXICO: Dama de noche, Hierba de la muchachita, Huele de la noche, Lipa-Caudaz.];[THAI: Chomphoo nong nuch, Khem chomphoo nong nuch(general).];[VIETNAM: Liễu mai, Liễu hồng.].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---ROJLE (Preferred name: Rondeletia leucophylla.) Syn
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก ปานามา เอลซัลวาดอร์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Arachnothryx' คือการรวมคำกรีก 'arachne' = แมงมุม และ 'thryx' = ขน อ้างอิงถึงการแตกหน่อของ arachnoidal ; ชื่อสายพันธุ์คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษากรีก 'leucos' = ขาวและ 'phyllon' = ใบไม้โดยมีการอ้างอิงถึง tomentumสีขาวที่อยู่ด้านล่างของใบ
Arachnothryx leucophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jules emile Planchon (1823 –1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2392

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอในเมริกากลาง (เม็กซิโก, ปานามา) แนะนำใน เอลซัลวาดอร์ เติบโตในพุ่มไม้หนาที่ระดับความสูงต่ำ
ลักษณะ เป็น ไม้พุ่มสูงประมาณ 1.50-3เมตร แต่ถ้าอยู่ในป่าในถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอาจสูงได้ถึง3เมตร ใบออกตรงข้ามจากลำต้นแบบไม่มีก้านใบ รูปใบหอกหรือรูปไข่แคบ ปลายใบแหลม ยาวประมาณ12ซม.กว้าง2ซม. ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ตามปลายกิ่ง ดอกสีชมพู ดอกย่อย 10-16 ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปเข็ม ปลายแยก 4 แฉก ปลายกลีบมน ก้านช่อดอกยาว  รวมกันขนาดทรงดอก5 ซม.ผลแห้งมีเมล็ดสีขาวขนนุ่มปกคลุมจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอมตอนเย็นใกล้ค่ำ
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ทั้งกลางกลางแจ้งแสงแดดเต็มวัน ครึ่งวัน และในที่ร่มรำไร ในดินที่มีการระบายน้ำดี การให้น้ ปกติปานกลางทั่วไป ควรตัดแต่งกิ่งรักษาทรงพุ่มอย่างสม่ำเสมอจะมีดอกให้เห็นอยู่ตลอด ควรให้ปุ๋ยละลายช้า (3เดือน) ซึ่งมีโนโตรเจนต่ำและมีฟอสฟอรัสสูงเพื่อกระตุ้นการออกดอก
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ตามสวนสาธารณะ สวนทั่วไปหรือปลูกเป็นไม้กระถาง มีความทนทานต่อความเค็มเล็กน้อย จึงสามารถนำไปใช้ในพื้นที่ใกล้ทะเลได้
ระยะออกดอก---ตลอดปี แต่มีดอกมากที่สุดช่วงหนาวปลายปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


โมกแดง/Wrightia dubia

ชื่อวิทยาศาสตร์---Wrightia dubia (Sims) Spreng.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms    
---Cameraria dubia Sims.(1814)
---Strophanthus jackianus Wall. ex G.Don.(1837)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:82847-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Red Wrightia
ชื่ออื่น---โมกแดง, โมกป่า, โมกราตรี (ทั่วไป) ; [THAI: Mok daeng, Mok paa, Mok ratri (general).]; [VIETNAM: Lòng mức, Lòng mức ngờ, Mức hoa đỏ, lòng mức hoa đỏ.].
ชื่อวงศ์ ---APOCYNACEAE
EPPO Code---WRIDU (Preferred name: Wrightia dubia.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ; ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย
Wrightia dubia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Sims (1749 –1831) เป็นแพทย์ นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธาน ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Kurt Sprengel (1766–1833) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของ อินโดจีน (ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม) และคาบสมุทรมาเลเซีย (Kedah, ปีนัง, Pahan) ในประเทศไทยพบเกือบทุกภาค
ลักษณะเป็นไม้พุ่มสูง ประมาณ 2-5 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปรี รูปขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ กว้าง 2-8 ซม.ยาวได้ถึง 26 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่มถึงกลม ดอกเป็นดอกเดี่ยว บางครั้งออกเป็นกระจุก กระจุกละ 1-4 ดอก ดอกทรงระฆังคว่ำ ห้อยลง กลีบดอกเชื่อมติดกันตรงโคนเป็นรูปกรวยปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปไข่และปลายกลีบบิดเล็กน้อย ด้านหน้ากลีบดอกมีสีส้มแดงอมชมพู ด้านหลังมีสีขาวนวล เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม. มีรยางค์ติดบนชั้นกลีบดอก ดอกมีกลิ่นหอมบานวันเดียวแล้วร่วง ผลออกเป็นฝักคู่ รูปทรงกระบอก เรียว ยาว 13-30 ซม.กว้าง 3.5-5 มม.ผลแห้งแล้วแตกแนวเดียว เมล็ดเป็นเส้นมีขนเป็นพู่ที่ปลายด้านหนึ่ง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โมกแดงชอบอยู่ในที่ที่แสงแดดรำไร มีความชื้นในดินและในอากาศค่อนข้างสูง ดินที่ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยระบายน้ำดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ดูแลง่าย ไม่ค่อยเป็นโรคหรือแมลงรบกวน
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร ยา สีย้อม และปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้กิน ยอดใช้เป็นผักสด นำมาใส่แกงได้
-ใช้เป็นยา ผลใช้ปรุงเป็นยาขับระบบไหลเวียนโลหิต ราก เป็นยาแก้บิด
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยงาม มีกลิ่นหอม
-อื่น ๆเมล็ดรากและใบผลิตกลูโคไซด์ที่ให้สีครามซึ่งใช้สำหรับย้อม
ระยะเวลาออกดอก---มิถุนายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง แยกหน่อที่แตกจากรากใต้ดิน


โมกเหลือง/Wrightia viridiflora


ชื่อวิทยาศาสตร์---Wrightia viridiflora Kerr.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.net/tpl/record/kew-214960
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกเหลือง (ทั่วไป) ; [THAI: Mok hlueng (general).].
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อระบุชนิดสายพันธุ์ "viridiflora" มาจากคำว่า 'viridis' = สีเขียว และ 'flora'=ดอกไม้ ซึ่งหมายถึง "ดอกไม้สีเขียว"
Wrightia viridiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Arthur Francis George Kerr (1877–1942) เป็นแพทย์ชาวไอริช เขาเป็นที่รู้จักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานพฤกษศาสตร์ของเขาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาของพืชของประเทศไทย ในปีพ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัย พืชเฉพาะถิ่นในประเทศไทยพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2473 ที่ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี โดยหมอคาร์ ชาวไอริช พบเฉพาะเขาหินปูนในภาคกลางที่ จ.ราชบุรีและ จ.สระบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่วนอุทยานสวนหินผางาม อำเภอหนองหิน จ.เลย ภาคเหนือที่ จ.ตาก และ จ.นครสวรรค์ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ พบกระจายห่าง ๆ ที่ จ.กาญจนบุรี พบที่ระดับความสูง 100-800 เมตร.
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงได้ถึง 5 เมตร เปลือกลำต้นและกิ่งมีช่องอากาศเป็นรอยขีดนูน สีขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปรี ยาวประมาณ 3-15 ซม แผ่นใบด้านบนเรียบ ด้านล่างมีขนเล็กน้อย ดอกช่อออกที่ปลายยอด ยาว 1-4 ซม. มีดอกย่อย 5-20 ดอก ดอกสีเหลืองอมเขียวอ่อน เมื่อดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม.โคนกลีบดอกมีกระบังเป็นฝอยเล็กๆ ล้อมรอบเกสรเพศผู้และเพศเมียที่อยู่กลางดอก ผลเป็นฝักคู่ รูปกระสวย ยาว 16-20 ซม.แห้งแล่วแตกด้านเดียว มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดรูปแถบ ยาวประมาณ 2.5 มม. ที่โคนมีขนกระจุกเป็นปุย ยาวประมาณ 2 ซม. ปลิวตามลม
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่ง แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน มีความชื้นในดินและในอากาศค่อนข้างสูง ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี เจริญเติบโตช้า
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาทำเป็นไม้ประเภทบอนไซ
ระยะออกดอก---มิถุนายน – ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง เสียบยอดโดยใช้พืชในสกุลเดียวกัน คือโมกบ้านและโมกมันเป็นต้นตอ หรือใช้พืชต่างสกุลคือพุดฝรั่งเป็นต้นตอก็ได้

โมกพวง/Wrightia religiosa


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Wrightia religiosa (Teijsm. & Binn.) Benth. ex Kurz.(1877)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.
---Basionym: Echites religiosus Teijsm. & Binn.(1864)          
---Wrightia religiosa (Teijsm. & Binn.) Benth.(1876)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.net/tpl/record/kew-214942
ชื่อสามัญ---Water Jasmine, Wild water plum, Wondrous wrightia.
ชื่ออื่น---โมกบ้าน โมกซ้อน ปิดจงวา ;[CHINESE: Wu guan dao diao bi, Sui mui, Shui mei; Sui-mei (Cantonese).];[PHILIPPINES: Shui mei, Philippine jasmine.];[SANSKRIT: Kutaja.];[SINHALESE: Idda mal.];[THAI: Mok ban, Mok son, Pit chong wa.];[VIETNAM: Mai chiếu thủy, Mai chấn thủy, Mai truc thủy, Lòng mức miên.].
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
EPPO Code---WRIRE (Preferred name: Wrightia religiosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ; ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---สกุล 'Wrightia' ตั้งชื่อตามชื่อ William Wright (ค.ศ. 1735-1819) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต โดย Robert Brown (1773-1858) แพทย์ ศัลยแพทย์ และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต
Wrightia religiosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และ Simon Binnendijk (1821–1883) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2420
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในจีน (กวางตุ้ง ) อินโดจีน (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม) มาเลเซียรวมทั้งฟิลิปปินส์
ลักษณะ โมกพวงเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 2-4 เมตร มีน้ำยางสีขาว กลีบดอกชั้นเดียว ในแต่ละช่อมีดอกมากถึง 25 ดอก กลีบดอกบางสีขาว เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. ก้านดอกยาวเรียวเล็ก ดอกจึงห้อยลง ส่วนใหญ่ออกดอกที่ปลายกิ่ง เป็นไม้ที่กลายพันธุ์มาจากโมก หรือโมกลา มีช่อดอกขนาดใหญ่ขึ้น ในแต่ละช่อมีดอกย่อยจำนวนมาก และออกดอกตลอดปี แต่จะออกดอกดกมากในฤดูหนาว ดอกบานวันเดียวแล้วโรย ทยอยบานได้หลายวัน ส่งกลิ่นหอมตลอดวัน
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้พุ่มในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมปลูกเป็นไม้แถวริมรั้ว และปลูกเป็นไม้บอนไซทั่วไปในมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ไต้หวัน
-ใช้เป็นยา รากใช้รักษาโรคผิวหนัง
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง


กระดุมไม้ใบเงิน/Conocarpus erectus  

ชื่อวิทยาศาสตร์---Conocarpus erectus L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Conocarpus erectus var. sericeus E.Forst. ex DC.(1828)
---Conocarpus erectus f. sericeus (DC.) Stace.(2007)
---Conocarpus sericeus J. R. Forst. ex G. Don.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2734516
ชื่อสามัญ---Silver buttonwood, Silver-Leaved Buttonwood, Button Mangrove, Grey Mangrove, False Mangrove
ชื่ออื่น---กระดุมไม้ใบเงิน (ทั่วไป) ;[FRENCH: Manglier gris, Palétuvier gris.];[SPANISH: Mangle gris, Palo botón.];[THAI: Kra-doom mai bai-ngoen (general).].
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
EPPO Code---CKUER (Preferred name: Conocarpus erectus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเหนือ ฟลอริดา ชายทะเลเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'Conocarpus' มาจากคำภาษากรีก 'konos' หมายถึง "cone" และ 'karpos'  ความหมาย "ผลไม้"หมายถึงผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายกรวย; ชื่อสายพันธุ์ ภาษาละติน 'erectus' = ตั้งตรง ; ความหลากหลาย (Varieties) ภาษาละติน ' sericeus'  = เนียน, เนียน-มีขน หมายถึง ขนที่อ่อนนุ่มที่ปกคลุมพื้นผิวของใบ.
Conocarpus erectus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ. 2296


 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ฟลอริดาตอนใต้ คาบสมุทรยูคาทาน เม็กซิโก บาฮามาส หมู่เกาะ Hispaniola และจาเมกา มันถูกนำมาใช้และแปลงสัญชาติในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของหมู่เกาะฮาวายในเกาะคาไว, โออาฮู, โมโลไกและลาไน การแพร่กระจายของมันไม่รุกราน เติบโตในประเทศต้นกำเนิดในส่วนที่สูงขึ้นของพืชป่าชายเลนตามแนวชายฝั่งทะเล
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 5-7(-11) เมตร ทรงพุ่มแผ่กว้างถึง 6 เมตร เปลือกไม้เป็นสีน้ำตาลเข้มแตกเป็นร่อง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ ทุกส่วนมีขนสีเทาเงินปกคลุมแน่น กิ่งก้านอ่อนมักเป็นสันตามแนวก้านใบ ใบเดี่ยว ยาว 5-10 ซม.เรียงเวียนสลับ ออกใกล้ปลายกิ่ง ขนตามก้านใบและกิ่งเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ แผ่นใบมีขนสีเทาเงินเป็นมันวาวปกคลุมทั้งสองด้าน มีต่อมระหว่างเส้นใบย่อยกับเส้นกลางใบ สีดำ ดอกช่อแยกเพศ ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกเพศเมียเป็นช่อกระจะแยกแขนง ดอกย่อยจำนวนมาก ใบประดับย่อยรูปใบหอกมีขนปกคลุม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมสีน้ำตาลแดงมีขนปกคลุม ช่อดอกเพศผู้มีเกสรตัวผู้ 5-10อัน ผลกลุ่มมีลักษณะคล้ายปุ่ม (ซึ่งเป็นชื่อสามัญที่ได้รับมาSilver buttonwood) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5–8 มม.รูปรีสีน้ำตาลแดง ผลย่อยแห้งแข็ง เมล็ดเล็กเป็นเหลี่ยม ขนาด 5-15 มม.
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์, ดินที่มีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นกรด (pH ต่ำ), ดินที่มีความเป็นด่างสูง ทนแล้ง ทนเค็ม อัตราการเจริญเติบโตของพืช ปานกลาง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ทราบศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง แมลงปากดูด (Sucking insects) อาจทำให้เกิดราเขม่าบนต้นไม้
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง เหมาะสำหรับปลูกริมถนน สวนสาธารณะ และสวนทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้กระถางและบอนไซได้
-อื่น ๆ ไม้เคยใช้ในงานช่างไม้บางครั้งใช้ในการทำตู้ และเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตถ่านที่สำคัญในฟลอริดา เปลือกมีแทนนินสูง สามารถเก็บเกี่ยวได้ในเชิงพาณิชย์
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ


มะละกอฝรั่ง/Jatropha multifida

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jatropha multifida L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms   
---Adenoropium multifidum (L.) Pohl.(1826)
---Jatropha janipha Blanco.(1837)
---Manihot multifida (L.) Crantz.(1766)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-104773
ชื่อสามัญ---Physic Nut, French Physic Nut, Coral Plant, Coralbush, Spanish physicnut, St. Vincent physicnut.
ชื่ออื่น---มะหุ่งแดง (ภาคเหนือ), มะละกอฝรั่ง (กรุงเทพฯ), ทิงเจอร์ต้น ว่านนพเก้า ;[AYURVEDA: Brihat-Danti.];[CHINESE: Xi lie shan hu you tong.];[FRENCH: Arbre corail, Médicinier, Médicinier espagnol, Pignon d'Inde, Plante bouteille.];[GERMAN: Korallenbaum, Korallen-Purgiernuß.];[INDONESIA: Jarak, Jarak tintir.];[JAPANESE: Yatorofa muruchifida.];[MEXICO: Hierba de fraile, Sauquillo.];[MYANMAR: Bein-hpo, Semakhan.];[NEW CALEDONIA: Abre a corail (Fr.).];[PAPUA NEW GUINEA: Balbal.];[PHILIPPINRS: Mana (Span, Tag.); Tawiwa-tawwa (Ilk.); Tubang-americano (Bik.).];[PORTUGUESE: Arvore-coral, Coral-vegetal, Flor-de-coral.];[RUSSIAN: Iatrofa mul'tifida.];[SPANISH: Árvore coral, Árvore de bálsamo, Cabalonga, Cabalongo, Ceibilla, Flor de sangre, Mana, Palo de fraile, Piñón vómico, Tártago chicaquil,Tártara.];[SWEDISH: Flikjatrofa.];[THAI: Fin ton, Ma hung daeng, Malakor farang.];[TONGA: Fiki papalangi.].
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
EPPO Code---IATMU (Preferred name: Jatropha multifida.)  
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Jatropha' มาจากภาษากรีกคำ 'ἰατρός' ( iatros ) ความหมาย "แพทย์" และ 'τροφή' ( trophe ) ความหมาย "โภชนาการ"โดยอ้างอิงจากเมล็ดที่บริโภคได้ (ในปริมาณที่น้อยมาก) บางชนิด ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'multifida' จากภาษาละติน หมายถึง แหว่งมากในการอ้างอิงถึงใบ
Jatropha multifida  เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

 

ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดจากเม็กซิโกผ่านอเมริกากลางไปยังบราซิล, แคริบเบียน เปิดตัวในอินเดีย อินโดจีน มาเลเซีย จีน กินี เซ็นทราฟริก ซาอีร์ แองโกลา สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) อเมริกาใต้ ตอนนี้มันถูกปลูกในเขตร้อนไปจนถึงเขตกึ่งร้อนทั่วโลกในฐานะไม้พุ่มประดับ ที่ระดับความสูง 500-1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร ทั้งต้นมียางใสสีเหลือง ใบเดี่ยวออกเวียนสลับเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง รูปไข่กว้างแกมรูปโล่ กว้าง 15-20 ซม. ยาว 18- 25 ซม. แยกเป็นแฉกๆ คล้ายใบมะละกอ แผ่นใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน หลังใบเรียบ ก้านใบกลมยาวเท่ากับแผ่นใบ หูใบแยกเป็นง่ามรูปขนแข็ง ยาว 2ซม. ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ดอกสีแดงเป็นช่อแยกแขนง แบบเชิงหลั่นออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ก้านช่อดอกยาวได้ถึง 23ซม.ดอกขนาดเล็กจำนวนมากอยู่ในระนาบเดียวกันสีแดงสด  ผลรูปไข่กลับกว้างขนาด 3 ซม. มี 3 พู แก่แล้วแตกได้ ผลอ่อนเป็นสีเขียว พอแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีออกเหลืองหม่น มีลายสีน้ำตาล แต่ละพูมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดยาวประมาณ 1.7-2 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งแสงอาทิตย์เต็ม (6 ชั่วโมง/วัน) แต่ก็ประสบความสำเร็จในที่ร่มบางส่วน ปลูกได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ค่อนข้างทนต่อความแห้งแล้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง แมลงศัตรูพืชที่อาจพบได้แก่ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง และเกล็ด ปัญหาโรคที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ โรครากเน่าและใบจุด
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งน้ำมัน มันถูกนำมาใช้เป็นไม้ประดับในเขตร้อนของโลกเก่าเมื่อนานมาแล้ว
-ใช้กิน รากมีรสเฝื่อนคล้ายรากมันสำปะหลัง สามารถนำมาเผาแล้วกินได้
-ใช้เป็นยา เปลือกต้นมีรสฝาดเมาร้อน มีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมและโลหิต ใช้เป็นยาคุมธาตุ เป็นยาแก้อาการลงแดง ใช้ปรุงเป็นยาแก้อาเจียน แก้บิดปวดเบ่ง แก้ท้องเสีย ท้องร่วง แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเมื่อยตามข้อ ปวดเส้นเอ็น ใบใช้เป็นยาฆ่าหิด กำจัดพยาธิผิวหนัง ใช้สระผมแก้เหา
-ในอินโดนีเซียชื่อท้องถิ่นชื่อหนึ่งคือ 'yodium' ('ไอโอดีน') ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในการใช้เป็นยารักษาแผล
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป
-อื่น ๆ ใช้ใบในการย้อมสีเส้นไหม ได้เส้นไหมสีน้ำตาลเขียว เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 30% ที่ไม่สามารถนำมารับประทานได้
รู้จักอันตราย---เมล็ดและน้ำยางมีพิษเมล็ดจะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร โดยสารที่เป็นพิษคือสาร Clacium Oxalate
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดหรือการปักชำ


ชบาเมเปิ้ล/Hibiscus acetosella

ชื่อวิทยาศาสตร์--Hibiscus acetosella Welw. ex Hiern.(1896)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.
---Hibiscus eetveldeanus De Wild. & T.Durand.(1899)
---See https://powo.science.kew.org/taxon/559896-1#synonyms
ชื่อสามัญ---African Rose Mallow, Cranberry hibiscus, Red-Leaf Hibiscus, Red shield hibiscus, Maroon mallow, False Roselle.
ชื่ออื่น---ชบาเมเปิ้ล, กระเจี๊ยบแดง;[AFRIKAANS: Bekaie, Namba azire, Nambadoli (Lingala).];[INDIA: Pulivenda.];[THAI: Cha-ba mae ple, Kra cheab daeng.].
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
EPPO Code---HIBEE (Preferred name: Hibiscus eetveldeanus.) syn.
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---เขตกึ่งร้อนและเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ acetosella มีต้นกำเนิดจากภาษาละตินและได้มาจากชื่อเก่าสำหรับ sorrel (Oxalis) ซึ่งมาจากรสเปรี้ยวที่มีประสบการณ์เมื่อกินใบอ่อนของพืช
Hibiscus acetosella เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Martin Josef Welwitsch (1806–1872) นักสำรวจและนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย จากอดีต William Philip Hiern (1839 –1925) นักคณิตศาสตร์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2439
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์ระหว่างHibiscus asper Hook.f และHibiscus surattensis L. เป็นครั้งแรกที่ได้รับการยอมรับในปีพ. ศ. 2439 โดยนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสว่าเป็นพืชที่แตกต่างและได้รับชื่อในปัจจุบัน พืชชนิดนี้อาจพบได้ครั้งแรกที่เติบโตรอบ ๆ หมู่บ้านชาวแอฟริกันในภาคใต้ของสาธารณรัฐคองโก - แองโกลา - แซมเบีย ถูกนำไปยังบราซิลและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมันถูกใช้เป็นอาหารสำหรับทาส ตอนนี้ถือว่าเป็นที่นิยมในบราซิลมากกว่าที่ตั้งเดิมในแอฟริกาซึ่งตอนนี้ได้รับการปลูกฝังและกินเป็นผักสีเขียวเหมือนผักโขม พบในเขตกึ่งร้อนและเขตร้อน มักพบในทุ่งร้างหรือพื้นที่เปิดโล่งบึงและป่าไม้ ที่ระดับความสูง 0-1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มยืนต้นประจำปีหรืออายุสั้น สูง 0.5 – 2.5 เมตร มักเป็นสีแดงทั้งหมด ลำต้นกิ่งก้านเป็นสีแดง หรือสีแดงอมม่วง มีขนใบเป็นใบเดี่ยวขนาดเท่ามือของเด็กเล็กประมาณ 10 × 10 ซม. ออกเรียงสลับ ก้านใบยาว ใบเป็นรูปนิ้วมือ เว้าลึกเป็น 4 แฉก ดูเหมือนใบของต้นเมเปิ้ล ดอกไม้กะเทย (Bisexual Flowers) ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นคู่ตามซอกใบ มีใบประดับ 10 แฉก รูปใบหอก กลีบเลี้ยงเป็นสีแดง หรือแดงอมม่วง จำนวน 5 แฉก ส่วนลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ เนื้อกลีบบางคล้ายกลีบดอกชบา ใจกลางดอกเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำ กลีบดอกเป็นสีส้ม ดอกจะบานเฉพาะช่วงเช้า พอถูกแสงแดดตอนสายๆดอกจะหุบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมกันเป็นหลอดล้อมรอบด้วยเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียแยกเป็น 5 แฉก โผล่พ้นหลอดเกสรตัวผ ผลแคปซูลค่อนข้างกลม ยอดแหลม มีสันตามยาวของผล มีกลีบเลี้ยงแผ่ขยายหุ้มผลไว้ มีเมล็ดจำนวนมากสีน้ำตาลเข้มขนาด 3 × 2.5 มม.
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---แสงแดดตลอดวันถึงครึ่งวัน ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำดี สภาพที่เป็นกรดเล็กน้อยโดยมีค่า pH ของดินอยู่ระหว่าง 6.1 ถึง 6.5 การรดนํ้าพอชุ่มเช้าเย็น บำรุงปุ๋ยขี้วัวหรือขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดินใต้โคนต้นเดือนละครั้ง พร้อมตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น มีดอกและใบสีสันสดใสสวยงาม
ศัตรูพืช/โรคพืช---ปลูกง่าย ต้านทานโรค / แมลง อาจได้รับผลกระทบจากโรคที่เกิดจากดิน เช่น Rhizoctonia solani และ Sclerotium rolfisii
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบและรากสามารถกินได้ ใบเปรี้ยวเล็กน้อยใช้กินเป็นผักไม่ว่าจะดิบหรือสุก ดอกนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้เช่นเดียวกับกระเจี๊ยบแดง หรือนำมาทำเป็นแยมก็ได้
-ใช้ในการตกแต่งสีของอาหารและเครื่องดื่ม ในอเมริกากลางดอกไม้จะรวมกับน้ำแข็ง, น้ำตาล, มะนาวเพื่อให้ได้น้ำมะนาวสีม่วง
-ใช้เป็นยา ใบและดอกอุดมด้วยสารสำคัญคือแอนโทไซยานิน ทั้งยังมีเพกตินจากเมือกเหนียวซึ่งช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
-ในแองโกลา ชาที่ทำจากใบของแครนเบอร์รี่ hibiscus ใช้เป็นยาบำรุงหลังมีไข้และรักษาโรคโลหิตจาง
-พืชนี้ยังใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ใบถูกบดและแช่ในน้ำเย็นและใช้สำหรับอาบให้ทารกและเด็กเล็กที่มีอาการปวดตามร่างกาย
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกทั้งแบบลงดินกลางแจ้งหลายๆต้น และปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งประดับในที่แจ้ง
-วนเกษตร พืชชนิดนี้มีความทนทานต่อไส้เดือนฝอยรากปมและเป็นพืชที่ดีเยี่ยมที่จะใช้ปลูกหลังจากล้างแปลงมะเขือเทศหรือผักสกุลโซลานา อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากไส้เดือนฝอย
ระยะเวลาออกดอก ---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด (เมล็ดงอกง่ายภายใน 3-4 วัน) ปักชำกิ่ง


