สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 30/05/2023
สถิติผู้เข้าชม 13,654,015
Page Views 19,676,055
 
« June 2023»
SMTWTFS
    123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 

ปาล์ม7

ปาล์ม7

ปาล์ม 7

For information only-the plant is not for sale.

1 กะพ้อเขา/ Licuala pahangens 34 หมากซี่หวี/Areca tunku
2 กะพ้อเขาจันทร์ / Licuala poonsakii 35 หมากดำ/ Hydriastele microspadix
3 กะพ้อแดง/ Licuala paludosa 36 หมากตอกถลาง/ Iguanura thalangensis
4 กะพ้อเตี้ย/ Licuala rumphii 37 หมากตอกใบใหญ่/ Iguanura wallichiana
5 กะพ้อใบกลม/ Licuala orbicularis 38 หมากนเรศวร/ Wallichia disticha
6 กะพ้อสี่สิบ/ Licuala distans 39 หมากแฝด/Iguanura bicornis
7 กะพ้อหนาม/ Licula spinosa 40 หมากพน/ Orania sylvicola
8 กะพ้อหนู/ Licula triphylla 41 หมากพระราหู - Maxburretia furtadoana
9 เขือง/ Wallichia siamensis 42 หมากพร้าว/ Actinorhytis calapparia
10 เขืองหลวง/ Caryota maxima 43 หมากลิง/Pinanga sylvestris
11 จากเขา/Eugeissona tristis 44 หมากวัฒนา/ Pinanga watanaiana
12 ตองหนาม/ Salacca secunda 45 หมากส้ม/ Areca vestiaria
13 ตาลกิ่ง/ Hyphaene coriacea 46 หมากหวิง/Pinanga disticha
14 ตาลกิ่ง/Hyphaene thebaica 47 หมากอาดัง/ Pinanga adangensis
15 ตาว (sugar palm) - Arenga pinnata 48 หลังกับ/ Arenga obtusifolia
16 เต่าร้างยักษ์คีรีวง/ Caryota kiriwongensis 49 หลาวชะโอนเขา/ Oncosperma horrida
17 เต่าร้างลาย/ Caryota zebrina 50 หลาวชะโอนทุ่ง/ Oncosperma tigillarium 
18 ปาล์มขนนก - Chrysalidocarpus lucubensis 51 หลุมพี/ Eleiodoxa confera
19 ปาละ/ Licuala glabra 52 หวายสยาม/ Calamus siamensis
20 เป้งดอย/ Phoenix loureiroi 53 เหลืองพร้าว/ Bentinckia nicobarica
21 เป้งทะเล/ Phoenix paludosa 54 Basselinia gracilis
22 เป้งลังกา/Phonix pusilla 55 Calyptrocalyx elegans/Fireball palm
23 มะพร้าวแฝด (ตาลทะเล)/ Lodoicea maldivica 56 Calyptrocalyx spicatus/ Maluku Kentia
24 รังไก่/ Arenga westerhoutii 57 Metroxylon /Solomon Ivory Nut Palm
25 ลานกบินทร์บุรี - Corypha lecomtai 58 Penanga kuhlii/ Ivory Cane Palm
26 สละ/Salacca zalacca 59 Pigafetta elata/White Wanga Palm
27 สละอินโด/ Salacca magnifica 60 Pigafetta filaris/Black Wanga Palm
28 สาคู/ Metroxylonsagu 61 Polyandrococos caudescens/Buri Palm 
29 หมากเขียวกาบแดง/ Ptychosperma lineare 62 Ptychosperma/New Guinea Cluster Palm
30 หมากงาช้างยักษ์/ Pinanga malaiana 63 Reinhardtia simplex/Upaká Palm.
31 หมากเจ/Iguanura polymorpha 64 Rhapis multifida/Finger Lady Palm
32 หมากเจบาลา/Pinanga simplicifrons 65 Sommieria elegans/Sleek Palm
33 หมากแจ้/Pinanga polymorpha

EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัส EPPO เป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int

สกุล Licuala (lik-oo-AH-lah) เป็นประเภทของปาล์มในเผ่า Trachycarpeae , พบในป่าเขตร้อนทางตอนใต้ของประเทศจีน ,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เทือกเขาหิมาลัย ,นิวกินีและทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเกาะ ในปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2021) มีสายพันธุ์ที่ยอมรับรวม 167สายพันธุ์ (Plants of the World Online) (แสดงในหน้านี้ 8 สายพันธุ์)

กะพ้อเขา/Licuala pahangensis

[lik-oo-AH-lah] [pah-hahn-JEHN-sis]

Picture---Cooper city FL. Photo by Kyle Wicomb
Picture---https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_pahangensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala pahangensis Furtado.(1940)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667926-1
ชื่อสามัญ---Licuala palms
ชื่ออื่น---กะพ้อเขา พ้อเขา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Péng hēng zhóu lú, Pahang palm.];[THAI: Kapĥo k̄hao, Pĥo k̄hao (General).];[Vernacular: Palas.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LCLSS (Preferred name: Licuala sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ที่ใช้โดยชาวโมลุกกะเพื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'pahangensis' หมายถีงของรัฐปาหัง ประเทศมาเลเซีย
Licuala pahangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Caetano Xavier Furtado  (1897–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวสิงคโปร์ ในปีพ.ศ.2483
ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืชเฉพาะถิ่นมีถิ่นกำเนิดในมาเลเซีย (รัฐปาหัง)และพบในตอนใต้ของประเทศไทย พบตามป่าดิบชื้น
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวลำต้นเตี้ยติดพื้นดินหรืออาจสูงได้ถึง 1-1.5 เมตร ปกคลุมด้วยเศษเส้นใยของฐานทางใบ มีใบ21-25ใบใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักเว้าลึกถึงสะดือแผ่นใบแผ่กว้าง 1 เมตร ก้านใบยาว 2-3 เมตร ขอบก้านมีหนามแข็งห่างๆ ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 0.50-1 เมตร.จะสั้นกว่าใบแตกกิ่ง 2-3 กิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีขาว ผลรูปไข่เรียบมันขนาด 10 x7 มม.เมล็ดขนาด 0.7x0.6 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้เฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่จะเติบโตได้ในสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ปราศจากน้ำค้างแข็ง (USDA Zones 9B – 11) ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย ที่มีความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี เติบโตได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิเฉลี่ย 15°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 4°C ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและลมแรงได้ ไม่ทนต่อไอเกลือ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินตลอดเวลาด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา ซึ่งช่วยให้ดินอุดมด้วยสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย รากของลิกัวลานั้นตื้นและแผ่กว้าง ดังนั้นมันจึงชอบที่จะแทรกตัวเข้าไป อย่าปล่อยให้น้ำขังนิ่ง พืชในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่ง เพียงตัดใบแห้งที่เป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดดอกที่เก่าทิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง
การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ(เช่น 18-18-18)ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้
ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง ป้องกันเพลี้ยแป้งบนผลไม้สุก
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สำหรับตกแต่งสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ในที่ร่มบางส่วนเมื่อยังเป็นต้นเล็ก เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกในภาชนะ ในที่ร่มรำไร และสำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในอาคาร
ขยายพันธุ์---โดยเมล็ดจะแตกหน่อช้าและไม่สม่ำเสมอ ต้นกล้าจะปรากฏเร็วภายใน 2 เดือนหลังปลูก และงอกเป็นช่วงๆ ในระยะเวลา 1 ปี


กะพ้อเขาจันทร์/Licuala poonsakii

[lik-oo-AH-lah] [(poon-SAHK-ee]

Picture-Former Sullivan Garden. The Big Island Hawaii. Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_poonsakii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala poonsakii Hodel.(1997)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-112239
ชื่อสามัญ---Poonsak's Fan Palm
ชื่ออื่น---กะพ้อเขาจันทร์ ,ตะพ้อดง(ทั่วไป); [THAI: Ka pho khao chan, ta pho dong (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---  LCLSS (Preferred name: Licuala sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ที่ใช้โดยชาวโมลุกกะเพื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'poonsakii' เพื่อเป็นเกียรติแก่ คุณพูนศักดิ์ วัชรกร ผู้รวบรวมประเภทพันธุ์พืชและเมล็ดพันธุ์พืชให้แก่ คุณกำพล ตันสัจจา เจ้าของสวนนงนุช ประเทศไทย
Licuala poonsakii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2540
ที่อยู่อาศัย--- เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทยไทย พบขึ้นตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย (media.e-taxonomy.eu) พบครั้งแรกที่จังหวัดระยอง ในป่าเขาชื้นที่ระดับความสูง 600 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวหรือแตกกอขนาดเล็ก สูงได้ถึง 4 เมตร มีใบ 15-20 ใบ ใบรูปพัด (palmate) ขนาด 70-80 ซม. จักเว้าลึกถึงกลางใบ มี 10 แฉก แฉกที่อยู่ตรงกลางมีขนาดใหญ่สุด ก้านใบยาว 1 เมตร ขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 1.5 เมตร แผ่กว้าง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ก้านช่อยาวถึง 50 ซม.ช่อดอกมีช่อดอกย่อย 7 ดอกที่ปลายยอด ดอกไม้ที่เพิ่งพ้นเกสร 10 x 4 มม. ทรงกระสุน กลีบเลี้ยง 4 x 3 มม. แฉกตื้น แฉกมน กลีบดอกสูงเป็นกลีบเลี้ยงประมาณ 2 1/2 เท่า กลีบดอก 8 x 2.75 มม. รูปไข่ยาว ปลายแหลม รูปเรือ แหวนเกสรสูง 2-3 มม. รังไข่สูงประมาณ 2 เท่า เกสรเพศผู้มี 6 อัน เป็นใยสั้น สูงประมาณครึ่งหนึ่งของกลีบดอก อับเรณูยาว 1.75 มม. เกสรเพศเมียขนาด 2.5 x 2.5 มม. รูปทรงกลม ผิวเกลี้ยง ปลายแยกเป็นแฉก ยาว 3-4 มม. เรียวยาว กลีบดอกเกือบเท่ากัน ผลอ่อนรูปรีหรือรูปขอบขนาน สีเขียว ขนาด 0.8 x 0.6 ซม.เมื่อผลสุกจะยาว 0.10-1.3 x 0.7-0.8 ซม.และสีแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งในที่ร่มรำไรและสภาพความชื้นปานกลางและไม่ต้องการน้ำมาก ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี ไม่สามารถทนต่อความร้อนอบอ้าวและสภาพลมแรงได้ การป้องกันจากลมแรงป้องกันความเสียหายของใบไม้
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก
การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ(เช่น 18-18-18)ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดอาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังแมลงเกล็ดและไรเดอร์
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์
ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับสามาถปลูกเป็นปาล์มประดับกระถางในที่ร่มรำไร
สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants)  คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ  ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm
ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกกอ หรือเพาะเมล็ด


กะพ้อแดง/Licuala paludosa

[lik-oo-AH-lah] [pahl-oo-DOH-sah]

Picture---Hawaiian Tropical Botanical Garden.Photo.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala paludosa Griff.(1844)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667927-1#synonyms
---Licuala amplifrons Miq.(1861)
---Licuala aurantiaca Hodel (1997)
---Licuala oxleyi H.Wendl.(1878)
---Licuala paniculata Ridl.(1921)
---Licuala spinosa subvar. brevidens Becc.(1886)
ชื่อสามัญ---Swamp Fan Palm, Mangrove fan palm, Golden Licuala
ชื่ออื่น---กะพ้อแดง กะพ้อ(ทั่วไป), กูวาแมเราะ (มลายู - นราฯ ) ขวน, พ้อพรุ (นราธิวาส) ; [CHINESE: He an zhou lü.]; [GERMAN: Strahlenpalme.];[MALAYSIA: Palas.];[PORTUGUESE: Palmeira-licuala-gigante.];[THAI: Ka pho daeng, Ka pho (General); Ku-wa-mae-ro (Malay-Narathiwat); Khuan, pho phru (Narathiwat).];[VIETNAMESE: Cdy mat cat, Na lat nan.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---  LCLSS (Preferred name: Licuala sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามัน, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อของสปีชีส์ 'paludosa' มาจากภาษาละติน "paludis" = ของหนองน้ำโดยอ้างอิงถึงแหล่งที่อยู่อาศัยที่มันเติบโต
Licuala paludosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2387


Picture---Tasek Merimbun Heritage Park, Brunei Darussalam.Photo by Mike Gray.                                        https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa
Picture---Hawaii. Photo by Frolikaual.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa
ที่อยู่อาศัย--- พบใน หมู่เกาะอันดามัน, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย (สุมาตรา), อินโดนีเซีย (บอร์เนียว) เติบโตป่าในที่ราบลุ่มและภูเขาในมาเลเซีย ขึ้นตามป่าพรุ ในที่ลุ่มและป่า Kerangas ในเกาะบอร์เนียว ในประเทศไทยพบเติบโตตามป่าพรุชายฝั่ง ที่ระดับความสูงประมาณ 900-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอลักษณะสูงได้ถึง 1-7 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 5-7 ซม.ใบรูปพัด (palmate) กว้าง 1-1.5 เมตรก้านใบยาว 1- 2.5 เมตร มีสีตั้งแต่สีน้ำตาลแกมเขียวถึงน้ำตาลส้ม มีหนามแหลมสีดำ ยาว 2-3 (– 5) มม.ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 1.5–2 เมตร แยกแขนงสั้นมี 6-7ช่อ แต่ละช่อยาว 25-50 ซม.ดอกไม้มากถึง 150 ดอก ในหนึ่งช่อย่อย ผลกลมขนาด 6-8 มม.เนื้อบางผลอ่อนสีเขียวผลสุกสีส้มแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้เฉพาะในภูมิอากาศเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนที่มีอุณหภูมิในฤดูหนาวประมาณ 16 °C ในสภาพอากาศที่หนาวจัด มันจะต้องได้รับการปกป้องในเรือนกระจกที่อบอุ่นในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ต้องการตำแหน่งทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง มีที่กำบังจากลมแรง และความชื้นแวดล้อมมากกว่า 70% ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี สามารถปรับตัวอยู่ในที่น้ำแช่ขังหรือน้ำแห้ง ไม่สามารถทนต่อความร้อนอบอ้าวและสภาพลมแรงได้ อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษาต่ำ หายากในการเพาะปลูก
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก ชอบดินชื้นอิ่มตัว พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อรักษาระดับความชื้น ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง เพียงนำใบแห้งออกเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ใส่ปุ๋ยน้ำในปริมาณที่เจือจางเดือนละ 1 ครั้งในช่วงฤดูปลูกหรือให้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าในปริมาณเต็มที่ 1 ครั้งในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและอีก 2 ครั้งในช่วงฤดูร้อน โดยใช้ NPK 15-5-10 ดีที่สุด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังแมลงเกล็ดและไรเดอร์/ อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์---พืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ใบใช้ห่ออาหาร เช่นข้าวเหนียว
ใช้กิน---ใบ ใช้ในอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับอาหารแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Ketupat ซึ่งเป็นเกี๊ยวที่ทำจากข้าวที่ทำในถุงเล็ก ๆ
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เป็นปาล์มที่เป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ Golden Licuala โดดเด่นเป็นพิเศษและทำให้เป็นไม้ประดับที่พึงปรารถนาคือกาบใบและก้านใบสีส้มสดหรือสีเหลืองทอง เหมาะสำหรับปลูกประดับในที่ร่มรำไรหรือกลางแจ้ง หรือปลูกเป็นไม้กระถางแล้วยกแช่ในน้ำได้
อื่น ๆ---ใบใช้เพื่อทำหมวกและตะกร้าขนาดเล็ก นำมาใช้บนชายฝั่งของเอเชียและในซีลอนแทนกระดาษ ลำต้นใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในท้องถิ่น
ภัยคุกคาม---เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ Boneo อันกว้างใหญ่ของป่าลุ่มเป็นภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับพืชชนิดนี้ จากข้อมูลปัจจุบัน พื้นที่ของมันในเกาะบอร์เนียวลดลงเหลือประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร มันยังคงกระจายอยู่ในอาณาเขตของคาบสมุทรอินโดจีน ถูกจัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท "ไม่ได้รับการประเมิน"
สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated อนุกรมวิธานนี้ยังไม่ได้รับการประเมินสำหรับ IUCN Red List of Threatened Species.
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ


กะพ้อเตี้ย/Licuala rumphii

[lik-oo-AH-lah] [ruhm'-fee]

 

Picture---Photo-ASEAN Tropical Plant Database.http://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_rumphii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala rumphii Blume  (1838)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667954-1#synonyms
---Corypha licuala Lam.(1786)
ชื่อสามัญ---Celebes Fan Palm, Lontar tree.
ชื่ออื่น---กะพ้อเตี้ย ; [INDONESIA: Koal.];[THAI: Ka pho tia (General);
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LCLRU (Preferred name: Licuala rumphii.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อของสปีชีส์ 'rumphii' ตั้งชื่อตาม Georg Everhard Rumpf (ละตินเป็น Rumphius) ผู้เขียนพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 18 ภาษาเยอรมันชื่อ Herbarium Amboinense
Licuala rumphii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2381
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดใน Sulawesi (Celebes) และ Moluccas ในอินโดนีเซีย เจริญเติบโดได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ชอบตำแหน่งที่อบอุ่นร่มรื่นและชื้น
ลักษณะ--- เป็นปาล์มขนาดเล็กมีหลายลำต้นแตกกอพุ่มเตี้ย อาจสูงได้ถึง 4 เมตร ใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักเว้าลึกถึงสะดือ มีใบย่อย 6-10 ใบ ใบกลางมีขนาดใหญ่สุด ใบย่อยแต่ละใบจีบพับปลายใบจักเว้าตื้น แผ่นใบกว้าง 40-80 ซม.ขอบใบก้านมีหนามแข็ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ผลสีแดงมันวาว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในสภาพอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (Cold Hardiness Zone: 10a) ในตำแหน่งทั้งในที่ร่มรำไรและแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) มีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินตลอดเวลาด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา ซึ่งช่วยให้ดินอุดมด้วยสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย รากของลิกัวลานั้นตื้นและแผ่กว้าง ดังนั้นมันจึงชอบที่จะแทรกตัวเข้าไป อย่าปล่อยให้น้ำขังนิ่ง พืชในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง เพียงนำใบแห้งสีน้ำตาลออกเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช/ แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของวัสดุ
ใช้เป็นยา--- *พืชชนิดนี้ได้รับการกล่าวถึงใน Ambonese Herbal ซึ่งเป็นแคตตาล็อกพืชสมุนไพรของ Ambon ซึ่งเป็นเกาะในหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1657 เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับพืช 1,300 ชนิดที่ใช้รักษาโรคในอินโดนีเซียในศตวรรษที่ 17 ซึ่งรวบรวมโดยพนักงานของบริษัท Dutch East Indies มีรายงานว่า L. rumphii ใช้รักษาวัณโรคและลำไส้ใหญ่อักเสบ และปัจจุบันนักวิจัยทางการแพทย์กำลังมองว่า L. rumphii เป็นแหล่งยาปฏิชีวนะ ยาต้านอาการท้องร่วง และยาต้านการติดเชื้อที่เป็นไปได้ (PACSOA) https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_rumphii
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- ความแข็งแรง และขนาดกระทัดรัด ทำให้เป็นปาล์มที่เหมาะสมสำหรับปลูกในบ้าน ปลูกเป็นไม้กระถางใช้ประดับได้ทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง
อื่นๆ--- ส่วนกลางที่กว้างที่สุดของใบอ่อนใช้ห่อผลไม้และอาหาร ใบอ่อนตากแห้งนำมาใช้มวนบุหรี่
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ


กะพ้อใบกลม/Licuala orbicularis

[lik-oo-AH-lah] [ohr-bik-koo-LAHR-is]


Picture---Sempadi, Sarawak, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
Picture---Photo by Rudy Meyer, www.palmseeds.com.au https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_orbicularis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala orbicularis Becc.(1889)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667923-1#synonyms
---Pritchardia grandis H.J.Veitch.(1885)
---Licuala veitchii W.Watson ex Hook.f.(1889)
ชื่อสามัญ---Parasol Palm
ชื่ออื่น---กะพ้อใบกลม (ทั่วไป) ; [FRENCH: palmier parasol.]; [SARAWAK: biris, biru balat, biru bulat, biru ruai, berupat.]; [SINGAOORE: daun nisang, gereneh.];[THAI: ka pho bai kjom (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LCLOR (Preferred name: Licuala orbicularis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ซาราวัก บอร์เนียว อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อเฉพาะคือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "orbicularis" = วงกลมโดยอ้างอิงถึงรูปร่างของใบไม้
Licuala orbicularis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2332

Picture---Photo by Altaic. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_orbicularis
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว (ซาราวักตะวันตกเฉียงใต้) พบได้ในป่า Kerangasในป่าเต็งรัง ในหุบเขาชื้นและเนินเขา ที่ระดับความสูง 20-550 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว ลำต้นสั้นติดดิน แต่แตกกิ่งก้านชูใบสูง 80-1.5 ซม. ใบมีขนาดใหญ่เรียบง่ายมีโครงร่างเป็นวงกลมและค่อนข้างแบนสวยงามมาก ใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักฟันเลื่อย ไม่แตกออกจากกัน สีเขียวเป็นมัน แผ่นใบขนาด70-100ซม.ขอบก้านใบยาวบางมีหนามแข็ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ตั้งตรงแล้วโค้ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) สีขาว ผลกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 ซม.สุกสีส้มแดง เมล็ดสีแดงผิวเรียบมัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเล็กน้อยซึ่งมีอุณหภูมิ ไม่ต่ำกว่า 22 ° C ต้องการตำแหน่งกึ่งเงาถึงร่มเงา มีที่กำบังจากลมแรง ความชื้นในอากาศสูง ชอบดินร่วนชื้นเป็นกรดเล็กน้อย มีการระบายน้ำดี และมีธาตุอาหารต่ำโดยเพาะไนโตรเจน(N)
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเป็นระยะด้วยผลิตภัณฑ์ที่สมดุล โดยมีองค์ประกอบขนาดเล็กในรูปของคีเลตในปริมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำในบรรจุภัณฑ์ เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
การใช้ประโยชน์---โดยทั่วไปแล้วพืชจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ใบมุง ทำหมวก ฯลฯ พืชยังปลูกเป็นไม้ประดับ มีคุณค่า
ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางหรือที่ร่มรำไร ต้นปาล์มที่งดงามที่สุดต้นหนึ่ง แต่ค่อนข้างหายากในการเพาะปลูก สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายใน อุปสรรคสำคัญคือความชื้นไม่เพียงพอ อาจพยายามเพิ่มความชื้นด้วยการพ่นละอองน้ำฝนบ่อยๆ หรือโดยระบบ Reverse Osmosis ที่อุณหภูมิห้อง
อื่น ๆ--- ใบนำมามุงหลังคาทำที่พัก ชั่วคราว ใช้เป็นวัสดุทำหมวก 'Langko' และใช้เป็นวัสดุห่อหุ้มข้าวสุก, ยาสูบ ฯลฯ
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด แช่เมล็ดในน้ำอุ่นเป็นเวลาสองวัน เพาะในดินร่วนอินทรีย์ที่มีความชื้นที่อุณหภูมิ 25-28 °C โดยมีเวลางอกที่อาจแตกต่างกันไปตั้งแต่หลายเดือนถึงหนึ่งปี

กะพ้อสี่สิบ/Licuala distans

[lik-oo-AH-lah] [DIHS-tahns]

 

Picture---2015. Photo by Philippe Alvarez.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_distans
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala distans Ridl.(1920)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667864-1
ชื่อสามัญ---None (Not recorded).
ชื่ออื่น---กะพ้อสี่สิบ(ทั่วไป), หมากกะพ้อสี่สิบ, ชิง (ภาคใต้) ; [THAI: Ka pho si sip (General); Mak ka pho si sip, Ching (Peninsular).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LCLSS (Preferred name: Licuala sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ "distans" = การแยก อ้างอิงถึงก้านใบที่แยกห่าง
Licuala distans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2463
ที่อยู่อาศัย--- พบครั้งแรกที่เกาะน้อย จังหวัดพังงา เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่ขึ้นอยู่ในจังหวัด ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี และประจวบคีรีขันธ์
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูง 6-7เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5.5–10 ซม.มีทางใบอยู่บนต้นจำนวน 12-15 ก้าน ใบรูปพัด (palmate) แผ่นใบกว้าง 100-120ซม.จักเว้าเป็นสะดือ 25-35 แฉก ขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ช่อดอกยาว 2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีขาว ผลรูปไข่ขนาด1.5-1.7ซม.ติดเมล็ดจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้พื้นล่างที่ชอบร่มเงาและความชื้นสูง ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง อุณหภูมิระหว่าง 25 ถึง 30 °C ความชื้นระหว่าง 70 ถึง 80% ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์ปีละ 2 ครั้งในช่วงต้นดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ร่วง เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ระวังขอบก้านใบมีหนามแหลม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นหนึ่งในปาล์มไทยที่หรูหราที่สุด หากนำมาปลูกประดับสวน ต้องหาที่ปลูกที่มีร่มเงา ลมสงบและความชื้นสูง หากลมพัดแรงจะทำให้ก้านใบหักเนื่องจากแผ่นใบใหญ่หนักแต่ก้านใบเรียวยาว ปลูกด้วยการเพาะเมล็ดทรงต้นจะสวยกว่าการแยกกอ ถ้านำมาปลูกเป็นไม้กระถางก็ปลูกได้อย่างสวยงาม จนกว่าต้นจะสูงถึง1.5เมตร ค่อยนำมาปลูกลงดิน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ

กะพ้อหนาม/Licula spinosa

[lik-oo-AH-lah] [spih-NO-sah]

 

Picture-Nong Nooch Botanic Gardens, Pattaya, Thailand. Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licula spinosa Wurmb.(1780)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Corypha pilearia Lour.(1790).
---Licuala acutifida peninsularis Becc.(1921)
---Licuala horrida Blume.(1838)
---Licuala pilearia (Lour.) Blume.(1838)
---Licuala ramosa Blume.(1830)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667962-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Spiny licuala, Spiny licuala palm, Good luck palm, Mangrove Fan Palm,
ชื่ออื่น---กะพ้อหนาม (ทั่วไป) ;[CHINESE: Ci shan ye zong, Ci zhou lü.];[PORTUGUESE: Palmeira-leque-de-espin-ho (Brazil).];[SPANISH: Licuala de manglar.];[FRENCH: Licuale épineuse, Palmier à helices.];[GERMAN: Mangroven Strahlenpalme, Mangroven Fächerpalme.];[INDIA: Jungli selai (Andaman Islands).];[INDONESIAN: Palas.];[KHMER: Pə'ao (Protial), Phaao.];[MALAYSIA: Palma, Palas tikus, Pokok Palas Duri (Malay).];[PHILIPPINES: Balabat, Balatbit, Likuala.];[PORTUGUESE: Palmeira-leque-de-espin- ho.];[SPANISH: Licuala de manglar.];[THAI: Ka pho nam (General.];[VIETNAMESE: Cay trui.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LCLSP (Preferred name: Licuala spinosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- จีน พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อสายพันธุ์ 'spinosa' จากภาษาละติน = หนาม อ้างอิงถึงหนามที่มีอยู่ตามขอบของก้านใบ
Licula spinosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich von Wurmb (1742–1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2323
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ (ทางตะวันตกของอินโดนีเซีย), ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สุมาตรา, ชวา, บอร์เนียว, กัมพูชา, ไหหลำ, ชวา, แหลมมลายู, พม่า, นิโคบาร์และเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบเป็นไม้ป่าทั่วไปทางภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบขึ้นในที่โปร่งชายเขา หรือขายน้ำที่เป็นดินตม และบนดอยที่ชุ่มชื้น
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอ สูงประมาณ 3-4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 5-10 ซม.มีเส้นใยและปกคลุมด้วยซากก้านใบในส่วนที่อายุน้อยกว่า ก้านใบมีหนามจากคอต้น ใบรูปพัด (palmate) ใบกลมสีเขียวเข้ม ยาวประมาณ 50-65 ซม. กว้างประมาณ 80-150 ซม.ขอบใบหยักลึกถึงกลางใบและมีรอยจีบ ก้านใบ/ฐานใบ ยาว 25 -45 ซม.สีเหลืองเขียว มีหนามแหลมคมขนาดใหญ่สีเข้มตามขอบ ช่อดอกออกจากซอกกาบใบตั้งตรงหรืองอโค้งลง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) มีช่อดอก 7-9 ช่อ ยาวประมาณ 1.5-3 เมตร.ดอกสีขาวครีม ผลกลมเรียบเกลี้ยงจำนวนมากขนาดอก 6.5-8.5 มม.ผลอ่อนสีเขียวมะกอกและเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงสีแดงสดเมื่อผลแก่ เมล็ดกลมเรียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-6 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและเขตร้อน และเขตหนาวเหน็บ (USDA Hardiness Zone: 9B - 10B) ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน) ร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่องกันในช่วงเช้าหรือบ่าย) และตำแหน่งที่มีร่มเงาเต็ม (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเช้า) ชอบดินชื้นตลอดเวลา ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหาร เช่นขอบบ่อและลำธาร ใกล้กับน้ำกร่อยก็ปลูกได้ ค่า pH 6.6 - 7.5 ( เป็นกลางถึงเป็นด่างเล็กน้อย) และถูกจัดว่าเป็นพืชในสกุลที่มีความทนทานต่ออุณหภูมิต่ำสุด ( -3 °C ) อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
---สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนจาก Licualas ทั่วไปตรงที่ทนความหนาวเย็นได้ และชอบแสงแดดจัด นอกจากนี้ ยังชอบน้ำมาก และมักจะมีความสุขมากในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี  (Mike Gray) https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์ปีละ 2 ครั้งในช่วงต้นดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ร่วง เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์/ อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ระวังขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยา ฯลฯและมักจะปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้กิน--- หน่ออ่อน ดิบหรือสุก กินเป็นผัก
ใช้เป็นยา--- เปลือกไม้ใช้ร่วมกับพืชชนิดอื่นเพื่อรักษาวัณโรค
- ในเมือง Nagaland ประเทศอินเดียเมล็ดใช้สำหรับรักษาอาการไอหอบหืดและมีไข้
ใช้ปลูกประดับ--- กะพ้อต้นนี้เป็นปาล์มประดับแบบใบพัดที่หาดูยากไม่ค่อยมีใครนำมาปลูกประดับบ้าน เพราะหนามที่แหลมคมทั่วทั้งต้น มักจะนำไปปลูกในสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ที่ห่างทางสัญจร
อื่น ๆ--- ใบอ่อนใช้สำหรับห่ออาหารเช่น ขนม ข้าวเหนียว ลำต้นใช้ในการทำเครื่องมือจับ ในหมู่เกาะอันดามันใบใช้สำหรับทำเสื้อผ้า
ระยะเวลาออกดอก---ต้นฤดูร้อน-ปลายฤดูร้อน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ใน 6-8 สัปดาห์