มะเขือนมแพะ/Solanum mammosum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Solanum mammosum L.(1753)
ชื่อพ้อง --- Has 3 Synonyms.See all The Plant Listhttp://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-29600119
---Solanum globiferum Dunal.(1852)
---Solanum mammosissimum Ram. Goyena.(1911)
---Solanum platanifolium Hook.(1826)
ชื่อสามัญ---Nipplefruit, Nipplefruit nightshade, Cow's Udder, Fox head, Fox face, Apple of Sodom, Lady Nipples, Five-finger Fruit, Macaw Bush, Pig's-ears, Breastberry.
ชื่ออื่น---มะเขือนมแพะ, เต้านมวัว, มะเขือประดับ, มะเขือสาแหรก, มะเขือการ์ตูน ;[BOLIVIA: Tetilla, Vaca vaquita.];[BRAZIL: Cabeça de cabrito, Jua bravo, Jurubeba-do-pará, Peito-de-moca.];[BRUNEI: Teron susu.];[CHINESE: Fing jiā, Huang jin guo, Niu tou qie, Ru qie, Wu dai tong tang, Wu jiao qie, Wu zhi qie, Wǔzhǐ jiā.];[COLOMBIA: Hoja de luna, Lulo de perro.];[FRENCH: Morelle á fruit ornemental, Morelle à fruits mammiformes, Morelle molle, Poire de bachelier, Pomme téton.];[GERMAN: Euter-Nachtschatten, Warziger Nachtschatten, Zitzen Nachtschatten.];[INDONESIA: Terung susu, Tioeng londo (Sumatra).];[ITALIAN: Pianta dei capezzoli.];[JAPANESE: Kanaria nasu, Feisu okkusu eisu.];[MALAYSIA: Terong semangat (Sabah); Terung balanda, Terung puyuh, Terung susu.];[MEXICO: Berenjena, Kan'tzu, Pichichio.];[PERU: Cocona venenosea.];[PHILIPPINES: Berenjenita peluda, Susu, Tagotong, Talong, Utong.];[PORTUGUESE: Beringela, Fruto-de-mamilos, Vaquinha.];[PUERTO RICO: Pecho de doncella.];[SAMOA: Lapiti, Lau lau faiva, Polo ‘ula, Polo su‘i ‘ula.];[SPANISH: Berenjena de cucarachas, Berenjena de gallina, Berenjena de teta, Berenjenade marimbo, Chichimora, Chichita, Gurito, Teticas, Tetilla.];[SWEDISH: Karingtomat.];[THAI: Mak̄heụ̄ nom phæ.];[VENEZUELA: Tuna.];[VIETNAM: Ca vu de.].
ชื่อวงศ์---SOLANACEAE
EPPO Code---SOLMM (Preferred name: Solanum mammosum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก แคริบเบียน อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) ตอนใต้ของแอฟริกา ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลทางวิทยาศาสตร์ของพืชไม่ชัดเจนมันอาจมาจากคำภาษาละติน “sol”, "ดวงอาทิตย์" หมายถึงความหมายถึงความสัมพันธ์กับแสงแดดหรือจากคำภาษาละติน "solare" ความหมาย "เพื่อบรรเทา" คำภาษาละติน“ solamen” หมายถึง“ ความสะดวกสบาย” หรือคำ Akkadian“ sululu” หมายถึง“ มีความสุข” ในการอ้างอิงถึงผลกระทบของยาเสพติดของ Solanum บางชนิดหลังจากการกลืนกิน ; ชื่อชนิด 'mammosum' อ้างถึงรูปร่างแปลกประหลาดของผลไม้ และชื่อสามัญ 'nipplefruit nightshade' หมายถึงผลไม้รูปหัวนม
Solanum mammosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเขือ (Solanaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของเม็กซิโก Greater Antilles , อเมริกากลางและแคริบเบียน เปิดตัวในอินโดจีน (เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม) มาเลเซีย (มาลายา ชวา ฟิลิปปินส์) จีน (รวมถึงไต้หวัน) บางประเทศในภาคกลางและตอนใต้ของแอฟริกา ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-1800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มล้มลุกหรือไม้ยืนต้นที่มีสายพันธุ์อายุสั้น ต้นสูงประมาณ 0.90-1.5 เมตร มีลำต้นสีน้ำตาลหรือสีม่วงและกิ่งก้านมีขนต่อมและหนามสีเหลือง ตรงหรือโค้งเล็กน้อย ยาว 0.4-1.5 ซม.ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ออกเรียงสลับ มีขนเล็กๆบริเวณใบและลำต้น มีหนามแหลมคมทั่ว ทั้งใบและกิ่ง ใบยาวประมาณ 6-25 ซม.และกว้าง 5-20 ซม. มีขนสั้นและ มีหนามยาว 0.8-2 ซม. เหมือนเข็มตามแนวเส้นใบหลัก ก้านใบยาว 3-7 ซม. ช่อดอกเรียงซ้อน มี 3-6 ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีสีม่วง กว้าง 1.8–3.0 ซม.ก้านดอกยาวประมาณ 0.5-1 ซม.ดอกมีกลีบเลี้ยง แฉกลึก, กลีบรูปใบหอก เกสรเพศผู้ 5 อันมีอับเรณูสีเหลือง ยาว 0.8-1 ซม.ผลสีเขียวอ่อน พอสุกจะมีสีเหลืองจนถึงส้ม ยาว 4-10 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม.ขั้วผลเป็นปุ่ม 3-5 ปุ่ม เมล็ดยาวประมาณ 0.4 ซม. และกว้าง 0.3 ซม.สีน้ำตาลเข้มมันวาว มีปีก
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อ่อนแอต่อโรคเชื้อรารวมทั้งโรคราแป้ง โรคเน่า และโรคใบไหม้ทั้งต้นและปลาย สังเกตเพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาว ไรเดอร์ และเพลี้ยไฟ
ใช้ประโยชน์---ใช้ในการแพทย์แผนโบราณและเป็นผักพื้นบ้านในเอเชีย
-ใช้กิน ในฟิลิปปินส์มีการกินผลไม้และใบไม้เป็นอาหาร ใบถูกจัดเตรียมไว้เป็นชาที่ถือว่าเป็น Anodyne (ยาเสพติดชนิดอ่อน)
-ใช้เป็นยา S. mammosum มีสารชีวภาพซึ่งเป็นพิษต่อมนุษย์และมีประโยชน์ทางยาในฟิลิปปินส์ผลไม้ใช้รักษาอาการไอและเบื่ออาหาร รายการของการใช้ยาอย่างละเอียดได้รับจาก Lim (2012) รวมถึงต่อไปนี้:
-ในสาธารณรัฐโดมินิกันสารสกัดจากใบและผลไม้ใช้สำหรับการติดเชื้อที่ปากแผลผิวหนังและใช้เป็นยาถ่ายเพื่อลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิตสูงและ ลดคอเลสเตอรอล  
-ในคาบสมุทรมาเลเซียพืชชนิดนี้ใช้รักษาอาการผื่นแดง ชาวมาเลย์ดื่มน้ำจากใบเพื่อรักษาไข้ ในซาราวักน้ำผลไม้สดใช้รักษาอาการเจ็บตาในเด็ก -ในประเทศกัมพูชา ลาวและเวียดนาม นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการง่วงซึม
-ใช้ปลูกประดับ ได้รับการเพาะปลูกทั่วโลกในฐานะที่เป็นไม้ประดับเนื่องจากผลไม้มีรูปร่างแปลกประหลาด และมีอายุยืนยาวบนต้น
-อื่น ๆน้ำผลไม้มีฤทธิ์เป็นผงซักฟอกปานกลางและใช้สำหรับซักผ้า
-ในโคลอมเบียและเอกวาดอร์ใช้พืชชนิดนี้เป็นยาขับไล่แมลง โดยเฉพาะกับแมลงสาบ ผลไม้ทำหน้าที่เป็นยาขับไล่เนื่องจากความเป็นพิษของ steroidal glycoalkaloid.
ความเชื่อพิธีกรรม--- ผลไม้ได้รับการยอมรับจากวัฒนธรรมตะวันออก ส่วนใหญ่จะใช้ใบไม้และผลไม้ประดับสำหรับการจัดดอกไม้ทางศาสนาและเทศกาลในไต้หวันและฮ่องกง ในวัฒนธรรมจีนผลไม้ถูกนำมาเพื่อสร้างต้นตรุษจีนเนื่องจากผลไม้สีทองและความเชื่อที่ว่า "นิ้วทั้งห้า" [ "Five fingered eggplant" (Wǔzhǐ jiā).] บนผลไม้แสดงถึงการมีอายุยืนของครอบครัวอีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอีกด้วย
รู้จักอันตราย---เป็นที่ทราบกันดีว่าสปีชีส์ Solanaceae มีพิษรุนแรงเนื่องจากคุณสมบัติอัลคาลอยด์และมีประวัติยาวนานในการใช้ทั้งพิษของมนุษย์และยาหลอนประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมอผีและแม่มด
ออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ดและปักชำ


ปักเป้า/Gomphocarpus fruticosus


ชื่อวิทยาศาสตร์---Gomphocarpus fruticosus (L.) W.T.Aiton.(1811)
ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms    
---Basionym: Asclepias fruticosa L.(1753)
---Asclepias salicifolia Salisb.(1796), nom. illeg.
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2828789
ชื่อสามัญ---Swan Plant, Cotton Ball, Milkweed, African Milkweed, Balloon cottonbush, Balloon plant, Bladderbush, Wild cotton, Mobydick, Bristle-fruited Silkweed, Narrow-leaved Cotton Bush.
ชื่ออื่น---ปักเป้า, สวอนแพล้นซ์, ไข่หงส์, บอลลูนฟลาวเวอร์, ปิงปอง, ลูกโป่ง, หงส์เหิร ;[AFRIKAANS: Blaasoppies, Gansies, Gansie, Kapokbossie, Melkbos, Tontelbos.];[ALBANIA: Gomfokarp.];[AUSTRALIA: Sydney Cotton Tree.];[CHINESE: Dīng tóu guǒ.];[FRENCH: Arbre aux perruches, Asclépiade fruticuleuse, Faux cotonnier, Gomphocarpe, Gomphocarpe fruticuleux, Gomphocarpe ligneux, Quatier marron.];[GERMAN: Milchbusch, Baumwoll-Seidenpflanze, Strauch-Seidenpflanze];[ITALIAN: Albera della seta,  Albero della seta, Falso cotone, Lino dell'India.];[JAPANESE: Fûsen-dama-no-ki, Fûsen-tôwata.];[PORTUGUESE: Algodeiro-falso, Arvore-da-seda, Falso-algodoeiro, Sedas, Sumaúma, Sumaúma-bastarda.];[RUSSIA: Kharg kustarnikovyy.];[SPANISH: Algodoncillo, Árbol de la seda, Arbre de la seda, Arquell de Síria, Cotoner, Flor de dragó, Mata de la seda, Miraguano, Seder.]; [SWEDISH: Ballongbuske.];[THAI: Pakpao.];[TURKISH: Pamuk ağacı.].
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE (Asclepiadaceae)
EPPO Code---GOPFR (Preferred name: Gomphocarpus fruticosus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์--- แอฟริกาตะวันออก; กินีบอตสวานา; เลโซโท; นามิเบีย; แอฟริกาใต้; สวาซิแลนด์ มาดากัสการ์ เยเมน ; แอฟริกาเหนือ ; อะซอเรส ยุโรปใต้ ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Gomphocarpus' จากภาษากรีก 'gomphos' = หมุด, เล็บ, คลับ และ 'karpos' = ผลไม้ อ้างอิงถึงผลที่บวมและรูปไข่มีปลายเรียว ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'Fruticosa' มาจากคำในภาษาละตินความหมาย "thick with leaves" อธิบายลักษณะของพืชเป็นพวง
Gomphocarpus fruticosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด Apocynaceae และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae หรือ Asclepiadaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Townsend Aiton (1766-1849) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2354
มี 5 Accepted Infraspecifics ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ ;-
-Gomphocarpus fruticosus subsp. decipiens (N.E.Br.) Goyder & Nicholas.(2001)
-Gomphocarpus fruticosus subsp. flavidus (N.E.Br.) Goyder.(1996)
-Gomphocarpus fruticosus subsp. fruticosus.(1811)
-Gomphocarpus fruticosus subsp. rostratus (N.E.Br.) Goyder & Nicholas.(2001)
-Gomphocarpus fruticosus subsp. setosus (Forssk.) Goyder & Nicholas.(2001)
มี 2 ความหลากหลาย (Varieties) ที่ยอมรับ ;-
-Gomphocarpus fruticosus var. fruticosus
-Gomphocarpus fruticosus var. tomentosus (Burchard) K.Schum.
---See all https://www.gbif.org/species/171055701
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออกและใต้, เยเมน โอมานและทางตอนใต้ของซาอุดิอาระเบีย มันมีสัญชาติในเซเนกัล กินี โกตดิวัวร์ แคเมอรูน มาดากัสการ์ มอริเชียส ในแอฟริกาเหนือ (จิบูตี, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, โซมาเลีย, ซูดาน) ยุโรปใต้ (แอลเบเนีย, โครเอเชีย, กรีซ , อิตาลี, ฝรั่งเศส,โปรตุเกส, สเปน) ออสเตรเลียตะวันออกและนิวซีแลนด์ เติบโตในทุ่งหญ้าสะวันนา พื้นที่ที่ถูกรบกวนตามริมถนนและในทุ่งร้าง พื้นที่ขยะริมฝั่งแม่น้ำจากระดับน้ำทะเล 0- 2,500 เมตร มีคุณสมบัติ allelopathic (Allelopathy เป็นปรากฏการณ์ทางชีววิทยาโดยที่สิ่งมีชีวิตสร้างชีวเคมี ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป ที่มีอิทธิพลต่อการงอก การเจริญเติบโต การอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ) ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นศัตรูพืชใน รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
สถานะทางกฎหมาย: Declared Pest - s22(2)
ศัตรูพืชที่ประกาศต้องเป็นไปตามข้อกำหนดการนำเข้าที่เกี่ยวข้องเมื่อนำเข้า และอาจต้องได้รับใบอนุญาตนำเข้าหากเป็นพาหะของสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงสูง พวกเขาอาจอยู่ภายใต้การควบคุมและรักษาข้อกำหนดเมื่ออยู่ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย https://www.agric.wa.gov.au/organisms/124015
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกโตไว มียางขาว ลักษณะใบและต้นคล้ายกันกับต้นไฟเดือนห้าซี่งเป็นพืชวงศ์เดียวกัน ต้นสูงประมาณ1.5 (–2.5)  เมตร แตกกิ่งก้านมาก ใบออกเป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบเป็นรูปทรงรียาวแคบ มีความกว้างของใบประมาณ 0.5-1.5 ซม. ยาวประมาณ 4-12.5 ซม. แผ่นใบเรียบมีสีเขียวเป็นมัน โคนและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบสั้น ดอกออกเป็นช่อ ในแต่ละช่อจะมีดอกย่อยสีขาวครีมอยู่ประมาณ 6-7 ดอก ก้านดอกยาวไม่เกิน 2 ซม. มีหนามประดับที่โคน ดอกตูมมีสีเขียวอ่อนลักษณะคล้ายบอลลูน มีกลีบดอกจำนวน 5 กลีบ เมื่อดอกบานกลีบจะลู่ลงมาใกล้ก้านดอก มีกลีบเลี้ยงสีเขียวแกมน้ำตาลจำนวน 5 กลีบ ก้านดอกยาว ผลโป่งพองและมีหนามรอบๆผล คล้ายปลาปักเป้ายาว 6 ถึง 7 ซม. ปกคลุมด้วยหนามอ่อน ผลแก่จะแตกเห็นเยื่อหุ้มเป็นปุยและเมล็ดรูปไข่ยาว 5 มม. มีขนนุ่มที่ปลายด้านหนึ่ง
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ดินร่วนระบายน้ำได้ดี ออกดอกดกเป็นแหล่งรวมผีเสื้อและแมลง
ใช้ประโยชน์---พืชที่รวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นและเป็นพืชเส้นใย นอกจากนี้ยังได้รับการปลูกฝังเป็นพืชสมุนไพรเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน
-ใช้กิน ต้นตอกินเป็นผัก ควรใช้ความระมัดระวัง - ดูด้านล่างเกี่ยวกับความเป็นพิษ
-ใช้เป็นยา พืชถูกใช้เป็นยาในหลายส่วนของแอฟริกาในขณะที่มันยังได้รับการปลูกฝังสำหรับใช้เป็นยาในประเทศจีน แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของสารพิษ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีลคาลอยด์อยู่ในทุกส่วนของพืช มีรายงานของการมี glycosides คาร์ดิโอที่มีชื่อว่า gofruside A และ B
-ยาต้มจากทุกส่วนของพืชใช้เป็นยารักษาปัญหากระเพาะอาหาร ยาต้มจากพืชถูกนำไปทางปากเพื่อรักษาโรคหอบหืดและหายใจลำบาก ผู้ป่วยจะต้องอาเจียนหลังจากรับประทาน ใช้ภายนอกใช้รักษาแผลฝีและบวมที่คอ ใบจะถูกนำมาใช้เป็นยาสำหรับวัณโรคปอด ใช้เป็นยากล่อมประสาทในการรักษาอาการปวดหัวและวัณโรค
-ใบไม้แห้งดอกไม้และหน่ออ่อนถูกบดขยี้และใช้เป็นยานัตถุ์ที่มอบให้กับผู้ป่วยที่ป่วยหนัก หากผู้ป่วยไม่จามก็ถือว่าหมดหวัง!
-รากใช้บรรเทาอาการปวดท้อง ปวดเมื่อยตามร่างกาย -น้ำยางใช้เพื่อป้องกันอาการปวดฟัน-ใช้ยาต้มของเมล็ดเป็นยาแก้ไอ
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับเพื่อความสวยงาม เนื่องจากดอกไม้ที่มีเสน่ห์ดึงดูดมักปลูกเป็นไม้ประดับในสวนหรือปลูกตัดดอกและผลเพื่อจำหน่าย
-อื่น ๆ เปลือกชั้นในให้เส้นใยสีขาว เส้นใยจะถูกปั่นเป็นฝ้ายเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าและเพื่อดักนก ในโซมาเลียเป็นที่นิยมใช้เป็นสตริงสำหรับบ่วงและการทำ waistbands
รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชมีอัลคาลอยด์ พืชดังกล่าวถูกนำมาใช้ในแอฟริกาในฐานะลูกศรหรือสารพิษที่อันตราย พืชโดยรวมเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-เมษายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง


เข็มโบว์/Ixora hybrid 'Hindu Rope'


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ixora hybrid 'Hindu Rope'
ชื่อสามัญ---- Ixora Siam Ribbon, Ixora Hindu Rope, West Indian Jasmine, Coralillo, Siam Ribbon Ixora
ชื่ออื่น---เข็มโบว์ เข็มบิด ; [THAI: Khem bo, Khem bid.].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Hindu Rope หมายถึงโครงสร้างทางใบที่ผิดปกติของพืชซึ่งคล้ายกับเชือกผูกปมที่ใช้ในการเล่นเชือกของอินเดียโดยนักมายากล
Ixora hybrid 'Hindu Rope' เป็นลูกผสมใหม่ สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) สกุล Ixora
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประเทศไทย)
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูงเต็มที่ไม่ถึง 1 เมตร (15-45 ซม.) ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรง กันข้ามตั้งฉากกับกิ่งก้าน ใบหนา สีเขียวสดบิดเป็นคลื่นเหมือนโบว์ ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่มที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมากสีแดงสด ดอกรูปเข็ม กลีบดอกรูปหอกปลายแหลม โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบยาวประมาณ 3 ซม. ปลายแยกเป็น 4 แฉก ยาว1 ซม.กว้าง 0.3 ซม. เกสรเพศผู้ 4 เกสรเพศเมีย 1
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีดินทุกชนิด pH 5.1-6 ต้องการน้ำปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมประดับตกแต่งสวน หรือริมทางเดิน สามารถปลูกเป็นไม้กระถางได้ตลอดไป มีการเจริญเติบโตช้านิสัยไม้แคระสามารถใช้สำหรับทำบอนไซ
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ ไม่สามารถรวบรวมเมล็ดพันธุ์: ต้นไม่ตั้งเมล็ด ดอกเป็นหมัน หรือต้นไม่งอกจากเมล็ด


เข็มดาวาว/Carphalea kirondron

ชื่อวิทยาศาสตร์---Carphalea kirondron Baill.(1878)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-34274
---Dirichletia kirondron (Baill.) Vatke.(1885)
ชื่อสามัญ---Flaming Beauty, Giant Pentas.
ชื่ออื่น---เข็มรูเบีย เข็มดาวาว ; [CHINESE: Fánxīng huā.];[MALAYSIA: Semarak Merah (Malay).];[THAI: Khem rubia, Khem dawoa.].
ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE
EPPO Code---1RUBF (Preferred name: Rubiaceae.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Carphalea" มาจากคำคุณศัพท์ภาษากรีก "carphaléos" = แห้งแล้ง ; ชื่อเฉพาะ "kirondron" มาจากชื่อท้องถิ่น
Carphalea kirondron เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henri Ernest Baillon (1827-1895) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2421
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าของมาดากัสการ์ตะวันตก
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูงได้ถึง 2 (3-5) เมตร แตกกิ่งก้านแน่น ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามแต่ละคู่ตั้งฉากกัน รูปใบหอกหรือรูปไข่ ยาว 4-10 ซม. และกว้าง 2-5 ซม.ก้านใบสีแดงยาวไม่เกิน 2 ซม.หูใบรูปสามเหลี่ยม โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบเรียวแหลม หลังใบสีเขียวเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกสีแดงออกเป็นช่อกระจุกเชิงประกอบที่ปลายกิ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-25 ซม. มีดอกจำนวนมาก มีกลีบเลี้ยงมี 4 แฉกสีแดงสด ช่อหนึ่งยาว 1.5 ซม. และกว้าง 0.6 ซม. ยาวกว่าอีกสามช่อ และกลีบดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6 ซม. มีหลอดรูปทรงกระบอกบาง ยาวประมาณ 1.5 ซม. ด้านนอกสีแดง และ 4 กลีบรูปไข่มีสีขาว ผลแห้งมีกลีบเลี้ยงติดทน มักมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว เมล็ดแผ่เป็นปีกสีน้ำตาล ช่วยในการแพร่กระจาย
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ ขึ้นได้ดีดินทุกชนิด pH 5.1-6 ต้องการน้ำปานกลาง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ เป็นพันธุ์ไม้ประดับและภูมิทัศน์ที่สำคัญมาก แต่ค่อนข้างหายากในการเพาะปลูก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้งในสวนสาธารณะ และสวนทั่วไป
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด (ใช้เวลาในการงอก 2-4 สัปดาห์) และด้วยการตอนกิ่ง


เข็มเขียว/Tarenna stellulata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Tarenna stellulata (Hook.f.) Ridl.(1923)
ชื่อพ้อง ---Has 3 Synonyms   
---Ixora stellulata (Hook.f.) Kuntze.(1891)
---Pavetta aristata Wall.[Invalid] (1832)
---Webera stellulata Hook.f.(1880)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-201934
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เข็มเขียว, เข็มตาบู, บุหงารำไป (ทั่วไป) ; [THAI: Khem khieow, Khem ta-boo, Bu-nga ram pai (general).].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---TNRSS (Preferred name: Tarenna sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บอร์เนียว
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tarenna' มาจากชื่อภาษาศรีลังกาว่า 'tarana' ; ฉายาเฉพาะ 'stellulata' หมายถึงดาวดวงเล็กซึ่งอ้างอิงถึงดอกไม้ที่มีลักษณะคล้ายดาวขนาดเล็ก  
Tarenna stellulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย ไม้หอมพื้นเมืองใน อินเดีย ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บอร์เนียว พบตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ในที่ร่มรื่นใกล้ลำธาร และพบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นใกล้ทะเล ที่ระดับความสูง 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง1-2 เมตร ทรงพุ่มกลม แตกกิ่งจำนวนมาก ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้าม รูปขอบขนาน ผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมันทั้งสองด้าน ช่อดอกสีเขียวนวล ขนาด 5-8 ซม.ดอกย่อยจำนวนมาก เมื่อบานขนาด 1.5 ซม.กลีบดอก 5 กลีบ แต่ละช่อมี 10-20 ดอก ดอกทยอยบานทั้งช่อ บานอยู่ได้ 2 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน
ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด ชอบดินชุ่มชื้นจึงไม่ควรปลูกในที่แห้งแล้ง ปลูกในที่ร่มได้ดีแต่ถ้าร่มเกินไปกิ่งจะอ่อนแอและต้นจะเอียงล้มได้ (ควรมีแสงแดดประมาณ 50%)
ใช้ประโยชน์--ใช้ปลูกประดับ ปลูกในสวนสาธารณะ, สวนขนาดเล็ก และสวนทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้กระถางในที่แสงแดดจัด
สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---มีถิ่นกำเนิดในสิงคโปร์ [สันนิษฐานว่าสูญพันธุ์ในระดับประเทศ (NEx).]
ระยะออกดอก---มกราคม-เมษายน สามารถออกดอกได้ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ----เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ


เข็มเศรษฐีพิกุล/Ixora ssp.


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ixora ssp.
ชื่อสามัญ---Ixora, West Indian Jasmine
ชื่ออื่น ---เข็มพิกุล, เข็มเศรษฐีพิกุล
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้                                                                                                             ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูงเต็มที่ประมาณ 0.50 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ผิวเรียบ สีน้ำตาล แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มหนาแน่น ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ก้านใบสั้นมากยาวประมาณ 2 มม. มีหูใบ ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ ยาวประมาณ 4.9 ซม. กว้างประมาณ 1.7 ซม. ปลายใบแหลมอาจมีติ่ง โคนใบแหลม ใบมีขนาดเล็กกว่าใบเข็มพันธุ์อื่น เนื้อใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อจะประกอบด้วยดอกขนาดเล็กเบียดกันหนาแน่นเป็นช่อขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 50-70 ดอก โคนเชื่อมกันเป็นหลอดเล็ก ๆปลายแยกเป็น 4-5 กลีบ ปลายกลีบแหลม เนื้อกลีบดอกหนา กลีบดอกเรียงซ้อนกัน 2-4 ชั้น ดอกอัดแน่นเป็นกระจุกสีแดงเข้ม เกสรเพศผู้มักลดรูปหายไป ผลค่อนข้างกลม เมื่อสุกเป็นสีดำ นิ่ม มีเมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกได้ในดินทุกประเภท ต้องการน้ำปานกลาง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมประดับตกแต่งสวน หรือริมทางเดิน
ระยะออกดอก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำกิ่ง


เข็มศรีลังกา/Ixora ssp.

  

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ixora ssp.
ชื่อสามัญ---Ixora, West Indian Jasmine
ชื่ออื่น ---เข็มศรีลังกา; [THAI: Khem sri lanka.].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ ; สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Ixora อ้างอิงถึงชื่อสกุล
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงเต็มที่ไม่เกิน 1-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบมีลักษณะแตกต่างจากใบเข็มทั่วไปคือ ออกตรงกันข้าม ก้านใบสั้น ใบรูปรีแกมรูปขอบขนานแคบ ปลายและโคนใบแหลม ใบเล็กกว่าใบเข็มทั่วไป เนื้อใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด เป็นมันเห็นชัดเจน ใบดกและหนาแน่นมากดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ รูปกลีบดอกเป็นรูปเรียวคล้ายกลีบดอกเข็มดาวาว หรือเข็มป่า กลีบดอกเป็นสีส้มแดง ออกดอกดกเป็นช่อขนาดใหญ่และดอกบานพร้อมกันทั้งต้น  ผลค่อนข้างกลม เมื่อสุกเป็นสีดำนุ่ม
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้น เป็นกรด อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นด่างจะทำให้ใบมีสีค่อนข้างเหลือง ต้องการน้ำปานกลาง อัตราการเติบโต เร็ว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกในสวนสาธารณะ, สวนขนาดเล็ก และสวนทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง   
ระยะออกดอก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำกิ่ง


เข็มเหลือง/Ixora coccinea 'Maui Sunset'.

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Ixora coccinea 'Maui Yellow'.
ชื่อสามัญ ---Ixora Maui Sunset, Jungle Geranium, Ixora, West Indian Jasmine
ชื่ออื่น ---เข็มเหลือง,
ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดียตอนใต้และศรีลังกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ ; สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Ixora อ้างอิงถึงชื่อสกุล
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อินเดียตอนใต้และศรีลังกา)   
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กกว่าเข็มขาวสูงได้ถึง1.5 เมตร ใบรูปไข่ ยาวประมาณ 10 ซม.ริมขอบใบเรียบปลายใบมน ดอกไม้สีเหลืองรูปดาวจะออกดอกเป็นกระจุกที่หนาแน่น ดอกอยู่รวมกันเป็นช่อสีเหลืองกลมเส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 5-13 ซม.
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งอาทิตย์เต็ม (6 ชั่วโมงขึ้นไป) ถึงร่มเงาบางส่วน ปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้น เป็นกรด อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นด่างจะทำให้ใบมีสีค่อนข้างเหลือง อัตราการเติบโต เร็ว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกในสวนสาธารณะ, สวนขนาดเล็ก และสวนทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง   
ระยะออกดอก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำกิ่ง


เข็มภูเก็ตดอกส้ม/Ixora ssp.