กะพ้อหนู/Licula triphylla

[lik-oo-AH-lah] [trih-FILL-ah]

 

Picture---Nong Nooch Botanic Gardens, Pattaya, Thailand. Photo by Paul Craft. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala triphylla Griff. (1845)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667971-1#synonyms
---Licuala filiformis Hodel.(1997)
---Licuala pygmaea Merr.(1929)
---Licuala stenophylla Hodel.(1997)
---Licuala ternata Griff. ex Mart.(1849)
---Licuala triphylla var. integrifolia Ridl.(1907)
ชื่อสามัญ--- Three leaf palm
ชื่ออื่น---กะพ้อหนู,กะพ้อนกแอ่น(ปัตตานี), ชิงหางหนู(ภาคใต้), ปาละติกุ(มาเลย์-ปัตตานี);[THAI: Ka pho hnoo, Ka pho nok aen (Pattani);Ching hang nu (Peninsular);Pa-la-ti-ku (Malay-Pattani).];[MALAYSIA: Palas.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LCLTR (Preferred name:  Licuala triphylla.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว คาบสมุทรมาลายา สุมาตราและประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อสายพันธุ์ 'triphylla' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษากรีก 'tries'= สามและ'phyllon'= ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงใบไม้ที่แบ่งเป็นสามส่วน
Licuala triphylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2387
ที่อยู่อาศัย--- สายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว, คาบสมุทรมาเลเซีย, สุมาตราและประเทศไทยเติบโตในป่าชั้นล่างของงป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 700 เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นทั่วไปตามทุ่งนาชายน้ำ และป่าที่ลุ่มเกือบทั่วจังหวัดนราธิวาสและภาคใต้
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ต้นเตี้ยมากสูงเพียง 50 ซม.ถึงจะโตเต็มที่ก็จะไม่เกิน1เมตร มีส่วนของลำต้นใต้ดินโค้งงอเป็นข้อปล้องสั้นๆและไม่พัฒนาเป็นลำต้นเหนือพื้นดินจริง ใบรูปพัด (palmate) มี 6-10ใบ เกิดจากฐานตั้งตรงหรือโค้งยาวถึง1.5เมตร ก้านใบย่อย ยาว 0.5-1 เมตร แผ่นใบหยักเว้าลึก3-5แฉก สีเขียวคล้ำทั้งสองด้าน ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ก้านช่อดอกยาว 15-40 ซม.กระจายออกเป็นช่อตั้งตรงหรือโค้ง สั้นกว่าใบ ดอกสีขาวเล็ก ๆ มีความยาวประมาณ 4 มม.ผลกลม รียาว 1ซม.มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8-1 ซม.ผลอ่อนสีเขียว สีส้มเมื่อสุก มีเมล็ดกลม 1 เมล็ด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ในที่ร่มถึงร่มรำไร อุณหภูมิระหว่าง 25 ถึง 30 °C อุณหภูมิฤดูหนาวต่ำสุดที่ 16 °C และความชื้นโดยรอบกว่า 70%  หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงในระหว่างวัน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ดินเป็นกรด ด่าง เป็นกลาง และการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ   
การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ชอบดินชื้นตลอดเวลา ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งเป็นประจำ เพียงนำใบสีน้ำตาลหรือใบแห้งสนิทออก
การใส่ปุ๋ย--- ใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์อุดมไปด้วยสารอาหารและมีอัตราส่วน NPK ที่สมดุล พืชในกระถางและพืชในร่ม ใช้ปุ๋ยละลายน้ำเจือจาง
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานโรคและศัตรูพืช ระวัง แมลงเกล็ด (Scale insects)
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ จัดเป็นไม้ประดับที่มีพุ่มสวยงามแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก ใช้เป็นพืชคลุมดินในงานภูมิทัศน์ สวนสาธารณะ บ้านพักอาศัย และสวนทั่วไป เหมาะที่จะปลูกแต่งไว้ตามสวนชายน้ำ หรือเป็น ไม้กระถางในที่ร่มรำไร
สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พื้นเมืองสิงคโปร์ สูญพันธุ์ (EX - Extinct )
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ทำความสะอาดเยื่อกระดาษก่อนหน้านี้ และเก็บไว้ในน้ำอุ่นเป็นเวลาสองวัน ในดินร่วนปนอากาศและดินร่วนที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 26-28 °C

สกุล Wallichia Roxb. อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Coryphoideae เผ่า Caryoteae มี 8 ชนิด พบที่อินเดีย บังกลาเทศ จีนตอนใต้ พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)

เขือง (เต่าร้างหนู)/Wallichia caryotoides

[wahl-lik-EE-ah] [kahr-ee-oh-toh-EE-dehs]

 

Picture---Leu Gardens, Orlando Florida. Photo by Geoff Stein.
Picture---Thailand. https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_caryotoides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wallichia caryotoides Roxb.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214126
---Harina caryotoides (Roxb.) Buch.-Ham.(1826.)
---Harina wallichia Steud. ex Saloman.(1877)
---Wallichia mooreana S.K.Basu.(1983)
---Wrightea caryotoides (Roxb.) Roxb.(1832)    
ชื่อสามัญ---Thai Dwarf Fishtail Palm, Wallich palm.
ชื่ออื่น---เขือง (เชียงใหม่), ขี้หนาง (ภาคเหนือ), เต่าร้างหนู (กรุงเทพฯ), เต่าร้างหนูใหญ่ (ตรัง) ;;[BANGLADESH: Chilputta.];[CHINESE: Qin ye wa li zong, Walizong.];[MYANMAR: Saingpa, Zanong.];[THAI: Khueang (Chiang Mai); Khi nang (Northern), Taou-rung-nu (Bangkok); Tao rang nu yai (Trang).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---WLLSS (Preferred name: Wallichia sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Wallichia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Dr.Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ; ชื่อสายพันธุ์ 'caryotoides' หมายถึง ที่ดูเหมือน Caryota จากภาษากรีก " eidos" = ความคล้ายคลึง อ้างอิงถึง Caryota  
Wallichia caryotoides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363


Picture---Photo: Sierra Sunrise. https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_caryotoides
ที่อยู่อาศัย--- พบใน จีน (ยูนนาน) บังคลาเทศ อินเดีย (อรุณาจัลประเทศ ตริปุระ) พม่า (คะฉิ่น มอญ ยะไข่ สะกาย) ไทย เติบโตในที่ลุ่มถึงป่าดิบชื้น ใกล้แหล่งน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่เป็นหินบนเนินเขาสูงชัน ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-1,800 เมตร ในประเทศไทยพบกระจายทางภาคเหนือ และภาคใต้ที่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และตรัง ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 500–1,200 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มขนาดเล็กแตกกอต้นสูงได้ถึง 2-3 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2-10 ซม ทางใบยาว 0.8-1.5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ก้านใบประกอบยาว 0.8–1.5 ม.ขอบกาบใบมีเส้นใยหนาแน่น ใบย่อยมี 8–12 ใบ เรียงสลับระนาบเดียว รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก มักจัก 2 พู ยาวได้ถึง 50 ซม. ปลายจักไม่เป็นระเบียบ ขอบใบจัก บิดเป็นลอน ใบสีเขียวเข้มด้านบนและสีเงินด้านล่าง ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (infrafoliar) ช่อดอกแบบช่อเชิงลดแยกแขนง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเพศผู้ออกด้านข้าง ยาว 40–50 ซม.ก้านช่อดอกยาว 20-25 ซม.ดอกเรียงเวียนเป็นกระจุก แต่ละกระจุกมีดอกเพศผู้ 2 ดอก และดอกเพศเมียที่เป็นหมันหนึ่งดอก ดอกเพศผู้ยาว 5–6 มม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 3 กลีบ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันที่โคน กลีบดอกแยกกัน เกสรเพศผู้มี 11–16 อัน ช่อดอกเพศเมียออกที่ยอด ตั้งขึ้น ยาวเท่า ๆ ช่อดอกเพศผู้ ดอกเพศเมียยาวประมาณ 3 มม.ไม่มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน รังไข่มี 3 ช่อง ผลรูปไข่รียาว 1.7 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 0.8 ซม.ผลแก่สีแดง (Palms of Thailand thaipalm.myspecies.info/taxonomy)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zones 9b-11) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องในช่วงเช้า) ในที่ร่ม (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงบางชั่วโมงต่อวัน) และชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง  
การตัดแต่งกิ่ง---พืชทำความสะอาดตัวเองได้ (ทิ้งใบเอง) เล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ พืชมีกรดออกซาลิก น้ำผลไม้อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกเป็นไม้กระถางในตำแหน่งที่จะรักษาสีเขียวเข้มที่ดีที่สุดไว้ในที่ร่มบางส่วนถึงเต็ม หรือในที่มีแสงแดดส่องถึงบ้างในระหว่างวัน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

เขืองหลวง/ Caryota maxima

[kahr-ee-OH-tah] [MAHKS-ih-mah]

 

Picture---Huntington Botancial Gardens, southern California. Photo by Geoff Stein.                                      https://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_maxima
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota maxima Blume.(1838)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665614-1#synonyms
---Caryota rumphiana var. javanica Becc.(1877)
ชื่อสามัญ--- Giant Mountain Fishtail Palm, Ko Jung Fishtail Palm, Jaggery palm, Toddy palm
ชื่ออื่น---เขืองหลวง, เขืองใหญ่, เต่าร้างดอย (ภาคเหนือ), จอย (แม่ฮ่องสอน), เต่าร้างยักษ์ (ภาคใต้) ;[CHINESE: Yu wei kui.];[FRENCH: Caryota himalaya.];[GERMAN: Himalaja-Fischschwanzpalme.];[ITALIAN: Palma da zucchero.];[MALAY: Rabuk gunung.];[RUSSIAN: Kariota bol'shaya.];[SPANISH: Palmera montana gigante de cola de pez.];[THAI: Khueang luang, Khueang yai, Tao rang doi (Northern); Choi (Mae Hong Son); Tao rang yak (Peninsular).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CAWMA (Preferred name: Caryota maxima.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ภูฏาน พม่า จีนตอนใต้ เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' เป็นคำภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก "karyon" = ผลปาล์มอินทผลัม ; ชื่อของสายพันธุ์ 'maxima' คือคำภาษาละติน =ที่ใหญ่ที่สุด อ้างอิงถึงขนาดที่ใหญ่ของพืชในสกุล
- ชื่อสามัญ Fishtail Palm หมายถึงรูปร่างของใบย่อยเป็นรูปหางปลา
Caryota maxima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2381
ที่อยู่อาศัย--- พบตามถิ่นกระจายพันธุ์ใน อินเดีย ภูฏาน พม่า จีนตอนใต้(ไหหลำ กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน) เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย เกาะสุมาตรา เกาะชวา  เวียดนาม ลาว ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น มักพบตามพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ตั้งแต่ระดับความสูง 200-2,200 เมตร ในประเทศไทยพบได้ไม่บ่อยนักในป่าชื้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ที่ระดับความสูง 1000-1500 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดใหญ่ลักษณะต้นสูงได้ถึง 30-35 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25-65 ซม ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) 10-20 ทาง ก้านใบอ้วนยาว 8-50 ซม. แผ่นใบยาว 2.70-5 ม. มีใบย่อยด้านล่ะ 15-27 ใบ มีใบย่อยชั้นที่สองรูปสี่เหลียมข้าวหลามตัดยาว ขอบปลายใบหยัก ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ช่อดอกห้อยลงออกจากปลายไล่ลงมาทางด้านล่างของลำต้น 3-5 ช่อ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน (monoecious) ก้านช่อดอกยาว 1-1.5 เมตร มีช่อย่อยจำนวนมาก 80-170ช่อ  ดอกเพศผู้ขนาด 15 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอกสีเหลือง 12-15 มม. เกสรเพศผู้ 80-100; ดอกเพศเมียขนาด 10 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอก 6-8 มม.ผลกลมสุกสีแดง ผลมีขนาด 2-2.5 ซม.ส่วนมากมีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA zone: 8b) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่ 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในบ่าย) เช้าปรับตัวได้ทุกสภาพดินแต่ต้องมีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (-7°C) อัตราการเจริญเติบโตเร็ว ความสูงถึง 2 เมตรต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างเพียงพอทุกๆ 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ตลอดฤดูหนาวไม่ต้องรดน้ำเพิ่มเติม ความถี่ในการรดน้ำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมากยกเว้นดินแห้ง การใช้น้ำกรองรดพืชสามารถช่วยได้ เนื่องจากน้ำประปาอาจมีอนุภาคที่เป็นอันตรายต่อพืช
การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งในปริมาณมาก หากต้องการควบคุมขนาดต้นปาล์ม สามารถตัดแต่งได้ตามต้องการ แต่ระวังอย่าตัดแต่งกิ่งเกินหนึ่งในสามของขนาดต้น
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้งโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ละลายช้าห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์และแมลงเกล็ดอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพืชที่ปลูกในร่ม/ไวต่อโรคเหลืองตาย (LY: Lethal yellowing disease)
รู้จักอ้นตราย---ผลไม้มีผลึกออกซาเลต น้ำผลไม้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอด ใบอ่อนกินเป็นผัก
ใช้เป็นยา--- ราก กินสดแก้ท้องอืด
ใช้ปลูกประดับ---เหมาะสำหรับปลูกประดับจัดสวนลงแปลงกลางแจ้งให้เป็นธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมว่าเป็นปาล์มที่ใหญ่มาก หาตำแหน่งปลูกในสวนขนาดปานกลางควรคิดสองครั้ง เผื่อโตไว้ เพราะเป็นปาล์มโตเร็วและขนาดใหญ่มาก
อื่น ๆ---เปลือกลำต้น ทุบทำเส้นใยทอผ้า เส้นใยใช้เป็นเชื้อไฟ
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
 

จากเขา/Eugeissona tristis

[yoo-gee-SOHN-ah] [TREES-tiss]


Picture---Photo-Rare Palm Seeds.com. https://www.palmpedia.net/wiki/Eugeissona_tristis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Eugeissona tristis Griff. (1845)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666869-1/general-information
ชื่อสามัญ---Dull Bertam Palm, Bertam, Wild Bornean sago, Mountain Nipa, Wild sago
ชื่ออื่น---จากเขา, จากเงาะ (นราธิวาส); จากจำ (ปัตตานี, ยะลา); ซือแด (มาเลย์-นราธิวาส)  ;[INDONESIA: Ato, Bertam, Kajatao, Pantu, Nanga, Pijatau.];[MALAYSIA: Bertam (Malay).];[THAI: Chak khao, Chak ngo (Narathiwat); Chak cham (Pattani, Yala); Sue-dae (Malay-Narathiwat).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---EUGTR (Preferred name: Eugeissona tristis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขตกระจายพันธุ์---ตอนใต้ของไทยและมาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Eugeissona' มาจากภาษากรีก “eu”= ดี และ “geisson” = หลังคา อ้างอิงถึงใบที่ใช้ทำหลังคาได้ดี ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tristis' จากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม (Proto-Indo-European) = โศกเศร้า อ้างอิงถึงอับเรณูยาวที่ห้อยย้อยลง
Eugeissona tristis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388
ที่อยู่อาศัย--- พบได้ทั่วไปบนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมาเลเซีย และภาคใต้ของประเทศไทย เจริญเติบโตในป่าหลากหลายประเภทตั้งแต่หนองน้ำจนถึงยอดเขา มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดบนสันเขาที่สูงถึง 1,000 เมตร. ในประเทศไทยพบในพื้นที่ ภาคใต้ตอนล่างที่ จังหวัดยะลา นราธิวาส ขึ้นตามที่ลาดชันหรือสันเขาในป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200-800 เมตร จากระดับน้ำทะเล
- พืชมักบุกรุกพื้นที่ป่าที่เพิ่งถูกถอนออก เจริญเติบโตในสภาพดังกล่าวและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มันถูกมองว่าเป็นวัชพืชโดยผู้พิทักษ์เพราะมันสามารถขัดขวางการสร้างใหม่ของต้นไม้ปกคลุม
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอมีหนามแหลมอย่างดุร้ายก่อตัวเป็นพุ่มไม้หนาทึบได้ถึง 12 ลำต้นเจริญเติบโตเป็นกอๆจนถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกอประมาณ 3 เมตร ล้อมรอบด้วยใบที่ตายเป็นเวลานาน ลำต้นสั้นทอดเลื้อยอยู่ใต้ดินยาว 1-1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.มีเนื้อไม้แข็งมาก แตกแขนงออกเป็นช่วงสั้นๆ  บางครั้งมีรากค้ำยันสูงถึง 1 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) จำนวนมากตรึงตั้งตรงขึ้นไป ทางใบสูงได้ถึง 10 เมตร แผ่นใบยาว 3-4.5 เมตร กาบใบยาว 60-90 ซม. มีหนามแหลมสีดำยาว 2.5 ซม.เรียงแบบไม่สม่ำเสมอลดขนาดไปทางปลายก้านใบ มีใบย่อยด้านละ 55 ใบ รูปแถบเรียงสลับ ขนาด 3-4 x 45-70 ซม. ช่อดอกออกระหว่างซอกใบ (interfoliar) เป็นช่อเชิงลดยาวและตั้งตรงสูงได้ถึง 5 เมตร มี 12-13 ช่อ ช่อดอกย่อยยาว 1.8 เมตร ใบย่อยของช่อดอกด้านข้างค่อยๆ ลดรูปลงจนเป็นใบประดับ กิ่งสุดท้ายที่แตกกิ่งก้านออกเป็นช่อเล็ก ๆ จำนวน 12–13 ใบ ประดับด้วยกาบสีน้ําตาลอย่างแน่นหนา ล้อมรอบดอกไม้คู่หนึ่งซึ่งประกอบด้วยดอกเพศผู้และดอกกระเทย ช่อดอกเพศผู้จะงอกออกมาก่อน ตามด้วยดอกกระเทย ดอกเพศผู้เกิดที่ก้านดอกสั้นยาว ซม. ยาว 6 ซม. สีน้ำตาลมันวาว กลีบเลี้ยงถึง 2 ซม., ริ้ว; กลีบดอกยาวถึง 6 ซม. ปลายโคนเป็นท่อ แยกออกเป็น 3 กลีบ ปลายแหลมเป็นไม้ เกสรเพศผู้ 22–27อัน อับเรณูยาว ห้อยย้อยลง ที่เกสรเพศผู้ ดอกกระเทยคล้ายกับดอกเพศผู้ แต่มีปลายแบนแบบไม่สมมาตร gynoecium ovoid มีจุดยอดเสี้ยมที่เห็นได้ชัดเจน มีดอกที่แข็งแรง มีอายุยืน (บางครั้งมากกว่า 4 เดือน) ผลรูปไข่ถึงเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวได้ถึง 7-9 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 ซม.สีน้ำตาล.ผิวผลเป็นเกล็ด ปลายยาวยื่นออกคล้ายลูกข่างมีจงอย ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด
- พืชเป็น Monocarpic เมื่อออกดอกลำต้นจะหยุดการเจริญเติบโตและตายในที่สุดแต่ยังคงเติบโตผ่านเหง้าซึ่งพัฒนาเป็นต้นใหม่ได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C (Cold Hardiness Zone: 11) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ขึ้นได้ในดินทุกสภาพ ตั้งแต่ดินเหนียวถึงทรายหยาบที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปริมาณมาก ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ลดการให้น้ำในฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---หมั่นตัดแต่งทางใบและใบที่ตายออก
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคมมาก ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---แม้ว่าจะไม่แพร่หลายในการเพาะปลูก แต่ก็มีการใช้อย่างกว้างขวางโดยคนในท้องถิ่นเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย พืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อเป็นอาหารและแหล่งวัสดุสำหรับทอผ้า บางครั้งนำมาใช้ปลูกประดับ
ใช้กิน--- ยอดอ่อนกินเป็นผัก ผลดิบอ่อนกินได้ เนื้อในเมล็ดกินได้คล้ายจาก เกสรดอกไม้กินได้
- รับประทานเป็นเครื่องปรุงสำหรับข้าวหรือสาคู รากที่สะสมแป้งเป็นอาหารหลักของชาวพื้นเมืองในเกาะบอร์เนียว
ใช้เป็นยา--- ผลไม้กินแก้โรคไต
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ใช้ปลูกในสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่
อื่น ๆ--- ชนเผ่าซาไกใช้ใบมุงหลังคา ทนกว่าใบจาก มีอายุการใช้งาน 4-5 ปี ทางใบ ถูกทำเป็น matting และใช้เพื่อทำผนังภายในและภายนอก ก้านใบนำมาทำเป็นลูกดอกสำหรับล่าสัตว์ รากทำเป็นวัสดุปูพื้นบ้าน รากค้ำยันนำมาทำเป็นไม้เท้าและของเล่น
ขยายพันธุ์---เมล็ด การเพาะเมล็ดใช้เวลากว่าจะงอกอย่างน้อย 3 เดือน

ตองหนาม/Salacca secunda

[SAH-lahk-kah] [seh-KOON-dah]


Picture---China, S.Yunnan, Xishuangbanna, june 1999. Photo: www.asianflora.com
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca secunda Griff.(1845).
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/670330-1
ชื่อสามัญ---Salacca
ชื่ออื่น---ตองหนาม, คาหาน (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Jeng-bet.];[CHINESE: Diān xī shé pí guǒ,];[FRENCH: Salacca de Chine.];[THAI: Tong hnam, Kha han (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---SAJSS (Preferred name: Salacca sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อัสสัม พม่า ไทย จีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Salacca' มาจากภาษามลายูท้องถิ่น "salak" หรือ "zalak" ; ชื่อเฉพาะ 'secunda' จากภาษาละติน = ซึ่งแตกต่างจากเลขสอง (2) อาจหมายถึง: Secunda (Hexapla)การทับศัพท์ภาษาฮีบรู-กรีกครั้งแรกของ The Old Testament ซึ่งมาจากผู้แต่ง Origen
Salacca secunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388
ทึอยู่อาศัย--- สายพันธุ์นี้พบได้ในอัสสัม, จีนตอนใต้-ตอนกลาง, พม่า, ไทย เติบโตในป่าเขตร้อน ป่าชั้นล่างของป่าดิบชื้น ป่าพรุผสมดินพรุบนหินปูนและในพื้นที่ที่ถูกรบกวน เติบโตที่ระดับความสูง 270-1,000 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กลักษณะต้นสูงได้ถึง 7 เมตร  กาบใบยาว 45-65ซม.ทางใบยาว 4 เมตร มีหนามแบนยาวเป็นแผงเวียนรอบก้านใบ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบย่อยด้านล่ะ 23-30 ใบอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ใบย่อยแผ่กางและอ่อนลู่ สีเขียวอมเหลือง ใต้ใบมีนวลสีขาว  ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างช่อในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเพศผู้ยาว 30-60 ซม. ช่อดอกเพศเมียยาว 25 ซม. ผลกลมขนาด 3x6 ซม.เมื่อสุกสีน้ำตาลเข้มเปลือกผลเป็นเกล็ดเรียงซ้อนเกยกัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย) อุณหภูมิที่เหมาะสม โดยปกติจะสูงกว่า 20 °C และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ไม่เคยต่ำกว่า 10 °C  ชอบดินที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ค่า pH 5.6-7.5 แต่ก็ขึ้นได้ในดินทุกสภาพตั้งแต่ดินเหนียวถึงทรายหยาบที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเติบโตรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งและอย่ารดน้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดทางใบแห้งและใบที่ตายแล้วออก
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้กินสดได้
ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกกลางแจ้งริมบ่อน้ำแล้วตัดแต่งให้สวยงาม
อื่น ๆ---ใบไม้สำหรับใช้มุง
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดที่แกะออกจากผลมีความสามารถในการงอกได้น้อยกว่า 2 สัปดาห์ ปลูกโดยตรงหรือในเรือนเพาะชำในดินร่วนอินทรีย์ที่ระบายน้ำได้อย่างสมบูรณ์ รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 26-28 °C

ตาลกิ่ง/Hyphaene coriacea

[high-FEHN-eh] [cor-ee-ah-SEH-ah]

         

Picture---Ventura County, California desert. Photo by Geoff Stein. https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hyphaene coriacea Gaertn (1788)
ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms.
---Basionym: Chamaeriphes coriacea (Gaertn.) Kuntze.(1891)
---Hyphaene baronii Becc.(1906)
---Hyphaene hildebrandtii Becc.(1906)
---Hyphaene shatan Bojer ex Dammer.(1900)
---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667492-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Lala Palm, Doum Palm, Ilala Palm, Southern Ilala palm, Gingerbread tree.
ชื่ออื่น---ตาลกิ่ง (กรุงเทพฯ); [AFRIKAANS: Lalapalm, Palmboom, Waaierpalm (Afr.);  Lilala (Swati); Nnala (Tsonga); Mulala (Venda); iLala (Zulu).];[CZECH: Dúma.];[GERMAN: Lala-Palme.];[KENYA: Bar, Makoma, Mede, Mkoma, Mlala, Qoone.];[MADACASCAR: Strana, Sata.];[SOUTH AFRICA: Anala, Ilala, Lilala, Mulala, Mala.];[TANZANIA: Kweche, Mkoma, Mkoma lume, Mkonko, Mlala, Mulala.];[THAI: Tan king (Bangkok).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---HHYCR (Preferred name: Hyphaene coriacea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---โซมาเลีย, แทนซาเนีย, เอธิโอเปีย, เคนยา, ควาซูลูนาทาล, มาดากัสการ์, มาลาวี, โมซัมบิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hyphaene' มาจากภาษากรีก 'hifinein' = 'เพื่อสาน' หมายถึงผลไม้ที่มีเส้นใยคล้ายตาข่าย (ชั้นกลาง) ของผลไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'coriacea จากภาษาละติน 'coriaceus' หมายถึงหนาและเหนียว อ้างอิงถึงผิวของผลไม้
Hyphaene coriacea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2331
ที่อยู่อาศัย---พืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของแอฟริกาใต้ (KwaZulu-Natal, Limpopo, Mpumalanga) สายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกาและบางเกาะระหว่างมาดากัสการ์และแอฟริกา มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตอนกลาง ตอนใต้ (เอธิโอเปีย เคนยา โมซัมบิก แอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ โซมาเลียและแทนซาเนีย) ฮวนเดอโนวาและมาดากัสการ์ตะวันตก พบตามทุ่งหญ้าสะวันนาและชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 0-300 เมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่สายพันธุ์ปาล์มที่เกิดขึ้นทั้งในมาดากัสการ์และแอฟริกา (Dransfield and beentje 1995, Dranfield 2010, Stauffer et al. 2014, Stauffer and Ouattara 2017 )
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกิ่งก้านสาขาที่ฐาน มักจะเติบโตจากจุดเดียวกัน 3-5 ต้นและอาจแตกอีกครั้งเมื่อต้นสูงขึ้น สูงได้ถึง 15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10-20 ซม.ทีรอยแผลเป็นจากฐานใบเก่าเป็นลายกากบาทเด่นชัด มีใบ 9-20 ใบในมงกุฏ ใบรูปพัด (Costapalmate) แกนโค้ง ก้านใบมีหนามสีดำหนาและโค้งงอ ขอบใบจักเว้าตื้นไม่ถึงครึ่งใบ ทางใบยาว 2 เมตร แผ่นใบสีเขียวอมเทา กาบใบแห้งติดทนนาน ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกจะแตกออกเป็นช่อยาวประมาณ 40-100 ซม.ช่อดอกบนต้นเพศผู้จะห้อยลงมาจากซอกใบ (Interfoliar) เช่นเดียวกับพืชเพศเมียซึ่งต่อมาจะมีพวงของผลจำนวนมาก โดยบันทึกได้มากถึง 2,000 ผลต่อต้น ผลรูปร่างคล้ายลูกแพร์มีเมล็ดเดียว ขนาด 5-6 ซม.เมื่ออ่อนสีเขียวเมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงน้ำตาล มีกลิ่นผลไม้ที่โดดเด่น เปลือกนอกเป็นมันวาวและเหนียว ผลใช้เวลาสองปีกว่าจะสุก ผลสุกอาจยังคงติดอยู่กับต้นไม้อีกสองปีก่อนที่จะร่วงลงพื้น เมล็ดรูปไข่หนึ่งเมล็ดยาวประมาณ 3 ซม.เอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกันโดยมีโพรงตรงกลาง


Picture 1---Female, bearing fruit. Southern California. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea
Picture 2---Southern California desert. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C เติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ทะเลทรายในแผ่นดินซึ่งมีอุณหภูมิมักจะเกิน 48°C ในฤดูร้อน ต้องการตำแหน่งที่มีแดดจัดแม้ในขณะที่พืชยังมีขนาดเล็ก 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เป็นสปีชีส์ที่ต้านทานความเย็นจัดได้มากที่สุดในสกุล และมักพบขึ้นตามป่าบนดินที่มีการระบายน้ำต่ำ ดินแห้งความอุดมสมบูรณ์ต่ำ อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก (ผลิตใบใหม่1ปี/1ใบ) มีอายุยืนประมาณ 100 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย เมื่อปลูกแล้วรากที่หยั่งลึกจะค้นหาน้ำใต้ดินทำให้มันทนแล้งอย่างมาก
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อโรคและแมลง
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ - ดิบ มีรสหวานและค่อนข้างน่ากิน แต่ผลไม้มีกากใยมากทำให้เป็นอาหารที่ไม่ดี แต่เด็กๆจะชอบกิน
- ของเหลวที่เหมือนนมจากเมล็ดอ่อนใช้เป็นเครื่องดื่มมีรสชาติคล้ายมะพร้าวและสีเหมือนกะทิ
- น้ำนมจะถูกรวบรวมโดยการตัดยอดของลำต้นที่กำลังเติบโตและเก็บเกี่ยวสารที่หลั่งออกมา จะถูกนำไปหมักเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คุณภาพต่ำ กล่าวกันว่ารสชาติเหมือนเบียร์ขิงเมื่อสุก
- ต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดกินเป็นผัก
ใช้เป็นยา--- เยื่อผลไม้ใช้สำหรับรักษาอาการปวดท้อง
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- ความงามของแอฟริกันปาล์มต้นนี้ มีลำต้นที่ต่ำและมีหลายสาขาที่เริ่มต้นการแตกกิ่งที่ระดับพื้นดิน ประกอบกับลำต้นหนาสีเทา ใบสีฟ้าอมเขียว และผลรูปลูกแพร์สีส้ม ทำให้มีลักษณะที่โดดเด่นมาก มีการใช้ในงานภูมิทัศน์ ไม่ใช่พืชสำหรับสวนขนาดเล็กต้องการพื้นที่สำหรับขยายตัว เป็นสายพันธุ์เดียวในสกุลที่มีขนาดเล็กพอสำหรับสวนทั่วไป จะพบได้ตามสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในบางครั้ง แต่ส่วนมากจะพบในสวนพฤกษศาสตร์
อื่น ๆ--- ที่นำมาใช้  เส้นใยใบใช้ในเครื่องจักสาน หมวก ทำเชือก ผลิตภัณฑ์จากใบมีจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เมล็ดใช้ทำเครื่องประดับ
- ผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับสัตว์โดยเฉพาะลิงบาบูนและช้างที่มีส่วนช่วยในการกระจายเมล็ด
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ไม่ต้องการหรือได้รับการปกป้อง Moll (1972) ประมาณการประชากรใน Kwazulu-Natal (KZN) เพียงอย่างเดียวที่มีมากกว่า 10,000,000 ต้น ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017)
Cosiaux, A., Gardiner, L.M. & Couvreur, T.L.P. 2017. Hyphaene coriacea. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T195994A2440415. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T195994A2440415.en. Accessed on 08 June 2023.
ระยะเวลาออกดอก---พฤศจิกายน-กุมภาพันธุ์ (แอฟริกา)
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดที่เพาะมีอัตราการงอก 66% ภายใน 3 สัปดาห์