   

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ixora ssp.
ชื่อสามัญ---Ixora, West Indian Jasmine
ชื่ออื่น---เข็มภูเก็ต ; [THAI: Khem puket.].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ ; สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Ixora อ้างอิงถึงชื่อสกุล
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงเต็มที่ไม่ถึง 1 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเยอะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรง กันข้ามตั้งฉากกับกิ่งก้าน โดยใบคู่ที่อยู่ถัดขึ้นไปจะออกไขว้เป็นกากบาทกับใบคู่แรก เวลามีใบดกจะหนาทึบเป็นพุ่มแน่นมาก ใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อแบบซี่ร่มที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ช่อดอกเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่ ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดกลมขนาดเล็กและยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอก 4 กลีบ ปลายกลีบแหลมเป็นรูปดาว ผิวกลีบดอกเป็นสีเหลืองอมส้ม หรือ สีส้ม มีเกสรตัวผู้สีส้ม 4 อัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะหนาแน่นดูสวยงามมาก ผลรูปค่อนข้างกลม เมื่อสุกเป็นสีดำนิ่ม ภายในมีเมล็ด
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งอาทิตย์เต็ม (6 ชั่วโมงขึ้นไป) ถึงร่มเงาบางส่วน ปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้น เป็นกรด อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นด่างจะทำให้ใบมีสีค่อนข้างเหลือง อัตราการเติบโต เร็ว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกในสวนสาธารณะ, สวนขนาดเล็ก และสวนทั่วไป สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง   
ระยะดอกออก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์--- ด้วยวิธีตอนกิ่งและปักชำกิ่ง


เข็มเชียงใหม่/Ixora x williamsii Hort.


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ixora x williamsii Hort.
ชื่อสามัญ---Ixora, Dwarf Ixora, Jungle Flame, Jungle Geranium, Flame of the Woods, Chinesis Ixo
ชื่ออื่น---เข็มเชียงใหม่ ;[CHINESE: Ǎi xiāndān, Yingdanhua, Mazimu.];[THAI: Khem Chiangmai.].
ชื่อวงศ์ ---RUBIACEAE
EPPO Code---1IXRG (Preferred name: Ixora.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ ; สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Ixora อ้างอิงถึงชื่อสกุล
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอายุหลายปี สูง 1-1.50 เมตร ลำต้นตั้งตรงแข็งแรงแตกกิ่งก้านมาก พุ่มกว้าง 0.30-0.60 เมตร ใบเดี่ยว รูปขอบขนาน สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกดกสีแดงอมส้มเป็นช่อแน่นที่ปลายกิ่ง โคนกลีบเป็นหลอดเล็ก ปลายกลีบแหลมแยกเป็น 4 แฉก ดอกสีแดงอมส้ม
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้น เป็นกรด อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นด่างจะทำให้ใบมีสีค่อนข้างเหลือง ไม่ทนน้ำท่วมขัง อัตราการเติบโต เร็ว
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นแถว แนวทางเดิน ปลูกเป็นแนวริมรั้วหรือตัดแต่งเป็นรั้วเตี้ยๆ ใช้ปลูกในสวนสาธารณะ, สวนขนาดเล็ก และสวนทั่วไป   
ระยะออกดอก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำกิ่ง


เข็มพิษณุโลก/Ixora sp.

  

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ixora sp.
ชื่อสามัญ---Dwarf Ixora
ชื่ออื่น---เข็มชมพูพิษณุโลก ;[THAI: Khem chomphoo Pitsanulok.].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---IXRSS (Preferred name: Ixora sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Ixora' ได้รับการตั้งชื่อตามเทพแห่ง Malabar-Indian Iswara ซึ่งได้รับการจัดแสดงด้วย Ixora coccinea (Jungle Flame) อันศักดิ์สิทธิ์และบูชาด้วยดอกไม้ ; สายพันธุ์ที่หลากหลายและชื่อสามัญ Ixora อ้างอิงถึงชื่อสกุล
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม ลำต้นทรงกระบอก ผิวเรียบ สีน้ำตาล กิ่งยอดสีเขียว แตกกิ่งตรงขึ้นด้านบน ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 4 ซ.ม. กว้างประมาณ 1.5 ซ.ม.มี ช่อดอกแบบซี่ร่มเชิงประกอบ มีกลิ่นหอมอ่อน ออกดอกที่ปลายกิ่ง ดอกรูปเข็ม สีชมพู โคนกลีบสีอ่อนกว่า เชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบยาวประมาณ 1.8-2.0 ซ.ม. ปลายแยกเป็น 4 แฉก รูปรีปลายแหลม ยาวประมาณ 0.7 ซ.ม. กว้างประมาณ 2.5-3 ม.ม.มีทั้งดอกสีชมพูและดอกสีขาว ใบสีเขียวเข้มกว่าเข็มเชียงใหม่และใบบิดเล็กน้อย
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกให้แดดในช่วงเช้าและให้มีร่มเงาในช่วงบ่าย ใบจะมันสวย ทนร่มได้ดีกว่าชนิอื่น ปลูกได้ในดินทุกประเภท ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้น เป็นกรด อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ดินที่เป็นด่างจะทำให้ใบมีสีค่อนข้างเหลือง ไม่ทนน้ำท่วมขัง
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ตกแต่งสวนญี่ปุ่นเป็นไม้คลุมดินที่ดอกดกและทน
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง เพาะเมล็ด


เข็มปัตตาเวีย/Jatropha integerrima

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Jatropha integerrima Jacq.(1763)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms    
---Jatropha hastata Jacq.(1763)
---Jatropha acuminata Desr.(1797)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-104678
ชื่อสามัญ---Peregrina, Spicy jatropha, Cotton leaved Jatropha, Shanghai beauty, Fiddlehead jatropha, Rose-flowered jatropha.
ชื่ออื่น---ปัตตาเวีย, เข็มปัตตาเวีย (ทั่วไป); [CHINESE: Qin ye ying (Taiwan).];[CUBA: Belladona, Coralillo, Yuramira.];[CZECH: Dávivec.];[FRENCH: Médicinier-guitare, Médicinier, Epicar.];[GERMAN: Peregrina-Strauch, Korallenstrauch, Korallenpflanze, Korallenbaum.];[HAITI: Médecinier d’Inde.];[INDONESIA: Bunga Batavia.];[JAPANESE: Teikin zakura, Yatorofa integerima.];[PORTUGUESE: Jatrofa.];[REUNION: Guitare, Jatropha-fleur, Pignon d’Inde epicar.];[RUSSIA: Latrofa tsel'nokrainiaia, Korallovyi tsvetok.];[SPANISH: Alelí, Alhelí, Flor roja, Pasqualino, Yuramira, Peregrina.];[SWEDISH: Blomsterjatrofa.];[THAI: Pattawia, Khem pattawia (general).];[TONGA: Fiki kulamūmū.];[VIETNAMESE: Hồng mai, Nhất chi mai, Dầu lai lá đơn.].
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
EPPO Code---IATIN (Preferred name: Jatropha integerrima.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---คิวบา ฮิสพาโนลา อเมริกากลาง สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jatropha' มาจากภาษากรีกคำ 'iatros' = "แพทย์" และ 'trophe' = "อาหาร" เนื่องจากบางชนิดมีคุณสมบัติทางยา ; ชื่อสปีซี่ส์มาจากภาษาละติน 'integerrima' = ทั้งหมด, ไม่ขาดตอน และ 'rimus' = ส่วนใหญ่ ในการอ้างอิงถึงขอบทั้งหมดของใบ
Jatropha integerrima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph Freiherr von Jacquin (1727–1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้าน การแพทย์เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปีพ.ศ.2406
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในคิวบาและฮิสปานิโอลา (สาธารณรัฐโดมินิกันและเฮติ) และมีการปลูกในเขตร้อนทั่วโลก เติบโตในพื้นที่เป็นทรายและกึ่งแห้งแล้งใกล้กับเขตแอ่งน้ำและในพื้นที่ที่ถูกรบกวน ที่ระดับความสูง 0-2,550 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงต้นไม้ขนาดเล็ก ลำต้นสูงชลูดสูงได้ถึง 4.6 เมตร พุ่มกว้างถึง 3 เมตรหรือมากกว่านั้นแม้ว่าในการเพาะปลูกมักจะมีขนาดเล็กกว่า เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยว เรียงสลับ ยาว 5-15 ซม. และกว้าง 3-8 ซม.ใบรูปรีถึงรูปไข่ ปลายเรียวแหลมหรือยาวคล้ายหางหรือแยกเป็นแฉกกว้าง โคนใบมน ขอบเรียบ ผิวด้านบนสีเขียวเข้ม  ผิวด้านล่างสีเขียวอมแดง ใบสีเขียวเข้มค่อนข้างหนา ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ออกดอกเป็นช่อสีแดงเข้มออกตามยอดดอกมีก้านชูช่อสูงขึ้นมาจนพ้นกลุ่มใบยาว 5-10 ซม  ช่อดอกหนึ่งมีดอกระหว่าง12-20ดอก สีแดง ชมพู กลีบเลี้ยงสีแดงอมน้ำตาล 5 กลีบ หุ้มโคนกลีบดอกที่เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลับ กลางกลีบสีเข้มกว่าขอบเล็กน้อย กลางดอกมีขนสีขาวอยู่รวมกันเป็นกระจุก ก้านชูอับเรณูรวมกันที่โคนแล้วแยกออกที่ส่วนปลาย ผลแคปซูลสีเขียว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความยาว 1-1.3 ซม.ผลเป็นแคปซูลแก่แล้วแตกออก เมล็ดรูปสามเหลี่ยมโค้งมนยาวประมาณ 8 มม. สีน้ำตาลอ่อนมีจุดสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำที่ดี pH ตั้งแต่ด่างจนถึงกรด ทนต่อสภาพดินไม่ดี ทนทานต่ออุณหภูมิถึง -4° C และทนแล้ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญที่ส่งผลกระทบ บางครั้งอาจถูกโจมตีโดยไร เกล็ดและ Leaf Miners
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านใช้น้ำยางในการรักษาหูด, เนื้องอก, เริม, อาการคัน,โรคหิดและ กลาก
-ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชภูมิทัศน์ที่นิยมใช้กันมากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตร้อน ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนทั่วไป
รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์โดยเฉพาะเมล็ด น้ำยางเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อดวงตาผิวหนังและเยื่อเมือก
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ตัดกิ่งปักชำ


นางแย้มจีน/Clerodendrum bungei


ชื่อวิทยาศาสตร์---Clerodendrum bungei Steud.(1840)
ชื่อพ้อง---Has 3 synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-42436  
---Clerodendrum foetidum Bunge [Illegitimate] (1833)
---Clerodendrum fragrans var. foetidum Bakh.(1921)
---Volkameria bungei (Steud.) Lavallée.(1877)
ชื่อสามัญ ---Glory- Flower, Glory Bower, Rose glorybower, Cashmere Bouquet, Mexican Hydrangea (ไม่ใช่ไฮเดรนเยียที่แท้จริงและไม่ได้มาจากเม็กซิโก)
ชื่ออื่น ---นางแย้มจีน, นางแย้มฮาวาย (ทั่วไป) ;[CHINESE: Chou mu dan; xiu mu dan.];[GERMAN: Herrlicher Losstrauch.];[JAPANESE: Beni-bana-kusagi.];[THAI: Nang yaem chin, Nang yaem ha wai (general).];[VIETNAM: Bọ mẩy hôi, Ngọc nữ hôi.].
ชื่อวงศ์ ---VERBENACEAE
EPPO Code---CLZBU (Preferred name: Clerodendrum bungei.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไต้หวัน เวียตนาม สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อเมริกากลาง, อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Clerodendrum' มาจากคำภาษากรีก 'kleros' = 'โอกาส', 'lot' = 'โชคชะตา', และ 'dendron'  หมายถึงต้นไม้ซึ่งน่าจะหมายถึงตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ได้แก่ พุ่มไม้ต้นไม้และไม้เลื้อย ; ชื่อสายพันธุ์ 'bungei' เป็นเกียรติแก่นักสะสมและนักสำรวจชาวรัสเซีย Alexander von Bunge (1803-1890) ผู้อธิบายสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรกโดยใช้ชื่อ Clerodendrum foetidum ( Stearn, 1992 )
Clerodendrum bungei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ernst Gottlieb (Theophil) von Steudel (1783–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2383
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน (รวมไต้หวัน) อินโดจีน (เวียดนาม) ช่วงพื้นเมืองตั้งแต่จีนจนถึงอินเดียตอนเหนือ แนะนำในสหรัฐอเมริกา (ภาคใต้), เม็กซิโก, อเมริกากลาง, อเมริกาใต้ (โบลิเวีย, บราซิลตอนใต้) ขึ้นในสถานที่ทิ้งขยะ เนินเขาและถนนที่ร่มรื่นชื้นรวมถึงป่าผสมบนเนินเขาและตามข้างถนนที่ระดับความสูงประมาณ 100 - 2,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูงถึง 2 เมตร แตกกิ่งก้านไม่ค่อยมาก ลำต้นตั้งตรงมีขนเล็กน้อย ใบเดี่ยวรูปหัวใจหรือรูปไข่ เรียงสลับ กว้าง 8-11 ซม. ยาว 12-16 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือเว้าตื้น ขอบใบจักฟันเลื่อย มีขนอ่อน แผ่นใบหนา สีเขียวเข้ม ดอกสีชมพู มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อน ตามซอกใบที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเชื่อม ติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกสมบูรณ์เพศ ทยอยบานจากขอบนอกชองช่อดอกเข้ามากลางช่อดอก ช่อดอกบานเต็มที่ กว้าง 12-20 ซม. ผลกลมรี มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วน ,ดินเหนียว ที่มีกรดเป็นกลางและเป็นด่าง ความชื้นสูงการระบายน้ำดี สามารถทนต่อแสงแดดและร่มเงาบางส่วนและทนต่อความแห้งแล้งได้อย่างดีพอสมควร
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา และปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา ใช้สำหรับการรักษาด้วยยาแบบดั้งเดิมในประเทศจีนซึ่งรวมถึงความหลากหลายของความเจ็บปวดการติดเชื้อและปัญหาผิว -ยาต้มของใบถูกนำไปใช้ภายนอกเป็น anodyne, anthelmintic, ต้านการอักเสบ, ขับลม
-ใช้ปลูกเพื่อใช้เป็นไม้ประดับ เช่นเดียวกับสมาชิกหลายชนิดในสกุล เพราะดอกสวย ออกดอกตลอดปีและมีกลิ่นหอมแรงตอนเย็น บานทนหลายวัน จึงนิยมใช้ปลูกประดับสวนให้บรรยากาศสวนป่าหรือปลูกริมน้ำตก ลำธาร หรือปลูกเป็นไม้กระถางได้
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ชำราก แยกต้นอ่อน


ช้องนาง/Thunbergia erecta

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Thunbergia erecta (Benth.) T.Anderson (1864)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2436286    
---Basionym: Meyenia erecta Benth.(1848)
ชื่อสามัญ---Bush Clockvine, King's mantle, King's-mantle Flower.
ชื่ออื่น---ช้องนาง, ช้องนางเล็ก (ทั่วไป) ;[BENGALI: Nilghanta.];[CUBA: Conchita, Maena, Mainereta, Mainereta blanca, Matrimonio chino, Meyenia, Vellosilla.];[CZECH: Smatatka, Smatavka.];[DOMINICAN: Campanita india, Corona de nazareno, Trompeta de ángeles.];[LESSER ANTILLES: Queue de loup.];[MYANMAR: Kwa-nyo.];[PORTUGUESE: Tumbergia-arbustiva.];[PUERTO RICO: Angelina, Boca de vieja, Violeta, Viuda.];[SWEDISH: Trumpetthunbergia.];[THAI: Chong nang, Chong nang lek (general).]  
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---THNER (Preferred name: Thunbergia erecta.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง
Thunbergia erecta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2407

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก จากเซเนกัลถึงคองโกและปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนทั่วโลกเช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง อเมริกาใต้ (เวเนซุเอลา) และแคริบเบียน ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลใกล้ถึงประมาณ 1,000 เมตร
ในประเทศไทยมีอยู่หลายชนิด เช่น ;-
-Thunbergia affinis S. Moor (1880) เรียกว่า ช้องนาง
-Thunbergia erecta T. Anderson (1864) เรียกว่า ช้องนางเล็ก
-Thunbergia erecta var. caerulea Hort. เรียกว่า ช้องนางใหญ่
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร มีระบบรากลึกไม่รุกราน แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง 1-2 เมตร ใบเดี่ยวรูปไข่ออกเป็นคู่ๆเรียงกันไปตามข้อต้น ขนาดใบ 4–12.5 × 2–4.5 ซม.ก้านใบยาว 2-6 มม.โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น ปลายใบแหลม ด้านบนสีเขียวสด ก้านใบสีแดง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ก้านดอกยาวถึง 2.8 ซม. ใบประดับเป็นรูปรี-รูปไข่กลับ ยาว 10-20 มม. กว้าง 5-8 มม. ปลายยอดแหลม ดอกรูปกรวยปากแตร มีความยาวหลอดสูงสุด 4.5 ซม ขนาดดอกกว้างประมาณ 7.5 ซม. กลีบดอกมี 5 กลีบ วงในดอกสีเหลือง กระบอกกลีบกรวยหลังกลีบดอกเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน, สีฟ้าอ่อนเกือบขาว, สีขาว (alba) ดอกช้องนางบอบบาง ถ้าถูกเด็ดออกจากต้นแป๊บเดียวก็เหี่ยวแต่ถ้าปล่อยไว้ติดต้นจะบานทนอยู่ได้ถึง 2 วัน ผลเป็นแคปซูล ขนาด 2-3 × 1–1.3 ซม.เมล็ดสีน้ำตาลเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลาง ± 8 มม.ลักษณะแปลกอีกอย่างของช้องนางคือจะคว่ำดอกลงหาดิน เพราะมีก้านดอกเล็กมาก ทำให้รับน้ำหนักทรงดอกอยู่ไม่ได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไรหรือในที่ร่มบางส่วน ชนิดของดินที่หลากหลายปรับให้เข้ากับดินหลายประเภทรวมถึงดินทรายที่เป็นกรดและด่าง ดินร่วนและดินเหนียว ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ที่มีความชื้นสม่ำเสมอ ชอบปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยคอก ต้องการน้ำปานกลางถึงมาก
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง ระวังไส้เดือนฝอย
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นต้นไม้ดอกสีม่วงที่งดงามสะดุดตามากชนิดหนึ่ง นิยมปลูกประดับตามบ้าน สำนักงาน อาคารหรือสวนสาธารณะ สามารถปลูกในกระถางหรือภาชนะขนาดใหญ่
ระยะออกดอก--- ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน
ขยายพันธุ์--- ด้วยวิธีตัดกิ่งปักชำหรือตอนกิ่ง


ชบา/Hibiscus rosa-sinensis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Hibiscus rosa-sinensis L.(1753)
ชื่อพ้อง --- Has 7 Synonyms  
---Hibiscus boryanus DC.(1824)
---Hibiscus festalis Salisb.(1796)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2850448
ชื่อสามัญ---China-rose, Shoe Flower, Shoeblackplant, Hawaiian Hibiscus, Chinese rose, Blackening plant, Rose-of-China
ชื่ออื่น---ชบา, ชุมบา ใหม่ ใหม่แดง (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Rokta-joba.];[BENGALI: Jaba.];[CHINESE: Zhu jin, Da hong hua, Fo sang, Fu sang.];[DANISH: Kinesisk rose.];[FRENCH: Hibiscus de Chine, Hibiscus rose de Chine , Rose de Chine.];[GERMAN: Chinesischer Roseneibisch.];[HINDI: Gurhal.];[ITALIAN: Rosa della Cina.];[JAPANESE: Aka-bana, Bussôge, Fusou, Fûrinbussôge, Haibisukasu, Ryûkiyûmukuge.];[MALAYALAM: Chemparati.];[MALAYSIA: Bunga raya.];[MARATHI: Jaswand.]; [NEPALI: Baarhmaase phuul, Gudahal, Japaa kusum, Japa puspii, Rakta puspi.];[PHILIPPINES: Gomamela (Tag.); Antolañga (Tag., Bis.); Kayanga (Ilk., Bik., Bis.); Taukangga (Sul.) ; Saysaya (Bon.).];[POLISH: Ketmia róza-chinska.];[PORTUGUESE: Hibisco, Mimo-chinês, Rosa da China, Mimo de Vênus (Brazil).];[SPANISH: Rosa de China, Clavel japonés, Pedro segundo.];[TAMIL: Arattam, Cembarutti, Uruttiraputpam.];[TELUGU: Daanachettu, Mandara, Daasaana chettu.];[THAI: Chaba, Choomba (general).].
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
EPPO Code---HIBRS (Preferred name: Hibiscus rosa-sinensis.)ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีซี่ส์ 'rosa-sinensis' จากคำภาษาละติน หมายถึง "กุหลาบแห่งประเทศจีน"
Hibiscus rosa-sinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

  

ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดในบางส่วนของเอเชียเขตร้อน ที่ระดับความสูง 0-2,550 เมตร ปัจุบันปลูกกันอย่างกว้างขวางเพื่อเป็นไม้ประดับในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ไม่เป็นที่รู้จักในป่าอีกต่อไป
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาด 1-3 เมตร อาจสูงได้มากกว่านี้ ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน เปลือกเหนียวมาก เป็นเมือกลื่น บเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปไข่ กว้าง 5-9 ซม. ยาว 7-12 ซม.โคนใบมนหรือกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักมนหรือ จักฟันเลื่อยหรือเว้าเป็น 3 พู แผ่นใบบาง สีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 2-4 ซม. มีหูใบ ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกชั้นเดียวถึงดอกซ้อน เส้นผ่านศูนย์กลาง 7-15 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียว กลีบดอก 5 กลีบ มีสีต่างๆ เช่น แดง ชมพู ส้ม ขาว เหลือง ปลายกลีบดอกมนและกลม ก้านเกสรเพศเมียและเพศผู้เชื่อมกันเป็นหลอดยาวโผล่พ้นกลีบดอกผลแคปซูลสีน้ำตาล เมื่อแก่แห้งแตกเป็น 5 แฉก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---การตัดแต่งหลังฤดูหนาวของทุกปี ประมาณ1ใน3 จะทำให้ชบาทรงพุ่มโปร่งขึ้น กระตุ้นการออกดอก
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนใช้กินแทนผักขม ดอกไม้กินดิบหรือปรุงสุก ใช้ชงเป็นชารสดีใช้เป็นสีผสมอาหาร
-ใช้ปลูกประดับ เหมาะจะปลูกเป็นไม้แถวริมรั้ว
-ใช้เป็นยา ราก ของชบาใช้เป็นสมุนไพร รักษาฝี หรือถอนพิษ
-ในประเทศฟิลิปปินส์ดอกตูมตีเป็นก้อนใช้ทาพอกกับฝีบวมเป็นมะเร็งและคางทูม
-ในประเทศจีนใบใช้เป็นยาทำให้ผิวนวล·ในคอสตาริกาใช้เป็นยาถ่าย
-ในเวเนซุเอลาเคยใช้รักษาเนื้องอก
-ในแคริบเบียนใช้เป็นยาแก้ปวดต้านการอักเสบ ในสาธารณรัฐโดมินิกันเคยใช้รักษาเลือด
-อื่น ๆน้ำมันที่ทำจากการผสมน้ำของกลีบสดและน้ำมันมะกอกในสัดส่วนที่เท่ากันและต้มจนน้ำระเหยเพื่อใช้กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ชาวจีนและฮินดูสใช้น้ำกลีบสดเพื่อทำให้คิ้วเป็นสีดำ -เปลือกไม้มีเส้นใยที่แข็งแรง
-สารสกัดจากดอกมีคุณสมบัติคุมกำเนิดที่โดดเด่นทั้งในเพศชายและเพศหญิงตามรายงานของนักวิจัย เป็นไปได้ว่าหากได้รับความสนใจจากการวิจัยผลิตภัณฑ์จากพืชชนิดนี้สามารถนำไปใช้อย่างแพร่หลายเพื่อลดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
สำคัญ--- เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซีย เรียกว่า Bunga Raya ในภาษามาเลย์ bunga หมายถึงดอกไม้ในขณะที่ raya หมายถึง การเฉลิมฉลองหรือยิ่งใหญ่ กลีบสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญชีวิตและการเติบโตอย่างรวดเร็วของชาวมาเลเซียและกลีบห้ากลีบเป็นตัวแทนของ Rukun Negara ห้าแห่งของมาเลเซีย ดอกไม้ประดับบนธนบัตรริงกิตและเหรียญของมาเลเซีย
ระยะเวลาออกดอก--ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่งและปักชำ

ชบาร่ม/Malvaviscus arboreus var. drummondii


ชื่อวิทยาศาสตร์---Malvaviscus arboreus var. drummondii (Torr. & A. Gray) Schery.(1942)
ชื่อพัอง---Has 2 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:150445-2#synonyms
---Basionym: Malvaviscus drummondii Torr. & A. Gray.(1838)
---Pavonia drummondii (Torr. & A.Gray) Torr. & A.Gray.(1840)
ชื่อสามัญ---Turk's Cap, Sleeping Hibicus, Texas Mallow, Wax mallow, Ladies teardrop, Scotchman's purse, Ladies' Eardrops, Scotchman's Purse, Turk's Turban, Wild Fuchsia.
ชื่ออื่น---ชบาร่ม, ชบาหนู, ชบาหลอด (ทั่วไป) ;[CHINESE: Xuán líng huā.];[JAPANESE: Tyrin Himefuyou.];[TAIWAN: Nánměi zhūjǐn.];[THAI: Chaba rom, Chaba nu, Chaba hlod (general).].
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
EPPO Code---MAIAD (Preferred name: Malvaviscus arboreus var. drummondii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์--- สหรัฐอเมริกา ,เม็กซิโก ,อเมริกากลางและอเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'arboreus' หมายถึง ลักษณะที่ปรากฏเหมือนต้นไม้ของพืชที่โตเต็มที่
Malvaviscus arboreus var. drummondii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (John Torrey (1796–1873) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และ Asa Grey (ค.ศ. 1810–1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน) ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Walter Schery (1917–1987) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2485
ที่อยู่อาศัย เป็นพันธุ์พื้นเมืองของเท็กซัสถึงเม็กซิโก แนะนำใน สหรัฐอเมริกา (อลาบามา อาร์คันซอ ฟลอริดา จอร์เจีย ฮาวาย ลุยเซียนา มิสซิสซิปปี้) ปัจจุบันเป็นที่นิยมในการเพาะปลูก
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 2-3 เมตรไม่ผลัดใบ ใบรูปไข่กว้าง 5-7 ซม. ยาว 10-12 ซม.หยักเป็นแฉกตื้นๆ3แฉก ปลายใบแหลมขอบใบจักฟันเลื่อยถี่ ใต้ใบมีขนนุ่ม ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีสีแดงหรือชมพูอ่อน ดอกห้อยลง ดอกบานเต็มที่จะคลี่กลีบเพียงเล็กน้อยคล้ายร่มที่กำลังหุบ แต่ละกลีบจะซ้อนเกยกันไม่บานออกและและมีเกสรเพศผู้ยื่นยาวออกมา
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด (แสงแดดส่องถึงโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือ Partial Shade (แสงแดดส่องตรงเพียงบางส่วนของวัน 2-6 ชั่วโมง) ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป
-ใช้เป็นยา ในเม็กซิโกดอกไม้ถูกนำมาใช้ในยาต้มเพื่อรักษาอาการอักเสบของทางเดินอาหารและช่วยในการมีประจำเดือน
ระยะออกดอก---ตลอดปี ออกดอกดกช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือปักชำ


พวงแสดต้น/Tecoma capensis

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Tecoma capensis (Thunb.) Lindl.(1828)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms    
---Basionym: Bignonia capensis Thunb.(1800)
---Tecoma capensis (Thunb.) Spach.(1840)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-318839
ชื่อสามัญ---Cape Honeysukle, Cock-a-doodle-do
ชื่ออื่น---พวงแสดต้น, หงอนนกยูง (ทั่วไป) ;[AFRIKAANS: Kaapse kanferfoelie, Trompetters ; Malangula (Swazi); Umsilingi, Icakatha (Xhosa); Lungana, Incwincwi, Uchacha, Udodo, Ugcangca, Imunyane (Zulu); Molaka (Sotho).];[CZECH: Protiha.];[FRENCH: Bignone du Cap.];[GERMAN: Kapgeissblatt, Kapländische Trompetenwinde.];[HAWAII: 'I'iwi Haole.];[ITALIAN: Bignonia del Capo.];[MALAYSIA: Tekoma Jingga (Malay).];[PORTUGUESE: Camarões, Madressilva-do-Cabo.];[RUSSIA: Tekoma kapskaya, Tekomariya kapskaya.];[SPANISH: Chupamieles del Cabo, Enredadera de trompeta, Tecomaca del Cabo.];[SWEDISH: Kaptrumpet.];[THAI: Puong-saed-ton, Ngon nok yoong (general).].
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
EPPO Code---TEOCA (Preferred name: Tecoma capensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ : สวาซิแลนด์ โมซัมบิก
นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุลมาจากคำว่า 'Nahuatl tecomaxochitl' ซึ่งถูกนำมาใช้โดยประชาชนพื้นเมืองของเม็กซิโกกับพืชดอกท่อ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'capensis' ทางภูมิศาสตร์หมายถึงทำเลที่ตั้งอยู่ในแหลมกู๊ดโฮป
Tecoma capensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือวงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Lindley(1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2371

 

ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นตามธรรมชาติในแอฟริกาใต้, สวาซิแลนด์และภาคใต้ของประเทศโมซัมบิก ปลูกในพื้นที่อื่น ๆ ของโลกเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮาวาย อเมริกาและได้แปลงสัญชาติในส่วนต่าง ๆ ของออสเตรเลียซึ่งมีการระบุว่ารุกราน พบเติบโตในพุ่มไม้และบนขอบของป่า เป็นพืชเขตร้อนที่สามารถพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 1,200 เมตร
ลักษณะ พวงแสดต้นเป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยอายุหลายปี สูงได้ถึง1-2 เมตร แต่ตัดแต่งให้เป็นพุ่มเตี้ยปลูกคลุมดินได้ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อย  5-9 ใบเรียงตรงข้าม รูปใบหอกหรือรูปรี ปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบหยัก แผ่นใบสีเขียว ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามปลายกิ่ง สีแสดหรือส้มอมเหลืองถึงสีแอปริคอต จัดกลุ่มเป็นกลุ่มขั้วดอกยาว 10-15 ซม.กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉกสั้น กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 7.5 ซม. ปลายกลีบม้วนงอน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกในที่ร่มรำไร และแสงแดดเต็มที่ สำหรับปลูกกลางแจ้งใบจะดกแน่น และออกดอกดีกว่าปลูกในที่ร่ม เมื่อปลูกไปนานๆกิ่งจะยาวเก้งก้างเพราะมีนิสัยกึ่งเลื้อย จำเป็นจะต้องถูกตัดแต่งกิ่งในช่วงปลายฤดูหนาวเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและออกดอกใหม่ ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ pH 5.5 - 6.5 ทนอุณหภูมิได้จนถึง 5 °C ทนไอเกลือสามารถปลูกได้ใกล้ชายฝั่งทะเล
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้พุ่มสวนที่ได้รับความนิยมและมักปลูกเพื่อดึงดูดนกและผีเสื้อเข้ามาในสวน นอกจากนี้ยังปลูกทั่วไปเป็นแนว ทั้งเป็นทางการ (ตัดแต่งทรงพุ่ม) และไม่เป็นทางการ (ปล่อยทรงพุ่ม) สามรถปลูกเป็นไม้กระถาง
-วนเกษตร เกษตรกรยังปลูกหรือส่งเสริมการเติบโตไปตามรั้วเพื่อเป็นการเลี้ยงปศุสัตว์เพิ่มเติม
-ใช้เป็นยา เปลือกใช้ในยาแผนโบราณเพื่อ ลดไข้ รักษาอาการเจ็บหน้าอกเช่นหลอดลมอักเสบ รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสียและบิด และส่งเสริมการไหลเวียนของน้ำนมในการพยาบาลมารดา ยาต้มใบใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและลำไส้อักเสบ เชื่อกันว่าบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้นอนหลับ เปลือกแห้งบดเป็นผงถูรอบ ๆ ฟันเพื่อรักษาเหงือกที่มีเลือดออก
-อื่น ๆ ดอกไม้เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยน้ำหวานสำหรับผึ้ง
ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก Royal Horticultural Society.2017
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. (2020)
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่งและปักชำ แยกต้นอ่อน


พู่จอมพล/Calliandra haematocephala

ชื่อวิทยาศาสตร์---Calliandra haematocephala Hassk.(1855)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.   
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-197
ชื่อสามัญ---Pink Red Powderpuff, Red Head Powderpuff, Blood Red Tassel Flower, Stickpea.
ชื่ออื่น---พู่ชมพู พู่จอมพล (ทั่วไป) ;[CHINESE: Zhu ying hua, Mei rui hua, He huan hua.];[FRENCH: Arbre aux houpettes, Pompon.];[GERMAN: Roter Puderquastenstrauch.];[NIGERIA: Tude.];[PORTUGUESE: Esponja.];[SPANISH: Bellota, Flor de la cruz.];[SWEDISH: Pudervippa.];[THAI: Phoo chom phoo, Phoo chom phon (general).].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้: โบลิเวีย, ฟลอริดา อเมริกากลาง แคริบเบียน, เอเซีย: อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Calliandra' คือการรวมกันของคำนามภาษากรีก "kallos" = ความงาม และ "anér, andrós" = ผู้ชาย โดยอ้างอิงถึงเกสรเพศผู้จำนวนมากของดอกไม้; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'haematocephala' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก "haima, -tos" = เลือด และ "cephalé" = หัว อ้างอิงถึงลักษณะและสีของช่อดอก
Calliandra haematocephala เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (FabaceaeหรือLeguminosae) วงศ์ย่อยผักกระเฉด (Mimosoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Justus Carl Hasskarl (1811-1894) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2398


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาใต้ในที่ราบลุ่มทางตะวันออกของโบลิเวีย และในเขตร้อนทั่วโลกจากฟลอริดาอเมริกากลางและแคริบเบียนและอาจมาจากอินโดนีเซีย เติบโตในป่าฝนเมืองร้อนและป่ากึ่งผลัดใบ พื้นที่สูงขึ้นไปถึงระดับสูงสุด 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่แตกกิ่งก้านสาขามาก สูง 3-4 เมตร ทรงพุ่มแผ่กว้าง กิ่งก้านอ่อนลู่ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยด่างเป็นวงสีขาวทั่วทั้งต้น ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ (Bipinnate - paripinnate) เรียงสลับ ใบย่อยเล็กมากมี 5-10 คู่ รูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบ ช่อดอกเป็นช่อกระจุกแน่นที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกตูมก่อนที่ดอกจะบานจะมีลักษณะเหมือนราสเบอร์รี่ ดอกบานคล้ายดอกกระถิน มักบานพร้อมกันทั้งช่อ ก้านช่อดอกยาว 2-4.5 ซม.ขนาดดอกเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 ซม.กลีบเลี้ยงรูปถ้วย กลีบดอกสีขาว แดงหรือชมพู โคนก้านสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นเส้นเล็กยาวสีขาวหรือสีชมพู ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก รังไข่มีก้านสั้น ๆ ก้านเกสรเพศเมียยาวเท่า ๆ เกสรเพศผู้ ผลแห้งเป็นฝักแบนกว้าง 1.5 ซม.ยาว 4-10 ซม.เมื่อแก่แตกทางด้านข้างเมล็ดสีน้ำตาลแบนยาวไม่เกิน 5 เมล็ด ยาวประมาณ 8 มม.กว้าง 4 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการแสงแดดเต็มวันไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดินถึงจะค่อนข้างแย่ก็ทนได้ แต่ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์และน้ำปานกลาง ความชื้นสม่ำเสมอ pH เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นด่างเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุดไม่ควรต่ำกว่า 15 °C
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังตัวหนอน ไรเดอร์ และเพลี้ยอ่อน
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนสาธารณะและสวนทั่วไป หรือปลูกเป็นไม้กระถางและใช้เป็นต้นไม้สำหรับทำบอนไซได้ดี
-ใช้เป็นยา ใบไม้และรากใช้สำหรับโรคหัด ยาต้มดอกไม้ ใช้เป็นเครื่องฟอกเลือดและยาชูกำลัง
-ในไนจีเรียใช้ในการรักษาโรคริดสีดวงทวาร
-ในประเทศจีนใช้ดอกไม้ ใบไม้และเปลือกไม้ เพื่อความสงบผ่อนคลาย
-มีการศึกษาพบว่าใบพู่จอมพลมีฤทธิ์สมานแผลและต้านอนุมูลอิสระ ดอกพู่จอมพลมีฤทธิ์ต้านหนอนพยาธิ
-อื่น ๆสารสกัดจากส่วนพืชของCalliandra haematocephalaถูกนำมาใช้ในการสังเคราะห์สีเขียวของโครงสร้าง นาโนซิงค์ออกไซด์ อนุภาคนาโนแม่เหล็ก และอนุภาคนาโนเงิน
ระยะออกดอก/ติดผล-- สิงหาคม - กันยายน/ตุลาคม - พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่งและเพาะเมล็ด

ยี่เข่ง/Lagerstroemia indica.


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Lagerstroemia indica L. (1759)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms    
---Lagerstroemia chinensis Lam. (1759)           
---Murtughas indica (L.) Kuntze. (1891)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2354050
ชื่อสามัญ--- Crapemyrtle, Crape Myrtle, Crepe Myrtle, Queen's Crape, Indian Lilac, Lilac of the south, Rose of India.
ชื่ออื่น ---ยี่เข่ง (ทั่วไป), คำฮ่อ (ภาคเหนือ) ;[BENGALI:Chhotojarul, Purus, Farash.];[CHINESE: Zi wei, Bai ri hong, Wu pi shu, Yang yang hua, Yang yang shu, Zi jin hua, Zi lan hua, Wen zi hua, Tzu hui.];[CUBA: Astronomía, Cupido, Gastronomia, Gastronomia y júpiter, Júpito.];[DOMINICAN: Almira, Armira, Astromelia, Astromeria.];[FRENCH: Lilas d'été, Lilas des Indes, Myrte de crêpe.];[GERMAN: Chinesische Kräuselmyrte, Indische Lagerströmie, Sommerflieder.];[HAITI: Astromelia stragornia, Stragornia, Stragornia blanc.];[HINDI: Farash, Harsingar, Phurush, Saoni, Sawani, Telingachina.];[INDIA: Ajhar, Arjuna, Bondaro, Challa, Chinagoranta, Dhayti, Jarul, Motobhandaru, Pavalakkurinji, Varagogu.];[INDONESIA: Bungur, Ketangi.];[ITALIAN: Albero di San Bartolomeo, Lagerstremia.];[JAPANESE: Saru-suberi,];[KOREAN: Bae long na mu.];[MALAYSIA: Bongor biru, Bungur kecil (Malay).];[MARATHI: Dhayti. Vilayatimendi.];[MYANMAR: Pan-ei.];[NEPALI: Asare.];[PHILIPPINES: Banaba, Melendres, Pelendres (Span, Tag.); Poua (Buk.); Tabañgau (Ibn.).];[PORTUGUESE: Árvore-de-júpiter, Escumilha, Extremosa, Flor-de-merenda, Resedá, Suspiro.];[RUSSIAN: Indijskaia siren, Lagerstremiia indijskaia.];[SANSKRIT: Siddhesvara.];[SIDDHA/TAMIL: Pavalak-kurinji, Sinappu.];[SPANISH: Árbol de Júpiter, Crespón rosado, Espumilla, Júpiter, Lila de las Indias, Lila del sur, Melindres.];[TAMIL: Pavalakkurinji.];[TELUGU: Chinagoranta, Chinnagoranta.];[THAI: Yi Kheng (general); Kham Hor (Northern).];[TURKISH: Oya ağacı.];[VIETNAMESE: Cây hoa tường vi, Hoa tường vi, Tường vi, Tử vi tàu.].  
ชื่อวงศ์ ---LYTHRACEAE
EPPO Code---LAEIN (Preferred name: Lagerstroemia indica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
การกระจายพันธุ์---จากทวีปเอเซีย-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ,จีน ,เกาหลีและญี่ปุ่น -ออสเตรเลียตอนเหนือ
Lagerstroemia indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2402


ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย พบในจีน (อานฮุย, ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, เหอหนาน, หูเป่ย, หูหนาน, เจียงซี, จี๋หลิน, ซานตง, ชานซี, เสฉวน, ไต้หวัน, ยูนนาน, เจ้อเจียง) บังคลาเทศ ภูฏาน กัมพูชาอินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์, เนปาล, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม มีสัญชาติในยุโรป อเมริกา และแคริบเบียน เมื่อแปลงสัญชาติแล้ว จะพบเติบโตในที่รกร้าง ทุ่งหญ้า บนหน้าผา ริมฝั่งแม่น้ำ ในป่าทุรกันดารหรือป่าทุติยภูมิ และตามขอบป่าในแหล่งอาศัยที่เปียกและแห้ง ที่ระดับความสูง 600-1,800 เมตร มีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางทั่วทั้งภูมิภาคเหล่านี้และภูมิภาคอื่น ๆ ที่อบอุ่นของโลก L. indica มีระบบรากที่ก้าวร้าวและหนาแน่นมาก และถูกระบุว่าเป็นการรุกรานในแอฟริกาใต้ เบลีซ คิวบา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จิน
ลักษณะ ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 7 เมตร พุ่มกว้าง2-4 เมตร ทรงต้นโปร่งออกใบไม่มาก สูงชะลูดค่อนข้างเก้งก้าง เปลือกต้นสีน้ำตาล มีสะเก็ดขาวลอกเป็นแผ่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับ รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 2-3 ซม.ยาว 3.5-5.5 ซม. โคนมนปลายแหลม ขอบใบเรียบมีขนละเอียด ใบด้านล่างมีขนประปรายตามเส้นใบ ก้านใบสั้นหรือไม่มี ตรงซอกใบมีหูใบเล็กๆมีขนนุ่มปกคลุม ยี่เข่งออกดอกเป็นช่อมีลักษณะคล้ายดอกตะแบก ดอกบางและยับย่น  ยี่เข่งมีกลีบดอกสีม่วง บานเย็น ชมพูหรือขาว ดอกบานขนาด 2.5-3 ซม.เกสรเพศผู้จำนวนมากเรียงเป็น 2 วง วงนอกยาวปลายสีคล้ำ วงในสั้นปลายสีเหลือง ผลค่อนข้างกลม ขนาด 0.8-1.5 ซม.เมื่อแก่แตกตามยาวเมล็ดมีปีกประมาณ 8 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้งแสงแดดจัดไม่ชอบดินแฉะหรือที่ลุ่มมีน้ำขัง ปรับให้เข้ากับสภาพอากาศและสภาพดินที่หลากหลายการปลูกให้ได้ผลควรใช้ดินลูกรังผสมลงในหลุมดินที่จะปลูกด้วย จะเจริญงามดีกว่าปลูกในดินเหนียว ในฤดูแล้งยี่เข่งผลัดใบ จนใบร่วงหมดต้นแล้วจะผลิใบอ่อนช่วงฤดูฝน เมื่อถึงเวลาออกดอกยี่เข่งจะสวยงามมาก ยี่เข่งเป็นต้นไม้ที่ไม่เกี่ยงปุ๋ย ให้ปุ๋ยก่อนฤดูฝนปีละครั้งเดียวของทุกปีก็พอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ตกแต่งสวน ให้รูปทรงและดอกสวยงาม
-ใช้เป็นยา เปลือกต้นใช้เป็นยาลดไข้ มีฤทธิ์เป็นยากระตุ้นกระเพาะอาหาร
-รากช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ใช้ใบแห้งนำมาบดเป็นผง แล้วนำมาโรยบริเวณบาดแผล รักษาแผลสด
-ดอกรวมกับราก (สดหรือแห้ง) ต้มชะล้างรักษาแผลฝี แผลหนองที่หนังศีรษะ ผสมน้ำส้มสายชูทา บริเวณที่เป็น กลาก, เกลื้อน
-ในอินเดียยาต้มของรากใช้เป็นยาสมานแผล ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก รากใบและดอกเป็นยาถ่าย เปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้และยากระตุ้น
-วนเกษตร เนื่องจากระบบรากที่แผ่กว้างและหนาแน่น L. indica จึงถูกใช้ในการควบคุมการกัดเซาะ มักปลูกเป็นพืชสนับสนุนแนวเขตหรือแนวกั้นในสวนและพื้นที่เพาะปลูก (Orwa et al., 2009)
ระยะออกดอก/ติดผล--- มิถุนายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือปักชำ


ราชาไข่มุก/Callicarpa americana


ชื่อวิทยาศาสตร์---Callicarpa americana L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms    
---Callicarpa americana var. lactea F. J. Mull.(1889)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-30660
ชื่อสามัญ---American beauty-berry, Beautyberry, French Mulberry, Turkey berry
ชื่ออื่น---ราชาไข่มุก, สร้อยระย้า ;[FRENCH: Callicarpe d'Amérique, Porphyra.];[GERMAN: Amerikanische Schönfrucht, Wirbelbeerre.];[ITALIAN: Callicarpa d'America.];[SPANISH: Filigrana (Cuba).];[THAI: Raja khai mook, Soi raya.].
ชื่อวงศ์---VERBENACEAE
EPPO Code---CLIAM (Preferred name: Callicarpa americana.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---สหรัฐอเมริกา-ฟลอริดา, โอกลาโฮมา, อาแคนซัส, เม็กซิโก, เบอร์มิวดา, บาฮามาสและคิวบา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Callicarpa' ในภาษากรีก "callos" = ความงาม และ "carpos" = ผลไม้ อ้างอิงถึงผลไม้ที่สวยงาม ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'Americana' = ของอเมริกา บ่งชี้ถึงต้นกำเนิดในทวีปอเมริกา
Callicarpa americana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296

 

ที่อยู่อาศัย ต้นไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกาเหนือ สามารถพบได้ตามธรรมชาติในป่าทางตะวันออกเฉียงใต้และตามขอบของป่าจากโอคลาโฮมาและเท็กซัสไปทางทิศใต้และขึ้นสู่แมรี่แลนด์ นอกจากนี้ยังสามารถพบการเจริญเติบโตตามธรรมชาติในแคริบเบียนและเม็กซิโกตอนเหนือ พบได้ในที่ต่ำและอุดมสมบูรณ์ที่ริมหนองน้ำในป่าสนและในป่าชายฝั่ง
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 2.4-2.7 เมตร แต่โดยทั่วไปจะน้อยกว่า เฉลี่ย 0.9 ถึง 1.8 เมตร เปลือกต้นมีสีน้ำตาลและพบจุดสีขาวตามลำต้นที่มีอายุมากกว่า ก้านใบยาว 1-5 ซม.ใบเรียงตรงข้ามรูปไข่มีขอบหยักและ ยาวประมาณ 5-22 ซม. กว้าง 2-12.5 ซม.ผิวใบมีขนสั้นรูปดาว ใต้ผิวใบมีต่อมที่ไม่เด่น พื้นผิวใบด้านบนจะหยาบกร้านตามอายุ ออกดอกเกาะตามลำต้นกิ่งใบ ดอกออกเป็นช่อสีชมพูอ่อนถึงสีม่วงจะบานในกระจุกที่ซอกใบหนาแน่น กลีบเลี้ยงสีเขียว4 กลีบ มีกลีบดอก 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน รังไข่มี 2 locules ผลมีเนื้อกลมคล้ายไข่ปลาเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-6 มม.สีชมพูและเปลี่ยนเป็นสีม่วงสดใสถึงสีม่วงแดงบางครั้งก็ออกสีน้ำเงิน มันวาว แก่แล้วแตกเป็น 4 ส่วนมีเมล็ด 4 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ซึ่งผลจะดกมากและผลจะเบาบางลงในที่ร่ม เติบโตได้ดีในดินส่วนใหญ่ แม้แต่ดินที่ไม่ดีและดินขาดธาตุอาหาร เป็นพืชทนแล้งและค่อนข้างปลอดศัตรูพืช มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วปานกลางและต้องการการบำรุงรักษาน้อย
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างปลอดศัตรูพืช อาจเป็นโรคใบจุด (Leaf spots) แต่มักไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลกินได้ แต่ไม่ค่อยน่ารับประทาน มีรสเปรี้ยว ขมและฝาด
-ใช้เป็นยา ชาวอเมริกันพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรก ๆ ใช้รากใบและกิ่งก้านของพืชเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเช่นไข้ ไข้มาลาเรีย ไขข้ออักเสบ โรคกระเพาะอาหาร และโรคบิด



-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนทั่วไป หรือปลูกเป็นไม้กระถาง เมื่อออกดอกติดผลเป็นพวงดูแปลกสวยงาม
-ระบบนิเวศ  เมล็ดและผลเบอร์รี่เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับนกหลายชนิดในอเมริการวมถึงโรบินอเมริกัน, ไวร์เลสสีน้ำตาล, บ๊อบไวท์เหนือ, ฟินช์สีม่วงและทูไฮฮีตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับอาร์มาดิลโล สุนัขจิ้งจอก พอสซัม แรคคูน กระรอกและกวางหางขาว นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งน้ำหวานสำหรับผีเสื้อและมีกลิ่นหอมของใบไม้ มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการสนับสนุนแมลงและสัตว์ป่าพื้นเมือง
-อื่น ๆ ในต้นศตวรรษที่ 20 เกษตรกรประสบความสำเร็จในการใช้ใบที่บดละเอียดเพื่อขับไล่ยุงและมดไฟ ให้ล่อและม้า ผู้คนก็ถูใบที่บดแล้วบนผิวเพื่อไล่แมลงเช่นกัน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2021)
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/กรกฎาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ดและปักชำกิ่ง


ไข่มุกอันดามัน/Medinella magnifica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Medinilla myriantha Merr.(1906)
ชื่อพ้อง ---This name is unresolved.The record derives from Tropicos (data supplied on 2012-04-18)
ชื่อสามัญ ---Javanese Rhododendron, Love Plant, Rose Grape, Rose-grape medinilla, Philippine Orchid, Malaysian Grapes, Malaysian Orchid, Showy medinilla
ชื่ออื่น---ไข่มุกอันดามัน สร้อยระย้า (ทั่วไป) ; [THAI: Khaimook an da man, Soiraya (geneal).].
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
EPPO Code---MDJMY (Preferred name: Medinilla myriantha.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย  
เขตกระจายพันธุ์ ---ฟิลิปปินส์ ชวา คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา
Medinilla myriantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2449


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (ฟิลิปปินส์ ชวา คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา) เติบโตในร่มเงาของต้นไม้และพืชขนาดใหญ่อื่นๆ
ลักษณะ ไข่มุกอันดามันหรือสร้อยระย้าเป็นไม้พุ่มเตี้ย เป็นพืชประเภทกึ่ง epiphyte (หมายถึงชอบอาศัยในพืชชนิดอื่นเหมือนกล้วยไม้แต่ไม่ใช่กาฝาก (parasitic) มันไม่ดึงสารอาหารหรือทำอันตรายพืชที่อยู่ของมัน) สูงได้ไม่เกิน 1.5เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา ใบเดี่ยว เรียงวงรอบ รูปรีถึงรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ  แผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเห็นร่องลึก เห็นเส้นใบชัด ดอกออกเป็นช่อเชิงลด ตามข้อกิ่ง ดอกเล็กสีชมพูสวยงาม ตอนดอกยังตูมจะเป็นเม็ดกลมๆสีชมพูอ่อนๆถึงชมพูเข้มคล้ายไข่มุก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน กลีบดอก 4 กลีบ สีชมพู เรียงซ้อนเหลื่อมกัน เกสรเพศผู้ 8 เกสรเพศเมีย 1 ดอกทนนานหลายเดือน ผลอ่อนมีเนื้อสีชมพูเปลี่ยนเป็นสีม่วงเมื่อแก่ (กินไม่ได้)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในที่ร่มเงา ต้องการแสงทางอ้อมที่สว่าง ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอแต่ไม่เปียกแฉะ มีการระบายน้ำดี pH เป็นกรดอ่อน ๆ พืชชนิดนี้ต้องการความชื้นสูง ลดการรดน้ำเล็กน้อยในฤดูหนาว สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่อย่ากังวลหากคุณไม่เห็นดอกไม้สักสองสามเดือน ใบไม้สีเขียวที่แข็งแรงก็มีเสน่ห์เช่นกัน หากดอกไม้ไม่ออกดอก ให้ปรับแต่งแสงและความชื้นที่เคยให้ และให้ปุ๋ยที่สมดุลทุกเดือนในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้งอาจสร้างปัญหาเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้เช็ดแมลงด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ไอโซโพรพิล ( isopropyl alcohol) ไรเดอร์ (Spider mites) จะรบกวนพืชจากสภาพอากาศที่แห้ง แต่การพ่นละอองหมอกทุกวันจะช่วยแก้ปัญหา
ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้กระถางหรือไม้กระถางแขวน
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง ราก


เทียนหยด/Duranta repens.