ตาลกิ่ง/Hyphaene thebaica

[high-FEHN-eh] [theh-BIGH-kah]

 

Picture---https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_thebaica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hyphaene thebaica (L.) Mart.(1838)
ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms.
---Basionym: Corypha thebaica L.(1753).https://www.gbif.org/species/7931200
---Chamaeriphes thebaica (L.) Kuntze.(1891)
---Corypha thebaica L.(1753)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667540-1#synonyms
ชื่อสามัญ--- Doum Palm, Egyptian doum palm, African Doum Palm, Gingerbread Palm
ชื่ออื่น---ตาลกิ่ง (กรุงเทพฯ) ;[ARAB: Zembaba (Amharic); Dom, Dûm (Arabic).]; [FRENCH: Palmier fourchu, Palmier à ivoire, Palmier doum, Palmier pain d’épice.];[GERMAN: Agyptische Dumpalme, Dumpalme, Pfefferkuchenpalme.];[HEBREW: Dom mitzri.];[ITALIAN: Palma dum.];[PORTUGUESE: Palmeira Africana, Palmeira-doume, Palmeira-de-ramos, Palmeira-de-tebas.];[SPANISH: Duma, Palmera dum.];[THAI: Tan king (Bangkok).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---HHYTH (Preferred name: Hyphaene thebaica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มอริเตเนีย เซเนกัล อียิปต์ จิบูตี เอริเทรีย ซูดาน ไนจีเรีย ปาเลสไตน์ ซาอุดีอาระเบีย เคนย่า แทนซาเนีย แคเมอรูน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hyphaene' มาจากภาษากรีก 'hifinein' = 'เพื่อสาน' หมายถึงผลไม้ที่มีเส้นใยคล้ายตาข่าย (ชั้นกลาง) ของผลไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'thebaica' หมายถึงเมืองThebes เมืองหลวงเก่าของอียิปต์ตอนบน
Hyphaene thebaica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2381
ที่อยู่อาศัย--- พบได้ทั่วไปในอียิปต์ตอนบน แต่เดิมมีถิ่นกำเนิดในหุบเขาไนล์ เติบโตอยู่ใกล้แม่น้ำหรือพื้นที่ ที่มีสายน้ำใต้ดิน พบในหุบเขาแม่น้ำรอบโอเอซิสในที่ชื้นในทุ่งหญ้าและบนที่ราบน้ำท่วมถึงแต่ยังอยู่ในที่แห้งและทะเลทรายเปิดจากระดับน้ำทะเลถึง1,400 เมตร


Picture---Dungul Oasis, Egypt. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
Picture---Lobed fruit. Dungul Oasis, Egypt. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกิ่งโดยการแบ่งลำต้นแบบ dichotomic divisionในต้นที่โตเต็มวัย ตั้งแต่ระดับพื้นดินจนถึงยอด ลำต้นแตกเป็นสองกิ่งหรือมากกว่า สูงได้ถึง 10-17 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 30-45 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางกิ่งที่แตกออกมาประมาณ 15-25 ซม.โคนกาบใบติดแน่นกับลำต้น ใบรูปพัด (Costapalmate) แกนโค้ง ขอบใบจักลึกไม่ถึงครึ่งใบ แผ่นใบกว้าง1.2-1.8 เมตร ก้านใบยาว 1.5 เมตร ขอบกาบใบมีหนามแข็งสีดำ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกยาว 1.2 เมตร มีความคล้ายคลึงกันทั้งสองเพศคือแตกกิ่งไม่สม่ำเสมอและมีหนามแหลมสองหรือสามอันเกิดขึ้นจากกิ่งย่อยแต่ละกิ่ง ต้นเพศเมียจะออกผลเป็นไม้ขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 6 x 8 ซม ผิวผลมันสีน้ำตาลปนน้ำตาลเข้ม ผลกินได้รสหอมและหวานอร่อย ใช้เวลากว่าจะสุก 8-12 เดือน มีเมล็ดเดียว ซึ่งคงอยู่บนต้นเป็นเวลานาน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และอบอุ่น ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน)และดินมีการระบายน้ำได้ดีมาก ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -3 °C ในช่วงเวลาสั้นๆ ขึ้นได้ในดินหลายประเภทที่มีค่า PH 6.5-7.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย เมื่อปลูกแล้วรากที่หยั่งลึกจะค้นหาน้ำใต้ดินทำให้มันทนแล้งอย่างมาก ไม่ชอบดินที่มีน้ำขังอย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อโรคและแมลง
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ


ใช้ประโยชน์---ต้นปาล์มดัมได้รับการปลูกเพื่อการใช้งานที่หลากหลายมาเป็นเวลาหลายพันปีในอียิปต์ เป็นแหล่งอาหารท้องถิ่นที่สำคัญ พืชยังใช้เป็นยารักษาโรคและเป็นแหล่งวัสดุ ผลิตสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย
ใช้กิน--- ยอดอ่อนและต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ด กินเป็นผัก
- ผลไม้มีรสชาติของขนมปังขิง บางครั้งก็ทำเป็นน้ำเชื่อมหรือบดเป็นอาหาร ซึ่งทำเป็นเค้กและขนมหวาน
- ผลไม้ใช้ทำเครื่องดื่มเชิงพาณิชย์ใน ไนเจอร์ เรียกว่าTorridité Glacée รสชาดคล้ายกาแฟเย็นหรือช็อกโกแลตนม
- ใน Eritrea ชื่อของมันคือ Akat หรือ Akaat ในภาษา Tigre เปลือกสีน้ำตาลแห้งบางๆนำมาทำเป็นกากน้ำตาลเค้กและขนมหวาน  
- เมล็ดกินดิบ อุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีน ขี้เถ้าจากต้นสามารถใช้แทนเกลือได้ ไวน์ปาล์มเตรียมจาก sap
- เอนโดสเปิร์มของเมล็ดที่ยังไม่สุกจะนิ่มและมีช่องที่บรรจุของเหลวไว้ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติดีทางตอนเหนือของไนจีเรีย ส่วนเอนโดสเปิร์มของเมล็ดที่ไม่สุกรับประทานดิบหรือต้ม
- ในอียิปต์ผลไม้นั้นวางขายในร้านขายสมุนไพรและเป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ
ใช้เป็นยา--- เมล็ดใช้กับบาดแแผล ผลไม้แห้งและบดมีผลลดความดันโลหิตและภาวะไขมันในเลือดต่ำ
- รากใช้ในการรักษา bilharzia (เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวแบน)
- ในยาแผนโบราณในมาลีจะใช้รากมานวดที่หน้าอกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
- ในเบนิน ยาต้มจากใบของ Hyphaene thebaica และ Elaeis guineensis ส่วนทางอากาศของ Indigofera suffruticosa และผลของ Xylopia aethiopica ดื่มเป็นยารักษาโรคดีซ่าน
- เปลือกรากนำมาบดเป็นยารักษาอาการจุกเสียดในลำไส้และไส้เลื่อนขาหนีบ
- ในซูดานมีการใช้ใบใยอาหารแช่เป็นยาล้างตาสำหรับรักษาโรคตาแดง และผลจะรับประทานเพื่อป้องกันอาการปวดท้องและการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
ใช้ปลูกประดับ---ปาล์มที่มีภูมิทัศน์สวยงามและมีค่าเป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกเดี่ยวๆ ในพื้นที่กว้างในสวนขนาดใหญ่และสวนสาธารณะ
อื่น ๆ---ไม้สามารถตัดได้โดยใช้ขวาน แต่เลื่อยได้ยากเนื่องจากมีเส้นใยจำนวนมากที่ประกอบเป็นเนื้อไม้ กล่าวกันว่า ไม้
จากต้นพศผู้ดีกว่าต้นพศเมียเนื่องจากไม้ของต้นไม้เพศผู้แข็งและทนทานต่อปลวก ตกแต่งได้ดี ใช้ได้ดีในการก่อสร้าง ทำรั้ว สะพาน ปูพื้น ไม้หมอนรถไฟ  และการก่อสร้างแพ
- ใบอ่อน ใช้ทอเสื่อทำกระเป๋า ตะกร้า หมวก สิ่งทอหยาบ เชือก Sahel สำหรับบ่อน้ำทำจากปาล์มชนิดนี้
- ในซูดาน ใบอ่อนจะถูกตัดและตากแห้งเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง ใบแก่จะขมและไม่อร่อย ช่อดอกเพศผู้ใช้เป็นอาหารสัตว์ในซูดาน
- ไฟเบอร์จากก้านใบใช้สำหรับทำฟองน้ำและแปรง วัสดุเหลือใช้จากการสกัดเส้นใย ใบแก่ใช้มุงหลังคา เส้นกลางใบใช้เป็นโครงสำหรับจักสานและมัดรวมกันใช้เป็นไม้กวาด
- ใน Eritrea ถูกใช้สำหรับการบรรจุและเสริมแรงซีเมนต์ บางครั้งลำต้นอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน
- ผลแห้งให้สีย้อมสีดำใช้ย้อมหนังสัตว์
- เมล็ดแข็งของเมล็ดที่โตเต็มที่เคยใช้สำหรับผลิตกระดุม ลูกปัด และงานแกะสลักขนาดเล็ก
พิธีกรรม/ความเชื่อ---เป็นต้นปาล์ม Doum ในตำนาน ถือเป็นต้นปาล์มศักดิ์สิทธิ์จากแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอียิปต์โบราณที่ฝังผลไม้จำนวนมากในหลุมฝังศพของฟาโรห์ตามประเพณี
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017)  
Cosiaux, A., Gardiner, L.M. & Couvreur, T.L.P. 2017. Hyphaene thebaica. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T19017230A95306916. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T19017230A95306916.en. เข้าถึงเมื่อ 09 มิถุนายน 2566 .
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้ระยะเวลาการงอก 3-4 เดือน และอาจใช้เวลาถึง 1 ปี
- ลำต้นก่อตัวหลังจาก 18-20 ปี ผลิตผลครั้งแรกหลังจาก 6-8 ปี

สกุล Latania (lah-tah-NEE-ah) มีทั้งหมด 3 สปีชีส์ ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดในเกาะใดเกาะหนึ่งของมาสคารีน ได้แก่ (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
- Latania loddigesii Mart. - ตาลน้ำเงิน จากมอริเชียสและ Round Island (ดูที่ปาล์ม  5)
- Latania lontaroides (Gaertn.) H.E.Moore - ตาลแดง จากหมู่เกาะ Mascaregne และจากเกาะ Reunion
- Latania verschaffeltii Lem. - ตาลเหลือง จาก Rodrigues (ดูที่ปาล์ม  5)

                 ตาลแดง/ Latania lontaroides

                    [lah-tah-NEE-ah] [lohn-tah-roh-EE-dehz]

                                

Picture---Sarasota, FL. Photo by Keith Zimmerman
Picture---QLD. Australia, photo by Daryl O'Connor. https://www.palmpedia.net/wiki/Latania_lontaroides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Latania lontaroides (Gaertn.) H.E.Moore.(1963)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Cleophora lontaroides Gaertn.(1791).See https://www.gbif.org/species/2739279
---Cleophora commersonii (J.F.Gmel.) O.F.Cook (1941)
---Latania borbonica Lam. (1870).
---Latania commersonii J.F.Gmel.(1792).
---Latania rubra Jacq.(1800).
---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667783-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Red latan palm.
ชื่ออื่น---ตาลแดง (ทั่วไป) ;[FRENCH: Latanier de Bourbon, Palmier rouge, Latanier de la Réunion, Latanier rouge.];[GERMAN: Rote Latanie, Rote Latanpalme.];[JAPANESE: Ratania-yashi.];[PORTUGUESE: Palmeira-latânia-vermelha, Latânia-vermelha.];[RUSSIAN: Latanija lontaroidnaja.];[SPANISH: Latanero rojo, Latania roja, Mambetari, Taco.];[SWEDISH: Röd sammetspalm.];[THAI: Tan daeng (General).];[WEST INDES ISLES: Latanier de Bourbon.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LTALO (Preferred name: Latania lontaroides.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---เรอูเนียง ตรินิแดด-โตบาโก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Latania' มาจากภาษาละตินของชื่อเรียกต้นปาล์มในเกาะมอริเชียส: Latanier ; ชื่อเฉพาะ 'lontaroides' มาจากคำศัพท์ภาษามลายู "lontan" แปลว่า "คล้ายกับLontarus", สกุลปาล์มที่ปัจจุบันเรียกว่าBorassus
- ชื่อสามมัญ Red latan หมายถึงสีแดงสดของก้านใบอ่อน
Latania lontaroides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยHarold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2506
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเกาะเรอูนียง (Mascarenes) ในมหาสมุทรอินเดีย พบได้ในสภาพธรรมชาติบนพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่แห้งแล้ง บนหน้าผาและในหุบห้วย ในหมู่เกาะมัสคารีน แต่ตอนนี้พบเฉพาะบนเกาะ La Réunion ที่เกิดขึ้นบนชายฝั่งระหว่าง Petite Ile และ Saint-Philippe
ลักษณะ--- Red Latan Palm เป็นปาล์มที่มีสีในต้นอ่อนมากที่สุดใน Latania สามสายพันธุ์ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 8-12 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25 ซม.โคนบวมเล็กน้อย ลำต้นสีเทาเข้ม มีรอยวงแผลเป็นที่เกิดจากใบเก่าร่วงหล่น ต้นที่แก่ลำต้นจะเรียบและเป็นสีดำ ใบรูปพัด (Costapalmate) ขอบใบจักเว้าลึก1ในสามของใบขนาดความกว้าง 2-3 เมตร ขณะต้นยังเล็ก ก้านใบ สะดือและขอบจักใบ มีสีแดงเข้ม เมื่อายุมากขึ้นจะเป็นสีเขียว พื้นผิวใบเป็นคลุมด้วยคราบไขสีขาว ทำให้ปาล์มมีลักษณะเป็นสีเงิน แต่ก้านใบและขอบจะยังคงเป็นสีแดงอยู่เสมอ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ยาว1.5เมตร ดอกสีเหลืองทองแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลรีรูปไข่มีเนื้อ ขนาด 5 ซม. เมื่อสุกสีเขียวอมน้ำตาล มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมที่ปลายด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งชี้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตเป็นหลักในชีวนิเวศเขตร้อนที่แห้งแล้งตามฤดูกาลเหมาะกับเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่เอื้ออำนวยในภูมิภาคที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (USDA Zones 10b-11) ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไร (แสงทางอ้อม) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-2 °C) ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ชอบดินทรายที่อุดมสมบูรณ์ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินประเภทต่างๆ (ดินเหนียว, ดินร่วน, เป็นด่างเล็กน้อยหรือเป็นกรด) และเติบโตได้แม้ในที่ดินที่ไม่ดี หากมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำทุก 2-3 สัปดาห์  
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่
การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ให้ใส่ ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดี ที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ
ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงเกล็ดหุ้มเกราะ Hemiberlesia lataniae/ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing (LY).]
รู้จักอ้นตราย---ไม่มีรายงานผลกระทบที่เป็นพิษ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในส่วนต่างๆ ของโลกมีค่าเป็นไม้ประดับที่สำคัญ และเป็นที่นิยมปลูกในสวนเขตร้อน ใช้ในงานภูมิทัศน์ ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ปลูกลงแปลงกลางแจ้งหรือในที่มีร่มเงาบางส่วน ตามสวนสาธารณะ สวนที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขณะต้นยังเล็กมีสีแดงเข้มเหมาะปลูกเป็นไม้กระถาง ในกรณีของตัวอย่างที่ยังเล็กอยู่ เมื่อมันเติบโตในที่ร่ม มันจะสูญเสียสีแดงของใบและก้านใบไป และใบจะยาวขึ้น ช่วงความสูงที่สวยงาม 0.5-1.5 เมตร
ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีเพียงไม่กี่ต้นที่รอดชีวิตบนเกาะเรอูนียง พื้นที่ถูกจำกัด ไว้ที่แนวชายฝั่งเล็ก ๆ บนเกาะเดียว สายพันธุ์ได้ลดลงจากการคุกคามที่อยู่อาศัย แปลงป่าเป็นพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีการค้าระหว่างประเทศเป็นไม้ประดับ ถูกประเมินไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์'
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED A1c - IUCN Red List of Threatened Species (1998)
Johnson, D. 1998. Latania lontaroides. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38589A10128579. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38589A10128579.en. Accessed on 08 June 2023.
ระยะออกดอก---ฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ผลิ
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้ระยะเวลาในการงอก 1-2 เดือน ต้นกล้ามีเสน่ห์มาก


ตาว/ Arenga pinnata

[ah-REHN-gah] [pihn-NAH-tah]

Picture 1---South Florida. Photo by Kyle Wicomb.
Picture 2---Photo---https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_pinnata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga pinnata (Wurmb) Merr.(1917)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Basionym: Saguerus pinnatus Wurmb.(1779).https://www.gbif.org/species/2733997
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-14681
ชื่อสามัญ---Black sugar palm, Black fiber palm, Areng palm, Gomuti Palm, Solitary Sugar Palm, Sugar palm, Sweet palm, Kaong palm, Malay sago palm.
ชื่ออื่น---ฉก (ใต้); กาฉก (ชุมพร); ตาว, ต๋าว (เหนือ); เตาเกียด (กาญจนบุรี); โตะ (ตราด); เนา (ตรัง); ลูกชิด (กลาง ใช้เรียกเฉพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียว); วู้(กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน); หลังค่าย(ปัตตานี) ;[BURMESE: Taung-ong.];[CAMBODIA: Chraè; Chuëk'.];[CHINESE: Sha Tang Ye Zi, Tang Shu, Guang lang, Sui mu.];[DUTCH: Arengpalm, Arenpalm, Gomoetoepalm, Sagoeweerpalm, Suikerpalm.];[FRENCH: Palmier à Sucre, Palmier areng.];[GERMAN: Echte Zuckerpalme, Molukken-Zuckerpalme, Gomuti-Palme, Sagwire-Palme, Zuckerpalme, .];[INDONESIAN: Ejow, Gomuti, Aren, Kaong, Kawung.];[ITALIAN: Palma dello zucchero, Palma arenga.];[JAPANESE: Satou Yashi.];[LAOTIAN: Taw tad.];[MALAY: Kabung, Kabung Enau.];[PHILIPPINES: Kaong, Kabo-negro (Tag.); Irok.];[PORTUGUESE: Gomuteira, Gamúti, Gomuto, Palmeira-do-açúcar, Palmeira-nangka.];[SPANISH: Barú, Bary, Palma De Azúcar, Palmera Del Azúcar.];[SWEDISH: Sockerpalm.];[THAI: Ka chok (Chumphon); Chok (Peninsular); Tao (Northern); Tao kiat (Kanchanaburi); To (Trat) ; Nao (Trang); Luk chit (Central); Wu (Karen-Kanchanaburi); Lang khai (Pattani).];[VIETNAMESE: Bung bang, Doác.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---AGBPI (Preferred name: Arenga pinnata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ไทย พม่า ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก (ฮาวายและฟิลิปปินส์) บางส่วนของแอฟริกาตะวันออก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามาเลเซีย 'areng'; ชื่อสายพันธุ์ 'pinnata' = ขนนก อ้างอิงถึงลักษณะของใบ
Arenga pinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich von Wurmb (1742–1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยElmer Drew Merrill  (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2460
ที่อยู่อาศัย--- พบตามธรรมชาติเติบโตในป่าหลักหรือรอง ริมฝั่งแม่น้ำจากระดับต่ำถึงกลาง และพบใกล้กับถิ่นที่อยู่อาศัยของคนในท้องถิ่น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะภาคใต้
ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวขนาดกลาง ต้นสูงได้ถึง15-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้นประมาณ 30-65 ซม รากแข็งแรงมากแผ่ขยายได้ไกลถึง10เมตรและหยั่งลงลึกได้ถึง 3 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มี 20-25ใบ ทางใบยาว 5-8.5 เมตรกาบใบมีขนสีดำเป็นเส้นปกคลุมลำต้นใบสีเขียวเข้มมากด้านล่างสีเงิน ก้านดอกยาวกว่าใบมาก ช่อดอกออกที่ซอกใบ (Interfoliar) ยาว 1-1.5 เมตร ชี้ออกหลายระนาบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกดอกแล้วตาย (Monocarpic) พืชมักจะผลิตดอกไม้ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ12-16 ปีขึ้นอยู่กับระดับความสูงที่ระดับน้ำทะเล ช่อดอกมักเป็นเพศเดียวกัน ห้อยเป็นช่อ มักยาวมากกว่า 2 เมตร ก้านช่อดอกแตกออกเป็นช่อที่มีดอกจำนวนมาก: ช่อดอกเพศเมีย 3-7 ช่อ งอกบนยอด ดอกเพศผู้ 7–15 ดอกปรากฏในภายหลังด้านล่างบนก้าน: ดอกไม้มีกลีบเลี้ยง 3กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ ดอกเพศผู้มีสูงถึง 11,500 ต่อช่อดอก มีเกสร่พศผู้จำนวนมาก ดอกสีเขียวถึงทองสัมฤทธิ์เมื่อเป็นดอกตูม มีสีเหลืองเมื่อดอกบาน ดอกเพศเมียมากถึง 15,000 ต่อช่อดอก ผลสีม่วงดำค่อนข้างกลมมี 3 พู ขนาด 5 ซม.ผลเปลี่ยนเป็นสีเขียวเหลืองเมื่อสุก กว่าจะสุกใช้เวลาเป็นปี มีเมล็ด 2-3 เมล็ด

                                                                       

Picture---1,2 Putrajaya Botanical Gardens, Putrajaya, Malaysia. Photo by (Taman Botani Putrajaya). Photo by Ahmad Fuad Morad. https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_pinnata
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในแสงแดดเต็มรูปแบบ (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ในที่ร่มเงาบางส่วนถึงในที่ร่มเต็มรูปแบบ ถ้าปลูกในที่ร่มวางในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึงบ้างในระหว่างวัน ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นที่ลึกและอุดมสมบูรณ์ pH ในช่วง 6-7 ทนได้ 5 - 8 ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (-2°C) อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งเล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และถ้าปาล์มปลูกกลางแดด ให้ใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้
ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงปาล์มแดงหรือด้วงมะพร้าวแดง (Rhynchophorus ferrugineus)
รู้จักอันตราย---เนื้อผลและเปลือกสีเขียวของผลดิบเป็นพิษและทำให้เกิดปฏิกิริยาทางผิวหนังอย่างรุนแรงเมื่อสัมผัสเนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลต น้ำผลไม้สุกใช้เป็นยาพิษกับปลาและไม่ควรบริโภค
- มีการกล่าวว่าผลไม้สุกจะเป็นพิษรุนแรงสำหรับสุนัข
การใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้เอนกประสงค์เป็นพืชที่นิยมปลูกในเอเชียเขตร้อนเนื่องจากมีการผลิตอาหารตลอดทั้งปีและมีการใช้อื่น ๆ อีกมากมาย มีประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากเป็นแหล่งอาหารในฤดูแล้งเมื่ออาหารอื่นขาดแคลน ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ SAP ซึ่งได้จากก้านดอกซึ่งใช้ทำน้ำตาล
ใช้กิน--- ใบปรุงสุก ตายอดที่เรียกว่า 'หัวใจปาล์ม' กินเป็นผัก แป้งสาคูสามารถบดจากลำต้นแก่นและใช้สำหรับเค้กบะหมี่และอาหารอื่น ๆ เนื้ออ่อนในผลกินได้ เรียกว่า ลูกชิด เครื่องดื่มและน้ำตาลทำจากน้ำหวานที่ได้จากก้านดอก แป้งสาคูสามารถบดจากลำต้นและแก่นใช้สำหรับทำขนมและอาหารอื่น ๆ  ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชในชวาตะวันตกเป็นที่รู้จักกันในชื่อ kolang kaling-นี่คือ endosperm ที่สุกของผลปาล์มอ่อน ใช้สำหรับค็อกเทลและเครื่องดื่มในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ kolak มีรายงานว่าผลไม้สุกสามารถกินได้
ใช้เป็นยา--- รากอ่อนใช้ต้มดื่มเป็นชารักษาปัญหากระเพาะปัสสาวะ นิ่วในไต รากแก่แก้ปวดฟัน รากต้มเป็นประโยชน์ต่อปอด ช่วยย่อยอาหารและช่วยเพิ่มความอยากอาหาร น้ำหมัก (แอลกอฮอล์ที่ได้จากการกลั่นและผสมกับสมุนไพรหลายชนิดและรากของพืชอื่น ๆ ถือเป็นยาเอนกประสงค์) น้ำตาลใช้เป็นยาระบายและเนื้อละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างกาบใบ ใช้เพื่อเร่งการฟื้นตัวจากแผลไหม้
ใช้ในวนเกษตร--- ระบบรากที่หยั่งลึก ปลูกเพื่อรักษาการกัดเซาะบนเนินเขาเพื่อรักษาเสถึยรของดิน
ใช้ปลูกประดับ--- การใช้ในงานภูมิทัศน์ เหมาะกับพื้นที่กว้าง สวนสาธารณะ เพื่อเสริมสภาพธรรมชาติ เป็นไม้กระถางที่น่าสนใจเมื่อยังเป็นต้นเล็ก และเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่น่าประทับใจเมื่อมีอายุมากขึ้น
อื่น ๆ--- เนื้อไม้สีดำและสีเหลืองสวยงามใช้สำหรับปูพื้น เฟอร์นิเจอร์และเป็นไม้ฟืนที่มีค่าความร้อนสูง
- ส่วนนอกที่แข็งของลำต้นใช้สำหรับทำถัง พื้นและเฟอร์นิเจอร์ หลักสำหรับเถาพริกไทย มือจับเครื่องมือและเครื่องดนตรี
- ใบถูกนำมาใช้เป็นแหล่งของวัสดุมุงหลังคา ใบอ่อนตากแห้งใช้มวนบุหรี่ กาบใบที่มีขนสีดำเป็นเส้นปกคลุมลำต้นเป็นแหล่งของเส้นใยสีดำที่มีความเหนียว (gomuti หรือเส้นใย yonot)ไม่ยืดหยุ่นพอที่จะใช้สำหรับทอผ้าแต่มีความเหนียว แข็งแรงและทนทานมาก ใช้เป็นหลักในการทำเชือกที่ต้องการความแข็งแรงมากซึ่งทนทั้งน้ำจืด น้ำเค็มและไฟ มันถูกใช้สำหรับงานทางทะเล รากใช้เป็นเป็นยาขับไล่แมลง
พิธีกรรม/ความเชื่อ---*ตาม นิทานพื้นบ้าน ของชาวซุนดาวิญญาณที่รู้จักกันในชื่อ Wewe Gombel สถิตอยู่ใน ต้นปาล์ม Arenga pinnata ซึ่งเธอยังมีรังและคอยปกป้องเด็กที่เธอลักพาตัวไป https://en.wikipedia.org/wiki/Arenga_pinnata
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดจะงอกง่าย ใช้เวลาในการงอก 2 ถึง 6 สัปดาห์


สกุล Caryota (kahr-ee-OH-tah) เป็นประเภทของต้นปาล์ม มักจะเรียกว่า Fishtail palms (ปาล์มหางปลา)เพราะรูปร่างของใบ มีประมาณ 13 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย (แสดงในหน้านี้ 3 สายพันธุ์)
- Caryota albertii F.Muell. ex H.Wendl.-    ควีนส์แลนด์
- Caryota angustifolia Zumaidar & Jeanson -สุลาเวสี
- Caryota cumingii Lodd. ex Mart.-ปาล์มหางปลาฟิลิปปินส์ - ฟิลิปปินส์
- Caryota elegans Schaedtler    -
- Caryota kiriwongensis Hodel    -ประเทศไทย
- Caryota maxima Blume    -กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ยูนนาน, ภูฏาน, อัสสัม, อรุณาจัลประเทศ, ชวา, สุมาตรา, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, ไทย, เวียดนาม
- Caryota mitis Lour.    -ปาล์มหางปลาพม่า - กวางตุ้ง กวางสี ไหหลำ บอร์เนียว กัมพูชา อินเดีย ชวา สุลาเวสี สุมาตรา ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม
- Caryota monostachya Becc.    -เวียดนาม กวางสี กุ้ยโจว ยูนนาน
- Caryota no Becc.    -เกาะบอร์เนียว
- Caryota obtusa Griff.    -ปาล์มภูเขาไทย - ภูฏาน อัสสัม อรุณาจัลประเทศ ลาว เมียนมาร์ ไทย
- Caryota ophiopellis Dowe    -วานูอาตู
- Caryota rumphiana Mart. - คาโยต้า รัมเพียน่า มาร์ท.    -อัลเบิร์ตปาล์ม - ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, มาลูกู, นิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอน, หมู่เกาะบิสมาร์ก
- Caryota sympetala Gagnep.    -เวียดนาม ลาว กัมพูชา
- Caryota urens L.    -ทางตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา

- Caryota zebrina Hambali & al. -นิวกินี                             

                        เต่าร้างยักษ์คีรีวง/ Caryota kiriwongensis

                                                          [kahr-ee-OH-tah]

                     

Picture---https://www,palmpedia.net
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota kiriwongensis Hodel.(2009)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60453504-2/general-information
ชื่อสามัญ---Kiriwong palm, Kiriwong fishtail palm, Giant mountain fishtail palm.
ชื่ออื่น---เต่าร้างยักษ์, เต่าร้างยักษ์คีรีวง, เต่าร้างยักษ์ใต้ (นครศรีธรรมราช) ;[FRENCH: Palmier de Kiriwong.];[THAI: Tao rang yak, Tao rang yak Kiriwong, Tao rang tai (Nakhon Sri Thammarat), Tao rang yak khi ri wong.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CAWSS (Preferred name: Caryota kiriwongensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' เป็นคำภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก "caryon" = อินทผลัม ผลปาล์ม; ชื่อสายพันธุ์ 'kiriwongensis' ตั้งขื่อตามหมู่บ้านคีรีวง ประเทศไทย
Caryota kiriwongensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2552
ที่อยู่อาศัย--- พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดย D.R. Hodel ชาวสหรัฐ ที่หมู่บ้านคีรีวง ตำบลกะโรม อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช Caryota kiriwongensis ไม่ใช่สายพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีพืชขนาดใหญ่เพียงประมาณ 50 ต้น ที่กระจายอยู่ตามพื้นของเนินหินสูงชันในพื้นที่กว้างประมาณ 5 กิโลเมตรในป่าภูเขาชื้นที่ระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร ในปี พ.ศ. 2541 ( Hodel, DR 2009: Caryota kiriwongensis Revisited. – Palms; Journal of the International Palm Society 53(4): 171-172)
ลักษณะ---มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาคล้ายกับ Caryota obtusa มาก เป็นต้นปาล์มขนาดใหญ่ต้นเดี่ยว สูงถึง 35 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 70–85 ซม. ตรงกลางบวมพอประมาณ ปล้องยาว 20–30 ซม. มีใบบนต้น 8-10 ใบ ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (bipinnate) ก้านใบยาว 30–50 ซม. ทางใบ ยาว 6–8 เมตร ตรง มีใบย่อย 20–25 ใบในแต่ละด้าน กระจายเท่าๆ กันในระนาบเดียว ลักษณะเป็นหางปลาสองแฉกไม่สมมาตร ก้านใบโคนใบไม่มีหนาม สีเขียวคล้ำ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ยาวประมาณ 0.60 -1 เมตร.ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) ออกดอกติดผลแล้วตาย (Monocarpic) ติดผลจำนวนมาก ผลกลมสีแดงอมม่วงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม.โดยทั่วไปจะมีเมล็ดสองเมล็ดที่แทบไม่เป็นร่องซึ่งมีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน (เอนโดสเปิร์มที่เป็นเนื้อเดียวกันนั้นผิดปกติสำหรับสกุลนี้)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ต้องการแสงแดดบางส่วน (คือแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ถึงแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน) ดินชื้นและระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1ºC) โดยประมาณ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลิดเวลา  
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---ใบเป็นสีเหลืองในการเพาะปลูก (ปัญหาดินขาดสารอาหารกับปัญหา pHของดิน)
รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับ Caryotas ทั้งหมด เนื้อของเมล็ดและลำต้นมีกรดออกซาลิก ซึ่งเป็นตัวการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งกัดกร่อนเมื่อสัมผัสและควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนและสวนสาธารณะ ไม่ว่าจะปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะที่จะอยู่ใกล้ทางหลวงและใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย สามารถเพาะเลี้ยงในภาชนะบรรจุได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลง ลานที่สว่างสดใสจะให้สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับตัวอย่างเล็ก ๆ ซึ่งสามารถปลูกได้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง
อื่น ๆ---ไม้ยังมีลักษณะที่สวยงามและมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ใบไม้ผลิตเส้นใยที่แข็งแรงซึ่งใช้ทำแปรงและตะกร้า
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด


                                                           เต่าร้างโน/ Caryota No

                                                     [kahr-ee-OH-tah] [NO]

                      

Picture---Singapore.http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_no
Picture---Kelana Jaya, Selangor, Malaysia.http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_no
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota no Becc.(1871)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665621-1#synonyms
---Caryota rumphiana var. borneensis Becc. (1877)
ชื่อสามัญ---Borneo Fishtail Palm, Giant fishtail palm, Albert Palm.
ชื่ออื่น---เต่าร้างโน (ทั่วไป) ;[GERMAN: Riesenfischschwanzpalme.];[MALAYSIA: Caju nó (Malay); Baroch (Dayak).];[RUSSIAN: Kariota no.];[THAI:Tao rang no.];[VIETNAMESE: Cay Moc-muong,]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CAWNO (Preferred name: Caryota no.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' มาจากภาษากรีก 'caryon' = อินทผลัม ผลปาล์ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'no' มาจากชื่อดั้งเดิมของต้นปาล์มในมาเลเซีย 'Caju nó'  
Caryota no เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2414
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าดิบชื้นของเกาะบอร์เนียว, อินโดนีเซีย (กาลิมันตัน); มาเลเซีย (ซาบาห์, ซาราวัก)ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตร
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ สูง 20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 50- 70 ซม.มีร่องรอยวงแผลเป็นที่เกิดจากใบเป็นข้อนูนโดดเด่น ยอดมงกุฎแผ่กว้างถึง 10 เมตร ใบประกอบแบบขนนก2ชั้น (bipinnate)เรียงตรงข้าม ใบขนาดใหญ่ ยาว ถึง 4-5 เมตร กว้าง 3 เมตร สีเขียวอ่อน ช่อดอกออกจากมงกุฎลักษณะเหมือนช่อไม้กวาด สีครีมขาวถึงเหลืองทอง ยาวไม่เกิน 2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(monoecious) ตายเมื่อออกดอกและติดผล (monocarpic) ผลเมื่อสุกสีม่วงเข้มถึงดำ ขนาด2-4 ซม. มีเมล็ด 2 เมล็ด ลักษณะกลมสีน้ำตาลมันวาว ขนาด 1.75 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการแสงแดดเต็มที่ หรือร่มเงากรองแสงเมื่อต้นยังเล็ก ชอบดินร่วนที่อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินเหนียวและดินทรายทั้งเป็นด่างหรือกรดเล็กน้อย และมีการระบายน้ำที่ดี มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลิดเวลา  
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง
การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืชรบกวน/ต้นปาล์มที่โตเต็มที่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคโคนเน่าได้ง่าย
รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับ Caryotas ทั้งหมด เนื้อของเมล็ดและลำต้นมีกรดออกซาลิก ซึ่งเป็นตัวการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งกัดกร่อนเมื่อสัมผัสและควรจัดการด้วยความระมัดระวัง
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ พืชในสกุลนี้มักจะปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้กิน---ลำต้นมีแป้งที่สามารถใช้ทำสาคูได้ ตายอด (หัวใจปาล์ม) ที่กินได้และอร่อย เมล็ดใช้เคี้ยวแทนหมาก
ใช้ปลูกประดับ--- มีการใช้ในงานภูมิทัศน์ เป็นหนึ่งในปาล์มหางปลาที่ใหญ่ที่สุด ด้วยรูปลักษณ์ ความสูง และโค้งใบที่ประณีต สง่างาม ทำให้มันสมบูรณ์แบบ ปลูกใกล้กับทางหลวงและใช้ในการเน้นทิวทัศน์ เป็นปาล์มที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเขตร้อน
อื่น ๆ--- เป็นแหล่งวัสดุ เส้นใยที่ใช้ทำสายเบ็ดหรือสานเป็นตะกร้าเรียกว่า talì onus ส่วนด้านนอกของลำต้นถูกแยกและทำเป็นพื้นไม้ระแนงที่ทนทานและแข็งมาก
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสด งอกใน 4 เดือนถึง 1 ปี


                                                          เต่าร้างลาย/ Caryota zebrina

                                                     [kahr-ee-OH-tah] [zeh-BREE-nah]

                         

-http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_zebrina
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota zebrina Hambali & al (2000)
ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name
ชื่อสามัญ---Zebra Fishtail Palm, Striped Fishtail Palm, Zebral Palm.
ชื่ออื่น---เต่าร้างลาย, เต่าร้างม้าลาย(ทั่วไป) ;[THAI: Tao rang lai, Tao rang ma lai (General).]; [INDONESIAN (Bahasa Indonesia): Palem belang (striped palm): Palem tokek (Tokek is the large house gecko).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---CAWSS (Preferred name: Caryota sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'zebrina'มาจากภาษาละติน แปลว่า 'เกี่ยวข้องกับม้าลาย' อ้างอิงถึงสีของส่วนต่างๆของพืช
Caryota zebrina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hambaliและคณะ ในปี พ.ศ.2543
ที่อยู่อาศัยและถิ่นกำเนิด เทือกเขาทอร์ริเชลลีในเซปิคตะวันตกของปาปัวนิวกินี พบในป่าฝนป่าดิบเขาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 850-1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นสูง 6-16 เมตร  เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-40 ซม. ระยะระหว่างข้อปล้องยาว 30-40 ซม. รอยแผลเป็นที่เป็นปม กว้างประมาณ 2 ซม ก้านใบ ยาว 1 เมตร มีลายคล้ายม้าลายเป็นแถบสีซีดและน้ำตาลเข้ม ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) (เป็นชนิดเดียวที่มี ใบแบบนี้ Caryota อื่นๆ เป็นใบประกอบแบบขนนก2ชั้น) ใบยาว5-7เมตรกว้าง1.5เมตร ใบย่อยรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบหยักเว้าคล้ายหางปลา ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวปนดำ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ(Interfoliar)ยาว1-2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน(monoecious) ดอกรวมกันสามดอกจัดเรียงเป็นเกลียว (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก)ผลิตเป็นจำนวนมาก สายพันธุ์นี้เป็น monocarpic (ออกดอกติดผลแล้วตาย) ผลกลมเมื่ออาอนจะใสเมื่อสุกสีม่วงแดงขนาด15x25 มม.มีเมล็ด1-2 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เติบโตดีที่สุดในสถานที่ ที่มีที่กำบังร่มรื่น ดังนั้นตำแหน่งที่ปลูกไม่ควรได้รับแสงแดดโดยตรง ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ดินชื้นสม่ำเสมอ (ไม่ใช่เปียกแฉะตลอดเวลา)  สามารถปรับตัวได้ในดินทุกสภาพ ที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก
ใช้ประโยชน์---เป็นที่นิยมมากในหมู่นักสะสมปาล์มเขตร้อน พบในการปลูกเลี้ยงมากกว่าในถิ่นที่อยู่
ขยายพันธุ์---เมล็ด เพาะเมล็ดสด ใช้เวลา 3-4 เดือนในการงอก


ปาละ/Licuala glabra

-Hawaii. Photo by Bill Austin.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala glabra Griff.(1845)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Licuala longipedunculata Ridl. (1903)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ปาละ(ภาคใต้); [THAI: Pa-la (Malay-Peninsular).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---LCLSS (Preferred name: Licuala sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
Licuala glabra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388
มีสองชนิดย่อย (Infraspecific) คือ Licuala glabra var glabra และ Licuala glabra var. selangorensis
ที่อยู่อาศัย พบในป่าดิบชื้น ชั้นล่างของป่า ที่ลุ่มหรือเนินเขา ที่ระดับความสูง จากระดับน้ำทะเลถึง1300เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว ลำต้นเตี้ยติดพื้นดิน หรืออาจสูงได้ถึง1-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 7 ซม. ก้านใบยาว2.2เมตร ใบรูปพัด(Costapalmate)กว้าง1.1เมตร ขอบใบหยักเว้าลึกถึงสะดือ มีใบย่อย6-33ใบ ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกกระเทยสีขาว ผลรูปไข่ขนาดกว้าง1ซม.ยาว1.5ซม. สีส้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่อบอุ่นมีที่กำบังและชื้น ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี สามารถปลูกได้เฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เติบโตได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิเฉลี่ย 15 องศาC ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 4องศา C อัตราการเจริญเติบโต เร็ว
ใช้ประโยชน์--ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่มรำไร
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เป้ง/Phoenix acaulis


-La Quinta, CA. 5+ year old 5gal, 3 yrs in ground. Male plant. Photo by Dave H.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix acaulis Roxb.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Phoenix acaulis var. melanocarpa Griff. (1845)
ชื่อสามัญ---Dwarf Date Palm , Stemless Date Palm
ชื่ออื่น---ปุ่มเป้ง(ภาคเหนือ), ตุหลุโคดือ, หน่อไคว้เส่ (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน), เป้งบก (ราชบุรี) ;[CHINESE: Wú jīng cì kuí.];[INDIA: Khajuzi, Chota khajur (Uttar Pradesh, Siwalik hills), (S. Biswas, pers. comm.); Khajuri, Pind khajur, Jangly khajur (Hindi), Schap (Lepcha), Chindi, Jhari, Sindi, Juno (Kurku), Pinn khajur, Boichand, Yita.];[NEPALESE: Taakula.];[PORTUGUESE: Tamareira-acaule, Tamareira-rasteira.];[TAMIL: Kāṭṭu īccam.];[THAI: Poom peng (Northern); Peng bok.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PHXAC (Preferred name: Phoenix acaulis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ตอนเหนือของอินเดีย ภูฎาน เนปาล  พม่า จีนตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกของประเทศไทย
Phoenix acaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2388
ที่อยู่อาศัย ปาล์มพื้นเมืองทางภาคเหนือของอินเดีย ,ภูฏานและเนปาล พบในป่าเปิด ป่าละเมาะ ทุ่งหญ้าสะวันนา และป่าสน ที่ระดับระดับความสูง 350- 1500 เมตร. ประเทศไทย พบทางภาคตะวันตก ตามป่าโปร่งที่เปิด ที่ระดับความสูง 300-600 ม. จากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นปาล์มที่มีลำต้นสั้นมากเป็นกระเปาะ สูงได้ถึง 10 ซม. มีตอโคนใบอยู่หนาแน่น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ยาว 60-180 ซม.กาบใบสีน้ำตาลแดง ก้านใบยาวประมาณ 30 ซม. มีหนามที่ด้านบน ส่วนโคนเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบย่อยแข็ง รูปใบหอกแกมยาว แผ่นใบห่อเป็นสามเหลี่ยม ปลายใบแหลมคล้ายเข็ม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) สีขาวครีม ออกเป็นช่อสั้นแน่นระหว่างใบ (Interfoliar)ใกล้ส่วนโคน ช่อดอกมีกาบรูปกระทงขนาดใหญ่รองรับ ก้านช่อดอกเพศผู้ยาวประมาณ 7 x 0.6 ซม. ช่อย่อยเรียงเป็นวงเดียว มีจำนวน 10 – 15 อัน ยาวประมาณ 8 ซม. ไม่เห็นดอกเพศผู้; ก้านช่อดอกเพศเมียยาวประมาณ 9 – 12 x 1.4 ซม. ไม่ขยายเมื่อผลสุก ช่อย่อยจัดเรียงเป็นวงเล็กหนึ่งวง มีจำนวน 15 – 20 อัน ยาวประมาณ 4 – 14 ซม. ดอกเพศเมียมีประมาณ 5 – 20 ดอกต่อช่อย่อย เรียงกันหนาแน่น แต่ละดอกมีราชิลลาบวม (รอยลาย bractiform) ยาว 3 – 10 มม. กลีบเลี้ยง ขนาด3 มม. กลีบดอกขนาด 5 – 6 x 4 มม..ดอกเพศเมียที่ไม่ได้รับการผสมเกสรจะล้มลงกับพื้นโดยไม่เกิดผล ผลรูปไข่แกมขอบขนาน  ขนาด 12 - 18 x 8 มม. ผลอ่อนสีเขียวสุกสีแดงถึงดำ ภายในมีเมล็ดเดียว ขนาด 10 x 5 มม.ผลใช้เวลากว่าจะสุกเกือบหนึ่งปี
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มที่ ดินชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (- 5°C) อัตราการเจริญเติบโต ช้า
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน หน่ออ่อน ดิบ-สุกกินเป็นผัก กินได้ทั้งสดและดิบหรือปรุงเป็นซุป ผลมีรสหวานกินได้แม้จะมีเนื้อน้อย คุณภาพของผลไม้โดยรวมถือว่าดี น้ำ ผลไม้ที่ได้จากผลถือเป็นเครื่องดื่มเย็น แต่ก็ทำเครื่องดื่มที่เมาได้
-ใช้เป็นยา ผลบำรุงหัวใจ ระบายความร้อน แก้อาการท้องผูก  รากแก้ปวดฟัน
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ  นำมาใช้ในการจัดสวนและเป็นไม้ประดับได้ดี
-อื่น ๆ ลำต้นนำไปใช้ในการก่อสร้างบ้านสร้างคานรองรับหลังคา
ระยะออกดอก/ ผลสุก---พฤศจิกายน-มกราคม/เมษายน - มิถุนายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

เป้งทะเล/ Phoenix paludosa


-Photo by Paul Craft.---http://www.palmpedia.net/wiki/Phoenix_paludosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix paludosa Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Phoenix andamanensis W.Mill.(1916)
---Phoenix siamensis Miq.(1868)
ชื่อสามัญ---Mangrove Date Palm
ชื่ออื่น---เป้งทะเล(ทั่วไป) ;[BURMESE: Thin boung.];[HINDI: Hental, Hintāla.];[KHMER: Peng.];[MALAYSIA: Dangsa.];[SPANISH: Palmera de los manglares.];[THAI: Peng thale (General).];[VIETNAMESE: Cha la bien.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PHXPA (Preferred name: Phoenix paludosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า อินโดจีน คาบสมุทรมาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'paludosa'เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'padulosus, a, um'= แอ่งน้ำ
Phoenix paludosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามัน  ตามแนวชายฝั่งของ อินเดีย ,บังคลาเทศ ,พม่า ,ไทย ,กัมพูชา ,สุมาตรา ,เวียดนามและ คาบสมุทรมาเลเซีย และสุมาตราตอนเหนือ ในธรรมชาติพบเติบโตตามริมฝั่งแม่น้ำ ลำธาร หนองน้ำ ตามป่าชายเลนและบริเวณน้ำกร่อย
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ขนาดเล็กขึ้นเป็นกลุ่มหนาแน่น ต้นสูงได้ถึง2- 5เมตร ขนาดลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15ซม. ลำต้นห่อหุ้มด้วยกาบใบที่เป็นเส้นใยหยาบ ๆ และกลายเป็นเปลือยตามอายุ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) ทางใบยาวประมาณ 60-120 ซม. ใบย่อยกระจายพุ่งออกหลายทิศทาง ใต้ใบสีเทา ก้านใบมีหนามแหลม ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ก้านช่อดอกยาว 40-60 ซม. ประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก ผลเดี่ยวรูปไข่ ขนาด 0.8-1 x 1-1.5 ซม.ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลสดเนื้อด้านนอกอ่อนนุ่มเมื่อสุก ผลอ่อนสีเขียว ใกล้สุก สีส้ม สุกสีม่วงดำ มีเมล็ดเดียวรูปไข่ขนาด 0.9-1x0.6 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด และดินที่ชุ่มชื้นมีการระบายน้ำดี สามารถปรับตัวให้เจริญเติบโตได้ในที่ดอนและดินทุกสภาพ อายุอยู่ได้ 40 ปี
ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ ใช้ในงานจัดสวน ภูมิทัศน์  เหมาะปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นกลุ่ม ชายน้ำ หลีกเลี่ยงทางสัญจร
-อื่น ๆ ในถิ่นกำเนิด ใบใช้ทำ เชือกหยาบ เสื่อ ใช้มุงหลังคา ลำต้นสำหรับทำรั้วและใช้ในการก่อสร้างในชนบท
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก2-4สัปดาห์ สามารถเกิดได้เองในบางพื้นที่ โดยการแพร่กระจายเมล็ดจากนกหรือค้างคาวฯ


                                                          เป้งลังกา/Phonix pusilla

                            
-Sigiriya - Dambulla Road, Sri Lanka. Photo by Dr. Sasha Barrow, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.  
-Huntington Botanical Gardens, CA. Photo by Rachael Moore.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix pusilla Gaertn.(1788)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms
---Phoenix farinifera Roxb.(1796)
---Phoenix zeylanica Trimen.(1885)
---Zelonops pusilla (Gaertn.) Raf.(1837)
ชื่อสามัญ---Ceylon Date Palm, Flour palm, Asiatic Grewia.
ชื่ออื่น---เป้ง เป้งลังกา(ทั่วไป) ;[AYURAVADA: Parushaka (Kerala).];[CHINESE: Xi lan hai zao.];[HINDI: Palavat.];[KANNADA: Eeechakeya, Eechalu, Henthaale, Hulleechala, Hullichala, Ichai, Ichalu, Indu, Kiri eechalu, Sannayichalu.];[MALAYALAM: Chittintal, Cittintal, Inta.];[SANSKRIT: Parusakah.];[SIDDHA: Kalangu, Ithi, Sagi.];[SINHALESE: Indi-Gaha.];[SRI LANKA: Indi-gaha.];[TAMIL: Cittintu, Icham, Ichu, Inchu, Indu.];[TELUGU: Chiruta-ita, Chitti-ita, Chittiyita.];[THAI: Peng, Peng lang ka (General).];
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PHXPU (Preferred name: Phoenix paludosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินเดียตอนใต้, ศรีลังกา.
Phoenix pusilla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2331
ที่อยู่อาศัย พบกระจายอยู่ในป่าที่แห้งแล้งของ Kerala, Karnataka และ Ghats ตะวันออกของทมิฬนาฑูในอินเดียที่ระดับความสูง700เมตร ในศรีลังกาพบในป่าไม้ในพื้นที่แห้งแล้งที่ราบลุ่มที่เปียกชื้นและเนินเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวหรือแตกกอ สูงถึง 3-6 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-30 ซม.ทางใบยาวสูงสุด 3 เมตรโค้งอ่อนเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง โคนก้านใบมีหนามแหลมยาวคล้ายเข็ม ทางใบแห้งติดกับลำต้น ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ตั้งตรง  ยาว25-75ซม. เป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(Dioecious) ผลทรงกระบอกผลอ่อนสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงและเมื่อสุกมีสีม่วงดำ ขนาด 11 - 15 x 5 - 8 มม. เมล็ดสีน้ำตาลมันวาว ขนาด 8x6 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องใช้ตำแหน่งที่มีแดดในดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ทนดินเค็ม
การใช้ประโยชน์ ----ใช้กิน ผลดิบรสหวาน เรียกว่า Eechala-hannu เมล็ดกินได้ รสมีระดับเดียวกับเกาลัด แป้งที่บริโภคได้นั้นมาจากลำต้น ใช้กินในเวลาที่อาหารขาดแคลน
-ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ผลไม้ Gum ใบ ราก- ผลไม้ใช้เป็น ยาโป๊, ขับลม, ระบายความร้อน, ยาระบาย ใช้ในระบบทางเดินหายใจผิดปกติ Gum-ใช้ในโรคท้องร่วงและโรคทางเดินปัสสาวะ  นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้ง
-อื่น ๆ ใบถูกนำมาใช้ในท้องถิ่นสำหรับการทำตะกร้า เสื่อ ฯลฯ.
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---แยกต้นอ่อน, เมล็ด ใช้เวลาในการงอก2-3เดือน งอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ 21 - 27°c


มะพร้าวแฝด/Lodoicea maldivica


-MahŽ, Seychelles. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lodoicea maldivica (JFGmel.) Pers.(1807)
ชื่อพ้อง---Has 6 Syninyms
---Basionym: Cocos maldivica J.F.Gmel.(1791)
---Borassus sonneratii Giseke (1792).
---Cocos maritima Comm. ex H.Wendl. (1878)
---Lodoicea callypige Comm. ex J.St.Hil.(1805)
---Lodoicea sechellarum Labill.(1807)
---Lodoicea sonneratii (Giseke) Baill.(1895)
ชื่อสามัญ---Coco-de-mer, Double coconut, Sea coconut, Love nut, Coco fesse, Seychelles nut.
ชื่ออื่น---มะพร้าวแฝด มะพร้าวทะเล ตาลทะเล(กรุงเทพฯ) ;[CHINESE: Hǎi dǐ yē.];[DEUTSCH: Seychellennuß, Seychellenpalme.];[ESPERANTO: Sejŝela palmo.];[FRENCH: Coco de mer, Coco-fesses, Cocotier de mer, cocotier des Seychelles, Palmier des Seychelles.];[GERMAN: Seychellennuß.];[HONGKONG: Hǎi yēzi zhōngwén.];[HUNGARIAN: Tengeri Kókusz.];[MALAYSIA: Pokok Kelapa Laut (Bahasa Melayu).];[POLAND: Lodoicja seszelska.];[PORTUGUESE: Coco-do-mar.];[SLOVENIAN: Sejšelski orah.];[SWEDISH: Dubbelkokosnöt.];[TAMIL: Iraṭṭait tēṅkāy maram.];[THAI: Ma phrao fad, Ma phrao thale, Tan thale (Bangkok).];[UKRANIAN: Seyshelʹsʹka palʹma.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- LODMA (Preferred name: Lodoicea maldivica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มหาสมุทรอินเดีย หมู่เกาะเซเชลส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Lodoicea ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส ; ชื่อสายพันธุ์ 'Maldivica'หมายถึง มัลดีฟส์ อ้างอิงจากเวลาที่เมล็ดจะรู้จักจากตัวอย่างที่ได้มาของมัลดีฟส์
Lodoicea maldivica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Friedrich Gmelin (1748–1804) นักพฤกษศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยาและนักกีฏวิทยาชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christiaan Hendrik Persoon (1761–1836) นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาเชื้อรา,นักไลเคนและแพทย์ ชาวแอฟริกาใต้ในปี พ.ศ.2350


-Foster Botanical Gardens in downtown Honolulu, Oahu, Hawaii. Photo by BGL---Photo by Fedrico
-https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica
ที่อยู่อาศัย เป็นพืขเฉพาะถิ่นของเซเชลส์ ในธรรมชาติที่เหลืออยู่เพียง 2 เกาะภายในอุทยานแห่งชาติ Praslin และ Curieuse ของเซเชลส์ ได้รับการคุ้มครองในอุทยานแห่งชาติ Vallée de Mai (มรดกโลกโดย UNESCO) มันสูญพันธุ์ที่เกาะ St Pierre, Chauve-Souris และ Round Islands ประชากรย่อยที่ปลูกเกิดขึ้นบนเกาะมาเฮและหมู่เกาะซิลลูเอตต์ (bgci.org)เติบโตในป่าฝนตามเนินดินซึ่งมีชั้นดินที่ลึกพบได้จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูงประมาณ 300 เมตร
ลักษณะ ปาล์มชนิดนี้มีใบที่ยาวที่สุดและผลกับเมล็ดที่ใหญ่ที่สุดและหนักที่สุดของพืชใด ๆ ในโลก อาจเติบโตได้สูงถึง 30-34 เมตร ใบรูปพัด (Costapalmate) มีความยาวสูงสุดถึง 10 เมตรและกว้าง 4 เมตร ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน(Dioecious) ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกเพศผู้(ก้านดอก)ยาวถึง 1-1.5 เมตร ทำให้พวกมันยาวที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีดอกเพศเมียที่ใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ปาล์มทุกชนิด ช่อดอกเพศเมีย (ก้านดอก) ยาวไม่เกิน1เมตร มีดอกหลายดอกกว้าง 4-5 ซม มักจะเกิดผลเพียงผลเดียวต่อปี การสุกของผลไม้นานถึงเจ็ดปี ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 40-50 ซม. และสามารถมีน้ำหนักได้ 20-30 กิโลกรัมและพบที่หนักที่สุด42กิโลกรัม  เมล็ดหนักที่สุดที่ถูกบันทึกไว้ 17.6กิโลกรัม ถูกหุ้มไว้ในเปลือกแข็งซึ่งคล้ายกับคู่ของมะพร้าวที่อยู่ตรงกลาง หนา แข็ง สีน้ำตาลมีเนื้อสีขาวอยู่ภายในที่กินได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นปาล์มในเขตร้อนชื้น ต้องการแสงแดดจัด ปลูกได้ในสภาพดินต่าง ๆที่มีการระบายน้ำดี สภาพอากาศมีความร้อนและความชื้นสูงตลอดทั้งปี อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก ใช้เวลา 6-10 ปีในการเจริญเติบโตเป็นต้น และใช้เวลา 20-40 ปี ก่อนที่จะเริ่มออกดอกผลิตผล น่าจะมีอายุอยู่ได้ถึง 200 ปี
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อผลที่คล้ายวุ้นกินได้ แต่ไม่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เนื่องจากมีการจำกัดการกระจายและความยากลำบากในการเพาะปลูกพืช
-ใช้เป็นยา เนื้อที่กินได้ ใช้ในสิทธายา ยาอายุรเวทและยังอยู่ในยาจีนโบราณ มีการใช้กันอย่างยาวนานในการแพทย์แผนจีน ในการรักษาอาการไอและใช้เป็นหลักในซุปในฮ่องกงและ จีน ซึ่งใช้เป็นยาและเป็นยาโป๊ว
-ใช้ปลูกประดับ สายพันธุ์นี้ใช้ปลูกเป็นต้นไม้ประดับในหลายพื้นที่ในเขตร้อน
-อื่น ๆ ชาวเกาะใช้ใบเพื่อมุงหลังคา ไม้ใช้ทำรั้วและถังเก็บน้ำ เปลือกที่ว่างเปล่าถูกแกะสลักเป็นภาชนะและชาม
พิธีกรรม/ความเขื่อ---พืชนี้เป็นที่รู้จักของกะลาสีเรือในมหาสมุทรอินเดียมานานก่อนจะค้นพบและมีบ้านที่แท้จริง  เมื่อเวลาผ่านไปเมล็ดปาล์มในตำนานนี้ถูกพบเกยตื้นบนชายหาดร้างหรือลอยไปตามคลื่น และพวกเขากลายเป็นที่รู้จักในนาม ' มะพร้าวแห่งท้องทะเล ' ซึางเชื่อว่าเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ที่เติบโตจากก้นทะเลในมหาสมุทรในตำนาน รูปแบบสองแฉกที่ชี้นำเรื่องโชคลางได้ก่อให้เกิดตำนานมากมาย รวมถึงความเชื่อที่ว่าพวกเขามีพลังยาโป๊ว
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก เมล็ดของLodoiceaได้รับผลตอบแทนสูงตลอดหลายศตวรรษ ความหายาก ทำให้เกิดความสนใจอย่างมากและราคาสูง การแสวงประโยชน์ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบันและการสะสมเมล็ดได้หยุดยั้งการฟื้นฟูประชากรตามธรรมชาติทั้งหมด การสูญเสียที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญต่อการอยู่รอดของประชากร ได้รับการจัดวางไว้ใน  IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด'
สถานะการอนุรักษ์---EN-ENDANGERED-IUCN Red List of Threatened Species (2011)
ขยายพันธุ์---เมล็ด เมล็ดพันธุ์ควรปลูกในตำแหน่งถาวรเนื่องจากรากจะหยั่งลงไปยาวประมาณ 4 เมตร ระยะเวลาในการงอกใช้เวลา 2 ปี