ชื่อวิทยาศาสตร์---Duranta erecta L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 56 Synonyms.See all The Plant List
---Duranta repens L.(1753)
---Duranta ellisia Jacq.(1760)
---Duranta plumieri L.(1763)
---More.See all The Plant Listhttp://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-65221
ชื่อสามัญ---Duranta, Golden dewdrop, Golden eardrops, Golden tears, Sky Flower, Pigeon berry, Angels whisper, Brazilian sky flower.
ชื่ออื่น---พวงม่วง ฟองสมุทร เทียนไข เทียนหยด (กรุงเทพฯ), สาวบ่อลด (เชียงใหม่) ;[AFRIKAANS: Vergeet-my-nie-boom (South Africa).];[ASSAMESE: Jeora-goch, Duronta-kanta.];[BENGALI: Kata mehedi.];[BRAZIL: Pingo-de-ouro, Violeteira-dourada.];[CHINESE: Jia lian qiao.];[FRENCH: Durante dressée, Durante, Vanillier de Cayenne, Vanillier marron.];[GERMAN: Durante, Taubenbeere.];[INDIA: Kata mehedi.];[INDONESIA: Sinyo nakal.];[ITALIAN: Duranta.];[JAPANESE: Deyuranta, Harimatsuso, Sinyo nakal, Taiwan-rengiyô.];[KANNADA: Neelakantha.];[MARSHALL ISLAND: Jab meloklok.];[MARATHI: Piwalimendi, Piwali Mendi.];[MEXICO: Pojkol che, Cambocoché.];[PHILIPPINES: Duranta (Tag.).];[PORTUGUESE: Duranta, Fruta-de-jacú, Pingo-de-ouro, Violeteira.];[SPANISH: Cuentas de oro, Duranta, Flor celeste, San Jacinto, Tala blanco.];[SWEDISH: Duvbär.];[THAI: Thiean yod, Fong samut, Sao bo lod.];[TONGA: ‘Olive, Māvaetangi.];[UGANDA: Ekikomamahanga, Kawololo, Langwila.];[VIETNAM: Thanh quan.].
ชื่อวงศ์---VERBENACEAE
EPPO Code---DUTPL (Preferred name: Duranta erecta.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์--- เอเซียใต้, จีน, อินโดจีน, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย, หมู่เกาะแปซิฟิก, แอฟริกาใต้, ฮาวาย, ฟิจิ, Polynesia
นิรุกติศาสตร์---ชื่อพืชสกุล 'Duranta' นี้เป็นเกียรติแก่ Castore Durante นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่15 ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์จากภาษาละติน 'erecta' หมายถึง "ตรง" ; ชื่อสามัญ Golden dewdrop มาจากลักษณะของผลไม้สีทองที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ ( Andreu et al., 2010 )
Duranta erecta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนกึ่งเขตร้อน - อาร์เจนตินาและอุรุกวัยเหนือผ่าน Mesoamerica และแคริบเบียนไปยังตอนใต้ของอเมริกาจากแคลิฟอร์เนียถึงฟลอริดา ตลอดจนหมู่เกาะอินดีสตะวันตก ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางว่าเป็นไม้ประดับในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลกและกลายเป็นธรรมชาติในหลายพื้นที่ มันถือว่าเป็นชนิดแพร่กระจายในประเทศออสเตรเลีย เอเซียใต้, จีน, แอฟริกาใต้และหลายแห่งในหมู่เกาะแปซิฟิก และถือเป็นรุกรานในฮาวาย , ฟิจิและFrench Polynesia เกิดขึ้นในป่าดงดิบ ป่าไม้เปิด และพื้นที่ที่ถูกรบกวน นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับแหล่งที่อยู่อาศัยริมชายฝั่ง เนินเขาริมชายฝั่ง ทุ่งหญ้า พื้นที่ป่าทึบและริมถนน พบที่ระดับความสูง 100-1,600 เมตร อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างที่เก็บจากสาธารณรัฐโดมินิกันได้รับการบันทึกที่ระดับความสูง 3,600 เมตร ( Missouri Botanical Garden, 2018 ).
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 1-3 เมตร แตกกิ่งก้านหนาแน่น ยอดกิ่งลู่ลง ตามลำต้นแก่มีหนามแหลมที่ซอกใบเล็กน้อย ลำต้นส่วนยอดมักเป็นสี่เหลี่ยมและมีสีม่วงดำแซม ใบเดี่ยวกว้างประมาณ 3-3.5 ซม.ยาวประมาณ 5-6 ซม. ออกตรงข้ามรูปรีแกมรูปไข่ขอบใบจักฟันเลื่อยสีเขียวสด ช่อดอกออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกย่อยจำนวนมากห้อยระย้า ดอกย่อยเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 ซม.ทยอยบานครั้งละ 5-6 ดอก เมื่อดอกโรยแล้วจะติดผลรูปกลมรีสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 มม.จำนวนมากเป็นพวง เมื่อผลแก่เปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสเป็นมัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ เติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่ชื้นอุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำดี ทนต่อดินที่เป็นกรดถึงด่างเล็กน้อยและทนต่อเกลือได้ปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกกลางแจ้งเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นไม้ขอบแปลงหรือปลูกเป็นไม้กระถาง เป็นต้นไม้ปลูกง่ายขึ้นง่ายโตเร็ว ดอกสวยให้ดอกตลอดปี
-ใช้เป็นยา ใบสดใช้ตำเป็นยาพอกใช้เป็นยาห้ามเลือดบริเวณที่เป็นแผล เมล็ดใช้เป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย เมล็ดแห้งใช้เป็นยาเร่งคลอด
-ในAndhra Pradesh, อินเดีย , ยาต้มของพืชทั้งหมดที่ใช้สำหรับโรคหอบหืด, โรคหลอดลมอักเสบและมีไข้-ในอินเดียใบและลำต้นใช้รักษาต้อกระจก
-ในตะวันออกเฉียงใต้ของไนจีเรียผล ใช้ในการรักษาโรคมาลาเรียฝีและปรสิต
-อื่นๆ พืชถูกใช้เป็นยาไล่แมลง
รู้จักอันตราย---ใบและผลเป็นพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยงในบ้าน (แมวและสุนัข) มีรายงานการเสียชีวิตจากการบริโภคผล
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกและผลตลอดทั้งปี โดยมีทั้งดอกและผลปรากฏอยู่บนพุ่มไม้ในเวลาเดียวกัน ( Nelson, 1996 )
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ  


มิกกี้เม้าส์/Ochna thomasiana 


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ochna kirkii Oliv. (1868)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.
---Diporidium kirkii (Oliv.) Kuntze. (1891)
---Polythecium kirkii (Oliv.) Tiegh. (1902)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:606662-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Ochnas, Mickey Mouse Plant, Bird's-eye bush.
ชื่ออื่น---มิกกี้เม้าส์ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Guiye Huangmei.];[THAI: Mikki mao (General).];[VIETNAM: Mai vàng Indonesia, Cây Hoa Mai.];
ชื่อวงศ์---OCHNACEAE
EPPO Code---OCNKI (Preferred name: Ochna kirkii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---เคนยา แทนซาเนีย โมซัมบิก ตรินิแดด โตบาโก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ochna' มาจากชื่อภาษากรีกโบราณ "oxnh" ซึ่งโฮเมอร์ใช้เรียกชื่อสำหรับลูกแพร์ป่า ; ชื่อสปีซี่ส์ 'kirkii' ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Thomas Kirk (1828 –1898) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นนักเขียนเกี่ยวกับพืชในนิวซีแลนด์ ; สปีชีส์นี้รู้จักกันทั่วไปในชื่อMickey Mouse Plant เนื่องจากผลสุกจะมีสีดำและห้อยจากกลีบเลี้ยงสีแดงสด (ชั้นนอกสุดของดอกไม้)
Ochna kirkii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ช้างน้าว (Ochnaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Daniel Oliver (1830–1916) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2411


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแทนซาเนียตะวันออกถึงโมซัมบิก เติบโตในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 0-600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลางถึงขนาดใหญ่หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 1-5 (–6) เมตร มีเปลือกสีขาวอมเทาค่อนข้างหยาบ แตกกิ่งก้านสาขาสีน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ใบรูปไข่สีเขียวเข้มกว้าง 2.5–7 ซม.ยาว 5-21 ซม. เนื้อใบหนาเป็นมันริมใบมีจักเป็นหนามเล็กๆอยู่ระยะห่างกันรอบใบ ก้านใบ (2–) 4–5 (–6) มม. ค่อนข้างหนา ดอกออกเป็นช่อสั้นตามปลายกิ่งหรืองามกิ่งส่วนยอดในช่อดอกมีดอกประมาณ 3– 20 ดอก ก้านดอกยาว 1–2.5 ซม ดอก มี 5 กลีบสีเหลืองสดรูปไข่กลับ กว้าง, 13-25 มม. ยาว 10-18 มม. ส่วนที่เป็นเกสรเป็นเส้นแข็งเป็นฝอยบานเป็นพู่อยู่กลางดอก กลีบเลี้ยงเป็นรูปวงรีถึงรูปไข่ยาว 10–16 มม., (4–) กว้าง 7-8 มม. โค้งมนที่ปลาย เมื่อดอกโรยจะติดผล ที่คล้ายลูกปัดกลมรีขนาดกว้าง 5.5–8 มม.ยาว 9-10 มม. ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีแดง แก่จัดกลายเป็นสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป รวมถึงสวนขนาดเล็ก
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง


ทองอุไร/Tecoma stans.


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Tecoma stans (L.) Juss. ex Kunth.(1819)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms    
---Basionym: Bignonia stans L.(1763)
---Stenolobium stans (L.) Seem.(1863)
---More.See all The Plant Listhttp://theplantlist.org/tpl/record/kew-318412
ชื่อสามัญ---Ginger thomas, Tecoma, Trumpetflower, Yellow bells, Yellow bignonia, Yellow cedar, Yellow elder, Yellow trumpet tree
ชื่ออื่น---ดอกละคร (เชียงใหม่), พวงอุไร (กรุงเทพฯ), สร้อยทอง (ภาคกลาง), ทองอุไร (ทั่วไป) ;[BENGALI: Chandaprabha.];[COLOMBIA: Roble amarillo.];[FRENCH: Tecoma jaune.];[GERMAN: Aufrechte Trompeten-winde, Eschenblättrige Trompetenwinde, Gelbblühender Trompetenbaum, Gelbe Tecome, Gelbe Trompetenwinde, Gelber Trompeten-strauch.]; [HINDI: Piliya.];[ITALIAN: Tecoma giallo.];[KANNADA: Koranekelar.];[MARATHI: Ghanti Ful.];[MEXICAN: Huevo de iguana, Sauco amarillo, Tache.];[PACIFIC ISLAND: Piti.];[PORTUGUESE: Amarelinho, Estenolóbio, Ipê-mírím, Sabugueiro-amarelo.];[SPANISH: Caballito, Chirlobirlo, Floramarillo, Ffresnilla, Gloria, Lluvia de oro, Trompeta, Trona frente, Tronadora.];[TAMIL: Manjarali, Swarnapatti, Sonnapatti.];[TELUGU: Pachagotla.];[THAI: Dok la khon (Chiang Mai); Phoung u-rai (Bangkok); Thong U-rai (general).];[URDU: Piliya.].
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
EPPO Code---TECST (Preferred name: Tecoma stans.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-เม็กซิโก โบลิเวีย อาร์เจนตินา บราซิล หมู่เกาะเวสต์อินดีส เอเชีย ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tecoma' คือตัวย่อของชื่อเม็กซิกัน ใน Nahuatl (Aztecan)'' tecomaxochitl ''ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ''ดอกไม้รูปถ้วย'' ; ชื่อของสายพันธุ์ 'stans' เป็นคำกิริยาของคำกิริยาละตินปัจจุบัน '' stare''= เพื่อยืนขึ้น, อยู่ตัวตรงตรง อ้างอิงกับลักษณะท่าตั้งตรงต้นไม้
Tecoma stans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ(Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Antoine Laurent de Jussieu (1748 –1836) นักพฤกษศาสตร์ขาวฝรั่งเศส จากอดีต Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2362
รวม Infraspecifics ที่ยอมรับ 4 รายการ
ความหลากหลาย (Varieties);-
-Tecoma stans var stans ---ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของเม็กซิโก อเมริกากลาง และหมู่เกาะแคริบเบียน
-Tecoma stans var. angustata Rehder.(1915)--- พันธุ์พื้นเมืองของเท็กซัสและเม็กซิโกเหนือ
-Tecoma stans var. sambucifolia (Kunth) J.R.I.Wood (2008)--- พันธุ์พื้นเมืองของ S. Ecuador ถึง N. Bolivia
-Tecoma stans var. velutina DC.(1845)---พันธุ์พื้นเมืองของ เม็กซิโกถึงนิวยอร์ค อาร์เจนตินา

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกทางเหนือของอาร์เจนตินาและแถบหมู่เกาะอินดีสตะวันตก เป็นพืชในพื้นที่แห้งแล้งในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน พบได้ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 2,000 เมตร ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่ระดับความสูงของเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ที่ระดับความสูง 1,500-2600 เมตร มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการกระจายและพฤติกรรมรุกรานในอาร์เจนตินาและบราซิล แพร่หลายในภูมิภาคแปซิฟิก สถานะการรุกราน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในหลาย ๆ ประเทศเนื่องจากมันเปลี่ยนสถานะจาก 'sleeper weed' มาเป็นระยะแพร่กระจาย กลายเป็นปัญหาในบางส่วนของแอฟริกาเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เอเชีย อเมริกาใต้ หมู่เกาะแปซิฟิก และออสเตรเลีย T. stans ไม่ใช่วัชพืช แต่เป็นผู้บุกรุกพืชที่ก้าวร้าวซึ่งเอาชนะพืชพรรณธรรมชาติและทุ่งหญ้า
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบอายุหลายปี สูงประมาณ 2-8 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงได้ถึง 25 ซม.เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อย 2-5 คู่ รูปใบหอกหรือรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 2-3 ซม. ยาว 3-8 ซม. โคนและปลายใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยใต้ใบมีขนละเอียด ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกดอกเป็นช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง สีเหลืองสดใสกลีบบางนิ่ม รูประฆัง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 3-4 ซม. ผลเป็นฝัก รูปทรงกระบอกหนาประมาณ 1 ซม.ยาว 12-22 ซม. เมื่อแก่แตกเป็นสองซีก เมล็ดแบนมีปีก สีน้ำตาลอ่อน จำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องใช้ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดหรือแสงแดดรำไร ชอบดินร่วนปนทราย ดินเหนียว ที่มีการระบายน้ำดีและทนต่อสภาพความเป็นด่าง ค่า pH ในช่วง 6 - 8.5 ซึ่งทนได้ 5.5 - 9
ใช้ประโยชน์---พืชที่ปลูกมักจะใช้เป็นไม้ประดับ บางครั้งปลูกเพื่อใช้สรรพคุณทางยา
-ใช้ปลูกประดับ ดอกไม้สีเหลืองสดใส และความแข็งแกร่งของพืชทำให้เป็นไม้ประดับในสวนที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก ใช้ปลูกเป็นรั้วและเพื่อให้ร่มเงา
-ใช้เป็นยา ดอก, ยาต้มใบและราก ใช้กินเป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาซิฟิลิส หนอนในลำไส้
-ใช้เป็นยาต่อต้านพิษงูจงอางที่มีฤทธิ์มาก เป็นยาอายุวัฒนะของปากีสถาน ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีกว่าสารต้านซีรั่ม (anti-sera) โดยนำใบของพืชชนิดนี้มาแปะทาบริเวณที่งูกัด สารชีวเคมีของมันจับกับเอนไซม์พิษงู จึงยับยั้งพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
-ใบสามารถนำมากินรักษาโรคเบาหวานและปวดท้อง
-การวิเคราะห์ทางพฤกษเคมีของสปีชีส์ทำให้สามารถตรวจสอบการมีอยู่ของ alkaloids, terpenoids, ส่วนประกอบของ benzyl, flavonoids และคาร์โบไฮเดรตที่ให้คุณสมบัติที่หลากหลาย ซึ่งใช้สำหรับการต้านเบาหวาน (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ)
-อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลอ่อนและทนทานมาก ใช้ในการทำตู้, ทำเครื่องมือและใช้ในการก่อสร้างอาคาร-ต้นไม้ใช้ทำฟืนและถ่าน
สำคัญ---เป็นดอกไม้อย่างเป็นทางการของหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และดอกไม้สัญลักษณ์ของบาฮามาส
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะเวลาออกดอก--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด และตอนกิ่ง ปักชำราก


ทองอุไรสีส้ม Tecoma stans


ตอนนี้มีพันธุ์ดอกสีส้ม ต้นแค่นี้ ใส่มาในกระถาง8"แรกเห็นยังงงๆดูไกลๆคิดว่าพวงแสดต้น คนขายบอก นี้คือ ทองอุไรสีส้ม

ทองอุไรพันธุ์แคระ


ชนิดนี้ ลำต้น ใบเล็ก ดอกเล็กกว่าทองอุไร 2 ชนิดแรกแน่นอนเพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วเป็นพันธุ์แคระ


มหัศจรรย์/Synsepalum dulcificum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Synsepalum dulcificum (Schumach. & Thonn.) Daniel.(1852)
ชื่อพ้อง--- Has 6 synonyms
---Basionym: Bumelia dulcifica Schumach. & Thonn.(1827)
---Sideroxylon dulcificum (Schumach. & Thonn.) A.DC.(1844)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:789924-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Miracle fruit, Miracle berry, Miraculous berry, Flavour Berry, Sweet berry.
ชื่ออื่น---มหัศจรรย์, มิราเคิล, เทพสาคร ;[AFRIKAAN: Abayunkun, Agbayun.];[CHINESE: Bian wei guo, Qi ju guo, Qi ji shu, Shen me de, Shen mi guo, Shen qi guo.];[CZECH: Zázračné ovoce.];[DANISH: irakelbær, Mirakelfrugt.];[FRENCH: Fruit miraculeux.];[GERMAN: Wunderbeere.];[ITALIAN: Frutto dei miracoli, Frutto del miracolo, Frutto miracoloso, Miracolina.];[JAPANESE: Mirakuru furuutsu.];[MALAYSIA: Buah ajaib, Pokok ajaib.];[PORTUGUESE: Fruta de milagro, Fruta milagrosa, Fruto milagro.];[RUSSIAN: Magicheskij frukt.];[SPANISH: Baya mágica, Fruta maravillosa, Fruta milagrosa.];[SWEDISH: Mirakelfrukt, Mirakelbär.];[THAI: Mahatsachan, Miracle, Thep sa khorn.];[VIETNAMESE: Cay than ky, Qua than ky.].
ชื่อวงศ์ ---SAPOTACEAE
EPPO Code---SYUDU (Preferred name: Synsepalum dulcificum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์--- แอฟริกาตะวันตก-คองโก ไนจีเรีย และกานา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Synsepalum' คือการรวมกันของคำบุพบทกรีก "syn" = with, together และภาษาละตินคำว่า "sepalum" = sepal โดยอ้างอิงถึงกลีบเลี้ยงรวมกันมากกว่าครึ่ง ; ชื่อสายพันธุ์ 'dulcificum' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน ''dulcificus,a,um'' = 'ซึ่งให้ความหวาน' โดยมีการอ้างอิงที่ชัดเจน
Synsepalum dulcificum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิกุล (Sapotaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Schumach. & Thonn.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Freeman Daniell (1818–1865) เป็นศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ของกองทัพอังกฤษ ในปี พ.ศ.2395


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกไปยัง Zaïre รวมถึงประเทศคองโก ไนจีเรีย และกานา
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง 2-5 เมตร เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยวรูปไข่ ยาว 10-15 ซม. และกว้าง 3.5-5 ซม. ออกเวียนเรียงสลับ โคนใบแหลม ปลายใบมนหรือแหลม แผ่นใบมีสีเขียวเป็นมัน ขอบใบและแผ่นใบเรียบ ด้านบนใบจะมีสีเข้มกว่า ด้านล่างมีขน ดอกกระเทยสีน้ำตาลขนาดเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น มักออกที่กิ่งของลำต้นบริเวณใต้ใบ ดอกขนาดยาวประมาณ 1 ซม.และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม.เมื่อดอกบานจะมีกลิ่นหอมเย็นๆ ผลรูปรีขนาดกว้าง 1 ซม.ยาว 2-2.5 ซม. ผลอ่อนมีสีเขียวและกลายเป็นสีแดงสดเมื่อสุก เนื้อภายในผลมีสีขาว มีเมล็ดสีน้ำตาลอมดำเพียงเมล็ดเดียว ยาวประมาณ 1.5 ซม. ล้อมรอบด้วยชั้นเยื่อบางๆ  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ชอบดินที่มีการระบายน้ำดี pH 4.5 -5.8 ไม่ทนต่อดินที่เป็นด่างและน้ำขัง พืชที่ปลูกด้วยเมล็ดจะเริ่มออกผลเมื่ออายุ 2-3 ปี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ใบไม้ถูกโจมตีโดยตัวอ่อน lepidopterous และผลไม้ถูกรบกวนด้วยตัวอ่อนของแมลงวันผลไม้ พบเชื้อราRigidoporus microporusในพืชชนิดนี้
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใช้เป็นสารให้ความหวานและตัวแทนเครื่องปรุงสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายเช่นเบียร์ เครื่องดื่มค็อกเทล, น้ำส้มสายชูและผักดอง
-ในแอฟริกาตะวันตกเขตร้อนจะใช้เนื้อผลไม้เพื่อทำให้ไวน์ปาล์มมีรสหวาน
-ในอินเดียใช้เป็นผัก ในRajasthanใบใช้ในการเตรียมขนมปังโดยผสมกับ Bajra ในรัฐTamil Naduใบไม้และยอดอ่อนปรุงกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ใบถูกนำมาใช้สำหรับอาการเสียดท้อง อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร เบาหวานและความดันโลหิตสูง
-ในญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป รวมถึงสวนขนาดเล็ก
-อื่น ๆมหัศจรรย์มีคุณสมบัติพิเศษ คือเมื่อรับประทานผลสุกแก่เข้าไปแล้วสารไกลโคโปรตีนที่มีชื่อว่า มิราคูลิน (miraculin) ในผลจะไปเคลือบผิวของลิ้นอยู่นานประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าน้ำลายจะเจือจาง เมื่อรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวตามเข้าไปจะไม่รู้สึกเปรี้ยว ในทางตรงกันข้ามกลับกลายเป็นรสชาติหวาน โดยทำให้มีโอกาสของการนำไปใช้ประโยชน์ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะต้องงดน้ำตาล แต่ถ้ากินผลไม้ชนิดนี้ก่อน แล้วสามารถทำอาหารได้โดยไม่ใส่น้ำตาลก็อร่อยได้เหมือนอาหารปกติ มหัศจรรย์จึงเป็นพืชที่กำลังมีการศึกษาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์และตรวจสอบถึงความเป็นพิษกันอย่างแพร่หลายในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
-ตั้งแต่ปี 2011 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งห้ามนำเข้าSynsepalum dulcificum (ระบุ 'มิราคูลิน') จากแหล่งกำเนิดในไต้หวันโดยประกาศว่าเป็น "สารให้ความหวานที่ไม่ได้ประกาศอย่างผิดกฎหมาย"
-ในปี 2564 บริษัท Baïa Food Co. ในสเปนได้รับอนุญาตให้นำ Dried Miracle Berry ออกสู่ตลาดในสหภาพยุโรป
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง เมล็ดใช้เวลาในการงอก 14 ถึง 21 วัน
(รูปภาพถ่ายเมื่อ 24/2/2553)up date 7/27/2020


ผีเสื้อแสนสวย/Rotheca myricoides

ชื่อวิทยาศาสตร์---Rotheca myricoides (Hochst.) Steane & Mabb.(1998)
ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms  
---Basionym: Spironema myricoides Hochst.(1842)
---Clerodendrum myricoides (Hochst.) R.Br. ex Vatke.(1882)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.info/tpl/record/kew-179968
ชื่อสามัญ---Butterfly-bush, Blue Butterfly Bush, Blue Glory Bower, Blue Oxford Bush, Blue Cambridge Bush, Cats-whiskers, Oxford Bush 'Ugandense'.
ชื่ออื่น---ผีเสื้อแสนสวย, ผีเสื้อไต้หวัน ;[AFRIKAANS: Bloutontelhout, Katsnorbos ; Bandamuchenene, Mudzimamuriro, Mutilingwa, Nyamhepo, Zanzi (Shona) ; Umbozwa (Zulu).];[DEUTSCH: Gagelartige Rotheca.];[GERMAN: Uganda-Losstrauch.];[PORTUGUESE: Borboleta, Borboleteira-azul, Clerodendro-africano, Clerodendro-azul.];[SWEDISH: Afrikansk klerodendrum.];[THAI: Phisuea sansouy, Phisuea taiwan.].
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
EPPO Code---RTCMY (Preferred name: Rotheca myricoides.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธ์---เอธิโอเปีย, โซมาเลีย, ซูดาน, เคนยา, แทนซาเนีย, ยูกันดา, บุรุนดี, คองโก, รวันดา, กานา, แองโกลา, มาลาวี, โมซัมบิก, แซมเบีย ซิมบับเว, บอตสวานา, Eswatini, นามิเบีย, แอฟริกาใต้ [KwaZulu-Natal, Transvaal] ; มหาสมุทรอินเดียตะวันตก: มาดากัสการ์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Rotheca" เป็นภาษาละตินของไม้สักขนาดเล็กในภาษามาลายาลัม (ภาษาหลักที่ใช้พูดทางตอนใต้ของอินเดีย) ; ชื่อสายพันธุ์ 'myricoides' = คล้ายกับสายพันธุ์ Myrica หมายถึงรูปร่างใบ
Rotheca myricoides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Ferdinand Friedrich Hochstetter (1787–1860) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dorothy Anne Steane (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 1998) นักชีววิทยาโมเลกุลชาวออสเตรเลีย และ David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2541
Includes 13 Accepted Infraspecifics
See all https://powo.science.kew.org/taxon/1002729-1#synonyms


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อน (จากซูดานถึงแองโกลาและโมซัมบิก) พบในป่าเบญจพรรณเปิดโล่ง บนดินทรายและหินลาด บนชายฝั่งทะเลสาบและริมแม่น้ำ ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงประมาณ 2,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบ สูง 1-4 เมตร ขนาดพุ่มเป็นกอใหญ่ประมาณ 1 เมตร กิ่งก้านแข็ง ใบเดี่ยวรูปรี ขนาด 9 × 5 ซม.ออกเป็นคู่ตรงข้าม ขอบใบเรียบหรืออาจมีรอยจัก ห่างๆ แผ่นใบด้านบนนุ่ม มักมีขนหนาแน่นและซีดกว่าด้านล่าง ดอกไม้มีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ออกดอกเป็นช่อใหญ่ที่ปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม กลีบดอก 5 กลีบ เป็นดอกสีฟ้าอ่อน 4 กลีบ ส่วนกลีบกลางล่างเป็นสีฟ้าเข้ม มีเกสรเพศผู้ยื่นยาว 4 อัน ผลกลมเล็กขนาด 5-6 × 8-10 มม.มีรอยเว้า 4 พู สีแดงถึงดำเมื่อสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6 ชั่วโมงขึ้นไป) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนเหนียว ดินร่วนซุย ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี pH 6.1-7.5 ความชื้นปานกลาง  
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังเพลี้ย แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง เกล็ด และไรเดอร์ ใบจุด เป็นปัญหาเป็นครั้งคราว
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วไปในเขตร้อน ใช้ปลูกประดับสวน ปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกคลุมดิน
ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society)
ระยะออกดอก/ติหผล---ตุลาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ --- ด้วยการตอนกิ่ง เพาะเมล็ดและปักชำ


อัคคีทวาร/Rotheca serrata


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb.(1998)
ชื่อพ้อง Has 24 Synonyms
---Basionym: Volkameria serrata L.(1767)
---Clerodendrum serratum (L.) Moon.(1824)
---Clerodendrum serratum var. wallichii C.B.Clarke.(1885)
---More .See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-180004
ชื่อสามัญ ---Blue fountain bush, The blue-flowered glory tree, The beetle killer
ชื่ออื่น---หลัวสามเกียน (เชียงใหม่); แข้งม้า (เชียงราย); พรายสะเลียง, สะเม่าใหญ่ (นครราชสีมา); หมากดูกแฮ้ง (สกลนคร); มักแค้งข่า (ปราจีนบุรี); อัคคี (สุราษฎร์ธานี); ตั่งต่อ, ปอสามเกี๋ยน, สามสุม (ภาคเหนือ); ตรีชวา, อัคคีทวาร (ภาคกลาง);[ASSAMESE: Nangal-bhanga.];[CHINESE: Sān duì jié.];[HINDI: Bharangi.];[KANNADA: Gantubarangi.];[LAOS: Dok tione nao, Soy pong.];[MALAYALAM: Cherutekku.];[MALAYSIA: Lampin Budak, Mata Kesang, Mata Kesing, Pepanggil Liar, Tambun Tasik, Timba Tasik, Tinjal Tasik (Malay).]; [MARATHI: Ganthu bharungi.];[NEPALI: Andekhi.];[SANSKRIT: Angaravalli, Padma, Bhaargi, Phanji, Brahmanayashtika, Padma, Bharangi.];[TAMIL: Sirutekku.];[TELUGU: Gantabarangi, Banal chettu.];[THAI: Akkhee thawan.].
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
EPPO Code---RTCSE (Preferred name: Rotheca serrata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ปากีสถาน อินเดีย พม่า ไทย จีน อินเดีย มาเลเซีย จนถึงอินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Rotheca" เป็นภาษาละตินของไม้สักขนาดเล็กในภาษามาลายาลัม (ภาษาหลักที่ใช้พูดทางตอนใต้ของอินเดีย) ; ชื่อสายพันธุ์ "serrata" หมายถึง "ฟัน" โดยอ้างอิงถึงขอบใบ
Rotheca serrata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dorothy Anne Steane (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 1998) นักชีววิทยาโมเลกุลชาวออสเตรเลีย และ David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2541


ที่อยู่อาศัย มีพื้นที่แผ่กระจายเป็นแนวกว้างจากศรีลังกาและอินเดีย ผ่านพม่าและจีนตอนใต้สุด ไปจนถึง อินโดจีน มาเลเซียและอินโดนีเซีย เกิดขึ้นตามป่าไม้บนเนินเขาและในหุบเขาที่ระดับความสูง 200 - 1,800 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นได้ตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่เปิดและค่อนข้างชื้น ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 500-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1-4 เมตร ลำต้นสีม่วงหรือเหลืองแกมน้ำตาล ใบเดี่ยวรูปรียาวหรือรูปใบหอกเรียงตรงข้าม ขนาดใบกว้างประมาณ 4-10 ซม.ยาว15-28 ซม.ใบแตกตามข้อ ไม่มีก้านใบ ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้น โคนใบสอบหรือแหลม เส้นกลางใบเป็นสีเขียวเข้มหรือสีม่วง ขอบใบจักซี่เลื่อยหลังใบเกลี้ยงเป็นมันท้องใบก็เกลี้ยง แต่สีอ่อนกว่า  ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรงแต่ละช่อมีใบเลี้ยงที่โคนก้านช่อ ดอกย่อยขนาดเล็ก มีกลีบดอก 5 กลีบไม่เท่ากัน 4กลีบสีขาวอมฟ้าอีกกลีบใหญ่กว่าสีฟ้าอมม่วง ผลสดรูปร่างกลมมีฐานรองดอกติดแน่นสีเขียวเมื่อแก่สีม่วงเข้มหรือดำ  มีเมล็ดรูปกลมรี สีดำ 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6 ชั่วโมงขึ้นไป) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนเหนียว ดินร่วนซุย ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี pH 6.1-7.5 ความชื้นปานกลาง  
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังเพลี้ย แมลงหวี่ขาว เพลี้ยแป้ง เกล็ด และไรเดอร์ ใบจุด
ใช้ประโยชน์---พืชมักจะปลูกเป็นไม้ประดับในสวนและสวนสาธารณะและยังใช้ในการแพทย์แผนเอเชีย
-ใช้กิน ยอดอ่อนและดอกกินเป็นผักสด หรือใช้ประกอบอาหาร เช่น แกง หรือผัด
-ในประเทศไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะนำช่อดอกของต้นอัคคีทวารมาหมกไฟหรือย่างกินกับซุปหน่อไม้ แกงหน่อไม้
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับตัดพุ่มได้ ใช้ปลูกตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป
-ใช้เป็นยา พืชที่ใช้กันทั่วไปในยาแผนโบราณเป็นยาพอกสำหรับโรคผิวหนัง, โรคคุดทะราด, ปวดหัว, โรคเรื้อน ยาต้มใบและ/หรือลำต้นใช้เป็นยาขับลมและบรรเทาไข้และปวดหัวเรื้อรัง ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร โดยใช้รากหรือต้นนำมาฝนกับน้ำปูนใสให้ข้น ใช้ทาริดสีดวง เป็นยาเกลื่อนหัวริดสีดวงทวาร  ส่วนอีกวิธีนั้นให้ใช้ใบแห้งนำมาบดหรือป่นให้เป็นผง เผาเอาควันใช้รมหัวริดสีดวงงอกที่ทวารหนักช่วยทำให้หัวริดสีดวงทวารยุบฝ่อได้
-ในอินเดียพืชถือเป็นยาแก้พิษ, น้ำยาฆ่าเชื้อ, ยาสมานแผลและห้ามเลือด
-อื่น ๆ ผลสุกหรือดิบกรอกให้สัตว์เลี้ยงกิน เช่น โค กระบือ แก้ปัญหาที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง


เข็มม่วงพญาอินทร์/Pseuderanthemum graciliflorum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pseuderanthemum graciliflorum (Nees) Ridl.(1923)
ชื่อพ้อง ---Has 15 Synonyms   
---Basionym: Eranthemum graciliflorum Nees.(1832)
---Eranthemum andersonii Mast.(1869)
---Pseuderanthemum andersonii (Mast.) Lindau.(1895)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/53251-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Blue Sage, Violet Ixora, Blue Twilight, Florida Twilight, Blue Crossandra.
ชื่ออื่น---เฒ่าหลังลาย (ชลบุรี), เฉียงพร้าป่า (ตรัง), ยายปลัง รงไม้ (สุราษฎร์ธานี), ร่องไม้ (ภาคใต้), เข็มม่วง, เข็มพญาอินทร์ ; [THAI: Thao hlang lai, Khem muong phaya in, Rong mai.];
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---PZMGR (Preferred name: Pseuderanthemum graciliflorum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Pseuderanthemum" หมายถึง Eranthemum เท็จ พืชในสกุล Pseudanthemum มีความคล้ายคลึงกัน แต่แตกต่างจากพืชในสกุล Eranthemum คำนำหน้า "Pseudo-" มาจากคำภาษากรีก = ที่ไม่จริง ; ฉายาสปีชีส์ "andersonii" ได้รับการตั้งชื่อตามนักสะสมพืช Walter Birney Anderson (1856 - 1944) ซึ่งตรวจสอบสวนผลไม้ของอินเดียให้กับรัฐบาลอังกฤษด้วย
เขตกระจายพันธุ์---จีน (ยูนนาน, กวางสี, กุ้ยโจว), อินโดจีน, คาบสมุทรมาเลเซีย, Moluccas, Andamans
Pseuderanthemum graciliflorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2466


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินโดจีนไปยัง W. และ Central Malesia (Java, Philippines) ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค แต่ส่วนมากมักพบขึ้นตามป่าทางภาคใต้ ในพื้นที่ร่มรำไรตามป่าผสมผลัดใบและป่าดิบแล้ง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลไปจนถึงระดับความสูงประมาณ 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กลำต้นสูงประมาณ1-1.5 เมตร เป็นไม้เนื้อเปราะ ลำต้นเล็ก ใบเดี่ยวรูปรี หรือรูปใบหอกถึงรูปไข่แกมใบหอก ออกเรียงตรงข้ามเรียงเวียนสลับ ปลายใบแหลม โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้าง 3-6 ซม. ยาว12-15 ซม. แผ่นใบเป็นมันสีเขียวสด เส้นใบเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อใบสากคาย ดอกเป็นสีม่วงออกเป็นช่อแบบช่อฉัตร ตามซอกใบหรือที่ปลายกิ่ง ดอกเป็นสีม่วงหรือสีฟ้าอมม่วง ลักษณะดอกคล้ายดอกเข็ม ใบประดับเป็นสีเขียวเข้ม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กยาว ปลายแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ สองกลีบด้านบนจะติดกันเป็นคู่และมีขนาดเล็กกว่าสามกลีบด้านล่าง กลีบดอกเป็นสีม่วงอ่อน มีจุดประสีม่วง ดอกผลัดกันบาน บานทนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นผลแห้งและแตกได้                                                                                     ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่หรือแสงแดดรำไร ดินร่วนระบายน้ำดี ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก อัตราการเติบโตเร็วปานกลาง
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน แม้ว่าราเขม่าอาจเป็นปัญหาเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สายพันธุ์นี้มีเสน่ห์ในการปลูกจำนวนมาก ใช้คลุมดินหรือปลูกไว้ใต้ต้นไม้ นิยมนำปลูกตามสวน ริมน้ำตก ลำธาร หรือตามสระว่ายน้ำ สามารถปลูกเป็นไม้กระถางวางบนลานได้
-ใช้เป็นยา ต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ทั้งต้นเข็มม่วง นำมาผสมกับหัวยาข้าวเย็น ต้มกับน้ำดื่มแก้อาการปวดเมื่อย
ระยะออกดอก---มกราคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ และตอนกิ่ง


พยับเมฆ/หญ้าหนวดแมว/Orthosiphon aristatus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Orthosiphon aristatus (Blume) Miq. (1858)
ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms  
---Basionym: Ocimum aristatum Blume. (1826)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-144294
ชื่อสามัญ---Cat’s whiskers, Cat's moustache, Java tea, Kidney tea plant
ชื่ออื่น---อีตู่ดง (เพชรบูรณ์), บางรักป่า (ประจวบคีรีขันธ์), พยับเมฆ (กรุงเทพฯ) ;[CAMBODIA: Kapen prey.];[CHINESE: Mao xu cao, Mao xuhua.];[CZECH: Trubkovec osinatý.];[FRENCH: Thé de Java, Moustache de chat, Barbiflore, Orthosiphon.];[GERMAN: Javateepflanze, Katzenbart.];[INDONESIA: Remujung, Kumis kucing, Misai kucing, Songkok kucing, Remuk jung (Java); Sesalaseyan, Soengok kuceng (Madura).];[ITALIAN: Tè di Giava.];[JAPANESE: Mulisu-kuchin, Nek no hige.];[LAOS: Hnuad meew.];[MALAYALAM: Poochameesa.];[MALAYSIA: Kumis kuching, Misai kucing, Ruku hutan.];[MYANMAR: Se-cho, Myit-shwe.];[PHILIPPINES: Kabling-gubat, Balbas-pusa, Kabling-parang (Tag.).];[PORTUGUESE: Chá-de-java, Orthosiphion.];[SWEDISH: Morrhårsmynta.];[THAI: Yaa nuat maeo, Phayab mek.];[VIETNAM: Râu mèo , Cây bông bạc.].
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
EPPO Code---OTOAR (Preferred name: Orthosiphon aristatus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, พม่า, ไทย, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ปาปัวนิวกีนี, ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Orthosiphon' มาจากการรวมกันของคำภาษากรีก "orthos" = ตรงและ "sifon" = tube โดยอ้างอิงถึงหลอดของกลีบดอก ; ชื่อของสายพันธุ์คือคำภาษาละติน "aristatus" พร้อมกับ arista (awn of the spike) โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของช่อดอก
Orthosiphon aristatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน-เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2401

 

ที่อยู่อาศัย พบในชวา, อินโดนีเซีย, และพบในหมู่เกาะอินโดนีเซียอื่น ๆ , มาเลเซีย, ไทย, พม่า, อินโดจีน, ฟิลิปปินส์, อินเดียและศรีลังกาเช่นเดียวกับภาคใต้ของจีนไต้หวันและออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ พบได้ตามขอบป่าหรือตามริมลำธารที่ระดับความสูง 1,000 เมตร ปัจจุบันมีการปลูกในภูมิภาคอื่นที่มีภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนชื้นและเขตร้อนชื้น (อเมริกาใต้และอเมริกากลาง)
ลักษณะ พยับเมฆหรือหญ้าหนวดแมวเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก เป็นพืชล้มลุกลักษณะต้นใบคล้ายพืชพวกกระเพรา โหระพา แต่ยาวเก้งก้างกว่าอาจสูงได้ประมาณ 0.3-0.8 เมตร โดยปกติกิ่งยาวมากๆมักลู่ลงกับพื้นดินและแตกรากตามข้อกลายเป็นต้นใหม่ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่หรือรูปข้าวหลามตัดออกเรียงตรงข้ามกัน ขนาดใบ กว้าง 2-4.5 ซม. ยาว 5-12 ซม.ก้านใบยาว1-2 ซม.ขอบใบหยักเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย แผ่นใบบางเป็นสีเขียวเข้ม ปลายใบเรียวแหลม ออกดอกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุก ปลายยอดดอกคล้ายฉัตร ยาวประมาณ 10-15 ซม. มีริ้วประดับรูปไข่ ยาว1-2 มม.ไม่มีก้าน กลีบของดอกเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือพันธุ์ที่มีดอกสีขาวอมม่วงอ่อนและพันธุ์ที่มีดอกสีฟ้า ดอกหญ้าหนวดแมวจะบานจากล่างขึ้นบน ผลเป็นแคปซูลผลแห้งไม่แตก มีเมล็ด 4 เมล็ดยาว 1.5 มม. มีรอยย่น สีน้ำตาลแดง  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน เป็นต้นไม้ที่ชอบอยู่ตามที่ลุ่มซึ่งมีพื้นดินเย็นอยู่ตลอดเวลา ปลูกได้ในดินทุกประเภทรวมถึงดินทราย ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ค่า pH 5-6 ทนอุณหภูมิที่ลดลงถึง 0 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน

 

ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบสดหรือดอกแห้ง ใช้ชงเป็นชา
-ใช้เป็นยา เรามักจะรู้จักสรรพคุณของหญ้าหนวดแมวในด้านเป็นสมุนไพรคือใช้รักษานิ่วและโรคทางเดินปัสสาวะมานานแล้ว ส่วนที่ใช้ คือ ใบ ผล เปลือกฝัก ราก และทั้งต้น สำหรับแก้โรคผิวหนัง โรคเรื้อน ใช้ผสมกับสารส้มต้มกับน้ำใช้อาบเป็นประจำ
- ในมาเลเซียมักใช้สำหรับโรคหวัดกระเพาะปัสสาวะ, เบาหวาน, โรคไต, ความดันโลหิตสูงและยาขับปัสสาวะ
- ในชวาใบชาทำเป็นยารักษาโรคของไตและกระเพาะปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวาน, โรคไขข้อ, ความดันโลหิตสูงและโรค lithiasis ทางเดินน้ำดี
-ในประเทศมาเลเซียใช้สำหรับรักษาโรคหวัด; ยาต้มพืชที่ใช้ในการกำจัดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-ในญี่ปุ่นใช้ชาเพื่อช่วยล้างพิษในร่างกาย
-ใช้ ปลูกเป็นไม้ประดับ จัดสวนได้สวยเพราะดอกออกเป็นช่อตั้งตามกิ่งสีขาวอมสีม่วงอ่อน แถมมีประโยชน์หลายอย่าง
-อื่น ๆ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ ต้นและใบจะมีกลิ่นเหม็นเขียวเผ็ดรุนแรงกว่ากระเพรา เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกับ Mint พืชที่นำมาใช้สกัดเอาเมนทอล
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

พยับหมอก/Plumbago auriculata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Plumbago auriculata Lam.(1786)
ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms   
---Plumbagidium auriculatum (Lam.) Spach.(1841)
---Plumbago capensis Thunb.(1794)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2570524
ชื่อสามัญ---Blue plumbago, Cape plumbago , Cape leadwort, Blister leaf, Skyflower, Cape forget-me-not, Quaker, Quaker Blossom.
ชื่ออื่น---พยับหมอก, เจตมูลเพลิงฝรั่ง ;[AFRIKAANS: Blousyselbos, Umabophe (Xhosa/ Zulu); Umasheleshele (Zulu).];[CHINESE: Lán huā dān, Lan zue hua.];[CZECH: Olověnec ouškatý.];[FRENCH: Dentelaire du Cap.];[GERMAN: Kap-Bleiwurz, Kapländische Bleiwurz.];[ITALIAN: Gelsomino azzurro.];[JAPANESE: Purunbâgo, Rurimatsuri.];[PORTUGUESE: Bela-emília, Isabel segunda, Jasmim-azul, Jasmim-do-cabo, Jasmineiro-azul, Medadillo, No-me-olvides, Plumbago-azul, Umbela.];[SPANISH: Azulina, Celestina, Jasmín Azul, Malacara.];[SWEDISH: Blyblomma.].[THAI: Phayab mok.].  
ชื่อวงศ์---PLUMBAGINACEAE
EPPO Code---PLBAU (Preferred name: Plumbago auriculata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ ; โมซัมบิก, แอฟริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล ' Plumbago' มาจาก 'plumbum' = ตะกั่ว หมายถึงเป็นยารักษาพิษตะกั่ว ; ชื่อสายพันธุ์ 'Auriculata' หมายถึง "มีหู" อ้างอิงถึงรูปร่างของโคนใบ
Plumbago auriculata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เจตมูลเพลิง (Plumbaginaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2329


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ [Cape Province (e.), KwaZulu-Natal, Free State, Transvaal] Mozambique, Northern Provinces เติบโตในทุ่งหญ้าสะวันนา ที่ระดับความสูง 50-2,600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลีดใบขนาดเล็กอายุหลายปี สูง 1.5-2 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มค่อนข้างโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับ กว้าง 3-4 ซม. ยาว 5-7 ซม.ปลายใบมน โคนใบเรียวแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวสด ผิวใบด้านล่างมีขนอ่อนสากระคายมือ ก้านใบมีปีกที่โคน ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่นที่ปลายกิ่ง สีม่วงอ่อนอมฟ้า กลีบดอกบอบบาง กลีบเลี้ยงปกคลุมไปด้วยขนเหนียว กลางกลีบดอกคล้ายกับเป็นร่อง โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก มีรยางค์เล็ก ๆ ยื่นออกมา ปลายแยกเป็น 5 แฉก เมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 3 ซม.ผลเป็นแคปซูลรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 0.8 ซม.ล้อมรอบด้วยกลีบเลี้ยงถาวร มีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวยาวประมาณ 0.6 ซม. สีน้ำตาลหรือสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ชอบดินปนทรายที่อุดมสมบูรณ์มีเนื้อดินที่เป็นกรดเล็กน้อยไปจนถึงด่างเล็กน้อย พืชทนแล้ง อัตราการเจริญเติบโต 30-90 ซม.ต่อปี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังแมลงหวี่ขาว ไรเดอร์ และเพลี้ยแป้ง สำหรับต้นไม้ในร่ม
ใช้ประโยชน์---ทุกส่วนของพืชถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณ และยังเป็นแหล่งของสีย้อม มันปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เป็นไม้ประดับที่มีการผลิตในเชิงพาณิชย์และซื้อขายเป็นไม้ประดับทั่วโลก
-ใช้ปลูกประดับ ทั้งใบและดอกให้สีที่เย็นตาถ้าปลูกเป็นกลุ่มใหญ่จะสวยมาก ปลูกเลี้ยงง่ายตัดแต่งเป็นพุ่มได้ ออกดอกต่อเนื่องเกือบตลอดปี หน้าหนาวจะออกดอกมากกว่าหน้าอื่น สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง
-ใช้เป็นยา ทุกส่วนของพยับหมอกมีสารพลัมบาจิน (plumbagin) มีความหลากหลายของกิจกรรมทางเภสัชวิทยาเช่นยาต้านจุลชีพ ต้านมะเร็งและบำรุงหัวใจ
-รากผงใช้เป็นยานัตถุ์เพื่อบรรเทาอาการปวดหัว
-ในแอฟริกาใต้ยาต้มของชิ้นส่วนทางอากาศหรือรากนำมาใช้ในการรักษาไข้ดำ
-อื่น ๆ ในแอฟริกาตะวันออกสีย้อมที่สกัดจากดอกไม้และใบไม้ใช้สำหรับสิ่งทอ เมื่อรวมกับสารส้มจะให้สีเบจหรือสีเหลือง, รวมกับโครเมี่ยมจะให้สีทอง รวมกับน้ำเลี้ยงของรากเป็นสีเทาน้ำเงินและใช้สำหรับรอยสัก
ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2021
ระยะออกดอก/ติดผล---ต่อเนื่องเกือบตลอดปี มีดอกมากเดือน พฤศจิกายน - เมษายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ สกัดราก


เข็มอินเดีย/Pentas lanceolata


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pentas lanceolata (Forssk) Deflers.(1889)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Basionym: Ophiorrhiza lanceolata Forssk.(1775)    
---Mussaenda luteola Delile.(1827), nom. illeg.
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:760275-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Egyptian Star Cluster, Star Cluster, Starflower
ชื่ออื่น---เข็มอินเดีย, เข็มชวา ;[CHINESE: Wǔ xīng huā.];[CROATIAN: Egipatska zvijezda.];[FRENCH: Bouquet d'etoiles.];[GERMAN: Stern von Ägypten, Sternblume.];[JAPANESE: Kusasantanka, Pentasu.];[PORTUGUESE: Estrela-do-egito, Pentas, Show-de-estrelas, Cacho-de-estrelas, Silena.];[RUSSIA: Pentas lantsetnyy.];[SPANISH: Pentas.];[SWEDISH: Femudding.];[THAI: Khem in-dia, Khem jawa.];[Vernaculars: Sary lobaka antsiriky, Sary bongasera (Kibushi (Maori), Mayotte).].
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---PNWLA (Preferred name: Pentas lanceolata.)
ถิ่นกำเนิด--ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน : จิบูตี, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, ซูดาน, เคนยา, แทนซาเนีย, ยูกันดา, คองโก (e.), รวันดา, มาลาวี, โมซัมบิก-คาบสมุทรอาระเบีย : เยเมน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pentas' มาจากคำกรีก ''pente'' อ้างอิงถึง 5 กลีบดอกไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'lanceolata' จากคำภาษาละติน ''lanceola'' = รูปใบหอกอ้างอิงถึงรูปร่างของใบ
Pentas lanceolata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskal (1732–1763) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Albert Deflers (1841–1921) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2432

  

--Accepted Infraspecifics ; Includes 8 Accepted Infraspecifics;-
มี 3 ชนิดย่อย (Subspecies);-
-Pentas lanceolata subsp. cymosa (Klotzsch) Verdc.(1953)
-Pentas lanceolata subsp. lanceolata
-Pentas lanceolata subsp. quartiniana (A.Rich.) Verdc.(1953)
มี 5 ความหลากหลาย (Varieties);-
-Pentas lanceolata var. angustifolia Verdc.(1975)
-Pentas lanceolata var. leucaster (K.Krause) Verdc.(1953)
-Pentas lanceolata var. nemorosa (Chiov.) Verdc.(1953)
-Pentas lanceolata var. oncostipula (K.Schum.) Verdc.(1953)
-Pentas lanceolata var. usambarica Verdc.(1953)
See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:760275-1#synonyms


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน เอเชียตะวันตก บังคลาเทศ แอฟริกาตะวันออก (ซูดาน ไป ซาอีร์ ถึง โมซัมบิก) ปลูกเป็นไม้พุ่มประดับ เปิดตัวในอเมริกาใต้ (โคลอมเบีย) ที่ระดับความสูง 1,100-2,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 0.20-0.60 เมตร มีขนบริเวณลำต้นและใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปหอก ปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบชัดเจน ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งหรือปลายยอดแบบช่อกระจุกช่อละ 15-30 ดอก ดอกคล้ายดอกเข็มโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีหลายสี ทั้งสีขาว ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม แดงและม่วง  หรือขลิบสีขาวที่ขอบกลีบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับค่า pH ของดิน ทนต่อมลภาวะในเมือง เจริญเติบโตเร็ว ต้องการการบำรุงรักษาเป็นครั้งคราว และสามารถตัดแต่งกิ่งได้ตลอดเวลาเพื่อให้ออกดอกใหม่
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังเพลี้ยอ่อน รากเน่าอาจเกิดขึ้นในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ไวรัสโรคเหลืองและโรคใบจุดเชื้อรา
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้พุ่มเล็กที่นำมาใช้จัดสวนทั่วไป ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดิน และปลูกกลุ่มจำนวนมากหรือใช้ปลูกเป็นไม้กระถางและภาชนะกลางแจ้ง 
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง


เข็มอินเดียกราฟฟิตี้ ไวโอเลต/Pentas lanceolata 'Graffiti Violet'

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pentas lanceolata 'Graffiti Violet'
Group/Class---Graffiti Series
ชื่อพ้อง---Graffiti® Violet Star Flower
ชื่อสามัญ---Graffiti Violet Star Flower, Egyptian Star Flower, Star Cluster, Starflower
ชื่ออื่น---เข็มอินเดียกราฟฟิติ, เข็มชวากราฟฟิติ ; [THAI: Khem in-dia Graffiti, Khem jawa Graffiti.]
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
EPPO Code---1PNWG (Preferred name: Pentas.)
ถิ่นกำเนิด--ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน : จิบูตี, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, ซูดาน, เคนยา, แทนซาเนีย, ยูกันดา, คองโก (e.), รวันดา, มาลาวี, โมซัมบิก-คาบสมุทรอาระเบีย : เยเมน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pentas' มาจากคำกรีก ''pente'' อ้างอิงถึง 5 กลีบดอกไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'lanceolata' จากคำภาษาละติน ''lanceola'' = รูปใบหอกอ้างอิงถึงรูปร่างของใบ
Pentas lanceolata 'Graffiti Violet' เป็นความหลากหลายของสายพันธุ์พืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) สกุล Pentas

          

ที่อยู่อาศัย เป็นพันธุ์ใหม่ในการเพาะปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
ลักษณะ เป็นเข็มอินเดียพันธุ์ใหม่ทรงพุ่มใหญกว่าเดิม แข็งแรง ช่อดอกใหญ่และแน่น สูงได้ถึง 0.40--0.60 เมตร มีขนบริเวณลำต้นและใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปหอก ปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบชัดเจน ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งหรือปลายยอดแบบช่อกระจุกช่อละ 15-30 ดอก ดอกคล้ายดอกเข็มโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีม่วงเข้ม ไม่ติดเมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ต้องการน้ำปานกลาง ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับค่า pH ของดิน ทนต่อมลภาวะในเมือง เจริญเติบโตเร็ว ต้องการการบำรุงรักษาเป็นครั้งคราว และสามารถตัดแต่งกิ่งได้ตลอดเวลาเพื่อให้ออกดอกใหม่
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังเพลี้ยอ่อน รากเน่าอาจเกิดขึ้นในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ไวรัสโรคเหลืองและโรคใบจุดเชื้อรา
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้พุ่มเล็กที่นำมาใช้จัดสวนทั่วไป ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดิน และปลูกกลุ่มจำนวนมากหรือใช้ปลูกเป็นไม้กระถางและภาชนะกลางแจ้ง  
ระยะออกดอก---ปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง
ขยายพันธุ์---ปักชำกิ่ง 

 พวงทองต้น/Galphimia glauca


ชื่อวิทยาศาสตร์---Galphimia glauca Cav.(1799)
ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms    
---Malpighia glauca (Cav.) Pers.(1805)  
---Thryallis glauca (Cav.) Kuntze.(1891)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.info/tpl/record/kew-2816508
ชื่อสามัญ---Galphimia, Gold shower, Shower-of-gold, Slender gold shower, Thryallis, Rain-of-gold, Spray of gold.
ชื่ออื่น---พวงทองต้น, ดอกน้ำผึ้ง ;[CHINESE: Jin ying.];[CUBA: Granito de oro.];[FRENCH: Gerbe d'or.];[MEXICAN: Flor de muerto, Calderona amarilla, Flor estrella, Hierba del cuervo, Ojo de gallina, Hierbo de desprecio.];[PERU: Lluvia de oro.];[PHILIPPINES: Kusia (Tag.).];[SPANISH: Botón de oro; Calderona amarilla, Festividad, Nochebuena.];[THAI: Phuong thong ton.].
ชื่อวงศ์---MALPHIGHIACEAE
EPPO Code---GPHSS (Preferred name: Galphimia sp.)
ถิ่นกำเนิด---อเมริกากลาง
เขตกระจายพันธุ์--- เม็กซิโก อเมริกากลาง สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา), คิวบา, St Croix และเปรู
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'glauca' มาจากคำคุณศัพท์ภาษาละติน ''glaucus, a, um'' = glaucous, greyish ซีด สีน้ำเงินอมเทา โดยอ้างอิงจากสีของใบไม้
Galphimia glauca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โนรา (Malpighiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Antonio José Cavanilles (1745 –1804) เป็นนักพฤกษศาสตร์อนุกรมวิธาน ชาวสเปน ในปี พ.ศ.2342