รังไก่/ Arenga westerhoutii


-Ho'omaluhia, Hawaii
-Laos. Photo by Dr. T. Evans, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga westerhoutii Griff.(1845)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Saguerus westerhoutii (Griff.) H.Wendl. & Drude. (1878)
ชื่อสามัญ--- Westerhout's Sugar Palm, Sugar palm, Tao
ชื่ออื่น---หลังกับ (ยะลา, ปัตตานี); รังกับ, หลังค่าย (ใต้); รังไก่ (กลาง); ลาก๊ะ (มลายู-ปัตตานี) :[CHINESE: Guāng láng.];[INDONESIA: Langkap, Anowe kutare, Gtor];[KHMER: Daungoprei (Central).];[LAOS: Mak tao, Tao kai, Tao kouay, Tao ngou.];[MALAYSIA: Kerjim (Malay), Pokok Sagu.];[THAI: Lang kap (Pattani, Yala);  Rang kap, Rang khai (Peninsular); Rang kai (Central); La-ka (Malay-Pattani).]  
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---AGBWE (Preferred name: Arenga westerhoutii.)
ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย
Arenga westerhoutii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในในป่าชื้นในพื้นที่อันกว้างใหญ่ แพร่กระจายจากภูฏานอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและทางใต้สุดของประเทศจีนไปจนถึงคาบสมุทรอินโดจีนทั้งหมด เติบโตตามลำธารในพื้นที่ภูเขาหินปูนหรือในป่าดิบชื้นป่าฝนที่ลุ่มต่ำกว่า 600 (-1400) เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว สูงได้ถึง12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40 ซม. ปกคลุมด้วยฐานถาวรของใบและเส้นใยสีดำติดแน่น ใบรูปขนนก(pinnate) ทางใบยาว 6-8เมตร แข็งยาวเรียว และแผ่กว้าง เรียงตั้งชี้ออกแนวระนาบ ใบย่อยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเขียวเข้มที่ด้านบนและสีเทาอ่อนที่ด้านล่าง ช่อดอกยาว1-1.5เมตร ออกจากโคนใบและส่วนใหญ่จะถูกซ่อนไว้ด้วยใบ (interfoliar) มี 5-6 ช่อ ยาวถึง 3 เมตร ข่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอกย่อยเพศผู้ 60-70 ช่อยาว 60 ซม. ดอกเพศผู้ขนาด 20-25 มม. กลีบเลี้ยง 4-6 มม. กลีบดอก 20-25 มม. เกสรเพศผู้ 200-300อัน ช่อดอกย่อยเพศเมียมีประมาณ 40 ช่อยาว 80-120 ซม.ดอกเพศเมียขนาดถึง 10 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอกประมาณ 10 มม.ดอกมีขนาดเล็กสีแดง ตายหลังจากออกดอกผลิตผล (Monocarpic) ผลมี 3 พู รูปร่างเกือบกลม ขนาด 4-7 ซม เมื่อสุกสีเขียวคล้ำ มักจะมี 3 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวันหรือร่มเงาบางส่วน ดินชื้นสม่ำเสมอการระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง  2°C อ้ตราการเจริญเติบโตเร็วในระยะแรก ( 1-3 ปี) ใช้เวลา15-16 ปีกว่าจะออกดอกผลิตผลแล้วตาย
ใช้ประโยชน์--- มักถูกเก็บเจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ
-ใช้กิน ต้นปาล์มจะเก็บแป้งจำนวนมากไว้ในลำต้นของมันซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในภายหลังเพื่อเปลี่ยนเป็นช่อดอก  น้ำตาลสามารถได้จากช่อดอกเพศผู้ เรียกว่า น้ำตาลปาล์มเต่า เป็นที่นิยมใช้ในขนมหวานและไอศกรีมในลาวและไทย หน่ออ่อนหรือใบอ่อน (บางครั้งเรียกว่า 'Mak tao cabbage') เป็นอาหารท้องถิ่นที่มีความละเอียดอ่อน ตายอด (หรือที่เรียกว่า 'หัวใจปาล์ม') ของทุกสายพันธุ์ในประเภทนี้จะกินได้และใช้กินเป็นผัก อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้บริโภคตาในปริมาณมาก เนื่องจากในบางชนิด (โดยเฉพาะ Arenga tremula) พวกมันสามารถกระตุ้นพิษได้
-ใช้ปลูกประดับ เป็นปาล์มภูมิทัศน์ที่น่าประทับใจสำหรับสวนเขตร้อนขนาดใหญ่หรือสวนสาธารณะ ใช้ปลูกลงแปลงในที่กลางแจ้งแสงแดดจัดหรือในที่ร่มรำไรริมแหล่งน้ำ
-อื่น ๆ ใบใช้สำหรับมุงและเครื่องจักสาน ไม้ใช้ทำเครื่องใช้เล็ก ๆ หรือแม้กระทั่งใช้ในการก่อสร้าง แต่กล่าวกันว่าไม่คงทน
รู้จักอันตราย---ผลไม้ของสปีชีส์ส่วนใหญ่ในประเภทนี้มีพิษ เนื้อของผลไม้มักจะมีคริสตัลออกซาเลตจำนวนมากทำให้เนื้อ [กินไม่ได้]และทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อสัมผัส
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาการงอก 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้น


สกุล Salacca (SAH-lahk-kah) เป็นต้นปาล์มพื้นเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภาคตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย พวกมันแยกเป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย(dioecious)และผสมเกสรโดยด้วง Curculionidae มีประมาณ 20 สายพันธุ์ที่ยอมรับ (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)

สละ/Salacca zalacca


-Pana'ewa Rainforest Zoo and Gardens. Hilo, Hawaii.---Photo by Desa.
-http://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca zalacca (Gaertn.) Voss.(1895)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Basionym: Calamus zalacca Gaertn.(1791).
---Salacca edulis Reinw. (1825).
---Salacca rumphii Wall.(1831), nom. illeg.
---Salacca blumeana Mart.(1838).
---Calamus salakka Willd ex Steud.(1840).
---Salacca edulis var. amboinensis Becc.(1918).
---Salacca zalacca var. amboinensis (Becc.) Mogea.(1982).
ชื่อสามัญ---Salak Palm, Sala, Snake fruit
ชื่ออื่น---สละ, ระกำ(ทั่วไป) ; [BURMESE: Yingan.];[CHINESE: Keshi sa laka];[GERMAN: Salakpalme.];[INDONESIA: Salak , Buah salak.];[ITALIAN: Salacca.];[JAPANESE: Sarakayashi, Sarakuyashi, Sarakku.];[MALAYSIA: Salak (Malay)];[PHILIPPINES: Salak (Tagalog).];[SPANISH: Salaca.];[SWEDISH: Salak.];[THAI: Sala, Ragum, Rakam (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---SAJED (Preferred name: Salacca zalacca.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ชวา สุมาตรา มูลุกกา ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะฟิจิ และควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Salacca และชื่อสายพันธุ์ 'zalacca' มาจากภาษามาลายู 'Salak' หรือ 'Zalak'
Salacca zalacca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Andreas Voss (1857–1924) นักพฤกษศาสตร์และนักพืชสวนชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2438
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์ของต้นปาล์มพื้นเมืองในอินโดนีเซีย พบในเกาะบอร์เนียว, ชวา, Lesser Sunda Is., Malaya, Maluku, Sulawesi เป็นพืชเขตร้อนชื้นที่ลุ่ม เติบโตในพื้นที่แอ่งน้ำและตามแนวลำธาร ซึ่งพบได้ในระดับสูงจากน้ำทะเลต่ำกว่า 500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก ลำต้นส่วนใหญ่แตกแขนงต่อเนื่องอยู่ใต้ดิน ส่วนของลำต้นที่พ้นดินมีเพียงขั้วใบของส่วนใบที่พุ่งตรงขึ้นไป ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง10-15ซม.ยาวประมาณ3-7เมตร มีหนามแข็งแหลม ผอมยาว สีเทา ดำ ออกจากก้านใบและ กาบใบ รากใหม่จะงอกทันทีที่ยอดแตกใหม่ ทำให้ใบไม้แทรกอยู่ตามแนวนอนแออัดมาก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious)ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ (interfoliar) มีช่อดอกประมาณ 3-15 ช่อ  ดอกเพศเมียมีฝักมีก้านสั้น 20-30ซม. ส่วนดอกเพศผู้จะหุ้มด้วยฝักยาว 50-90 ซม. ประกอบด้วยเกสร 4-12 ช่อ ช่อละ 7-15 ซม. x 0.7-2 ซม.  สีของดอกเพศผู้เป็นสีน้ำตาล ในขณะที่สีของดอกเพศเมียมีสีเขียวมีจุดสีแดงและมีกลีบดอก ผลเจริญเป็นกระจุกที่โคนใบ ผลเป็นรูปทรงรียาว ผลอ่อนเป็นสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 ซม ผลแก่เป็นสีแดงอมน้ำตาล เนื้อผลสีเหลืองอ่อน รสหวานอมเปรี้ยวฝาด มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เปลือกผลเป็นเกล็ดซ้อนกัน และบนผลมีขนแข็งสั้นคล้ายหนาม เมล็ดมักมี 3 เมล็ดสีน้ำตาลอมดำยาว 2-3 ซม. และหนา 1.5-2.5 ซม..
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการดินดีอุดมสมบูรณ์ด้วยวัตถุอินทรีย์ pH ที่ต้องการ 6.0-7.0 ชื้นและมีร่มเงา ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 10 องศาC ระบบรากไม่หยั่งลึกไม่ทนต่อน้ำท่วม สามารถให้ผลผลิตได้นานถึง 50 ปี
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้นิยมปลูกเพื่อเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ในเขตร้อนของประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงและมักพบในตลาดท้องถิ่น
-ใช้กิน ผลสดเมื่อสุกเต็มที่ ในอินโดนีเซียผลไม้ ('manisan salak'), ดอง ('asinan salak') และอาจใช้ผลดิบสดใน 'rujak' ซึ่งเป็นสลัดผลไม้ดิบ ผลสุกจะใช้ทำผลไม้กระป๋อง เมล็ดอ่อนกินได้
-ใช้เป็นยา ผลไม้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ บำรุงหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรง ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความจำในสมอง ดีต่อสุขภาพดวงตา ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันอาการตาบอดตอนกลางคืน ใช้เป็นยาขับเสมหะ
-วนเกษตร ปลูกเพื่อทำรั้ว แถวของสละที่ปลูกชิดกันและใบไม้ที่มีหนามมากทำให้เกิดแนวป้องกันที่เข้มแข็ง
-อื่น ๆเปลือกของก้านใบอาจใช้ปูเสื่อได้ แผ่นใบใช้สำหรับมุง
*This is a tillering palm, it exhibits saxophone style root growth (it has a heel), keep top third of heel above soil elevation!นี่คือต้นปาล์มที่แตกกอมันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของรากของแซกโซโฟน (มีส้นเท้า) รักษาส้นที่สามบนเหนือระดับดิน! (แปลโดยกูเกิ้ล)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลา 2 - 3 เดือนในการงอก

สละอินโด/ Salacca magnifica


-Singapore Botanical Garden. Photo by Nick.--Photo by Chard
-https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_magnifica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca magnifica Mogea.(1980).
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ---Greater Salak, Salacca, Sala, Snake Fruit
ชื่ออื่น---สละ สละอินโด (ทั่วไป); [INDONESIA: Baroh, Lium, Remayong (Sarawak); Selindung (Kalimantan).];[THAI: sala, sala in do.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---SAJSS (Preferred name: Salacca sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว อินโดนีเซีย โอเชียเนีย
Salacca magnifica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johanis P. Mogea (1947 - 74 ปี ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ.2523
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว (ซาราวัก) เติบโตในป่าชั้นล่าง จากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงประมาณ 700 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ลำต้นอ้วนสั้น Acaulescent (ไม่ปรากฎเหนือพื้นดินเหมือนไม่มีลำต้น) ใบแตกจากดิน ยาวประมาณ 4-5 เมตรกว้าง 70 ซม.ปลายใบรูปหางปลา ปลายยอดของใบมีความสูง, แข็งและโค้งเล็กน้อย ก้านใบมีหนามยาวประมาณ 60 ซม. และมีหนามแหลมตามเส้นกลางใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ยาว 30 ซม.ช่อดอกเพศเมียจะตั้งตรงและมีลักษณะแหลมส่วนใหญ่จะติดผล ช่อดอก้พศผู้จะสั้นและแตกแขนงมาก ผลสีน้ำตาลอมชมพู ขนาด 5 ซม. เมื่อสุกสีแดงคล้ำเนื้อหนา รสหวาน มีเกล็ดที่ผิวผลเหมือนหนังงู   
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดและความชื้นสูงในอากาศ มักต้องการร่มเงาบางส่วน ดินร่วนซุยมีความชื้นสม่ำเสมอ ต้องการน้ำปานกลาง ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 6 องศา C
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ที่เก็บรวบรวมตามธรรมชาติมีการบริโภคในท้องถิ่นเนื่องจากรสชาติที่น่าพึงพอใจแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับSalacca zalacca
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เหมาะปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไรและลมไม่แรงในสวนขนาดใหญ่ใช้ตกแต่งภายในโดยปลูกลงกระถางขนาดใหญ่
-อื่น ๆใบใช้มุงกระท่อม ทำที่พักอาศัยชั่วคราว
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ดสด ใช้เวลาในการงอก 4-6 สัปดาห์


สกุล Metroxylon (meht-ROKS-ih-lohn)หรือสกุลสาคู มี7สายพันธุ์ ทั้งหมดเป็น เป็นสายพันธุ์ monocarpic (ลำต้นตายหลังจากออกดอกติดผล) เป็นพืช hapaxanthic (ออกดอกครั้งเดียวในวงจรชีวิตหนึ่ง) สาคูต้นอายุ10 ปีขึ้นไปจะออกดอกแล้วตาย มีถิ่นกำเนิดในซามัวตะวันตก นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน โมลุกกะ แคโรลีนและฟิจิ และเพาะปลูกทางทิศตะวันตกของประเทศไทยและแหลมมลายู ในความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัย (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
1 Metroxylon amicarum ( H.Wendl. ) Hook.f. ปาล์มงาช้าง
2 Metroxylon paulcoxii McClatchey        - ซามัว-
3 Metroxylon sagu Rottb    -สาคูปาล์ม-    นิวกีนี , มาลูกุ
4 Metroxylon salomonense ( Warb. ) Becc.-ปาล์มโซโลมอน -นิวกีนีโมหมู่เกาะโซโลมอน
5 Metroxylon upoluense Becc    - ซามัว -
6 Metroxylon vitiense ( H.Wendl. ) Hook.f. -ฟิจิสาคูปาล์ม -วาลลิสและฟุตูนา , ฟิจิ    
7 Metroxylon warburgii ( Heimerl ) Becc    - นาตาลปุระปาล์ม - หมู่เกาะซานตาครูซ, ซามัว, วานูอาตู

สาคู/ Metroxylon sagu


-Bogor, West Java, Indonesia. Young Metroxylon sagu. Photo by Dr. W.A. Djatmiko, Royal Botanic Gardens, Kew
ชื่อวิทยาศาสตร์---Metroxylon sagu Rottb.(1783)
ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-126617
ชื่อสามัญ---Sago Palm, True sago palm.
ชื่ออื่น---สาคู(ภาคใต้),สากู(มาลายู-ภาคใต้) ;[BURMESE: Tha-gu-bin.];[CHINESE: Xi mi zong.];[FRENCH: Palmier à sagou, Sagoutier.];[GERMAN: Sagopalme.];[INDONESIA: Kersula, Pohon rumbia, Pohon sagu.];[ITALIAN: Palma da sago, sago.];[JAPANESE: Sago yashi.];[ITALIAN: Palma da sago.];[JAVANESE: Ambulung, kersulu.];[KHMER: Chr aè saku.];[LAOS: Tonz.];[MALAYSIA: Rumbia.];[PHILIPPINES: Lumbiya (Tagalog).];[PORTUGUESE: Palmeira.];[SPANISH: Palma sagú.];[SWEDISH: Sagopalm, Taggig sagopalm.];[THAI: Sa khu (Peninsular); Sa-ku (Malay-Peninsular).];[VIETNAM: Sa kuu.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code--- MTRSA (Preferred name: Metroxylon sagu.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี ,มาเลเซีย (ทั้งคาบสมุทรมาเลเซียและซาราวัก )  ฟิลิปปินส์ ไทย เกาะชวา ,กาลิมันตัน เกาะสุมาตรา โมลุกกุ และหมู่เกาะโซโลมอน
Metroxylon sagu เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christen Friis Rottboell (1727–1797) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2326 ในสกุล Metroxylon มีเพียง Metroxylon sagu เท่านั้นที่มีทั้ง hapaxanthic ( monocarpic ) และ soboliferous (clustering)
ที่อยู่อาศัย มึถิ่นกำเนิดใน นิวกินี และโมลุกกุ เติบโตในพื้นที่ชื้นแฉะบนดินเหนียวที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 700เมตร
ลักษณะ สาคู มีลักษณะลำต้นเป็นกอแตกหน่อ เจริญเป็นกลุ่ม โดยเฉลี่ยมีลำต้น 1-8 ลำต้น ความสูง 6-25 เมตร ทรงต้นคล้ายมะพร้าว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 35 - 60 ซม.ลำต้นสีน้ำตาลอมเหลือง รอบต้นมีกาบใบห่อหุ้ม ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบ 18 - 20 ใบ แต่ละใบยาวประมาณ  5 - 7 เมตร หรือมากกว่า.ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกสูงและกว้าง 3–7.5 เมตร. ประกอบด้วยก้านที่ต่อเนื่องกันและกิ่งก้านโค้งขึ้นด้านบน (ลำดับแรก) 15–30 กิ่งเรียงเป็นเกลียว สาขาที่หนึ่งแต่ละสาขามีกิ่งก้านสาขาลำดับที่สองที่แข็งกระด้าง 15–25 กิ่ง; สาขาลำดับที่สองแต่ละสาขามีกิ่งก้านสาขาที่สามที่แข็งแกร่ง 10–12 กิ่ง ดอกไม้คู่เรียงเป็นเกลียวบนกิ่งที่สาม โดยแต่ละคู่ประกอบด้วยดอกเพศผู้หนึ่งดอกและดอกกระเทยหนึ่งดอก ติดผลเป็นทะลายเหมือนมะพร้าว  ผลมีลักษณะเหมือนdrupe ยาว7-11 (-13) ซม. กว้าง 8-9.5 (-12) ซม. ปกคลุมด้วยเกล็ดซึ่งจะเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นเกล็ดสีน้ำตาลแดง 24-28 แถว มีตุ่มเด่นอยู่ที่ปลายเมื่อสุก มีเมล็ดลักษณะกลม1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สาคูเป็น ชื่อที่เรียกเพี้ยนมาจากภาษามาเลย์ว่า สากู พบตามริมธารน้ำหรือหนองบึง ชาวพื้นเมืองให้ข้อสังเกตุไว้ว่าพบต้นสาคูที่ไหนที่นั่นจะมีแหล่งน้ำจืด ตั้งถิ่นฐานหมู่บ้านได้ ผิดกับต้นจาก (Nipa fruticans ) พบที่ไหนแสดงว่าเป็นพื้นที่ชายเลน เป็นน้ำกร่อย การเติบโตค่อนข้างเร็วมากถึง 1.5 เมตร / ปีในสภาพการเพาะปลูกที่ดีที่สุด ต้องการแสงแดดจัด เติบโตได้ดีที่สุดในดินเหนียวที่มีปริมาณอินทรียวัตถุสูง ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8.5
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน สาคูเป็นพืชอาหารที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติที่มีแป้งอยู่ในลำต้นที่ใช้เป็นอาหารหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นไม้มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์เป็นที่มาหลักของแป้งสาคู เมื่อต้นสาคูมีอายุแก่จัดจนจะออกดอกหรือกำลังออกดอก ชาวบ้านจะตัดลำต้นเอาไส้ใน ที่มีลักษณะเป็นแป้งมาผสมน้ำ แล้วกรองด้วยเครื่องกรอง แป้งนี้มีคุณสมบัติเหนียวแน่นเหนือกว่าแป้งมันสำปะหลัง  เรียกรวมไปว่าเม็ดแป้งสาคู แป้งนี้ใช้ในการปรุงอาหารสำหรับพุดดิ้ง, บะหมี่, ขนมปัง ในภูมิภาคเซปิคริเวอร์ของนิวกินีแพนเค้กที่ทำจากสาคูเป็นอาหารหลักมักเสิร์ฟพร้อมปลาสด -ผลสุก รสฝาดกินโดยคนในท้องถิ่น-ตายอด ดิบหรือสุก กินเป็นผัก
-วนเกษตร สาคูปลูกในพื้นที่กันชนเป็นวิธีการฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมตัวอย่างเช่น พื้นที่ชายฝั่งทะเลของอินโดนีเซียซึ่งพื้นที่หลายพันเฮคเตอร์ถูกทิ้งร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในดินเปียกรากจะช่วยให้ดินมีเสถียรภาพโดยการดักตะกอน-ต้นอ่อน มีเงี่ยงจำนวนมากทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นที่มีประสิทธิภาพสำหรับปศุสัตว์และผู้บุกรุกที่มีศักยภาพ
-อื่น ๆ ใบใช้เป็นวัสดุมุงหลังคาซึ่งสามารถคงอยู่ได้นานถึงห้าปี ก้านใบแห้ง (เรียกว่ากาบา - กาบาในภาษาอินโดนีเซีย) ใช้ทำกำแพงและเพดาน  มันเบามากและยังใช้ในการก่อสร้างแพ สารสกัดน้ำตาลเดกซ์โทรสจากแป้งสาคูสามารถนำมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ได้เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ


หมากเขียวกาบแดง/ Ptychosperma lineare


-Photo-southeastgrowers.com
-https://www.palmpedia.net/wiki/Ptychosperma_lineare
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ptychosperma lineare (Burret) Burret (1935)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Actinophloeus linearis Burret.(1931)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากเขียวกาบแดง(ทั่วไป) ;[THAI: mak kheaw kap daeng.];[English: Lineare Palm Tree.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---PPMSS (Preferred name: Ptychosperma sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน และมาลุกุทางตะวันออกของอินโดนีเซีย
Ptychosperma lineare เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCarl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2478


-India. Photo by Dr. Chandni Rawat
ที่อยู่อาศัย ปาล์มเขตร้อนสายพันธุ์จากป่าฝนที่ราบลุ่มในปาปัวนิวกินี
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอออกจากจุดเดียวเป็นกลุ่ม บางครั้งอาจเป็นต้นเดียว ลำต้นสูงและเรียวเล็ก สูงได้ถึง3-5เมตร ลำต้นบางแน่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น2.5-10ซม.  ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) ทางใบยาว1-1.5ซม. ใบย่อยเล็กเรียวยาว สีเขียวเข้ม ลักษณะคล้ายคลึงหมากเขียว แตกต่างกันที่ หมากเขียวกาบแดงจะ มีกาบใบสีม่วงแดง ช่อดอกแตกแขนงออกเป็นช่อหลายช่ออยู่ใต้ใบ (Infrafoliar) ผลไม้เนื้อดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งแสงแดดจัดหรือที่ร่มรำไร ดินอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ น้ำปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นต้นปาล์มเขตร้อนที่สวยงามมากใช้งานง่ายและเติบโตเร็ว ยอดเยี่ยมสำหรับภูมิทัศน์เขตร้อน
ขยายพันธุ์--- เมล็ด แยกกอ (ยาก)


หมากงาช้างยักษ์/ Pinanga malaiana


-Floribunda Palms, Hawaii. Photo by Geoff Stein
-RIUM, WP Kuala Lumpur, Malaysia. Photo by Ahmad Fuad Morad
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_malaiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga malaiana (Mart.) Scheff.(1872)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms
---Basionym: Seaforthia malaiana Mart.(1838)
---Areca haematocarpon Griff. (1851)
---Areca malaiana (Mart.) Griff. (1845)
---Ptychosperma malaianum (Mart.) Miq.(1855)
ชื่อสามัญ---Malaya Sealing Wax Palm, Malay pinanga palm, Malayan-abiki.
ชื่ออื่น---หมากงาช้างยักษ์ หมากบาลา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Ma lai shan bing lang.];[FRENCH: Palmier pinanga de Malaisie.];[THAI: Mak nga chang yak; Mak ba la (General).].  
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---ZPIMA (Preferred name: Pinanga malaiana.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาลายา (บอร์เนียว) สุมาตรา
Pinanga malaiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer ( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2415
ที่อยู่อาศัย พบในป่าฝนบนคาบสมุทรมลายูและบนเกาะสุมาตรา ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล200- 800เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดกลาง หน่อแตกจากลำต้น ที่ทอดเลื้อยไปใต้ดินแล้วแตกขึ้น มีหลายลำต้นเขึ้นเป็นกลุ่ม ลำต้นรียวสีเขียวเทาอมฟ้า สูง 6-7 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-6 ซม. ลำต้น สีเขียวเข้ม หน่อแตกห่างจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปใต้ดินแล้วตั้งขึ้น คอใบมีสีม่วงถึงสีเขียวมะกอก กาบใบสีเหลือง ยาวประมาณ 1 เมตร แกนกลางใบและก้านใบสีเหลือง ยาว 1.5-2.0 เมตร  ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) สีเขียว ใบย่อยมีประมาณ 24 คู่ ช่อดอกออกใต้ใบ (Infrafoliar) ตรงบริเวณข้อต้น ห้อยลง ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงสีชมพูสดใส มีช่อย่อยแบน 2-5 กิ่งยาวประมาณ20- 30 ซม  ดอกสีเหลืองครีม ผลขนาด 1.5-3 ซม. ผลอ่อนสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงสด เมื่อสุกสีม่วงดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไรหรือมีร่มเงากำบังบางส่วน ดินอุดมสมบูรณ์และมีความชื้นสม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ความสวยงามเมื่ออกดอกผลจะสร้างจุดเด่นของสวนหากนำไปปลูกประดับ
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด แยกต้นอ่อนที่เกิดใหม่

หมากเจ/Iguanura polymorpha


-Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.           
-http://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_polymorpha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura polymorpha Becc.(1886)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms
---Iguanura arakudensis Furtado.(1934)
---Iguanura brevipes Hook.f.(1892)
---Iguanura ferruginea Ridl.(1903)
---Iguanura speciosa Hodel.(1997)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากเจ (นครศรีธรรมราช), หมากข้าวสาร (นราธิวาส) ;[CHINESE: Duo xing lie xi zong.];[THAI: Mak che (Nakhon Si Thammarat), Mak khao san (Narathiwat).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---IGUPO (Preferred name: Iguanura polymorpha.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Iguanura polymorpha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)สกุลหมากตอก (Iguanura)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนแหลมมลายูและประเทศไทย พบตามบริเวณที่มีความชื้นค่อนข้างสูง
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ (caespitose) ขนาดเล็ก น้อยที่จะมีเป็นต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นขนาด 1-1.5 ซม.กาบใบล่างหุ้มยอดเห็นส่วนของคอชัดเจน ก้านใบยาว15-30 ซม.แกนกลางใบยาว 50-100 ซม.ใบประกอบแบบขนนก(pinnate)มี 3 คู่ ไม่มีการแบ่งแยกใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลามีรอยหยักเล็กน้อยและมีรอยบาก ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(monoecious) ช่อดอกออกใต้คอ (Infrafoliar)หรือออกตามบริเวณซอกกาบใบ ออกแบบช่อแยกแขนง ยาวประมาณ30-40 ซม.แตกออกเป็นหางหนู 3-6 เส้น ผลเจริญด้านเดียวรีโค้งงอ ปลายแหลม ยาว 1.5-2 ซม. ผลอ่อนสีขาว สุกสีแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่ร่มรื่น และชื้น ในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน
ช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่มรำไรหรือปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หมากเจบาลา/ Pinanga simplicifrons

-Rediscovery in Singapore of Pinanga simplicifrons.
-Photo by Dr. Wee Foong Ang
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga simplicifrons (Miq.) Becc.(1886)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669453-1
---Ptychosperma simplicifrons Miq.(1861)                                                                                                                          ชื่อสามัญ---None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากเจบาลา, เจหางปลาใบเดียว(ทั่วไป) ; [MALAYSIA: Pinang (Malay)];[THAI: mak che bala, mak che hang pla bai deaw (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) 
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เกาะบอร์เนียว มาลายา สุมาตรา และประเทศไทย
Pinanga simplicifrons เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429                                                                                                 ที่อยู่อาศัยในคาบสมุทรมาเลเซียและกระจายอยู่ในป่าที่ลุ่มชื้นมักจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำหรือน้ำจืดเป็นระยะ ในรัฐกลันตัน, ตรังกานู เปรัค และสิงคโปร์ ในประเทศไทยพบทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก สูงประมาณ1-1.5เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10-15 ซม.กาบใบยาว10-20ซม.มักแห้งติดคาต้นก้านใบยาว10-30 ซม.ใบเดี่ยวยาว35 ซม.สีเขียวเข้ม รูปขอบขนานปลายใบแยกเป็นหางปลา มีใบย่อย2-4คู่ ใบย่อยคู่ปลายติดเป็นรูปหางปลา ช่อดอกยาว5-5.7ซม.ออกตรงคอยอดโดยแตกจากกลางใบแห้ง ดอกสีขาวครีม ผลติดน้อยมาก เป็นผลมีเนื้อ มีเมล็ด1เมล็ด ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง ขนาด 1-1.3x1.8-2ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม เจริญเติบโตได้ดีในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วนต้องการ ดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---เหมาะสำหรับเป็นปาล์มประดับในร่ม ใช้ตกแต่งภายใน หรือใช้ทั่วไป ในสวนสาธารณะ สวนหย่อมและสวนขนาดเล็ก
---มีสองสายพันธุ์ย่อย :-
---Pinanga simplicifrons var 'simplicifrons'พบได้ในเกาะบอร์เนียวมาลายาสุมาตราและประเทศไทย
---Pinanga simplicifrons var. 'pinnata'พบเฉพาะในมาลายา
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