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แห้งแล้งของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะเม็กซิโก กัวเตมาลา และปานามา ได้รับการแนะนำในเขตร้อนและเขตร้อนชื้น และได้รับการแปลงสัญชาติในสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา), คิวบา, เซนต์ครอยและเปรู เติบโตในป่าผลัดใบป่าสน พบได้ตามธรรมชาติในทุ่งหญ้าสถานที่ที่ถูกรบกวนและตามริมถนนที่ระดับความสูงตั้งแต่ 700 ถึง 2,300 เมตร ขณะนี้มีการระบุว่าเป็นรุกรานเฉพาะในคิวบาเท่านั้น
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก สูง 1-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม ใบรูปรีถึงรูปใบหอก ยาว (1.5-) 2-5.6 ซม., (0.7-) กว้าง 1.3-3.5 ซม ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 3-7.5 มม ดอกออกเป็นช่อเดียวที่โคนก้านใบ ขนาดอก 1 ซม. มีกลีบ 5 กลีบ สีเหลืองสด เกสรตัวผู้ 10 อัน อยู่เป็นกระจุกกลางดอก ผลยาว 2.5 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 มม. เกลี้ยง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัด ต้องการน้ำปานกลาง ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย การระบายน้ำดี มีค่า pH 5.6 - 7.5 ไม่ทนน้ำท่วมขัง ปลูกริมทะเลได้ ทนไอเกลือ เจริญได้ดีในดินทรายแห้ง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง -2º C การเจริญเติบโตเร็วปานกลาง พวงทองต้นมีกิ่งก้านแตกพุ่มมาก เวลาทรงพุ่มยาวเก้งก้างให้รีบตัดแต่งใหม่ใส่ปุ๋ยรดน้ำก็จะออกดอกเร็วขึ้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง พวงทองมักมีมดเข้าไปกัดกินรากเพราะรากหวานอร่อย เลยทำให้ต้นเหี่ยวเฉาได้ง่าย ควรหมั่นตรวจตราดูแลกำจัดมดแมลงให้ดี
ใช้ประโยชน์---เพื่อใช้เป็นพืชสมุนไพรและไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา ในการแพทย์ละตินอเมริกาแบบดั้งเดิมมีการใช้กันมานานในการรักษาโรคหอบหืดและโรคภูมิแพ้
-ในยาแผนโบราณเม็กซิกันใช้ในการรักษา โรคทางจิต ช่วยบรรเทาความวิตกกังวล
-เป็นยาสมุนไพรยอดนิยมที่ใช้เป็นยาระงับประสาทในการรักษาความผิดปกติของระบบประสาท ยังพบว่ามีการใช้ทางเภสัชวิทยาอื่น ๆ รวมถึงฤทธิ์ต้านการอักเสบและต่อต้านมาลาเรีย
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นแปลง ตัดแต่งเป็นพุ่ม เพื่อบังสายตา เป็นแนวรั้ว  ริมสระว่ายน้ำ
-วนเกษตร ปลูกเป็นพืชคลุมดินและป้องกันการพังทลายของเนินเขา
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำกิ่งและ ตอนกิ่ง


เทพนม/Pseuderanthemum laxiflorum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pseuderanthemum laxiflorum (A. Gray) F.T. Hubb. ex L.H. Bailey.(1916)
ชื่อพ้อง --- Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3772955  
---Basionym: Eranthemum laxiflorum A. Gray.(1862)
---Pseuderanthemum laxiflorum (A.Gray) F.T.Hubb.(1916)
ชื่อสามัญ---Star shooting, Purple Dazzler, Amethyst Star
ชื่ออื่น---เทพนม, หญ้าลิ้นมลายู, พนมเทียน ;[JAPANESE: Rakushi furorumu.];[SPANISH: Flor estrella.];[THAI: Thep pha-nom, Phanom thiean.].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---PZMSS (Preferred name: Pseuderanthemum sp.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pseuderanthemum' มาจากภาษาละติน 'Pseudo' = เท็จ และสกุล 'Eranthemum' ความหมาย = Eranthemum เท็จ ; ชื่อสายพันธุ์ 'laxiflorum' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' laxus,a , um '' = เหนื่อยอ่อน กระทัดรัด และ '' flos,-oris '' = ดอกไม้
Pseuderanthemum laxiflorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Asa Grey (ค.ศ. 1810–1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย  Frederic Tracy Hubbard (1875–1962) เป็นนักพฤกษศาสตร์ และนักปฐพีวิทยา ชาวอเมริกัน จากอดีต Liberty Hyde Bailey (1858-1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2459

 

ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นในหมู่เกาะใกล้เคียงของซามัวและวานูอาตู อาจเป็นไปได้ว่ามันถูกปลูกไว้ที่นั่นเป็นพืชประดับในอดีต สามารถพบได้ในเอลซัลวาดอร์ ฟลอริดา แคริบเบียนและหมู่เกาะฮาวาย ในฟิจิมันเติบโตในป่าและขอบป่าบนฝั่งของแม่น้ำในเขตจากชายฝั่งถึงระดับความสูงประมาณ 1,750 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 0.8-1.6 เมตร ทรงพุ่มค่อนข้างทึบ กิ่งทรงกระบอก สีน้ำตาลอ่อน ใบเดี่ยว เรียงสลับตั้งฉาก ขนาดใบยาว 4-12 ซม. กว้าง 2-4 ซม.  รูปไข่ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ ใบสีเขียวอ่อน ออกดอกเป็นช่อ ออกตามซอกบที่ปลายกิ่ง ดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3 ซม.สีชมพูม่วง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอมม่วง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดยาวประมาณ 5 ซม.ปลายแยก 5 แฉก ซีกบน 2 แฉกอยู่ชิดกัน โคนกลีบมีจุดประสีม่วงเข้มและแถมสีขาวประปราย ผลเป็นแคปซูล มีเมล็ด 4 เม็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกในที่มีแดดจัดกลางแจ้งหรือแดดรำไร ดินชื้นสม่ำเสมอแต่ไม่ขังแฉะ ทนอุณหภูมิต่ำกว่า 0 °C ในช่งเวลาสั้น ๆใส่ปุ๋ยเป็นประจำทุกเดือนโดยใช้สูตรเสมอ จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นการออกดอก อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนและสวนสาธารณะทั่วเขตร้อนปลูกเป็นไม้พุ่มตกแต่งหรือไม้กระถาง มีอยู่ในหลายสายพันธุ์ที่มีใบแตกต่างกันด้วยสีครีม สีม่วงหรือสีบรอนซ์
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


Aphelandra merelloae


ชื่อวิทยาศาสตร์---Aphelandra merelloae T.F.Daniel & McPherson.(2014)
ชื่อพ้อง ---No synonyms are recorded for this name
ชื่อสามัญ---Afelandra
ชื่ออื่น---** การพูดคุยส่วนตัว ชื่อในภาคภาษาไทยว่าอย่างไรไม่แน่ใจ ถามมาสามร้านไม่เหมือนกัน
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---APLSS (Preferred name: Aphelandra sp.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง
สกุล Aphelandra เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ " afelandra" ซึ่งอยู่ในวงศ์ Acanthaceae เป็นหนึ่งในกลุ่มพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีอยู่ 200 ชนิด มีถิ่นกำเนิดแถบเขตร้อนของอเมริกา ภาคกลางและภาคใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทางตอนใต้ของเม็กซิโก อาร์เจนตินาตอนใต้ และทางตอนเหนือของบราซิล
Aphelandra merelloae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Franklin Daniel (born 1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และ Gordon D. McPherson (1947- ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2557
ที่อยู่อาศัย เป็นสายพันธุ์ใหม่จากภาคเหนือตอนกลางของปานามา
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงไม่เกิน 1 เมตรทรงพุ่มกว้าง 50-60 ซ.ม.ใบสีเขียวเข้มสดใส มีลายสีขาวตามเส้นแขนงใบมากน้อยแล้วแต่ความหลากหลายของชนิดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูก ดอกสีเหลืองขอบแดง ส้มหรือชมพู ผลเป็นแคปซูล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังแมลงหวี่ขาว ไรเดอร์ และเพลี้ยแป้ง สำหรับต้นไม้ในร่ม
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูก เป็นกลุ่ม เป็นแถว เป็นแนวริมรั้ว หลายชนิดปลูกเป็นพืชในร่มสำหรับใบที่มีลวดลายและช่อดอกสีสดใส
-ใช้เป็นยา รายงานทางเภสัชวิทยาในสกุล Aphelandra ได้แก่ ฤทธิ์ ต้านแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านเชื้อราและ กิจกรรม กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ระยะออกดอก---ออกดอกในช่วงฤดูร้อน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

       

เหลืองคีรีบูน/Pachystachys lutea

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pachystachys lutea (Ruiz & Pav. ex Schult.) Nees.(1847)
ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms
---Basionym: Justicia lutea Ruiz & Pav. ex Schult.(1822)
---Pachystachys albiflora Rizzini.(1947)
---More.See all https://www.gbif.org/uk/species/3778625     
ชื่อสามัญ --Golden shrimp-plant, Golden-candle, Lollipop-plant, Yellow shrimp-plant, Yellow-candles.
ชื่ออื่น---เหลืองคีรีบูน (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Hunboronia.];[DUTCH: Gele garnalenplant.];[FRENCH: Chandelle, Pachystachys jaune, Panache d'officier, Plume d'officier.];[GERMAN: Gelbe Dickähre, Gelber Zimmerhopfen, Goldähre, Kurzähre.];[JAPANESE: Kanariaierō.];[MAYA: Camaron amarillo.];[SPANISH: Chocolo de oro.];[SWEDISH: Guldax.];[THAI: H̄elụ̄eng khīrībūn(general).].
ชื่อวงศ์ ---ACANTHACEAE
EPPO Code---PAHLU (Preferred name: Pachystachys lutea.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ : บราซิล [เอเคอร์], เอกวาดอร์, [นาโป] เปรู [Cusco, Huánuco, Junín, Lima, Loreto,ซานมาร์ติน]
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pachystachys' มาจากภาษากรีก = สำหรับเข็มหนาในการอ้างอิงถึงการออกดอกแหลม ; ชื่อสายพันธุ์ 'lutea' คำจากภาษาละติน หมายถึง "สีเหลือง"
Pachystachys lutea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Hipolito Ruiz Lopez (1754–1815) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปน และ Jose Antonio Pavon (1754–1844) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปน จากอดีต Josef August Schultes (1773–1831) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติ ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.  
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ลุ่มของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ตั้งแต่เอลซัลวาดอร์ถึงเปรู ในธรรมชาติพบเติบโตตามชายป่าขอบของหุบเหวบนหน้าผาและริมฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูง 230-1,100 เมตร ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในบังคลาเทศ เมียนมาร์ อเมริกากลาง แคริบเบียน
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม ลำต้นตั้งตรง ต้นสูง 0.60-1.20 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-5 ซม.ยาว 8-12 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเชียวสด เป็นคลื่น เส้นใบเป็นร่องเห็นชัดเจน มีขนละเอียด ปกคลุม ดอกสีขาว ออกเป็นข่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น ยาวประมาณ 10 ซม.ใบประดับสีเหลืองสดเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากซ้อนกันขึ้นเป็นแถว ดอกเป็นแผ่นแบน เกิดตามซอกใบประดับ ใกล้ปลายช่อดอก ผลแห้งแตก มี 4 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด 10 °C
ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชชนิดนี้มีแมลงศัตรูพืชเพียงเล็กน้อย แต่มีความอ่อนไหวต่อแมลงทั่วไปที่มักรบกวนพืชในร่ม เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids), เพลี้ยแป้ง (mealybugs), Scales, ไรเดอร์ (spider mites) และแมลงหวี่ขาว (whiteflies)
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลกมีการปลูกเพื่อขายในเชิงพาณิชย์เป็นไม้ประดับสวน สามารถปลูกในกระถางหรือภาชนะ
-ใช้เป็นยา ใช้รักษาอาการไข้ ไอ หวัดและผมร่วง
-ในรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย เผ่า Mishing ใช้รากในการรักษาโรคปอดบวม
ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2017
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


แดงคีรีบูน/Pachystachys coccinea


ชื่อวิทยาศาสตร์--Pachystachys coccinea (Aubl.) Nees.(1847)
ชื่อพ้อง ---Has 4 Synonyms
---Basionym: Justicia coccinea Aubl.(1775)   
---Jacobinia coccinea Hiern.(1878)
---More.See all https://www.gbif.org/species/3778711
ชื่อสามัญ---Cardinal's-guard
ชื่ออื่น---แดงคีรีบูน (ทั่วไป) ;[CUBA: Coral.];[FRENCH: Chandelier.];[GERMAN: Rote Dickähre.];[JAPANESE: Benisangobana.];[PROTUGUESE-BRAZIL: Camarao-vermelho.];[SWEDISH: Rubinax.];[THAI: Daeng khiribun (general).];[TRINIDAD AND TOBAGO: Black stick.].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---PAHCO (Preferred name: Pachystachys coccinea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---กีอานา บราซิล เปรู เวเนซูเอล่า
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pachystachys' มาจากภาษากรีก = สำหรับเข็มหนาในการอ้างอิงถึงการออกดอกแหลม ; ชื่อสายพันธุ์ “coccinea ” มาจากภาษาละติน = สีแดงเข้มในการอ้างอิงถึงดอกไม้สีแดงเข้ม
Pachystachys coccinea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Christophore Fusée Aublet (ค.ศ. 1720–1778) เภสัชกร นักพฤกษศาสตร์ และนักสำรวจชาวฝรั่งเศส  และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2390
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ตั้งแต่เฟรนช์เกียนาถึงบราซิลและเปรู สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกฝังและแปลงสัญชาติในอินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะคุก ตรินิแดดและโตเบโกและคิวบา อาศัยอยู่ในที่โล่งของชายป่าดิบชื้นที่ระดับความสูง 50-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขา ใบรูปไข่ถึงรูปขอบขนานยาว 18-25 ซม. และกว้าง 6-9 ซม.  ก้านใบยาว 2-6 ซม. เกลี้ยง ช่อดอกประกอบด้วยช่อดอกปลายแหลมยาว 9-22 ซม. ดอกไม้ก้านดอกยาว 1-3 ซม. ใบประดับสีเขียวยาว 1.5-2.5 ซม. กว้าง 4-9 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (6 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด 10 °C
ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชชนิดนี้มีแมลงศัตรูพืชเพียงเล็กน้อย แต่มีความอ่อนไหวต่อแมลงทั่วไปที่มักรบกวนพืชในร่ม เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids), เพลี้ยแป้ง (mealybugs), Scales, ไรเดอร์ (spider mites) และแมลงหวี่ขาว (whiteflies)
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลกมีการปลูกเพื่อขายในเชิงพาณิชย์เป็นไม้ประดับสวน สามารถปลูกในกระถางหรือภาชนะ
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ

แดงพันธุ์ทิพย์/Megaskepasma erythrochlamys


ชื่อวิทยาศาสตร์---Megaskepasma erythrochlamys Lindau.(1897)
ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.
---Perenideboles ciliatum Ram.Goyena.(1911)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/155854-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Brazilian red-cloak , Red-cloak, Brazilian plume, Red justica.
ชื่ออื่น---แดงพันธุ์ทิพย์ (ทั่วไป) ;[FRENCH: Justícia rouge, Manteau rouge du Bresil.];[GERMAN: Fackel-busch, Fackelbusch.];[PORTUGUESE: Capota-vermelha, Justícia-vermelha.];[SPANISH: Cannotillo, Pavoncillo rojo.];[THAI: Daeng Pan-thip (general).].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---MGSER (Preferred name: Megaskepasma erythrochlamys.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา เอเซีย ประเทศในเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลคือการรวมกันของภาษากรีก '' megas '' = ใหญ่และ '' skepasma '' = ครอบครุม, เสื้อ  ; ชื่อสายพันธุ์คือการรวมกันของภาษากรีก '' erythros '' = สีแดงและ '' chlamys '' = เสื้อคลุม โดยการอ้างอิงถึงกาบสีแดงสดซึ่งซ่อนดอกไม้สีขาว
สกุล Megaskepasma เป็น monotypic มีเพียง1สายพันธุ์ คือ Megaskepasma erythrochlamys เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Gustav Lindau (1866–1923) เป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2440

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ภาคเหนือของเวเนซุเอลาและเกิดขึ้นตามธรรมชาติในประเทศนิการากัว ปานามาและซูรินาเม แนะนำในคอสตาริก้า ฮาวายและตรินิแดด - โตเบโก มีการเพาะปลูกในอเมริกากลางจากปานามาถึงเอลซัลวาดอร์ เติบโตที่ระดับความสูง 400-1,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลางสูงประมาณ2-3เมตร ลำต้นเป็นเหลี่ยม สีน้ำตาล ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปไข่ กว้าง 7-13 ซม. ยาว 15-24 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอดขนาดใหญ่ ชูสูง ประมาณ 20–25 ซ.ม. ช่อดอกมีใบประดับสีแดง ดอกย่อยสีขาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ทยอยบานได้นาน ผลเป็นฝักแบนสีเขียวยาว 3.5 ซม.กว้าง 0.8 ซม. เมื่อแก่แตกออก ภายในมีเมล็ดแบน สีดำ  มีสูงสุด 4 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในที่โล่งแจ้งเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเท่านั้น เนื่องจากเป็นพืชค่อนข้างไวต่ออุณหภูมิต่ำ เสียหายหนักด้วยอุณหภูมิใกล้ 0 องศาเซลเซียส ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มวันหรือครึ่งวัน ปลูกได้ในดินทุกชนิดไม่เฉพาะเจาะจงกับดินหากมีการระบายน้ำได้ดี ควรตัดแต่งทรงพุ่มอย่างสม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนทั่วไป
ระยะออกดอก---พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง


ม่วงเทพรัตน์/Exacum affine


ชื่อวิทยาศาสตร์---Exacum affine Balf.f. ex Regel.(1883)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms    
---Exacum gracilipes Balf.f.(1884)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:367449-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Mexican violet, Persian gentian, Persian Arabian, German violet
ชื่ออื่น---ม่วงเทพรัตน์ ;[FRENCH: Violette de Perse.];[GERMAN: Blaues Lieschen.];[JAPANESE: Benihimerindô, Ekizakamu.];[PORTUGUESE: Violetas-de-Arábia, Violeta-alemã, Violeta-persa, Violetas-da-Pérsia.];[THAI: Mouang Thep pharat.].
ชื่อวงศ์---GENTIANACEAE
EPPO Code---EXUAF (Preferred name: Exacum affine.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---เยเมน ประเทศเขตร้อน
Exacum affine เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Isaac Bayley Balfour (1853–1922) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Eduard August von Regel (1815–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2426
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิด บนเกาะ socotra ประเทศเยเมนในมหาสมุทรอินเดีย กระจายกว้างขวางในประเทศเขตร้อน โดยทั่วไปในสนามหญ้าริมน้ำหรือในซอกหินและพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้ทั้งบนหินแกรนิตและหินปูน พบได้ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,050 เมตร ในประเทศไทย *ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชเนื่องในพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชิ้นส่วนของพืชเพื่อให้ทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานเนื้อเยื่อพืชชนิดหนึ่งเพื่อให้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ (อพ.สธ.) เก็บรักษาและขยายพันธุ์ตามศักยภาพ จนประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์เป็นอย่างดี ด้วยลักษณะดอกที่มีสีม่วงงดงาม จึงมีผู้นิยมนำไปขยายพันธุ์ปลูกไว้ชื่นชม เนื่องใน "โอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" จึงได้ทูลเกล้าขอพระราชทาน ชื่อสามัญไทย ให้กับพืชชนิดนี้ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชื่อไทยว่า“ม่วงเทพรัตน์” เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552
*(ข้อมูลจากเว็บไซต์ของศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์)
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกความสูงประมาณ 60 ซม.ลำต้น มีความสูงไม่เกิน 60 ซม. ใบ มีสีเขียวเข้ม รูปไข่ ยาวไม่เกิน 4ซม.ดอก มีสีม่วงอมฟ้า ดอกเมื่อบานเต็มที่มีลักษณะคล้ายดาว สามารถกระตุ้นการออกดอกด้วนการปลิดดอกแห้งออกเพื่อกระตุ้นการออกดอกใหม่ เกสร มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเห็นได้ชัดเจน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  มีเมล็ดหลังดอกแห้ง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่รักษาความชื้นได้ดีแต่ไม่อุ้มน้ำ เป็นไม้ดอกที่มีศักยภาพในการผลิดอกได้ในขวดและพื้นที่ทั่วไป แต่สำหรับในประเทศไทยซึ่งอากาศร้อน จะออกดอกสวยงามดีในฤดูหนาว
ใช้เป็นยา---ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา งานวิจัยในหลอดทดลองได้พิสูจน์พบว่าสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัด  และเชื้อไวรัสเริม- ใช้ต้านโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
-อื่น ๆ มีฤทธิ์ดึงดูดแมลง สารสำคัญที่มีฤทธิ์ดึงดูดแมลง โดยเฉพาะผีเสื้อ คือ สาร paeonol6
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2012)
ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society)  
ระยะออกดอก---ช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


พู่อมร/Combretum constrictum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Combretum constrictum (Benth.) M.A.Lawson.(1871)
ชื่อพ้อง ---Has 3 Synonyms   
---Combretum bussei Engl. & Diels.(1907)
---Combretum infundibuliforme Engl.(1895)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2732516
ชื่อสามัญ---Finger Lies on the Ground, Thailand Powderpuff, River bushwillow
ชื่ออื่น---พู่อมร, เงาะงาม, แสงตะวัน ;[CHINESE: Tàiguó fēng chēzi.];[FRENCH: Liane vermifuge, Petit badamier, Ti badamier, Ti badamier le ver.];[NIGERIA, YORUBA: Ogàn ìbúlẹ̀ = Finger Lies on the Ground (Verger).];[THAI: Saeng tawan. Phoo a-mon, Ngo ngam.];[VIETNAM: Hoa khiết bông, Chiêu liêu.].
ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE
EPPO Code---COGSS (Preferred name: Combretum sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์ ---โซมาเลีย, เคนยา, แทนซาเนีย, ไนจีเรีย, โมซัมบิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'constrictum' มาจากภาษาละติน ''constrictus, a, um'' = tight, compact อ้างอิงถึงช่อดอก
Combretum constrictum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Marmaduke Alexander Lawson (1840–1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2414

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อน เติบโตในเซียร์ราลีโอนและไนจีเรียทางตะวันออกของทวีป ในพื้นที่จากโซมาเลียถึงโมซัมบิก  ที่อยู่อาศัย-หนองน้ำตามฤดูกาล ป่าไม้ริมแม่น้ำ ขอบของป่าชายเลนที่ระดับความสูง 0-1200 เมตร.ในฐานะที่เป็นไม้ประดับถูกปลูกในเขตร้อนทั่วโลก
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดกลางสูง 1.5-3-5 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอ่อน ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่กลับยาว 4-12 ซม.กว้าง 1.5-6.5 ซม. ปลายใบมน โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบ แต่ละคู่ตั้งฉากกัน ก้านใบยาว2-6 ซม. ช่อดอก ออกเป็นช่อกระจุกแน่นตามซอกใบ และที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก ช่อดอกกลมส่วนใหญ่ ยาว 6-8 ซม.มีดอกสีแดงสด 20-30 ดอก โคน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว โคนรูปไข่ ปลายดอกเป็นหลอด ตรงปลายสุดผายเป็นกรวยสั้นๆ ด้านนอกเกลี้ยงด้านในมีขนปกคลุม ดอกบานเต็มที่ขนาด 3-5 ซม. เป็นรูปทรงกลมดูคล้ายผลเงาะ ผลรูปกระสวย เปลือกแข็ง สีเขียวมีสันตามยาว 5 สันยาว 2.5 ซม. และกว้าง 1.2-1.5 ซม. มีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการร่มเงาบางส่วนเล็กน้อย แต่ก็สามารถทนต่อแสงแดดและความแห้งแล้งได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าพืชมีความชื้นเพียงพอมันจะสร้างช่อดอกตลอดทั้งปี สามารถทนต่อความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและดินที่มีความหลากหลายเช่นดินร่วนสีดำหนัก ตะกอนแม่น้ำ ทรายและทรายหินแกรนิต
ใช้ประโยชน์---เป็นต้นไม้ที่มีค่าสูงในแอฟริกาตอนใต้ มีการระบุคุณสมบัติทางชาติพันธุ์และเภสัชวิทยาจำนวนมาก ส่วนต่าง ๆ ของพืชใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในแอฟริกา
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง หรือปลูกขึ้นซุ้มไม้เลื้อยได้ ไม่ต้องการพื้นที่มาก ปลูกเป็นไม้กระถางได้
-ใช้เป็นยา ส่วนต่าง ๆ ของพืช ใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในแอฟริกา สารสกัดจากรากที่ใช้กันมากที่สุดคือต่อต้านปรสิตในลำไส้ในเด็ก น้ำชะจากรากและใบ ใช้ในโรคติดเชื้อต่าง ๆ รวมถึงโรคกามโรค
-อื่น ๆ แม้ว่าการวิจัยได้แสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพ แต่ก็ไม่ได้ใช้ในยาอย่างเป็นทางการและไม่แนะนำให้ใช้
พิธีกรรม/ความเชื่อ--ในแอฟริกาพืชมีบทบาทสำคัญในเวทมนตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีชัยชนะเหนือศัตรู
ระยะออกดอก---สิงหาคม-พฤศจิกายน/กันยายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการ ปักชำ ตอนกิ่ง เพาะเมล็ด


เกล็ดปลา/Phyllodium longipes


ชื่อวิทยาศาสตร์---Phyllodium longipes (Craib) Schindl.(1924)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms    
---Desmodium longipes Craib.(1910)
---Phyllodium tokinense Schindl.(1916)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:514250-1
ชื่อสามัญ---Fish Scales, Dragon's Tongue, Klet Lin Yai (Thai)
ชื่ออื่น---ลูบตีบต้น (เชียงใหม่), เกล็ดลิ่นใหญ่ (นครราชสีมา), เกล็ดปลา (กาญจนบุรี), กาสามปีกใหญ่ (สระบุรี) ;[CHINESE: Cháng yè pái qián shù.];[THAI: Klet lin yai, Ka sam peek yai, Klet plaa.];[VIETNAM: Đồng tiền, Chuỗi tiền, Tràng quả cọng dài.].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
EPPO Code---QDQLO (Preferred name: Phyllodium longipes.)
ถิ่นกำเนิด---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์ ---จืนตอนใต้ กัมพูชา ลาว พม่า เวียตนาม ไทย
Phyllodium longipes เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Anton Karl Schindler (1879-1964) เป็นทันตแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2467
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน พบขึ้นตั้งแต่จีนตอนใต้จนถึงมาเลเซีย มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าผลัดใบที่ชื้น และป่าดงดิบ ที่ระดับความสูง 400-800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง1.5-2.5 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านโปร่ง กิ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะของใบย่อยที่อยู่ตรงกลางจะเป็นรูปไข่แกมรูปหอก หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนถึงหยักเว้าเล็กน้อย ด้านล่างมีขนนุ่มแน่น มีขนาดกว้างประมาณ 5-8ซม.ยาว 8-12 ซม. ส่วนใบย่อยด้านข้างจะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย โดยจะมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 ซม.ยาว 6-8ซม. ขอบใบเรียบ หลังใบและท้องใบมีขน ก้านใบย่อยยาวได้ประมาณ 1.5-2 ซม. ดอกสีขาวรูปถั่วออกเป็นกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง กลุ่มละ 5-15 ดอก มีใบประดับรูปคล้ายเกล็ดปลาขนาดใหญ่ประกบหุ้มไว้ 2 ใบ ทั้งสองด้าน รูปกลมรี มีขนาดกว้าง 2-3.5 ซม. ยาว 2.5-4.5 ซม. สีเขียวไม่เข้มมาก ประกบซ้อนกัน เป็นรูปทรงกระบอกยาวหรือรูปแท่งย้อยออกมา ผลเป็นฝักแบนมีขนขึ้นปกคลุม มีหยักเป็นข้อระหว่างเมล็ด 2-5 ข้อ เมื่อแห้งหลุดเป็นข้อ ฝักมีขนาดกว้าง 4 มม.ยาว 0.7-2.5 ซม. เมล็ดเล็กแข็งรูปไต
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับตามสวนทั่วไป ให้รูปทรงสวยงามแปลกตา
-ใช้เป็นยา ในประเทศไทย หมอยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี จะใช้รากต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร
-หมอยาพื้นบ้านจังหวัดมุกดาหารจะใช้รากเป็นยาแก้ไข้
-ใบใช้ต้มดื่มเป็นยาแก้ ปัสสาวะดำ รากมีรสจืดเฝื่อน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคตับพิการ เปลือกรากมีรสจืดเฝื่อน ใช้ตำพอกแก้ปวด แก้เคล็ดบวม ใบมีรสจืด ใช้ต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น
ระยะออกดอก---
ขยายพันธุ์---เมล็ด


นูดพระ/ Flemingia stobilifera

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Flemingia strobilifera (L.) W.T.Aiton.(1812)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Basionym: Hedysarum strobiliferum L.(1753)
---Maughania strobilifera (L.) J.St.-Hil. ex Kuntze.(1891)
---Zornia strobilifera (L.) Pers.(1807)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:495307-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Luck plant, Wild hops
ชื่ออื่น---นูดพระ (นครศรีธรรมราช), ขี้ดัง (นครพนม), หงอนไก่ (ภาคเหนือ) ;[ASSAMESE: Makhioti, Makhiyoti, Makhiloti.];[BANGLADESH: Mandipata, Ghorachabuk.];[BRUNEI DARUSSALAM: Pancar angin, Ringan.];[CHINESE: Qiu sui qian jin ba.];[DOMINICAN: Camaron, Camarones, Camarones secos, Verde seco.];[FRENCH: Dona-Maria, Sainfoin du Bengale, Zeb sek.];[HINDI: Kanphuta, Clipti, Chepti, Kusrunt, Sudarsanpati.];[INDONESIA: Apa-apa kebo, Gatak, Hahapaan.];[JAMAICA: Wild hops.];[KANNADA: Kumalu.];[MALAYALAM: Kanala, Kumalu, Kumbilteri.];[MALAYSIA: Seringan, Meringan.];[MARATHI: Nundar, Kanphuti.];[MAURITIUS: Napoleonia.];[NEPALESE: Grop muja, Ghan mamarkha, Barkuali jhar, Swata.];[PHILIPPINES: Payang-payang, Payang-payang na babae, Panapanarahan (Tag.); Piragan (Sul.); Kupau-kupau (Sbl.); Gangan (S. L. Bis.).];[PALAU: Besungelaiei, Pesungel a iei.];[PAPUA NEW GUINEA: Arana, Mineata.];[REUNION: Dona-Maria.];[SEYCHELLES: Napoleon.];[SPANISH: Amaron, Verde seco.];[SRI LANKA: Ham-pinna.];[TELUGU: Nallabaddu.];[THAI: Khee dang, Ngon kai, Nhood phra.];[VIETNAMESE: Top mo bong tron, Duoi chon, Top mo co choi, Dau ma hoa non.].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONACEAE)
EPPO Code---FLEST (Preferred name: Flemingia strobilifera.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ในประเทศจีน, ไต้หวัน, ภูฏาน, อินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน, ศรีลังกา, ลาว, พม่า, ไทย , เวียดนาม , อินโดนีเซีย , มาเลเซีย , ปาปัวนิวกินีและฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ ' strobilifera ' มาจากภาษาละตินสำหรับ 'cone-bearing.' ; ชื่อสายพันธุ์ 'strobilifera' ดอกไม้มีลักษณะคล้ายกับพืชฮอปที่แท้จริงซึ่งใช้ในการผลิตเบียร์และนี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อสามัญคือ Wild hops
Flemingia strobilifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Townsend Aiton (1766-1849) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2355


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่กว้างในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปากีสถานทางตะวันตกไปจนถึงจีนตะวันออกและหมู่เกาะเรียวกุของญี่ปุ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทางใต้สู่ Irian Jaya (อินโดนีเซีย) และติมอร์ มักขึ้นตามที่โล่งแจ้ง หรือใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ที่ระดับความสูงประมาณ 200-1,600 เมตร มันกลายเป็นพืชรุกรานในอเมริกากลาง มหาสมุทรอินเดียและแคริบเบียน นอกจากนี้ยังแพร่กระจายไปยังหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มล้มลุกอายุอยู่ได้หลายปี สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีขน ใบประกอบแบบมีหนึ่งใบย่อย เรียงสลับ ใบรูปไข่มีขนาดกว้าง 2-6 ซม.ยาว  5-12 ซม. โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งหนาม ขอบใบเรียบมีขนละเอียดหนาแน่น เส้นแขนงใบ 10 คู่ หูใบรูปใบหอก เรียวแหลม มีริ้ว ยาว 10-15 มม  ก้านใบยาว 1-2 ซม ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีใบประกอบเป็นรูปเกือบกลมถึงรูปไข่กว้าง ยาว1-2 ซม.บางคล้ายเยื่อม้วนพับและติดทน กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ยาว 3-4 มม. กลีบดอกเป็นสีขาวครีม มีลายเส้นสีชมพู รูปดอกถั่ว มีเกสรเพศผู้ 10 อัน เชื่อมติดกันสองกลุ่ม รังไข่มีขน ผลรูปขอบขนาน กว้าง 0.5-1 ซม.ยาว  0.8-1.2 ซม. ภายในมีเมล็ดรูปวงกลมสีน้ำตาล 2 เมล็ด ขนาดประมาณ 3 x 4 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี สามารถทนต่อดินที่หลากหลาย รวมทั้งดินที่ไม่ดีและเป็นกรด
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบตำพอกแก้ฝีหนองใช้ร่วมกับปูนแดง ยาพื้นบ้านล้านนาใช้รากต้มกับน้ำ ดื่มและอาบ แก้อาการปวดเมื่อย
-ในบังคลาเทศใช้เป็นยาแผนโบราณในการรักษาโรคลมชัก ฮิสทีเรียและไข้
-มีการใช้แบบดั้งเดิมในอินเดียในการรักษาโรคลมชัก, นอนไม่หลับ, ปวดแผลและบวม- ในประเทศมาเลเซียมีรายงานว่ามีการใช้ใบเพื่อรักษาโรคไขข้ออักเสบ ใช้สำหรับอาบน้ำหลังการคลอด
-ในชวาและปาปัวนิวกินีใบไม้ถูกใช้ทั้งภายนอกและภายในเพื่อเป็นยาแก้พยาธิสำหรับเด็ก
-สารสกัดจากพืชมีการรายงานว่ามีคุณสมบัติทางการแพทย์จำนวนมากและการใช้งานรวมทั้งต้านการอักเสบแก้ปวด, anticonvulsive, ยาปฏิชีวนะป้องกัน ulcerogenic และต่อต้านหนอนพยาธิ
-อื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ใช้เศษผงแห้งสำหรับบรรจุหมอนและหมอนอิง ในบังคลาเทศพืช ใช้เป็นยาไล่แมลง
-ไม้ถูกเผาเพื่อใช้ในการทำให้ฟันดำ
ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นส่วนสำคัญของเทศกาลสำคัญของรัฐอัสสัมของอินเดีย (เทศกาล Bihu) ซึ่งจะมีการชำระล้างและบูชาวัวโดยการทุบเบา ๆ ด้วยกิ่งไม้ของพืชชนิดนี้
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-สิงหาคม/เมษายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด


สร้อยสายเพ็ชร/Clerodendrum wallichii

ชื่อวิทยาศาสตร์---Clerodendrum wallichii Merr.(1952)
ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms   
----Clerodendrum nutans Wall. ex D.Don.(1825) [Illegitimate]         
----Clerodendrum penduliflorum Wall. ex Schauer.(1847)
----See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-43166
ชื่อสามัญ---Bridal’s veil, Swaddling flower, Wallich's glory bower, Wallich's Glorybower, Nodding clerodendron, Nutan bleeding heart, White clerodendrum
ชื่ออื่น---สร้อยสายเพ็ชร ระย้าแก้ว ;[CHINESE: Chui mo li.];[DOMINICAN: Guirnalda de novia.];[FIJI: Vutu.];[INDIA: Bolungre, Horrandieng, Samapul.];[JAPANESE: Kurrindo.];[MYANMAR: Kinmauk-ka-gyi, Ngayan-padu, Pan-swelwe.];[PUETO RICO: Bandera danesa.];[SWEDISH: Slöjklerodendrum.];[THAI: Soi sai petch, Raya kaew.].
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE)
EPPO Code---CLZLA (Preferred name: Clerodendrum wallichii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้: จีน, ปากีสถาน, อินเดีย, เนปาล, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Clerodendrum'มาจากคำภาษากรีก 'kleros' หมายถึง 'โอกาส',  ‘lot’ หรือ 'โชคชะตา' และ ‘dendron’ ซึ่งหมายถึง 'ต้นไม้' ซึ่งน่าจะหมายถึงคุณสมบัติทางยามากมาย ; ชื่อสายพันธุ์ 'wallichii' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ; ชื่อสามัญอื่นๆ มาจากลักษณะและตำแหน่งของดอกไม้ที่ห้อยลงมาตามใบ
Clerodendrum wallichii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Elmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2495
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้จากเทือกเขาหิมาลัยไปจนถึงภาคใต้ของจีนทางใต้เข้าสู่อินโดจีนหมู่เกาะนิโคบาร์และตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถาน เกิดขึ้นตามป่าเปิดบนเนินเขา ที่ระดับความสูง 100 - 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม หรือต้นไม้ขนาดเล็ก หรือไม้เลื้อย ที่สามารถเติบโตได้สูงถึง 4 เมตร ลักษณะลำต้นของสร้อยสายเพชรกลมเกลี้ยงเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่หรือรูปไข่กลับ หรือรูปขอบขนานยาวเรียวขนาด 11-18 x 2.5-4 ซม โคนใบสอบ ปลายใบแหลมแผ่นใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสมบูรณ์เพศ ช่อดอกสีขาว ยาว 20-33 ซม ก้านช่อดอกมีมุมหรือปีก ใบประดับขนาดเล็กเป็นเส้นตรงถึงรูปสว่าน กลีบเลี้ยงสีแดงถึงม่วง ประมาณ.1 ซม.ท่อสั้นมากรูปใบหอก 7-8 มม.กลีบดอกสีขาว หลอดประมาณ. 1.1 ซม.กลีบรูปไข่ 1.1-1.5 ซม. ดอกมีกลิ่นหอมเล็กน้อย บานไม่ทน กลีบเลี้ยงติดผลสีแดงถึงม่วง ผลกลมมีเนื้อเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.3 ซม.ผลอ่อนสีเหลืองอมเขียว ผลแก่ สีดำเป็นมันเงา
**การพูดคุยส่วนตัว เห็นในรูป ตอนแรกอาจเข้าใจว่าเป็นไม้เลื้อยเพราะเห็นมีไม้ปักมาในกระถางขายจัดแต่งทรงพุ่มไว้ ที่นักขายต้องทำอย่างนี้เนื่องจากกิ่งก้านกลมเล็กแตกกิ่งก้านเข้าหาโคนและเปราะหักง่าย ช่อดอกแตกแขนงได้หลายช่อห้อยลงยาวระย้าได้เกือบๆฟุต ไม่ปักไม้ประคองทรงไว้จะดูเกะกะไม่เป็นทรง แท้จริงแล้วเป็นไม้พุ่ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุ มีการระบายน้ำดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อแมลงศัตรูพืช
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ในภูมิภาคเขตร้อนของโลกปลูกเพื่อจุดประสงค์ในการเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา ในอินเดียสายพันธุ์นี้ใช้เป็นอาหารและยา ในหมู่ชนเผ่า Khasi และ Jaintia ใน Meghalaya ใบไม้จะถูกกินเป็นผัก        -ใน Mao Nagas ของ Manipuri ใบถูกทุบด้วยปูนขาวและนำไปใช้กับการติดเชื้อที่ผิวหนัง
ระยะออกดอก/ตืดผล---พฤศจิกายน -ทยอยออกดอกและน้อยลงจนถึงเดือนมีนาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด ปักชำ ชำรากและแยกไหลไปปลูก


ลิ้นมังกร/Sauropus spatulifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Sauropus spatulifolius Beille.(1927)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Sauropus changianus S.Y.Hu.(1951)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-186491
ชื่อสามัญ---Dragon’s Tongue
ชื่ออื่น---สิ้นมังกร, มะยมใบพาย, เหล่งหลี่เฮียะ เหล่งจิเฮี้ย (จีน-แต้จิ๋ว), หลงลี่เยียะ หลงซื่อเยียะ (จีนกลาง) ;[CHINESE: Long lie ip, Long-Li-Ye, Lung li yah.];[THAI: Lin mankon, Mayom bai phai.].   
ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE
EPPO Code---SRPSS (Preferred name: Sauropus sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียตนาม
Sauropus spatulifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lucien Beille (1862-1946) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2470
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Sauropus' คือการรวมกันของคำภาษากรีก "sauros" = จิ้งจก, saurian และ "pus" = เท้า เนื่องจากรูปร่างของความแข็งแกร่งที่ดูเหมือนรอยเท้าของไดโนเสาร์; ชื่อเฉพาะ 'spatulifolius' คือการรวมกันของคำว่า "spatula" ในภาษาละติน = ไม้พายขนาดเล็ก และ "folium" = ใบ  
ที่อยู่อาศัย พบในจีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี) เป็นพืชพื้นเมืองของ เวียดนามเหนือ; เพาะปลูกในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย
** การพูดคุยส่วนตัว ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจนิดว่า ลิ้นมังกรต้นนี้เป็นลิ้นมังกรคนละชนิดกับลิ้นมังกรที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sauropus rostratus Miq.และมีชื่อสามัญว่า Mother-in Law’s Tongue หรือ Snake plants ซึ่งนิยมนำมาเป็นไม้ประดับแถวทางเดินและสวนหินเสียส่วนใหญ่
ลักษณะ ความสูงของต้นลิ้นมังกรไม่สูงนัก ประมาณ 10-40 ซ.ม.ตามลำต้นมีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปรีหรือรูปไข่ปลายใบมนป้าน ยาวประมาณ 5-14 ซม.กว้าง 2-6 ซม. สีเขียว เงิน / เทา มีเส้นสีขาวเทาตามเส้นใบ โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม มีลายท้องใบเป็นสีเขียวนวลหรือเขียวอ่อน ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) ดอกออกเป็นช่อหรือออกเป็นกระจุก เรียงติดกันเป็นแถวสั้น ๆ คล้ายช่อดอก 2-5 ดอก ออกตามซอกใบและลำต้น ก้านดอกยาว 3-5 มม.มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มม.มีกลีบเลี้ยงสีแดงเข้มถึงสีม่วงรูปไข่กลับ 6 กลีบ ยาวประมาณ 2 มม. และกว้าง 1.5 มม. เรียงกันเป็นสองยอด กลีบดอกเป็นรูปกลมรีมีเนื้อหนา สีม่วงแดงหรือม่วงเข้ม ผลเป็นแคปซูลแห้งแล้วแตก (dehiscent) รูปคล้ายกับเม็ดถั่วเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม.มีก้านสั้น ๆ ผลจะถูกกลีบเลี้ยงที่ขยายตัวหุ้มเอาไว้มักไม่ค่อยเห็น มักมีเมล็ดรูปสามเหลี่ยม 3 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ตำแหน่ง แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินทรายหรือดินร่วนปนทรายที่ชุ่มชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในภาคใต้ของจีนมีการเพาะปลูกสำหรับใช้ใบแห้งในการแพทย์พื้นบ้านในการรักษา อาการไอ แก้เจ็บคอและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
-ใช้ทำ 'ชาสมุนไพร' เพื่อป้องกันโรคปอดบวม
-ดอกต้มดื่ม แก้ไอเป็นเลือด กระอักเลือด
-ใช้ปลูกประดับ ในสวนของเขตภูมิอากาศเขตร้อนชื้น กึ่งเขตร้อน / มรสุม เป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงามและดอกมีกลิ่นหอม นิยมปลูกเป็นกลุ่ม เป็นไม้คลุมดินตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป สามารถใช้ปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งในห้องที่มีแสงส่องสว่างได้
-อื่น ๆสามารถใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติสำหรับการผลิตอาหารและอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารเสริมสำหรับผู้ที่เป็นโรค (ALI © 2018 สมาคมอุตสาหกรรมเคมี)
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


ผักบุ้งต้น/Ipomoea carnea


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ipomoea carnea Jacq.(1760)
ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms   
---Convolvulus carneus (Jacq.) Spreng.(1824)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30299665-2
ชื่อสามัญ--- Morning Glory Tree , Bush Morning Glory, Pink morning glory, Gloria de la manana.
ชื่ออื่น---ผักบุ้งบก, ผักบุ้งสวรรค์, ผักบุ้งฝรั่ง ;[ASSAM: Pani bhotora.];[BOLIVIA: Tararaqui.];[BRAZIL: Canudo-de-pito.];[CHINESE: Shu qian niu.];[CUBA: Aguinaldo color de carne.];[EGYPT: Olleiq ek-kibeer.];[GERMAN: Dickstengelige, Trichterwinde.];[HAITI: Clochette.];[HINDI: Behaya, Besharam.];[INDIA: Behaya, Besharam, Pink morning glory, Shrubby morning glory.];[INDONESIA:  Kangkungan, Klemut, Ula.];[PORTUGUESE: Algodao-bravo, Mata-Cabra, Algodão-do-campo, Campainha-de-canudo];[SPANISH: Campana gallega, Gloria de la mañana.]; [THAI: Phak bung ton, Phak bung sawan, Phak bung Farang.];[ZIMBABWE: Morning glory-bush.].
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
EPPO Code---IPOCN (Preferred name: Ipomoea carnea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน แอฟริกา เอเซีย ออสเตรเลีย
Ipomoea carnea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph Freiherr von Jacquin (1727–1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านการแพทย์ เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2303
มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ ;-
- Ipomoea carnea subsp. carnea Jacq.(1760)
- Ipomoea carnea subsp. fistulosa (Mart. ex Choisy) D.F.Austin.(1977)
- See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30299665-2#children


ที่อยู่อาศัย พบใน อเมริกาใต้-อาร์เจนตินา ปารากวัย บราซิล โบลิเวีย เปรูเอกวาดอร์ โคลัมเบีย เวเนซุเอลา เวเนเซีย C. America - ปานามา เม็กซิโก ภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลกเก่า (เช่นเขตร้อนและแอฟริกาตอนใต้, เรอูนียง, อินเดีย, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย, ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย, หมู่เกาะฮาวาย) ที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นตามแม่น้ำและลำคลองบางครั้งบนชายหาด ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,000 เมตร พืชที่ปลูกเป็นไม้ประดับ และได้หลบหนีจากการเพาะปลูก กลายเป็นแปลงสัญชาติในหลาย ๆ พื้นที่ซึ่งมักถูกจำแนกว่าเป็นการรุกราน
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม อายุหลายปีสูงได้ถึง 3-5 เมตร ใบเดี่ยวรูปหัวใจ สีเขียวเข้ม ยาว 15–23 ซม.กว้าง 5-8 ซม.ดอกเป็นดอกช่อ รูปแตรปากบาน ออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ ยาวสูงสุด 2 ซม.กว้าง 1-1.5 ซม.แห้งแล้วแตก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ถ้าแสงแดดน้อยหรืออยู่ร่มเกินไป กิ่งจะยืดยาวและออกดอกน้อยและดูรก ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ส่วนใหญ่จะเห็นตัดแต่งเป็นพุ่มอยู่ริมถนนหนทางค่าที่ออกดอกดก ดอกสีชมพูอ่อนๆทำให้เส้นทางมีชีวิตชีวา เหมาะปลูกเป็นไม้ริมรั้วดี สามารถปลูกริมทะเลหรือที่น้ำกร่อยเค็มได้
-ใช้กิน ใบ ปรุงและกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา น้ำคั้นจากใบ รักษาโรคตาต้อ กรณีนำไปต้ม ใช้เป็นยาถ่าย แก้โรคผิวหนัง น้ำยางในพืชใช้เพื่อรักษาปัญหาผิว
-วนเกษตร พืชมีการปลูกแบบดั้งเดิมเป็นรั้วมีชีวิตอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งจะช่วยในการแยกปศุสัตว์และสัตว์อื่น ๆ - ทำเครื่องหมายขอบเขตที่ดิน
-อื่น ๆ เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและการเพาะปลูกง่าย บางครั้งใช้ในงานอุตสาหกรรมเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษ
รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชมีพิษเนื่องจากการสะสมทางชีวภาพของซีลีเนียมส่วนใหญ่อยู่ในใบไม้และในเมล็ด อาจเป็นพิษต่อวัว
ระยะออกดอก---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำ (ปักชำง่ายมาก)

ตาเป็ดตาไก่/Ardisia crenata

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ardisia crenata Sims.(1817)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Bladhia crenata (Sims) H.Hara.(1948)
---See all The Plant List https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:586890-1#synonyms
ชื่อสามัญ ---Christmas berry, Australian holly, Coral ardisia, Coral bush, Coralberry, Coralberry tree, Hen's-eyes, Spiceberry
ชื่ออื่น---ก้างปลาดง ตับปลา ลังกาสา (เชียงใหม่), จ้ำเครือ (ลำปาง), ลังกาสาขาว (ตราด), ตีนจำโคก (เลย), ประดงนกกด (สุราษฎร์ธานี), ตาเป็ดหิน (ชุมพร), มาตาอาแย (มลายู-ยะลา), ตาไก่ใบกว้าง (ทั่วไป), มหาเฮง (ชื่อทางการค้า), ตีนเป็ด, ตาเป็ดเขา, ตุ้มลงเดี๋ยง, ตาเป็ดตาไก่ ;[CHINESE: Zhu sha gen, Yun chi zi jin niu, Chu sar gun.];[DANISH: Koralevighedsbær.];[DUTCH: Koraalbessenboom.];[FRENCH:  Ardisie crantée.];[GERMAN: Gekerbte Spitzblume, Gewürzbeere, Korallenbeere.];[INDONESIA: Mata ayam (Bangka); Popinoh (Lampung), Mata itik, Meta pemanduk.];[JAPANESE: Manryo.];[KOREA: Wang baek ryang geum.];[MALAYSIA: Mata ayam, Mata pelandok, Akar bebulu, Lenggundi, Sireh puyoh.];[PHILIPPINES: Atarolon, Tagpo (Tagalog).];[PORTUGUESE: Azevim, Baga-coral.];[SPANISH: Ardisia.];[THAI: Ta-pet ta-kai (general); Chamkhruea (Lampang); Tappla (Trat); Tinchamkhok (Loei).].
ชื่อวงศ์---MYRSINACEAE  
EPPO Code---ADACN (Preferred name: Ardisia crenata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Ardisia crenata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิลังกาสา (Myrsinaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Sims (1749 –1831) เป็นแพทย์ นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2360
Includes 4 Accepted Infraspecifics;-  
มี 1 ความหลากหลาย (Varieties)
- Ardisia crenata var. angusta C.B.Clarke. (1882)---ประเทศไทยถึงคาบสมุทรมาเลเซีย
มี 3 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ
- Ardisia crenata subsp. crassinervosa (E.Walker) C.M.Hu & J.E.Vidal.Z(1996)---ไหหลำถึงคาบสมุทรมาเลเซีย
- Ardisia crenata subsp. crenata---NE อินเดียไปยัง S. Central & S. ญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์
- Ardisia crenata subsp. obtusifolia Chatan & Promprom.(2017)---ประเทศไทย
ที่อยู่อาศัย พบทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น ในประเทศไทย พบในธรรมชาติตามพื้นที่ป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งทั่วทุกภาคของประเทศ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 0.50-2 เมตร ใบเดี่ยว รียงเวียน รูปรีหรือรูปไข่กลับ ปลายใบแหลม โคนใบสอบเรียว ขอบใบหยักมนและมีต่อมขนาดของใบกว้างประมาณ 3-5 ซม.และยาวประมาณ 6-15 ซม.เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ใบสีเขียวสด ต้นนี้ถ้ายังไม่มีดอกหรือติดผล แค่ทรงต้นพุ่มใบก็สวยแล้ว ดอกออกเป็นช่อคล้ายซี่ร่ม ออกที่ปลายกิ่งและตามซอกใบ กลีบเลี้ยงสีเขียวมี 5 กลีบกลีบดอกมี 5 กลีบ สีชมพูแกมขาว โคนเชื่อมกันเป็นรูประฆัง ผลกลมมีเนื้อ สุกเป็นสีแดง มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6 ซม.ซึ่งยังคงอยู่บนต้นตลอดทั้งปี
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ปรับเข้าได้กับดินหลายประเภท pH ตั้งแต่ 4 - 10 ที่ระบายน้ำดี เมล็ดสามารถงอกภายใต้ร่มไม้หนาทึบ
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนกินเป็นผักสด ผลสุกรสหวานกินได้
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนทั่วไป
-ใช้เป็นยา ในประเทศไทย ตำรายาพื้นบ้าน รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาช่วยเจริญอาหาร
-ตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ทั้งต้น ผสมกับสมุนไพรจำพวกประดงรวม 9 ชนิด แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคประดง-ใบใช้ต้มกับน้ำอาบแก้ผื่น ตุ่มตามผิวหนัง
-ในประเทศจีนและฮ่องกงจะใช้ในการรักษาหรือโรคไขข้ออักเสบ, ปวดเอว, ร้าว, บวม, แผลบวมและงูกัด เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและใช้ในการรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ, การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน, คอตีบ, ไฟลามทุ่งและไข้อีดำอีแดง
-ใบของ Ardisia crenata กำลังถูกตรวจสอบเพื่อรักษาอาการหืดหดเกร็งและอาการกระตุก พืชมีสารยาที่เรียกว่า FR900359 ซึ่งสามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง รวมถึงโรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง และมะเร็งผิวหนังที่ม่านตา
ความเชื่อ/พิธีกรรม---สำหรับชาวญี่ปุ่น ต้นตาเป็ดตาไก่นั้นถือเป็นไม้มงคล ที่ใช้สำหรับส่งมอบเป็นของขวัญแก่ผู้เป็นที่รักนับถือในช่วงเทศกาลปีใหม่ เนื่องจากผลสุกของต้นตาเป็ดตาไก่นั้นเป็นสีแดงสดงดงามคล้ายสีดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของญี่ปุ่น
ระยะออกดอก---
ขยายพันธุ์---เมล็ด ระยะเวลาการงอก หลังจาก 40 วัน อัตราการงอกสูงถึง 97.79% ในอุณหภูมิ 25 องศา C ขึ้นไป

อ้างอิง, แหล่งที่มา

---อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/index.php?page=search
---หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
---เอื้อมพร วีสมหมาย และคณะ. 2551. พรรณไม้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด.
---ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย.  http://www.thaibiodiversity.org/Life/LifeDetail.aspx?LifeID=38763
---สารานุกรมไม้ประดับในประเทศไทย(เล่ม1)โดยคณะบรรณาธิการสำนักพิมพ์บ้านและสวน บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน)
---หนังสือ ไม้ประดับเพื่อการตกแต่ง(Ornamental Plants for Decoration) ศาศตราจารย์(พิเศษ)ดร.ประชิด วามานนท์                  ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย  เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

Check for more information on the species:

Plants Database    ---Names, synonymy and distribution    The Garden.org Plants Database    https://garden.org/plants/
Global Plant Initiative    ---Digitized type specimens, descriptions and use    หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
Tropicos    ---Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
GBIF    ---Global Biodiversity Information Facility    Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
IPNI    ---International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
EOL    ---Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
PROTA       ---Uses    The Plant Resources of Tropical Africa    https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040
Prelude    ---Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google Images    ---Images        
            

รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com
2008-20017

update---20/4/2018, 21/7/2020---19/9/2022---




 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view