หมากแจ้/Pinanga polymorpha


-Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia.
-Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga polymorpha Becc. (1888)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-156489
---Pinanga brewsteriana Ridl.(1915)
---Pinanga glaucescens Ridl.(1922)
---Pinanga robusta Becc.(1892)
---Pinanga wrayi Furtado.(1934)
ชื่อสามัญ---None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากแจ้(ภาคใต้), เจสามหา,ง หมากเจ (ทั่วไป) ; [THAI: mak chae (Peninsular); che sam hang, mak che(General).]; [CHINESE: Duo xing shan bing lang.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) 
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
Pinanga polymorpha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2431
ที่อยู่อาศัย ในป่าฝนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก ลำต้นสีเหลือง มักมีรากค้ำยัน  สูงประมาณ0.8-1.8 เมตรขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2-2.5 ซม.ก้านมงกุฎสีสดใส (สีเหลืองมีขนสีน้ำตาลแดง) กาบใบ ก้านใบ แกนกลางใบมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดงปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มีใบย่อยมีขนาดรูปร่างต่างกัน 2-4 คู่ ใบย่อยยาว 35 ซม.กว้าง 0.5-1ซม. ปลายใบรูปหางปลาเว้าลึก หลังใบสีเขียวเข้มมีจุดสีเหลือง ท้องใบเคลือบขี้ผึ้งสีเทาเงิน ปลายใบคู่สุดท้ายหยักเป็นซี่ ช่อดอกยาว 5-5.7 ซม.ออกตรงคอยอดโดยแตกจากกลางใบแห้ง ดอกสีขาวครีม ผลติดน้อยมาก ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง ขนาด 1-1.3x1.8-2ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ชอบดินชื้นสม่ำเสมอ
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้กระถางที่น่าสนใจมาก
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ (เมล็ดสดมีอัตราการงอกสูง)

หมากซี่หวี/Areca tunku


-Hawaii. Photo by BGL.---Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia.
-Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Areca tunku J.Dransf & CKLim.(1992)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2736596
---Areca bifaria Hodel.(1997)
ชื่อสามัญ---None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากซี่หวี (ทั่วไป) ; [THAI: Mak siwi (General).]; [INDONESIA: Pinang tunku.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ARMSS (Preferred name: Areca sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย สุมาตรา มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tunku' = เจ้าชายมาเลย์
Areca tunku เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Dransfield (born 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2535
ที่อยู่อาศัย คาบสมุทรมาเลเซียและสุมาตรา พบตามป่าฝนป่าดิบเขาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 300- 800 เมตร ในประเทศไทยพบที่ จังหวัดนราธิวาส.
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็ก สูงประมาณ3-4เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-6 ซม. มีรากค้ำจุนพยุงลำต้น กาบใบยาว 45 ซม.ห่อหุ้มคอยอด ก้านใบสั้นมากหรือหายไปที่ฐานของใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ยาว2-2.5เมตร สีเขียวเข้ม จัดเรียงกันอย่างสม่ำเสมอ มี10-16คู่ (ในรูปยังไม่โตเต็มที่) ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) ช่อดอกตั้งขึ้นสีแดงอมชมพูแตกกระจายอยู่ในระนาบเดียวเป็นรูปพัด ช่อดอกยาวประมาณ15ซม.ดอกเพศเมียมีขนาดใหญ่สีเขียวและขาวตัดกัน ดอกเพศผู้จับคู่หรือเดี่ยว มีเกสรเพศผู้ 6 อัน ผลรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ขนาดยาว 4.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม.ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเขียวอมม่วงถึงสีน้ำตาล ติดผลเฉพาะโคนก้านช่อ เมล็ดขนาด 2.5x1.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ชอบดินชื้นสม่ำเสมอ
การใช้ประโยชน์---Not recorded.
สถานะการอนุรักษ์---ปาล์มหายากที่อาจเสี่ยงต่อการถูกรบกวนจากป่าโดยเฉพาะ
ระยะออกดอก---ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เดือนกรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

หมากดำ/ Hydriastele microspadix


-Singapore Botanic Gardens. Photo by Michael.
-Hawaii. Photo by Mike Lock.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydriastele microspadix (Warb. ex K. Schum. & Lauterb.) Burret.(1937)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List https://www.gbif.org/species/2736596
---Basionym: Kentia microspadix Warb. ex K.Schum. & Lauterb.(1900)
---Adelonenga microspadix (Warb. ex K.Schum. & Lauterb.) Becc.(1914)
---Ptychosperma beccarianum Warb. ex Burret.(1928)[Invalid]
ชื่อสามัญ--- Water Sprite Palm, Slender Nymph Palm
ชื่ออื่น---หมากดำ (ทั่วไป) ; [THAI: Mak dam (General.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO code---HZDSS (Preferred name: Hydriastele sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เมลานีเซีย โพลินีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Hydriastele' มาจากคำภาษากรีกหมายถึง Hydrias - นางไม้น้ำ, stele - คอลัมน์หรือเสาบางทีอาจหมายถึงลำต้นเรียวยาวของเผ่าพันธุ์ที่เติบโตใกล้น้ำ
Hydriastele microspadix เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [Otto Warburg (1859–1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Carl Adolf Georg Lauterbach (1864–1937) นักสำรวจและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ] และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2480
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นผอมมีสีดำเรื่อๆ สูง 3-4 เมตร คอยาวสีเขียวคล้ำ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว1.5-2 เมตร ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ผลกลมขนาด1ซม.เมื่อสุกมีสีน้ำตาลแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกในที่มีแสงแดดรำไรและความชื้นในอากาศค่อนข้างสูงจึงจะเจริญงอกงามดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ช่วงความสวยงาม1.5-2เมตร
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ  

หมากตอกถลาง/ Iguanura thalangensis

ชื่อวิทยาศาสตร์--- Iguanura thalangensis C.K.Lim.(1998)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ---None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากตอกถลาง (ทั่วไป); [THAI: Mak tok thalang (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO code---IGUSS (Preferred name: Iguanura sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Iguanura' มาจากการรวมกันของชื่อของสัตว์เลื้อยคลาน "Iguana" กับคำภาษากรีก "uros" = หาง โดยมีการอ้างอิงถึงความคล้ายคลึงกันของช่อดอกของบางสปีชีส์ในสกุล
Iguanura thalangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลIguanura (สกุลหมากตอก)เป็นสกุลของพืชดอกแยกเพศไม่แยกต้น(Monoecious)ในวงศ์ปาล์ม ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2541
ที่อยู่อาศัย หมากตอกถลางเป็นปาล์มถิ่นเดียวของไทย พบครั้งแรกที่อำเภอ ถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อปีพ.ศ. 2538 ที่ระดับความสูง 50 เมตรขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เป็นไม้พื้นล่างของป่า เฉพาะในจังหวัด ชุมพร ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง
ลักษณะ เป็นปาล์มลำเดี่ยวขนาดเล็กสูง 1.5-2เมตร ลำต้นสีน้ำตาล rachis ยาว 65 ซม.ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อย 4-6 คู่เรียงไม่เป็นระเบียบ ใบย่อยคู่สุดท้ายกว้างสุด ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน ก้านช่อดอกยาวถึง 20 ซม.ช่อดอกตั้งแต่ 2 ช่อขึ้นไปต่อก้าน ผลรูปไข่เมื่อสุกสีขาวอมชมพูถึงแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นปาล์มที่โตช้า ชอบสภาพร่มเงาอากาศร้อนชื้น
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับภายใน สามารถปลูกอยู่ในกระถางได้นาน อยู่ในห้องปรับอากาศได้ดี
สถานะการอนุรักษ์---แม้ว่าจะหายากในท้องถิ่น แต่สายพันธุ์นี้ค่อนข้างแพร่หลายและน่าจะได้รับการพิจารณาว่ามีความกังวลในระดับปานกลาง ในจังหวัดภูเก็ตเกิดขึ้นภายในอุทยานแห่งชาติเขาพระแทวซึ่งสันนิษฐานว่าได้รับการคุ้มครองแม้ว่าการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยอาจคุกคามในพื้นที่อื่น
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

                           หมากตอกใบใหญ่/ Iguanura wallichiana

                   

-Rimba Ilmu, Malaysia. -Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-Singapore Botanic Gardens. Photo by Dr. N. Parks.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_wallichiana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura wallichiana (Mart.) Benth. & Hook f.ex Becc.(1886)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/7933984
---Areca wallichiana Mart.(1838)
ชื่อสามัญ---Guana palm, Pinang Burung.
ชื่ออื่น---หมากตอกใบใหญ่, หมากปิแน (ภาคใต้), เมร็ง(ตรัง) ; [THAI: mak tok bai yai, mak pi nae (Peninsular); mareng (Trang).]; [CHINESE: Wa shi lie xi zong.]; [MALAY: Tronok.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---IGUWA (Preferred name: Iguanura wallichiana.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน (ไทย), Malesia (มาลายา สุมาตรา)  
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'wallichiana' สายพันธุ์นี้ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก Nathaniel Wallich (1786-1854)
---ชื่อสามัญของต้นปาล์มนี้ “pinang burung” แปลว่า “bird nut”ซึ่งอาจเป็นเพราะผลของมันถูกกระจายโดยนก
Iguanura wallichiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน, George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและ Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ จากอดีต Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2429
ที่อยู่อาศัย ปาล์มชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในป่าชื้นของมาเลเซีย สุมาตรา และประเทศไทยที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล ถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ บางครั้งเป็นปาล์มต้นเดี่ยว ต้นสูง 1-2 เมตร บางครั้งสูงถึง 5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2.5-3.5  ซม ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว1.5เมตร ก้านใบยาวประมาณ 15 ซม ใบย่อยขนาดไม่แน่นอน ใหญ่บ้างเล็กบ้างใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา สีของใบอ่อนที่เปิดใหม่เป็นสีน้ำตาลแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ช่อดอกยาว 30-70 ซม. ออกท่ามกลางใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (Monoecious) ผลกลมรี ขนาด 2x3 ซม.สุกสีม่วงคล้ำ มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่เป็นกรดเล็กน้อย อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ ความชื้นคงที่และดินที่ระบายน้ำได้ดี ตำแหน่งที่ปลูกควรอยู่ในพื้นที่ที่มีร่มเงารับแสงในระดับต่ำ  
ใช้ประโยชน์---เหมาะสำหรับปลูกเลี้ยงเป็นไม้กระถางประดับตกแต่งภายใน แสงสว่างเล็กน้อยก็อาจอยู่รอดได้เป็นเวลานาน หรือปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก2-4 เดือน

หมากนเรศวร/ Wallichia disticha

 

-New Caledonia, photo by Ben
-Spring Valley, CA (San Diego County) Photo by MattyB
-https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wallichia disticha T.Anderson.(1869)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/5294572
---Didymosperma distichum (T.Anderson) Hook.f.(1884)
---Wallichia yomae Kurz.(1877)
ชื่อสามัญ---Wallich Palm.
ชื่ออื่น--- หมากนเรศวร, ปาล์มสองทาง(ทั่วไป) ; [CHINESE: Er liè wǎ lǐ zōng.];[THAI: Mak na re suan (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---WLLDI (Preferred name: Wallichia disticha.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อ้สสัม บังคลาเทศ ลาว ไทย พม่า อินเดีย
Wallichia disticha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2412  
ที่อยู่อาศัย พบเจริญเติบโตในที่ลุ่มและป่าดิบเขา เชิงเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่หินบนเนินเขาสูงชัน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวโชว์ลำต้น สูงประมาณ 10เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-25 ซม.ก้านใบยาว 0,5-1,5 เมตร ใบออกสลับกันสองด้านโคนกาบใบมีเส้นใยสีน้ำตาลเข้ม ด้านบนแผ่นใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวปนสีเงิน ยาวประมาณ 60 ซม. ช่อดอกระหว่างใบเป็นดอกเพศเมียจะออกก่อน ช่อดอกยาวประมาณ1 เมตรมีกิ่งก้านดอก 50 อันยาว 60 ซม จากนั้นดอกเพศผู้จะออกตามด้านข้างมีความยาว 1.2 เมตรแตกกิ่งก้านสาขามีดอกย่อยประมาณ 1,000 ดอกยาว 30 ซม.ผลรูปกลมรีขนาด 2 x 1,5 ซม. สีน้ำตาลแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---การปลูกเลี้ยง ปลูกง่าย ชอบดินทราย แต่สามารถปรับและเจริญได้กับดินเหนียวและดินร่วนปนทราย ทั้งที่ดินจะเป็นด่างหรือเป็นกรดเล็กน้อย ต้องการแสงแดเต็มวันถึงครึ่งวันปริมาณน้ำปานกลาง ต้องการดินชื้นสม่ำเสมอ ไม่แห้งเป็นเวลานาน หรือชื้นจนแฉะ ในช่วงชีวิตมีการออกดอกติดผลเพียงครั้งเดียว เมื่อออกดอกติดผล จนผลสุก ก็จะตาย การเพาะปลูกจนถึงช่วงที่จะออกดอกอยู่ระหว่าง 10-20 ปี
การใช้ประโยชน์---เป็นปาล์มที่แปลกตาสวยงามและหายาก ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก อาจเนื่องจากมีความยากลำบากกับการหาเมล็ดพันธุ์ อีกทั้ง การขุดล้อมหมากนเรศวรนั้นยากมากที่จะขุดย้ายไปไว้ที่อื่นได้สำเร็จ เพราะระบบรากมีความละเอียดอ่อน และเป็นรากฝอยหนาแน่น หากถุูกกระทบกระแทก อาจตายเลย หรือ อาจออกดอกก่อนกำหนดแล้วก็ตาย
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอกประมาณ 4-10 เดือน

หมากแฝด/Iguanura bicornis


-Nong Nooch Botanical Garden, Thailand. Photo by Geoff Stein.
-Photo by Clayton York, Utopia Palms & Cycads.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_bicornis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura bicornis Becc.(1886)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ---None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากแฝด (ทั่วไป) ;[CHINESE: Er jiao lie xi zong.];[THAI: Mak fad (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE
EPPO code---IGUSS (Preferred name: Iguanura sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ไทย
Iguanura bicornis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลหมากตอก (Iguanura)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429  
ที่อยู่อาศัย พบในมาเลเซียและภาคใต้ของประเทศไทย เติบโตในป่าฝน ป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงถึง 800เมตร  
ลักษณะ หมากแฝด เป็นปาล์มกอขนาดเล็ก สูงไม่เกิน3เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น3.5ซม.ใบประกอบแบบขนนกมี 4-5 คู่ ใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา ใบอ่อนออกใหม่สีน้ำตาลแดง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) ผลอ่อนสีขาว เขียว สุกสีแดงมีเมล็ด1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่กำบังและชื้น เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน แสงแดด80-100% แต่ถ้าเพาะกล้าหรือเลี้ยงต้นอ่อน ต้องการแสงเพียง20-40%
การใช้ประโยชน์---Not recorded.
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

หมากพน/ Orania sylvicola


-Edge Hill, Cairns, QLD, AU. Photo by tanetahi.
-Photo by Paul Craft.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Orania_sylvicola
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Orania sylvicola (Griff.) H.E. Moore.(1962)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/5293560
---Basionym: Macrocladus sylvicola Griff.(1845)
---Orania macrocladus Mart.(1845)
ชื่อสามัญ--- Ibul palm, Forest palm.
ชื่ออื่น---หมากพน, พน (ทั่วไป) l; [CHINESE: Sen lin ao lan zong.];[FRENCH: Palmier forestier.]; [MALAY: Iwul.];[THAI: Mak phon, Phon (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ONNSS (Preferred name: Orania sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล; ได้รับเกียรติจากมกุฎราชกุมารแห่งเนเธอร์แลนด์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 FGL Willem van Nassau เจ้าชายแห่งออเรนจ์ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'sylvicola' ="การเจริญเติบโตในป่า"
Orania sylvicola เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Orania ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2505
ที่อยู่อาศัย พบในภาคใต้ของประเทศไทย ,อินโดนีเซีย ,มาเลเซียและสิงคโปร์ พื้นที่ของการกระจายครอบคลุมคาบสมุทรมลายู, สิงคโปร์, สุมาตรา, ชวาตะวันตก, หมู่เกาะ Anambas, กลุ่มเกาะ Karimata, กาลิมันตันตะวันตกและซาราวัก เติบโตในป่าชื้นจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 200-600 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว สูง15-20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ลำต้น 15-20 ซม.สีเทาเกลี้ยง มีวงรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบ ระยะห่าง 8 ซม.มีใบประมาณ 15 ใบ เวียนออกรอบคอ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 4-5 เมตร ก้านใบยาวประมาณ 1 เมตร ใบย่อยจัดเรียงอยู่ในระนาบเดียวประมาณ 100 ใบ ใบย่อยยาวเรียวสีเขียวเข้ม ใต้ใบสีเทาอมขาว ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ(Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) แผ่กระจาย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 75 - 100 ซม ผลกลมสีเขีนวคล้ำขนาด 4.5 - 5 ซม.เมื่อสุกสีเขียวอมเหลือง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ชอบดินชื้นสม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร
-อื่น ๆ ลำต้นใช้สำหรับสร้างบ้าน ใบใช้สำหรับมุงหลังคาบ้าน
ภัยคุกคาม---ใกล้ถูกคุกคาม (NT) - ใกล้จะมีคุณสมบัติที่มีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องหรือใกล้สูญพันธุ์และ/หรืออาจมีคุณสมบัติในอนาคตอันใกล้
สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species 1998 ; สายพันธุ์นี้สูญพันธุ์ในสิงคโปร์
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

หมากพระราหู /Maxburretia furtadoana

-Khao Phra Rahu, Thailand.
-Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.  
-https://www.palmpedia.net/wiki/Maxburretia_furtadoana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Maxburretia furtadoana J.Dransf.(1978)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/162826190
---Liberbaileya Furtado.(1941)
---Symphyogyne Burret.(1941)
ชื่อสามัญ---Sun palm
ชื่ออื่น---หมากพระราหู (กรุงเทพ); ปาล์มพระราหู (สุราษฎร์ธานี); [THAI: Mak phra rahu, Pam phra rahu.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Maxburretia' ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ Max Burret (1883-1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน
Maxburretia furtadoana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Dransfield (เกิดปี 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2521
ที่อยู่อาศัย พบครั้งแรกในประเทศไทย ค้นพบโดยดร.จอห์นดรานส์ฟีลด์ (Dr. John Dransfield, 1978)/Palmweb.ที่เขาพระราหู อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ในพื้นที่ลาดด้านบนที่ค่อนข้างโล่ง ในป่าที่มีลักษณะแคระแกรน และจนถึงรอยแยกในหน้าผา เป็นไปได้ว่าอาจเกิดขึ้นที่อื่นบนเนินเขาหินปูนที่อยู่ใกล้เคียง (ดร. จอห์น Dransfield, 1978)/ปาล์มเว็บ.
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ขยายออกไปโดยเหง้าใต้ดินได้มากสุดถึง10 ต้น ทั่วไปที่พบ 3-5 ต้น สูงประมาณ 3 (-5) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5 ซม.ที่โคนต้น มีรอยแตกตามแนวดิ่งและรอยแผลเป็น ด้านบนของลำต้น 1-2 เมตรขึ้นไปเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 12-15 ซม.ไม่มีกาบใบ แต่มีหนามแข็งสานกันปกคลุมหนาแน่น หุ้มลำต้นไว้ ก้านใบยาว 30-50 ซม.ใบรูปพัด (Costapalmate) แผ่นใบกว้างประมาณ 75 ซม.แฉกลึก แข็งแคบ 25 ถึง 30 ใบ มีปลายใบยาวบาง แผ่นใบด้านบนสีเขียวซีด ด้านล่างปกคลุมด้วยขี้ผึ้งสีขาวบางๆ ช่อดอกออกตามซอกใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศแยกต้น (Dioecious) เพศผู้มีช่อดอกย่อย 4 ช่อหรือน้อยกว่า ยาวไม่เกิน 30 ซม. มีสีน้ำตาลปน ดอกอ่อนทรงกลมสีเขียว ดอกบาน บานออกเล็กน้อยสีเหลืองซีดไม่พบกลิ่น ช่อดอกเก่าคงอยู่ ดอกกระเทยที่เห็นในสายพันธุ์นี้เหมือนกันกับดอกเพศเมีย ผลกลมรี ขนาด0.8 x 0.4 ซม.สีเหลืองอมส้ม สีน้ำตาลเมื่อสุก ผลแก่เป็นสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นผิวหินปูนหยาบ
การใช้ประโยชน์---ในการเพาะปลูกนั้นหายากยิ่งกว่าในแหล่งที่อยู่อาศัยที่จำกัดและมีอยู่เพียงเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพืชขนาดเล็กหรือต้นกล้าในคอลเล็กชันบางส่วน เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เมล็ดพันธุ์จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะรวบรวมและแทบไม่เคยเสนอให้เลย
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ

หมากพร้าว/ Actinorhytis calapparia


-Lae Botanic Garden, Papua New Guinea.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Actinorhytis_calapparia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Actinorhytis calapparia (Blume) H.A. Wendland & Drude ex Scheff.(1876)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2735548
---Basionym: Areca calapparia Blume.(1843)
---Actinorhytis poamau Becc.(1914).
---Areca cocoides Griff.(1845)
---Pinanga calapparia (Blume) H.Wendl.(1878)
---Ptychosperma calapparia (Blume) Miq.(1855)
---Seaforthia calapparia (Blume) Mart.(1849)
ชื่อสามัญ---Calappa Palm, Tangalo.
ชื่ออื่น---หมากพร้าว (ทั่วไป) ;[MALAYSIA: Pinang kelapa, Pinang penawar, Pinang mawar (Malay).];[RUSSIAN: Aktinoritis kalappa.];[THAI: Mak phrao (General).];
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---QCTCA (Preferred name: Actinorhytis calapparia.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์--- นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ไทย สุมาตราและคาบสมุทรมาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Actinorhytis' คือการรวมกันของคำภาษากรีก "aktis, aktinos" = รังสีการแผ่รังสีและ "rhytos" = รอยย่นที่มีการอ้างอิงถึง striations ของ endosperm ซึ่งฉายรังสีจากใจกลาง; ชื่อของสายพันธุ์มาจากชื่อของมะพร้าวมาเลย์ ( Cocos nucifera ): kelapa
Actinorhytis calapparia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อแน่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2419  
ที่อยู่อาศัย เป็นพันธุ์พื้นเมืองในนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน มีการกระจายพันธุ์ใน ไทย สุมาตราและคาบสมุทรมาเลเซีย เติบโตในป่าฝน ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 12-14 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16-20 ซม ลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้องชัดเจน สีน้ำตาลอมเทาสีเขียว ใบรูปขนนก ทางใบยาว 5 เมตร คอยอดยาว 60 ซม. ช่อดอกออกที่คอยอด (Infrafoliar) เป็นแนวนอนหรือห้อยลง มีดอกย่อยจำนวนมากสีขาวครีม ผลกลมรียาว 6-8 ซม.สีเขียว เมื่อสุก้ปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม มีเมล็ด1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการความชื้นสูง ดินอาจเป็นกรดหรือเป็นกลางอุดมไปด้วยสารอินทรีย์และระบายน้ำได้ดี ดินต้องมีความชื้นสม่ำเสมอ เมื่อยังเล็กควรปลูกในตำแหน่งที่มีร่มเงา เมื่อโตเต็มวัยต้องการแสงแดดจัดหรือร่มเงาเพียงบางส่วน
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกกลางแจ้งเป็นกลุ่มหรือแถว หรืออาจจะปลูกในกระถางสำหรับการตกแต่งภายในที่มีแสงส่องสว่างพอ
-อื่น ๆ ได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ Malesia ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่ามันมีพลังวิเศษหรือเป็นยาหรือใช้เคี้ยวแทนหมากพลู
ขยายพันธุ์--ด้วยการเพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก2-4เดือน

หมากลิง/Pinanga sylvestris


-Floribunda Nursery, Hawaii. Photo by Geoff Stein
-Thailand. Photo by Paul Craft.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_sylvestris
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga sylvestris (Lour.) Hodel.(1998)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2739380
---Basionym: Areca sylvestris Lour.(1790)
---Pinanga chinensis Becc.(1905)
---Pinanga cochinchinensis Blume. (1839) [Illegitimate]
---Pinanga duperreana Pierre ex Becc.(1886)
---Pinanga macroclada Burret.(1936)
---Ptychosperma sylvestris (Lour.) Miq.(1855)
---Seaforthia cochinchinensis (Blume) Mart.(1849)
---Seaforthia sylvestris (Lour.) Blume ex Mart.(1838) [Illegitimate]
ชื่อสามัญ---Chocolate Cane Palm
ชื่ออื่น---หมากลิง (ทั่วไป) ;[CAMBODIA: Sla sngap, Sla khmau, Sla tourlieng, Sla condor.];[CHINESE: Hua shan zhu.];[THAI: Mak ling (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, อัสสัม, กัมพูชา, ลาว, พม่า, ไทยและเวียดนาม
Pinanga sylvestris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2541
ที่อยู่อาศัย พบในจีนภาคใต้ตอนกลาง (ยูนนาน) อัสสัม,กัมพูชา,ลาว,พม่า,ไทย,เวียตนาม เติบโตในป่าดิบชื้นและที่ราบต่ำ ที่ระดับความสูง 100-1700 เมตร ในประเทศไทยมีบันทึกอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวจังหวัดจันทบุรี
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก หน่อแตกจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปตามพื้นดินแล้วตั้งขึ้น บางครั้งแตกหน่อเหนือพื้นดิน ลำต้น สูงได้ถึง 2- 4 เมตร .เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นขนาด 1.5-3.5 ซม ลำต้นสีม่วงอมน้ำตาล ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 1-1.5 เมตร ใบอ่อนมีสีโทนชมพูแดง คอยอดยาว 15 ซม. ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ไม่เห็นดอกเพศผู้ ช่อดอกยาว 20 ซม.ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) แตกออกเป็นหางหนู 2-4 เส้น สีขาวนวล ติดผลบนหางหนู ผลรูปรี ขนาด 1.4-1.8 x 0.5-0.7 ซม..ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อผลสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบแสงแดดรำไร ทนต่อร่มเงา ดินปนทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อย การระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์---Not recorded.
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2013)
ขยายพันธุ์---เมล็ด

                                      หมากวัฒนา/ Pinanga watanaiana

             

-Floribunda Nursery, Hawaii. Photo by Paul Craft
-In habitat, Thailand. Photo by Luke Nancarrow
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_watanaiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga watanaiana C.K.Lim.(1998)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-156545
ชื่อสามัญ--None.(Not recorded)
ชื่ออื่น---หมากวัฒนา(ทั่วไป) ;[THAI: Mak wat ta na (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'watanaiana' ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อ Watana Sumawong ผู้มีชื่อเสียงด้านปาล์มและนักสะสมผู้บุกเบิกในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งได้รวบรวมมันในปี พ.ศ. 2529 ที่ จังหวัดภูเก็ต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการพบปาล์มชนิดนี้ในที่อื่น และอาจใกล้สูญพันธุ์ได้เนื่องจากมีความน่าสนใจด้านพืชสวน (โฮเดล, D. 1997.)
Pinanga watanaiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2541

                                           

-In habitat, Thailand. Photo by Luke Nancarrow
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_watanaiana
ที่อยู่อาศัย พืชเฉพาะถิ่น พบครั้งแรกที่ จังหวัดภูเก็ต และยังไม่พบที่อื่น ในธรรมชาติ หายากและใกล้สูญพันธุ์ เดิบโตในป่าดิบเขา ป่าฝนที่ราบลุ่ม ของภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย ที่ระดับความสูงความสูง 500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สูงประมาณ 2-2.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น1.5- 3.5ซม. ลำต้นสีน้ำตาลอมม่วงเข้มที่โคนสีเขียวใกล้ก้านช่อดอก มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบหลุดร่วง เป็นข้อวง
คอยอดสีเหลืองน้ำตาล ยาว 30 ซม.ทางใบยาว70 ซม. ใบไม้มี6-8ใบ ใบประกอบแบบขนนก (Pinate) ก้านใบยาว 10-13 ซม.ปลายใบแหลม ใบมักมีรอยจุดสีเขียวอ่อนบนใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า ช่อดอกห้อยลง ยาว 5-20 ซม.ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ผลรูปไข่ ยาว1.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางผล1ซม.สุกสีแดงถึงดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือร่มเงากำบัง ดินมีความชื้นและการระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์---Not recorded.
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หมากส้ม/ Areca vestiaria

 

-Hawaii. Photo by Timothy Brian
-http://www.palmpedia.net/wiki/Areca_vestiaria
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Areca vestiaria Giseke.(1792)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Drymophloeus vestiarius Miq.(1868)
---Mischophloeus vestiarius (Giseke) Merr.(1917)
---Pinanga vestiaria (Giseke) Blume.(1839)
---Ptychosperma vestiarium (Giseke) Miq.(1855)
---Seaforthia vestiaria (Giseke) Mart.(1849)
---More.See allThe Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-14650
ชื่อสามัญ---Orange Crownshaft Palm, Sunset Palm, Orange Collar Palm, Red pinang, Monkey pinang.
ชื่ออื่น---หมากส้ม(ทั่วไป) ;[INDONESIA: Pinang Merah, Pinang Yaki (monkey pinang).];[MALAYSIA: Pinang berah (Malay).];[PORTUGUESE: Areca-de-pescoço-laranja, Areca-dourada, Palmeira-areca-dourada, Palmeira-areca-vestiária.];[SPANISH: Areca anaranjada.];[THAI: Mak som (General).
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ARMVE (Preferred name: Areca vestiaria.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย- มาลูกุ, สุลาเวสี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะ 'vestiarius'คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "vestiarius, a, um" = เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้า โดยอ้างอิงถึงการใช้งานที่ทำโดยประชากรในท้องถิ่นของเส้นใยสีขาวบาง ๆ ที่ได้มาจากชั้นนอกของลำต้นสำหรับทำเสื้อผ้า
Areca vestiaria เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยPaul Dietrich Giseke (1741–1796) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2335
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์ปาล์มพื้นเมืองในป่าดิบชื้นมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคทางตอนเหนือของ Moluccas และ Sulawesiของอินโดนีเซีย เติบโตในป่าชั้นล่างของป่าชื้นบนดินภูเขาไฟที่ระดับความสูงถึง 1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยว, บางครั้งเป็นกอ สูงได้ถึง10เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-12 ซม. คอยอดสีเหลืองอมส้มจนถึงส้มแดง ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว2เมตร ก้านใบสั้น สีเหลืองอมสีส้มไม่มีหนาม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) แตกแขนงใต้ใบ (infrafoliar) ดอกสีเหลืองเข้ม ช่อดอกแสดงถึงปรากฏการณ์ของ Proterandry ดอกเพศผู้จะสุกก่อนดอกเพศเมีย ซึ่งจะทำให้เกิดการผสมข้ามพันธุ์ ผลกลมรีขนาดยาว2-2.8 ซม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.4 ซม.เมื่อสุกสีเหลืองอมส้ม มีเมล็ดรูปไข่หนึ่งเมล็ดยาวประมาณ 1.4 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง แสงแดดรำไร และความชื้นในดินสูง สามารถทนต่ออุณหภูมิลดลงได้+5 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับการตกแต่งสวนสาธารณะและสวนในที่ร่ม เป็นต้นปาล์มที่ตกแต่งสวยงามมากที่สุดต้นหนึ่งในการเพาะปลูกอย่างแท้จริง แต่ค่อนข้างหายาก
-ใช้เป็นยา ผู้คนในสุลาเวสี ใช้ผลปาล์มเป็นยาคุมกำเนิด พวกเขาดื่มยาต้มของเนื้อผลไม้ที่ต้มในน้ำ
การขยายพันธุ์--เมล็ด, แยกหน่อ ; เมล็ดงอกภายใน 4 ถึง 8 สัปดาห์ การแยกหน่อจะได้ลักษณะเดิมของต้นแม่ แต่ต้นที่เกิดจากการเพาะเมล็ดอาจเปลี่ยนแปลงได้

หมากหวิง/Pinanga disticha

 

-Bukit Lagong, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-University of Hawai'i Lyon Arboretum and Botanical Garden. Photo by Dr. John Dransfield,
-http://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_disticha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga disticha (Roxb.) H.Wendl.(1878)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669063-1#synonyms
---Basionym: Areca disticha Roxb.(1832)
---Areca curvata Griff.(1851)
---Areca humilis Roxb. ex H.Wendl.(1878)
---Pinanga bifida Blume.(1839)
---Ptychosperma distichum (Roxb.) Miq.(1855)
---Seaforthia disticha (Roxb.) Mart.(1838)
ชื่อสามัญ---Legong Palm.
ชื่ออื่น---หมากหวิง, หมากเจ, เจหางปลา, เจใบลาย (ทั่วไป);[CHINESE: Liang lie shan bing lang.];[JAPANESE: Pinanga disutika.];[INDONESIA: Pinang boring padi.];[THAI: Mak wing (Peninsular); Mak che, Che hang pla, Che bai lai (General).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - คาบสมุทรไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย (สุมาตรา)
Pinanga disticha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2421
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรไทยมาเลเซียและยังพบในสิงคโปร์และสุมาตราที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ถึง 800 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กมาก มีลักษณะเป็นกอหนา หน่อแตกจากลำต้น สูงประมาณ 0.90-1.40 เมตร ลำต้นสีเขียวหรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.6–1 ซม.ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) หรือเป็นใบเดี่ยวรูปหางปลา(Bifid) ขอบใบเว้าถึงเส้นกลางใบ มีใบย่อย 3 - 6 คู่ ปลายใบรูปหางปลา แผ่นใบสีเขียวเข้ม หลังใบมีจุดด่างสีเขียวอ่อน ใบด่างนี้จะคงสีไว้ตลอดชีวิต ท้องใบสีเทาเงิน กาบใบและก้านใบมีขนละเอียดสีน้ำตาลปกคลุม กาบใบสีเขียวอมเหลืองเป็นหลอดหุ้มลำต้น ยาวประมาณ 12ซม. ก้านใบสั้น แกนกลางใบยาว 30-40 ซม. ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) แตกออกเป็น2-3เส้น สีขาวนวล ห้อยลง ยาวประมาณ 10 ซม.ผลรูปไข่หรือรูปรี ขนาด 1.2-1.5 x 0.8-1 ซม.ติดเรียงบนก้านช่อในระนาบเดียวกัน ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในตำแหน่งปลูกที่ร่มรำไร แสงแดดส่องถึง ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์และชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ไม่ชอบสภาพแห้งอย่างแรง
ใช้ประโยชน์---เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา เมล็ดใช้รักษาอาการปวดท้องและเป็นยาแก้พิษที่กินเข้าไป
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกลงเแปลงหรือปลูกในกระถางในที่ร่มรำไร
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ เมล็ดใช้เวลาในการงอก3-4เดือน


                               หมากอาดัง/ Pinanga adangensis

                                         -Photo by Dr. Chandni Rawat
-Mt. Warning Caldera, Nth. NSW, Australia. Photo by Pete
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_adangensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga adangensis Ridl.(1912)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ--- Ivory crown.
ชื่ออื่น---หมากอาดัง (ภาคใต้) ; [THAI: Mak adang.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ “adangensis” = ของอาดัง หมายถึงหนึ่งในสถานที่กำเนิดของมันคือเกาะอาดัง, ตามแนวชายฝั่งไทย
Pinanga adangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2455
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมาเลเซียและประเทศไทย พบเติบโตในป่าชื้นตามแนวชายฝั่ง ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล ถึงประมาณ 200 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ สูงได้ถึง 6- 8 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-5 ซม.สีเขียวเรียบเกลี้ยง มีรอยแหวนแผลเป็นที่เกิดจากใบร่วงหล่นเห็นชัด ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาวถึง 2 เมตร กาบใบยาว 30-60 ซม.สีเขียวแกมขาวถึงเหลืองมีขนสีม่วง ก้านใบย่อยยาว 30-50 ซม. ช่อดอกออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ห้อยลงยาว 20-40 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ไม่เห็นดอกเพศผู้ ติดผลเป็นแถบสองด้าน ผลกลมรีรูปไข่ สีแดง สุกสีม่วงดำ ขนาดของผล ยาว 1–1.8 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6–1.2 ซม.        ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน บริเวณที่มีร่มเงาและในดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นตลอดเวลา พืชอาจต้านทานต่อช่วงเวลาแห้งแล้งสั้นๆ ชอบอุณหภูมิที่เหมาะสม (ช่วง 14-16 °C) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (0 °C) ในช่วงเวลาสั้น ๆเท่านั้น
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกในกระถางขนาดใหญ่ เพื่อตกแต่งเป็นไม้ประดับภายใน หรือลงแปลงกลางแจ้งในที่ร่มรำไร
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ เมล็ดใช้เวลางอก 3-4 เดือน


หลังกับ/  Arenga obtusifolia


-Photo---http://www.palmpedia.net/wiki/index.php/Arenga_obtusifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga obtusifolia Mart.(1838)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-14680
---Gomutus obtusifolius Blume.(1843)
---Saguerus langbak Blume.(1843)
ชื่อสามัญ---Sugar palm, Sumatra sugar palm.
ชื่ออื่น---หลังกับ, พร้าวหนู มะพร้าวหนู (ทั่วไป) ;[CHINESE: Dun ye guang lang, Su men da la guang lang.];[INDONESIA: Pokok Langkap, Lang lap, Langko, Lang sap.];[MALAY: Langkap.];[RUSSIAN: Arenga tupolistnaya.];[THAI: Lang kap, Phrao nu, Ma phrao nu (General).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---AGBOB (Preferred name: Arenga obtusifolia.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามลายู 'areng' ที่อ้างถึงArenga pinnata ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "obtusus, a, um" = ทื่อ และ "folium, ii" = leaf
Arenga obtusifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) เป็นปาล์มที่อยู่ในสกุลเดียวกับตาว (Arenga) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2381
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ชวา มาลายา สุมาตราและประเทศไทย : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซียเติบโตใน ป่าฝนชายฝั่ง, เนินเขาสูงชันในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ป่าดงดิบชั้นต้นพบน้อยมาก พบที่ระดับความสูงไม่เกิน 700 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ไม่มีหนาม พืชสร้างลำต้นใหม่จากการเจริญเติบโตของ stoloniferous ที่สามารถมีความยาวได้ถึง 15 เมตร ต้นสูง 6-8 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15 - 30 ซม.ลำต้นและกาบใบปกคลุมด้วยแผ่นใย ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 3.5-4 เมตร มีใบย่อยรูปใบหอก 60-100 ใบ ก้านใบย่อยยาว 1 เมตร ใบย่อยยาวเรียวสีเขียวเข้ม ใต้ใบมีนวลสีขาวปกคลุม ยาว 0.7-1.5 เมตร และกว้าง 6-8 ซม.เรียงไม่เป็นระเบียบทั้งสองด้านของทางใบ ช่อดอกสีขาว มีดอกทั้งสองเพศ ในช่อดอกเดียวกันซึ่งจัดเรียงในลักษณะสามดอก (ดอกเพศเมียหนึ่งดอกท่ามกลางดอกเพศผู้สองดอก) แต่มีข้อสังเกตว่าในระหว่างการพัฒนา ดอกไม้ทั้งหมดของเพศเดียวจะถูกกำจัดออกไปซึ่งประพฤติตามวัตถุประสงค์ของการสืบพันธุ์อย่างไม่แน่นอน (dioecious.) ช่อผลเป็นกระจุกแน่น ผลรูปรีเป็นสันนูน ขนาด3- 5 ซม.เมื่อสุกสีเขียวอมเหลือง มีเมล็ดสีดำ  1-3 เมล็ด มีลักษณะผิดปกติของสกุล  monocarpic จึงไม่ตายหลังออกดอก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการแสงแดดเต็มที่หรือร่มเงาบางส่วน ดินชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและแหล่งที่มาของวัสดุ
-ใช้กิน ตายอดหรือหัวใจปาล์ม กินเป็นผัก สามารถปาดช่อดอกเพื่อเก็บน้ำหวานมาผลิตน้ำตาลได้ โดยปาดช่อดอกผู้
-ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับปลูกในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง ในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่
-อื่น ๆ ใบไม้ใช้ในการมุงและใช้เป็นวัสดุทำเครื่องจักสาน ไม้ใช้ทำเครื่องใช้เล็ก ๆหรือแม้กระทั่งใช้ในการก่อสร้างแต่มีการกล่าวว่าไม่คงทน
รู้จักอันตราย---ผลไม้ของสปีชีส์ส่วนใหญ่ในประเภทนี้มีพิษ เนื้อของผลไม้มักจะมีคริสตัลออกซาเลตจำนวนมากทำให้เนื้อกินไม่ได้
ระยะออกดอก---ตลอดปี ไม่ตายหลังออกดอก
ขยายพันธุ์---เมล็ด  ใช้เวลาในการงอก อาจใช้เวลา 3 - 6 เดือนหรือมากกว่านั้น

หลาวชะโอนเขา/ Oncosperma horrida  


-Floribunda Palms, Hawaii. Photo by Geoff Stein.---http://www.palmpedia.net
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oncosperma horridum (Griff.) Scheff.(1872)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668555-1
---Areca horrida Griff.(1845)
ชื่อสามัญ---Mountain Nibung Palm.
ชื่ออื่น---หลาวชะโอนเขา, ตุหงัน, ตังหัน, หลาวชะโอนป่า (ปัตตานี), ทุเรียน (นครศรีธรรมราช), กระเรียนเขา, ทุรัง (ภาคใต้), บาไย, บายะห์ (มลายู ยะลา), บาใหญ่ (กระบี่), เบาะ (ยะลา) ;[INDONESIA: Bayas, Ari ribbuk, Pinang bayeh.];[MALAYSIA: Bayas, Debung, Nyivung.];[PHILIPPINES: Anibong-gubat, Tanaian.];[THAI: Krarian khao (Peninsular); Tang han (Pattani); Tu ngan (Pattani); Thu rang (Peninsular); Thurian (Nakhon Si Thammarat); Ba-ya (Malay-Yala); Ba-yai (Malay-Yala); Ba yai (Krabi); Bo (Yala); Lao cha on khao (Pattani); Lao cha on pa (Pattani).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ONPHO (Preferred name: Oncosperma horridum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซียถึงสุมาตรา, บอร์เนียวและฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Oncosperma" มาจากภาษากรีก '(oncos) mass' และ '(spérma)' หมายถึงพื้นผิวของเมล็ดพืช ; ฉายาเฉพาะ 'horridum' จากภาษาละตินความหมาย= เต็มไปด้วยหนาม
Oncosperma horridum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2415


-Taman Sebaya, Selangor, Malaysia.
-Photo by Dr. Ahmad Fuad Morad.
ที่อยู่อาศัย พบในเกาะบอร์เนียว, มาลายา, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, สุมาตราและประเทศไทย ในป่าฝนที่ลุ่ม ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ มีลำต้น 6 - 12 ลำต้นต่อกอ สูงได้ถึง 20 เมตร ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-25 ซม. ปกคลุมด้วยเงี่ยงหนามสีดำที่ชี้ลงล่าง  คอยอดยาว 60 ซม. สีเขียวอ่อน มีหนามสีดำที่คอ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 4 เมตร เรียงเวียนเอียงตั้งขึ้น ดอกออกเป็นช่อดอกใต้คอยอด (Infrafoliar) กางแผ่กระจาย ยาว 50 ซม.ดอกจัดเรียงเป็นสามดอกซึ่งประกอบด้วยดอกเพศผู้สองดอกและดอกเพศเมียหนึ่งดอก ผลกลม ขนาด 1.5-2 ซม. ลักษณะปกคลุมด้วย Wax เริ่มแรกมีสีเขียว จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและสุดท้ายเป็นสีดำเมื่อสุก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด หรือกึ่งร่มรำไร เจริญเติบโตเร็วมากและปรับให้เข้ากับดินประเภทใดก็ได้ แต่ชอบดินที่มีความชื้น ระบายน้ำได้ดี และเข้าถึงน้ำได้ง่าย อุณหภูมิระหว่าง 5 °C ถึง 10 °C อาจทำให้พืชเสียหายและถึงตายได้ มีความทนทานต่อความเค็มและน้ำกร่อย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอดสุก กินเป็นผัก ผลไม้ - กินเป็นครั้งคราว
-อื่น ๆ ไม้ - แข็งแรงและทนทานกว่าปาล์มอื่น ๆ ทนทานเป็นพิเศษในน้ำ ลำต้นที่ทนต่อน้ำทะเลและมักจะใช้ในการสร้าง kelong (โครงสร้างไม้บนตะกอนในทะเลสำหรับการเลี้ยงหรือจับปลา)
สถานะของการอนุรักษ์---สายพันธุ์นี้ยังไม่ได้รับการยืนยันโดย International Union for the Conservation of Nature (IUCN) สายพันธุ์นี้ถือว่าอ่อนแอในบางพื้นที่ของพื้นที่กระจายพันธุ์ และมีอยู่เฉพาะในเขตคุ้มครองเท่านั้น
ขยายพันธุ์---เมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ภายใน 2 เดือน


หลาวชะโอนทุ่ง/ Oncosperma tigillarium


-Lae Botanic Garden, Papua New Guinea.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-Photo by Mahmud Yussop.
-www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_tigillarium
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oncosperma tigillarium (Jack.) Ridl.(1864)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2732290
---Basionym: Areca tigillaria Jack.(1820)
---Areca nibung Mart.(1838)
---Areca spinosa Hasselt & Kunth.(1841)
---Euterpe filamentosa Kunth.(1841)
---Keppleria tigillaria (Jack) Meisn.(1842)
---Oncosperma cambodianum Hance.(1876)
---Oncosperma filamentosum (Kunth) Blume.(1843)
ชื่อสามัญ---Nibung palm, Nibong palm, Wild palm
ชื่ออื่น--- หลาวชะโอนทุ่ง, หลาวชะโอน, ชะโอน (ภาคใต้), นิบง (มลายู ปัตตานี) ; [CAMBODIA: Slateaaon (Central Khmer).];[MALAYSIA: Palma, Nibong (malay).];[PORTUGUESE: Palmeira-nibung.];[THAI: Lao cha own thung, Lao cha own, Cha own (Peninsular); Ni-bong (Malay-Pattani).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ONPFI (Preferred name: Oncosperma tigillarium.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - มาเลเซียถึงสุมาตรา, บอร์เนียวและฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tigillarium' มาจากภาษาละติน “tigillum” = จันทันขนาดเล็ก โดยอ้างอิงถึงลำต้นที่บาง
Oncosperma tigillarium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2407


-Kuching, Sarawak, Malaysia. Photo by Mahmud Yussop.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน อินโดจีน อินโดนีเซีย , มาเลเซียและฟิลิปปินส์ พบได้ในพื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ตามป่าชายเลนหนองน้ำ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 150 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มขนาดใหญ่ แตกกอสูงได้ถึง 25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 10-15 ซม บางครั้งถึง 25 ซม. ขนาดของกอมักจะใหญ่กว่าหลาวชะโอนเขา หนาแน่นโดยปกติ 15 - 30 ลำต้นต่อกอแต่บางครั้งจะมีหลายร้อย ลำต้นมีสีบรอนซ์อ่อนๆ ปรากฏให้เห็นรอยวงแหวนของใบแก่ทั้หลุดร่วง ปกคลุมไปด้วยหนามสีดำจำนวนมากแบนราบ ยาวไม่เกิน 10 ซม.และคว่ำลงเป็นหลัก ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มีทางใบยาว  3 เมตร.โค้งอย่างสวยงาม สีเขียวอ่อน ปกคลุมด้วยหนามยาวไม่เกิน 10 ซม. ใบย่อยยาว 60–70 ซม.กว้าง 3 ซม. ช่อดอกมีหนามเช่นกันเป็นช่อแยกแนง 2 ชั้น ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) มีดอกของทั้งสองเพศวางอยู่ในสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกเพศเมียท่ามกลางดอกเพศผู้สอง) ก้านช่อดอกยาว 15-20 ซม ช่อดอกรวม ยาว 40–60 ซม. ผลกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.2 ซม. ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นแดง สุกสีม่วงดำ มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อน ต้องการแสงแดดจัด แต่ยังสามารถประสบความสำเร็จในที่ร่ม ปรับให้เข้ากับดินประเภทใดก็ได้ ชอบ pH ในช่วง 6 - 6.5 แต่ทนได้ 5.5 - 7 อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีอยู่ในช่วง 20 - 30°c แต่สามารถทนได้ 10 - 35°c พืชสามารถทนต่อการสัมผัสกับน้ำทะเลได้อย่างน้อยด้วยละอองเกลือและสภาพดินที่ค่อนข้างเค็ม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอดสามารถกินดิบในสลัดหรือปรุงเป็นผัก เนื้อขาวละเอียด รสหวานอมเปรี้ยว ผักที่อร่อยที่สุดและเมื่อต้มแล้วจะมีลักษณะคล้ายหน่อไม้ฝรั่งหรือคะน้า ดอกไม้ใช้สำหรับแต่งกลิ่นข้าว ผลไม้ใช้สำหรับทำแยมและกินเป็นครั้งคราวเคี้ยวแทนหมากพลู
-ใช้เป็นยา รากรวมกับรากของ Areca catechu ได้รับการกล่าวขานว่าจะช่วยปรับปรุง/เพิ่มพลังชีวิตของผู้ชาย
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ถือเป็นหนึ่งในปาล์มที่ใช้ปลูกประดับประดามากที่สุด สำหรับความสง่างามของกลุ่มใบ แต่ได้รับการเพาะปลูกค่อนข้างน้อยเพราะมีหนามมาก เหมาะกับสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ ปลูกแยกเป็นกลุ่มหรือเป็นแถวและให้ห่างจากเส้นทางสัญจร
-อื่น ๆใบเป็นแหล่งของไฟเบอร์ ใช้สำหรับทำตะกร้าและมุงจาก ลำต้นที่ทนต่อน้ำทะเลและมักจะใช้ในการสร้าง kelong (โครงสร้างไม้บนตะกอนในทะเลสำหรับการเลี้ยงหรือจับปลา)
ขยายพันธุ์---เมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ภายใน 2-3 เดือน


หลุมพี/Eleiodoxa confera


-Nee Soon Swamp Forest, Singapore.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb
ชื่อวิทยาศาสตร์---Eleiodoxa confeta (Griff.) Burret.(1942)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-66393
---Basionym: Salacca conferta Griff.(1845)
---Eleiodoxa microcarpa Burret.(1942)
---Eleiodoxa orthoschista Burret.(1942)
---Eleiodoxa scortechinii (Becc.) Burret.(1942)
---Salacca scortechinii Becc.(1919)
---Eleiodoxa xantholepis Burret.(1942)
ชื่อสามัญ---Marsh Sour Relish, Asam paya
ชื่ออื่น---ลุมพี,หลุมพี(นราธิวาส,ปัตตานี),กลูบี,กะลูบี,ลุบี(มลายู นราธิวาส) ;[FRENCH: Salacca de Borneo, Salacca de Sarawak.];[INDONESIA: Kelubi.];[MALAYSIA: Kelubi, Kelumi, Asam paya, Asam Kelubi, Salak Hutan.];[THAI: Lum phi (Pattani, Narathiwat); Kra-lu-bi, Lu-bi (Malay-Narathiwat).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---EDXCO (Preferred name: Eleiodoxa confeta.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
Eleiodoxa confeta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2485
ที่อยู่อาศัย พบใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ; ไทย บอร์เนียว สุมาตรา มาเลเซีย เติบโตในหนองน้ำจืดมักสร้างอาณานิคมขนาดใหญ่ ตามที่ลุ่มที่มีความอุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าพรุบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นสั้นแตกหน่อเป็นกอใหญ่ออกดอกผลแล้วตาย หน่อใหม่ในกอเดียวกันก็จะขึ้นมาแทนที่ พบตามป่าพรุที่มีน้ำขัง ทรงพุ่มแผ่กว้าง สูงประมาณ 3-4 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ออกเรียงเวียนสลับ ทางใบยาว 3-6 เมตร ความกว้างของใบประมาณ 1-2 เมตร กาบใบและก้านใบมีหนามแหลมยาวเรียงเป็นแผง ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกเป็นช่อแยกแขนง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 10-12 ซม. ผลรูปไข่กลับมีเนื้อเมล็ดเดียว ออกเป็นทะลาย ทะลายหนึ่งๆออกผลได้ประมาณ 200-300 ผล เปลือกผลบางเป็นเกล็ดสีน้ำตาล เนื้อในสีเหลืองอมส้มขมพู รสเปรี้ยว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผลประมาณ 2.5 ซม.ตั้งแต่เริ่มออกช่อดอกจนถึงผลสุก ใช้ระยะเวลา ประมาณ 18 - 20 เดือน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งกำบัง แสงแดดรำไร ในดินชื้นถึงเปียก ดินที่อุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อย ทนน้ำท่วมขังได้ดี เป็นปาล์ม Hapaxanthic แต่ละลำต้นเติบโตหลายปีก่อนออกดอก และจะตายหลังจากดอกบาน
ใช้ประโยชน์---ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยคนในท้องถิ่นใช้เป็นอาหาร ยาและวัสดุ ผลไม้มักจะขายในตลาดท้องถิ่น
-ใช้กิน ผลไม้ - สุก รสเปรี้ยวใช้สำหรับปรุงรสแกงหรือต้มเพื่อทำขนมหวาน สามารถใช้แทนมะขาม (Tamarindus indicus)-ตายอดปรุงสุกและกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา  ใช้ยาต้มของผนังผลไม้เป็นยารักษาอาการไอ
-ใช้ปลูกประดับ  เหมาะปลูกลงแปลงริมน้ำ หรือปลูกเป็นไม้กระถางแช่น้ำ
-อื่น ๆ ใบใช้สำหรับมุงและทอเป็นเสื่อ
ขยายพันธุ์---เมล็ด

หวายสยาม/ Calamus siamensis


-Nong Nooch Tropical Garden, Pattaya, Thailand.
-Photo by Paul Craft.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Calamus_siamensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calamus siamensis Becc.(1902)
ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name.
ชื่อสามัญ---Thai Rattan.
ชื่ออื่น---หวายสยาม, หวายขม (ทั่วไป), หวายบุ่น, หวายดง, หวายใหญ่ (ภาคตะวันออกเฉยงเหนือ), แกรบาตู (มาเลย์-นราธิวาส) ; [LAOS: Wai khom, Wai nam, Wai deng.];[THAI: Wai sayam, Wai khom (General); Wai bun, Wai dong, Wai yai (Northeastern); Krae-ba-tu (Malay-Narathiwat).].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---CLUSS (Preferred name: Calamus sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย ลาว มาเลเซีย
Calamus siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลหวาย (Calamus)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2445
ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้), ลาวและคาบสมุทรมาเลเซีย เติบโตในป่ากึ่งป่าดงดิบที่เสื่อมโทรม พบในลาวที่ระดับความสูง 100 เมตร ในประเทศไทยที่ระดับความสูง 0 - 300 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มเถาเลื้อยพันแตกกอได้ มีหนามที่โคนกาบใบและก้านใบ โค้งเข้าหาโคนใบ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.2-2.5 ซม.ข้อปล้องยาว 15–45 ซม.มีหนามแหลมสีน้ำตาลเข้มรูปสามเหลี่ยมแคบ มีฐานเป็นสีเขียวซีดถึงเหลือง ยาวที่สุดถึง 4.5 ซม. กระจายด้วยหนามที่เล็กกว่ามากถึง 0.5 ซม. หนามโดยทั่วไปกระจัดกระจาย บางครั้งจัดกลุ่มบางส่วน ใบประกอบรูปขนนก (Pinnate) ใบย่อยออกเป็นกระจุกแบบตรงข้าม กระจุกละ 2-10 ใบ ใบย่อยที่ประกอบบนก้านใบมีจำนวนประมาณ 75-90 ใบ สีเขียวเข้มโค้งอ่อนสวยงาม ยาวที่สุด 11–33 x 1-2 ซม. ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกยาวถึง 2.5 เมตร มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ผลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1 ซม.เปลือกเป็นเกล็ดเรียงซ้อนเกยกันแนวตั้ง 15 แถวสีน้ำตาลอมเหลืองแห้ง ขอบสีเข้มกว่า ปลายผลมีติ่ง เมล็ดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในร่มเงาหรือแสงแดดจัด ทนแล้งและทนดินเค็มได้ดี
ใช้ประโยชน์--ใช้กิน เนื้อผลสุกกินได้เนื้อนิ่มรสหวานๆเปรี้ยวๆ หน่อหรือยอดใช้ประกอบอาหารหลายชนิด มีการปลูกเพื่อผลิตหน่อจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
-ใช้ปลูกประดับ ช่วงที่สวยงามคือสูงประมาณ 1 เมตร ปลูกลงกระถางตั้งอยู่ในที่ร่มหรือปลูกลงแปลง กลางแจ้งก็ได้
-อื่น ๆใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑั หวาย เช่น ทําเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน เครื่องใช้หรืออุปกรณ์กีฬาต่างๆ ซึ่งหวายเหล่านี้จะใช้ต้นแก่ที่ เจริญเติบโตเต็มที่และมีอายุไม่ตํ่ากว่า 7–10 ปี
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะผลแก่---กุมภาพันธ์-เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อจากกอ

เหลืองพร้าว/Bentinckia nicobarica.


-Singapore.. Photo by Geoff Stein.-Fairchild Tropical Botanic Garden, Florida.
-Photo by Dr. Carl E. Lewis, Fairchild Tropical Botanic Garden/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Bentinckia_nicobarica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bentinckia nicobarica (Kurz) Becc.(1885)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Basionym: Orania nicobarica Kurz.(1875)
ชื่อสามัญ--- Bentinckia palm, Nicobar Palm
ชื่ออื่น---เหลืองพร้าว (ทั่วไป); [PORTUGUESE; Palmeira-de-Nicobar.];[THAI: Leuang phrao (General).];
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---BNKNI (Preferred name: Bentinckia nicobarica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลนี้เป็นเกียรติแก่ William Henry Cavendish Bentinck (1774-1839) นักการเมืองชาวอังกฤษผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการอินเดีย ; ชื่อชนิดสายพันธุ์ “nicobarica” ตั้งขึ้นตามถิ่นที่พบคือ หมู่เกาะนิโคบาร์ในทะเลอันดามันมหาสมุทร อินเดีย
Bentinckia nicobarica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2428
ที่อยู่อาศัย เป็นปาล์มเฉพาะถิ่นที่เกิดขึ้นในเกาะ Great Nicobar , Katchal , Nancowryและ Car Nicobar Islands พบได้ในป่าดงดิบที่ลุ่ม ที่ระดับความสูงต่ำใกล้กับชายฝั่ง
ลักษณะ เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 15-20 เมตร เส้นรอบวงลำต้นสูงสุดประมาณ 25 ซม สีเขียวอมเหลือง มีสีเทาแกมตำในส่วนที่เก่าที่สุด ลำต้นมีรอยวงแหวนของใบแก่ที่หลุดร่วง คอยอดยาว1-1.6เมตร ใบรูปขนนก (pinnate) ทางใบยาว1.5-2.4 เมตร โค้งงออย่างสง่างาม ใบย่อยยาวลู่ลง ใบย่อยคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา (Bifid) ช่อดอกสมบูรณ์เพศ ออกใต้ใบ (Infrafoliar) แตกกิ่งก้านดอกออกเป็นสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกเพศเมียระหว่างเพศผู้สองดอก) ผลรูปไข่ ความยาว1.8 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.2 ซม.มีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดงเมื่อสุก มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่เหมาะสมอยู่กลางแดดและปลูกบนดินที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์และดินมีการระบายน้ำที่ดี เหมาะสำหรับปลูกเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้นเท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิใกล้กับ 0 °C ได้ ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดควรรักษาไว้เหนือ 10 °C
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ พืชที่มีคุณค่าทางไม้ประดับและภูมิทัศน์ที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากมีลำต้นที่เรียวยาวและใบที่สง่างาม เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้งในที่มีความชื้นสูง เป็นหนึ่งในปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุด
-ลำต้นถูกใช้โดยคนในท้องถิ่นใช้สร้างบ้านและทำรั้ว
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามโดยภัยธรรมชาติ ตายอดถูกกินโดยคนท้องถิ่นเป็นสาเหตุของการตายของต้นไม้ จึงถูกวางไว้ใน IUCN Red List of Threatened Species ประเภท ใกล้สูญพันธุ์ (EN) - มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในป่า (ความเสี่ยงสูงมากต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคต)
สถานะการอนุรักษ์---EN-ENDANGERED-IUCN Red List of Threatened Species.(1998)
การขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด ระยะเวลาในการงอก 3-5 เดือน


สกุล Basselinia เป็นประเภทปาล์ม มีถิ่นอาศัย ในนิวแคลิโดเนีย แปซิฟิก การวิเคราะห์โมเลกุล phylogenetic, Hedyscepe จากเกาะลอร์ดฮาว ซ้อนใน Basselinia มี14สายพันธุ์ที่ยอมรับ (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)
1 Basselinia deplanchei (Brongn. & Gris) Vieill
2 Basselinia eriostachys (Brongn.) Becc.
3 Basselinia favieri H.E.Moore
4 Basselinia glabrata Becc.
5 Basselinia gracilis (Brongn. & Gris) Vieill.
6 Basselinia humboldtiana (Brongn.) H.E.Moore
7 Basselinia iterata H.E.Moore
8 Basselinia moorei Pintaud & F.W.Stauffer
9 Basselinia pancheri (Brongn. & Gris) Vieill
10 Basselinia porphyrea H.E.Moore
11 Basselinia sordida H.E.Moore
12 Basselinia tomentosa Becc.
13 Basselinia velutina Becc.
14 Basselinia vestita H.E.Moore                                  

                                                           Basselinia gracilis

                

-Locationn: Tchamba, New Caledonia. Photo by Rolf Kyburz, edric.
-New Caledonia. Photo Aug 1991. Photo by Bryan, edric.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Basselinia_gracilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Basselinia gracilis (Brongn. & Gris) Vieill.(1873)
ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms
---Kentia gracilis Brongn. & Gris.(1864)
---Microkentia billardierei (Brongn.) Hook.f. ex Salomon.(1887)
---Microkentia gracilis (Brongn. & Gris) Hook.f. ex Salomon.(1887)
---more. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-19963
ชื่อสามัญ---Basselinia palm, New Caledonia palm.
ชื่ออื่น---None.(Not recorded)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---BSZGR (Preferred name: Basselinia gracilis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---นิวแคลิโดเนีย
Basselinia gracilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adolphe Theodore Brongniart (1801 - 1876) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและJean Antoine Arthur Gris (1829-1872) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Euene Vieillard (1819-1896) นักพฤกษศาสตร์ ศัลยแพทย์ทหารเรือ นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส และผู้อำนวยการ Jardin Botanique de Caen ที่รวบรวมในนิวแคลิโดเนียและตาฮิติ ในปี พ.ศ.2414
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์นี้หายากมากเป็นต้นปาล์มเฉพาะถิ่นที่ จำกัดอยู่ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของ Grande Terreในนิวแคลิโดเนียในป่าชื้นตามแนวชายฝั่ง เติบโตในป่าฝนจากระดับน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 500-1,000 เมตร บนดินที่ได้จากหิน schistose ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง1500เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก บ่อยครั้งขึ้นเป็นกระจุก 2-8 ลำ ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่1-10 ซม และ.สูงได้ถึง 8 เมตรลำต้นอาจมีหลายสีรวมกัน มีทั้งจุดสีเทา, สีม่วง, สีเหลือง, สีเขียวและสีส้มที่มีจุดสีดำ คอยอดปกคลุมด้วยเกล็ดหนาแน่นสีม่วงเข้มหรือดำ ด้านนอกด้านนอกสีเหลืองสีส้มหรือสีส้มแด ยาว30-40 ซม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ทางใบยาว1 เมตร มี 5-11ใบ (pinnate) ใบย่อยยาวเรียวเรียงห่างๆยาว 0.90-1.2เมตร ใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา ช่อดอกออกที่คอยอด (Infrafoliar)ตั้งตรง หรือห้อยลง ยาว 30 ซม.เป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ร่ว ต้น (Monoecious) ผลกลมขนาด 5-6 มม. สีเขียวอ่อน เมื่อสุกสีแดงเข้มถึงสีดำเมล็ดกลมสีดำ1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ง่ายในที่ร่มและดินที่ระบายน้ำได้ดี การสัมผัสกับแสงแดด (หรือสว่างเกินไป) พร้อมกับระดับความชื้นต่ำจะทำให้ใบไหม้
ใช้ประโยชน์--นำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ปาล์มนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเพาะเลี้ยงในร่ม เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร
สถานะการอนุรักษ์--ถูกจัดวางใน RED LIST STATUS-Endangered (EN) , assessed in 30/09/2016 (ใกล้สูญพันธุ์) ของ นิวแคลิโดเนีย http://endemia.nc/en/flore/fiche5855
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน

                         Buri Palm/ Polyandrococos caudescens  

                       

-Photo://www.palmpedia.net
-Entre Rios, Bahia, Brazil. Photo by Dr. Alex Popovkin.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Allagoptera_caudescens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Allagoptera caudescens (Mart.) Kuntze.(1891)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
-Basionym: Polyandrococos caudescens (Mart.) Barb.Rodr.(1901)
-Diplothemium caudescens Mart
-Diplothemium pectinatum Barb.Rodr
-Orania nivea Linden อดีต W.Watson
-Polyandrococos pectinata (Barb.Rodr.) Barb.Rodr
ชื่อสามัญ---Buri Palm
ชื่ออื่น---ปาล์มบุรี, หมากเงิน(ทั่วไป) ;[PORTUGUESE: Palha-branca.];[THAI: Pam bu ri, Mak gneon (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---AGASS (Preferred name: Allagoptera sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---บราซิล
Allagoptera caudescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCarl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2434

                                        

-Institute Plantarum, Nova Odessa, São Paulo, Brazil.
-Photo by Mauricio Moreira Caixeta.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Allagoptera_caudescens
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล พบในบราซิลตะวันออกเฉียงเหนือ, บราซิลตะวันออกเฉียงใต้ ที่อยู่อาศัย ตามป่าฝนในมหาสมุทรแอตแลนติกส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เปิดกว้าง หรือป่าใกล้กับทะเล
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง12-15เมตร เส้นผ่านศุนย์กลางลำต้น 15-25 ซม.ลำต้นมีร่องรอยแผลเป็นที่ใบหลุดร่วง ในที่ดินไม่ดีแห้งแล้ง มักจะมีลำต้นใต้ดินที่สั้นแทนที่จะเป็นลำต้นตั้งตรง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 1-1.8 เมตร โคนกาบใบแบะออกจึงไม่มีส่วนคอ แผ่นใบสีเขียวเข้มกว้งเท่ากันกระจายออกรอบคอ ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกไม่แตกแขนง ห้อยลง ยาว 30-60 ซม. ผลสีน้ำตาลแกมเขียวเกือบกลมมีความยาวสูงสุด 4.5 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 ซม มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่แดดจัดในดินชื้นปานกลางและการระบายน้ำดี ทนทานต่อความแห้งแล้ง การเจริญเติบโตช้า
ใช้ประโยชน์---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ
-ใช้กิน ผลไม้ และเมล็ดกินได้ ใช้กินเป็นครั้งคราว
-ในวนเกษตร ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกที่ดีและใช้ในการฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้ง
-อื่น ๆ ไม้มีน้ำหนักปานกลาง มันถูกใช้เฉพาะในการก่อสร้างจันทัน คาน ฯลฯ ในอาคารชนบท ใบใช้สำหรับมุง
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก6-8เดือน เมล็ดมีเวลาสั้นในการเก็บรักษา ดังนั้นควรเก็บเมล็ดสดเพาะหลังจากผลสุกทันที


                                            Ivory Cane Palm/ Penanga kuhlii

              

-Roma Street Parklands, Brisbane, Australia. Photo by Paul Latzias.
-Las Marias, PR. Photo by Cindy Adair
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_coronata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga kuhlii Blume.(1839)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/pinanga-kuhlii/?lang=en
---Ptychosperma kuhlii (Blume) Miq. (1855)
---Seaforthia kuhlii (Blume) Mart. (1845)
---Pinanga kuhlii var. alba Scheff. (1873)
---Pinanga kuhlii var. sumatrana Scheff. (1873)
---Pinanga sumatrana (Scheff.) H.Wendl. (1875).
ชื่อสามัญ---Java pinanga palm, Kuhl's Palm, Ivory Cane Palm
ชื่ออื่น---[INDONESIA: Bing-bin (West Java), Piji (Central Java, East Java, and Bali), Pinang rante (East Java).];[GERMAN (Deutsch): Elfenbeinrohr-Palme, Farbenfrohe Palme.];[JAPANESE : Pinanga yashi.];[SPANISH (Español): Palmera marfil.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย โอเชียเนีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Pinanga' คือการแปลภาษาของมาเลเซียชื่อ "pinang"; ชื่อสายพันธุ์ 'kuhlii' อุทิศให้กับนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Heinrich Kuhl (1797-1821)
Pinanga kuhlii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2382
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามัน ชวา เกาะ Lesser Sunda และเกาะสุมาตรา พบขึ้นเติบโตในสภาพพื้นที่ เนินเขาสูงชันมาก ในป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น พื้นที่ราบในป่าระดับต่ำ จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 1,800 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นบางเรียวเหมือนต้นไผ่ สูงได้ถึง 8-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 3-5 (-7) ซม.เรียบ สีเขียวอ่อนหรือสีงาช้าง มีรอยแผลเป็นจากใบที่หลุดร่วง ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ขนาด 1.2-1.5 เมตร กว้าง 70-80 ซม. มีใบย่อย 6-8 คู่ มักจะมีสีชมพูและมีรอยด่างเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อยังเเป็นต้นเล็ก ช่อดอกออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ห้อยลง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ดอกของทั้งสองเพศมีลักษณะเป็นชามขนาดเล็ก สีขาวอมชมพูหรือเขียวอมแดงและเปลี่ยนเป็นสีแดงตามอายุ ผลกลมรีรูปไข่วางเรียงกันสองแถว ขนาดผล 11-15 x 6-10 มม. ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงและเป็นสีดำเมื่อสุก เมล็ดขนาด 7.5-12 x 5-7 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีร่มเงาดินอุดมสมบูรณ์ เป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อย ดินชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำดี สามารถทนต่ออุณหภูมิได้ตั้งแต่ 0 ° C ถึง 40° C
ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อน สามารถปลูกได้ในกระถางเพื่อตกแต่งภายในในที่ที่มีแสงสว่าง เป็นหนึ่งในป่ล์มในร่มที่หรูหราและทนทานที่สุด
-อื่นๆ มีการใช้ลำต้นในการก่อสร้าง
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลางอก 3-4 เดือน เมล็ดสามารถมีชีวิตได้นานกว่าเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ในสกุลนี้


                             Hollrung palm/ Calyptrocalyx hollrungii

                            

-Papua New Guinea. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_hollrungii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx hollrungii (Becc.) Dowe & M.D.Ferrero.(2001)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-32670
---Basionym: Linospadix hollrungii Becc.(1889)
---Linospadix hellwigianus Warb. ex Becc.(1905)
---Linospadix schlechteri Becc.(1905)
---Paralinospadix clemensiae Burret.(1936)
---Paralinospadix hollrungii (Becc.) Burret.(1935)
---Paralinospadix schlechteri (Becc.) Burret.(1935)
ชื่อสามัญ---Hollrung palm, New Guinea palm
ชื่ออื่น---None (Not recorded.)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---KPKSS (Preferred name: Calyptrocalyx sp.)
ถิ่นกำเนิด---อเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี
Calyptrocalyx hollrungii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Leslie Dowe (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ. 2536) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และ Michael D. Ferrero (born 1968)เป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในระบบและนิเวศวิทยาของArecaceae ในปี พ.ศ.2544

                            

-Papua New Guinea.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-Photo: https://www.palmpedia.net
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดมาจากป่าฝนชื้น พบในป่าฝนเขตร้อนของนิวกินีตะวันออก คาบสมุทร Huonเกาะใหญ่ ฮาวาย
ลักษณะ เป็นปาล์มขนาดเล็ก แตกกอจำนวนมาก สูงประมาณ 2-2.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-1.5 ซม. ลำต้นมีข้อถี่ ล้อมรอบด้วยแผลเป็นจากใบอย่างเห็นได้ชัดและมีรูปร่างใบแปรผันได้สูง อาจแบ่งขั้ว (แยกจุดเป็นสองจุดเติบโต) ใบเดี่ยวมีรูปร่างต่างกันไปอยู่ในกอเดียว ตั้งแต่ใบรูปหางปลา (Bifid) จนถึงรูปขนนก (Pinnate) ยาว40-50ซม. มีใบย่อย 2-4 ใบในบางครั้ง ใบอ่อนที่เกิดใหม่สีม่วงแดงเข้ม หรือสีส้มแดง อยู่ในสีนี้ 2-3 ส้ปดาห์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) เป็นข่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ทั้งสองเพศ มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบและกลีบดอก 3 กลีบ ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกสีแดง ขนาด1.5ซม.มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการร่มเงาเกือบเต็ม ทนแสงแดดตอนเช้า ดินที่มีความชื้นอย่างสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี มีความอดทนต่อความเย็นควรปลูกอยู่ในตำแหน่งที่กำบังลม
ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ ต้นอ่ายุน้อยมีรูปร่างเล็ก รูปร่างและสีของใบไม้มีศักยภาพที่จะใช้เป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง เมื่อโตขึ้น ปลูกลงแปลงในพื้นที่มีร่มเงา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวน ที่มีพื้นที่จำกัด และต้องการพืชขนาดเล็ก เป็นปาล์มที่นักสะสมต้องการ
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4เดือน


              New Guinea Cluster Palm/Ptychosperma microcapum

                 

-Fairchild Tropical Botanic Garden, Coral Gables, FL. Photo by Kyle Wicomb
-Photo by Paul Craft
-https://www.palmpedia.net/wiki/Ptychosperma_microcarpum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ptychosperma microcapum (Burret) Burret.(1935)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/669414-1
---Basionym: Actinophloeus microcarpus Burret.(1931)
---Actinophloeus macrospadix Burret.(1935)
---Ptychosperma macrospadix (Burret) Burret.(1935)
ชื่อสามัญ---New Guinea Cluster Palm, Clustering Macarthur Palm , Cluster Palm
ชื่ออื่น---None.(Not recorded)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---PPMSS (Preferred name: Ptychosperma sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกินี
Ptychosperma microcapum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2478
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดและที่อยู่อาศัย พบตามป่าดิบเขาในปาปัวนิวกีนี ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 600 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ต้นสูงได้ถึง 6-9 (-)15 เมตร (หลังจาก15ปี) เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น ขนาด 5-7 ซม. ลักษณะคล้ายหมากเขียวแต่ใบย่อยจะเป็นกระจุกไม่กระจายเหมือนหมากเขียว ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) สีเขียวเข้ม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ผลกลมรีขนาด 1.3 ซม.สุกแล้วสีแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แสงแดดจัด ในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบดินชื้นสม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นปาล์มที่ เติบโตได้ง่ายและรวดเร็วมากสำหรับสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เหมาะปลูกเป็นไม้กระถางหรือลงแปลงกลางแจ้ง เป็นที่นิยมมากสำหรับใช้ในงานจัดสวน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-4เดือน


                                        Upaká Palm./Reinhardtia simplex

               

-Osa Peninsula, Costa Rica. Photo by Dr. Reinaldo Aguilar.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Reinhardtia_simplex
ชื่อวิทยาศาสตร์---Reinhardtia simplex (H.Wendl.) Burret.(1932)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-177125
---Basionym: Malortiea simplex H.Wendl.(1859)
---Reinhardtia simplex (H. Wendl.) Drude ex Dammer.(1897)
ชื่อสามัญ---Upaká Palm, Dwarf Window Pane Palm
ชื่ออื่น---None.(Not recorded)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---RNHSS (Preferred name: Reinhardtia sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย, คอสตาริกา, ฮอนดูรัส, เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้, นิการากัวและปานามา
Reinhardtia simplex เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล ปาล์มหน้าต่าง (Reinhardtia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2475
ที่อยู่อาศัย พบในอเมริกากลางจากฮอนดูรัสจนถึงปานามาพบตามป่าฝนจากเชียปัสในเม็กซิโกไปจนถึงโคลัมเบียทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง จากระดับน้ำทะเล ถึงความสูงที่ 600 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ขนาดเล็ก สูงประมาณ 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำ 1 ซม.ใบย่อยรูปรี 2-3ใบ ใบกลางใหญ่ที่สุดปลายใบเว้าเล็กน้อย ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกพร้อมกันหลายช่อระหว่างกาบใบ (Interfoliar) สีส้ม ยาว 30 ซม.ผลกลมสีเขียวขนาด 1.5 ซม.สุกแล้วสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการร่มเงาที่กำบังและชื้น ดินอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในที่ร่มรำไร ใกล้สวนน้ำในที่ร่มรื่น และเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4-6 เดือน


                                                Sleek Palm/Sommieria elegans

                   

-Near Timika, West Papua, Indonesia.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-Singapore. Photo by Philippe.
-http://www.palmpedia.net/wiki/Sommieria_leucophylla
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sommieria leucophylla Becc.(1877)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/sommieria-leucophylla/
---Sommieria elegans Becc.(1877)
---Sommieria affinis Becc.(1914).
ชื่อสามัญ---Sleek Palm
ชื่ออื่น---ปาล์มแสนสง่า (ทั่วไป); [THAI: pam saen sa nga (General).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์:--- พืชสกุลนี้ 'Sommieria'ได้รับการยกย่องจากนักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ Carlo Pietro Stefano Sommier (1848-1922) ; ชื่อของสายพันธุ์นี้ 'leucophylla' คือการรวมกันของคำภาษากรีก“ leukόs” = สีขาวและ“ phyllo” = ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงด้านล่างใบของมัน สีขาว
Sommieria leucophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2420
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดนีเซีย (Jaya, New Guinea) ปาล์มพื้นเมืองในปาปัวนิวกินีและปาปัวตะวันตกในอินโดนีเซีย พบอาศัยเติบโตในป่าฝน ป่าดิบชื้นที่ราบต่ำ ที่ร่มหรือกรองแสง ครอบคลุมที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทที่มีความชื้นสูง
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็ก ต้นสูง 1-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 3-4 ซม.มองเห็นวงแหวนอยู่ใกล้กันมากมีร่องรอยของใบไม้ที่ร่วงหล่น ใบบาง 20-30 ใบ ปลายใบแฉกลึกออกเป็นกระจุกที่ยอดจำนวนมาก ใบมีความยาว 0.90-1.8 เมตร กว้าง 15-30 ซม.ด้านบนสีเขียวเข้มอมน้ำเงิน ใต้ใบแข็งและมีจีบมีนวลขาวสีน้ำตาล ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ตั้งตรง มีความยาวสูงสุดประมาณ 1.5 เมตรและเกิดจากแกนหลักซึ่งแยกกิ่งก้านดอกออกเป็นช่อห้อย ดอกสีครีมหรือสีน้ำตาลอ่อนแบ่งเป็นสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกไม้เพศเมียระหว่างเพศผู้สองดอก) ผลมีเนื้อฉ่ำรูปกลมรีขนาด 9 - 15 x 8 - 15 มม.เมื่อสุกสีน้ำตาลเข้ม เปลือกผลนูนคล้ายหนาม มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน มีอุณหภูมิต่ำสุดไม่ต่ำกว่า +10 °C ในร่มเงา โดยเฉพาะที่กำบังและมีความชื้นในบรรยากาศสูงบนดินที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์ มีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำที่ดี อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก
ใช้ประโยชน์---พืชที่มีลักษณะเฉพาะและสง่างามมากเนื่องจากใบยาวและบาง มันยังคงหายากในการเพาะปลูก มีเฉพาะในสวนพฤกษศาสตร์บางแห่งและในคอลเลกชันส่วนตัวของนักสะสม เหมาะปลูกลงแปลงในที่มีแสงแดดรำไร หรือปลูกเป็นไม้กระถาง
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-6 เดือน


                                    Maluku Kentia/Calyptrocalyx spicatus

                 

-Photo: https://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_spicatus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx spicatus (Lam.) Blume.(1843)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/2733652
---Basionym: Areca spicata Lam.(1783)
---Pinanga globosa G.Nicholson.(1886)
ชื่อสามัญ---Maluku Kentia Palm
ชื่ออื่น---;[CHINESE: Gai e zong (as Calyptrocalix).];[INDONESIA: Hena-hena.];[PORTUGUESE: Spicatus (Brazil).];[RUSSIAN: Kaliptrokaliks kolosovidnyy.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---KPKSP (Preferred name: Calyptrocalyx spicatus.)
ถิ่นกำเนิด---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย (มาลูกุ)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Calyptrocalyx' มาจากคำภาษากรีก "kalyptra" (หมวก) และ "kalux" (กลีบเลี้ยง) โดยอ้างอิงถึงกิริยาที่กลีบเลี้ยงชั้นนอกสุดปิดบังอีกอันเมื่อดอกบาน ; ชื่อของสปีชีส์ 'spicatus' ในภาษาละตินหมายถึงรูปร่างของช่อดอกที่ไม่แตกกิ่งก้าน ลักษณะนี้มีอยู่ในทุกชนิดของสกุล Calyptrocalyx แต่ที่นี่ช่อดอกมีมิติที่น่าทึ่ง
Calyptrocalyx spicatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2386
ที่อยู่อาศัย พบใน อินโดนีเซีย (มาลูกุ) ตามสถานที่มีร่มเงาและป้องกันลมในป่าฝนที่ลุ่ม
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ขนาดกลาง สูง7-8 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 25 ซม.ลำต้นสีน้ำตาลซีดถึงสีเทาเห็นข้อปล้องชัด คอยอดยาว 30 ซม.สีเขียวเข้ม ใบรูปขนนก (pinnate) มีมากกว่า 12 ใบ ทางใบเรียงเวียนยาว 2-3.6 เมตร ช่อดอกยาวไม่เกิน 3 เมตร ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกประกอบด้วยดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน (Monoecious) ผลกลมรีสุกแล้วสีส้มถึงสีแดงสด ขนาดของผล 1-3 ซม.  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำที่ดีซึ่งเต็มไปด้วยสารอินทรีย์ ต้องการตำแหน่งที่กำบังจากลมแรง เติบโตได้ดีที่สุดภายใต้ร่มเงาแม้ว่าสามารถทนแดดได้มากกว่าเมื่อโตขึ้น อัตราการเจริญเติบโตช้า
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร สายพันธุ์นี้ยังหาได้ไม่ง่ายนักในการเพาะปลูก ตรงกันข้ามกับสายพันธุ์อื่นๆ ในสกุล และส่วนใหญ่สามารถพบได้ในสวนพฤกษศาสตร์และในคอลเลกชันส่วนตัวขนาดใหญ่
-ใช้กิน เมล็ดใช้เคี้ยวกับพลู แทนหมาก (Areca catechu)เมล็ดมีแทนนินและอัลคาลอยด์ - ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลายเร่งอัตราการเต้นของหัวใจและเหงื่อช่วยระงับความหิวและช่วยป้องกันหนอนในลำไส้
-อื่น ๆลำต้นมักใช้เป็นไม้ก่อสร้าง ไม้เนื้อแข็งเปราะและทนทาน แต่ไม่ได้ใช้มากนัก
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน


                                           Deckenia nobilis /Millionaire's Salad

                       

-Vallée de Mai, Island of Praslin, Seychelles. Photo by Philippe.
-Photo: http://www.palmpedia.net
-http://www.palmpedia.net/wiki/Deckenia_nobilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Deckenia nobilis H.Wendl. ex Seem.(1870)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-56720
---Iriartea nobilis (H.Wendl. ex Seem.) N.E.Br.(1882)
ชื่อสามัญ--- Millionaire's Salad, Cabbage Palm
ชื่ออื่น---[FRENCH: Salade de millionnaire, Chou palmiste, Palmiste.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---DKNNO (Preferred name: Deckenia nobilis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะเซเชลส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Deckenia' อุทิศให้กับนักสำรวจชาวเยอรมัน Karl Klaus von der Decken (1833-1865); ชื่อของสายพันธุ์มาจากภาษาละติน "nobilis" = ขุนนางงดงาม
Deckenia nobilis เป็น สายพันธุ์เดียวใน สกุล Deckenia (monotypic)ในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2413
ที่อยู่อาศัย เป็นปาล์มเฉพาะถิ่นของหมู่เกาะเซเชลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะ Mahé, Praslin, Silhouette, La Digue, Curieuse และFélicité เติบโตบนเนินลาดชันและสันเขาในป่าที่ระดับความสูงไม่เกิน 600 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงถึง 30 เมตรขึ้นไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ซม. สีเทาซีดและสามารถมองเห็นวงแหวนที่เป็นร่องรอยของรอยต่อของใบไม้ที่ร่วงหล่น ดอนเป็นต้นกล้าและอายุน้อยก้าน ใบ มีหนามสีเหลืองปกคลุมยาว 7-8 ซม.ในขณะที่ต้นโตเต็มวัยจะปกคลุมด้วยโทเมนทัมสีขาว ใบรูปขนนก (Pinnate) ยาวประมาณ 4.5- 5 เมตร ช่อดอกแยกแขนงออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) สีเขียวแกมเหลือง ปกคลุมไปด้วยหนามสีทอง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทิ้งตัวมันเอง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) จัดกลุ่มในแบบคลาสสิกสามดอก (ดอกเพศเมียระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ผลรูปไข่ขนาดเล็กยาวประมาณ 1ซม.เมื่อสุกสีดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตอนต้นยังเล็กต้องการร่มเงาบางส่วนเมื่อโตขึ้นต้องการแสงแดดจัด ชอบดินทราย หรือดินร่วนปนทราย  มีการระบายน้ำที่ดีมาก ค่า PH: เป็นกรด, เป็นกลาง, และเป็นด่างเล็กน้อย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอด(หัวใจปาล์ม)กินเป็นผัก ชื่อที่เรียกว่าสลัดเศรษฐี (Millionaire's Salad) เนื่องจากหัวใจปาล์ม ถูกเก็บมากินจำนวนมาก (สลัดหัวใจปาล์ม)
-ใช้ปลูกประดับ ถือได้ว่าเป็นปาล์มที่ประดับตกแต่งได้สวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้งและในที่ร่มรำไร
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย จากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species (2011)
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด


                         Finger Lady Palm/ Rhapis multifida

                            

-University of California Botanical Garden at Berkeley, CA. Photo by growin
-Gothenburg, Sweden. Photo by David Strand.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Rhapis_multifida
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhapis multifida Burret.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-177971
ชื่อสามัญ--- Finger Lady Palm, Jade Empress palm, Finger palm, Guangxi fan palm
ชื่ออื่น---[CHINESE: Tzung chu, Duō liè zōng zhú.];[FRENCH: Palmier éventail à feuilles divisées, Rhapis à feuilles divisées.].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---RPJSS (Preferred name: Rhapis sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศจีน
Rhapis multifida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลจั๋ง (Rhapis) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในจีน (กวางสี, กวางจง, ยูนนาน) และอาจถึงเวียตนามเหนือ พบในพื้นที่ราบลุ่มเป็นป่าดิบเขาบนเนินหินสูงที่ระดับ 1,000 –1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นผอมเรียว สูงได้ถึง 2.5-3 เมตร ในธรรมชาติ แต่การปลูกเลี้ยงโดยทั่วไปจะสูงอยู่ประมาณ 1.5-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำ 2.5 ซม. ลำต้นมีเส้นใยสีน้ำตาลปกคลุม แต่ไม่มากมักมองเเห็นลำต้นสีเขียวเทาให้เห็นผ่านขึ้นมา ใบรูปพัด แผ่นใบจักลึกถึงสะดือ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Infrafoliar) แยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลกลมสีเหลืองเมื่อสุกสีดำขนาด 8 มม.มีก้านยาวถึง 5 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในที่ร่มเพียงครึ่งเดียวเพื่อให้ร่มเงาและกำบังลม ปรับตัวได้กับดินได้ทุกชนิด แต่ควรใช้ดินปลูกที่เป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อยและมีอินทรีย์วัตถุมีการระบายน้ำที่ดี หลีกเลี่ยงดินที่ชื้นแฉะตลอดเวลา พืชชนิดนี้ไม่ทนต่อความแห้งแล้ง รดน้ำพอประมาณและสม่ำเสมออย่าปล่อยให้รากแห้ง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ Finger Lady Palm คือพวก จั๋ง ที่เรารู้จักกันดี น่าจะหรูหราที่สุดในบรรดาจั๋งที่ปลูกกันทั่วไป เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน อาคาร สถานที่ หรือปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร สำหรับสวนขนาดเล็ก
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

                       Fireball palm/Calyptrocalyx elegans


-Photo:http://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_elegans
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx elegans Becc.(1889)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all https://www.gbif.org/species/2733648
---Calyptrocalyx bifurcatus Becc.(1923)
---Calyptrocalyx moszkowskianus Becc.(1914)
---Calyptrocalyx schultzianus Becc.(1914)
ชื่อสามัญ---Mara palm, Fireball palm.
ชื่ออื่น---None.(Not recorded)
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---KPKSS (Preferred name: Calyptrocalyx sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะมาลูกู
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Calyptrocalyx' มาจากคำภาษากรีกว่า "kalyptra" (หมวก) และ "kalux" (กลีบเลี้ยง) โดยอ้างอิงถึงกิริยาที่กลีบเลี้ยงชั้นนอกสุดปิดบังส่วนอื่นๆ เมื่อดอกบาน ; ชื่อของสปีชีส์ 'elegans' ในภาษาละตินหมายถึงความสง่างามและความเบาของใบและลำต้นบาง
Calyptrocalyx elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2432
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะมาลูกูและหมู่เกาะใกล้เคียง พบได้ในเขตป่าฝน
ลักษณะ เป็นปาล์มที่มีรูปร่างค่อนข้างแปรปรวน ไม่ว่าในกรณีใด รูปลักษณ์จะเป็นแบบหลายต้น โดยมีลำต้นบางกว่าที่มีรูปร่างคล้ายกับไม้ไผ่ ซึ่งมีความสูงต่างกันและมีหน่อใหม่ที่เติบโตที่โคน ค่อนข้างหายากที่จะพบตัวอย่างที่มีลำต้นเพียงต้นเดียว ลักษณะต้นสูงได้ถึง1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2 ซม.ลำต้นทั้งหมดมีฝักทางใบสีเขียวซีด มีเส้นใยที่ขอบซึ่งต่อก้านใบและพันก้านทางใบยาว 80 ซม.ก้านใบสั้น ใบรูปขนนก (pinnate) ใบย่อย 6-10 คู่ ใบย่อยคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา ใบที่เกิดขึ้นใหม่มีสีส้มแดงสดไปจนถึงสีน้ำตาลแดง ช่อดอกจะโผล่ออกมาระหว่างก้านใบ ตั้งตรง มีความยาวผันแปรได้ ขึ้นอยู่กับความหลากหลาย ระหว่าง 30 ซม. ถึง 1 เมตร โดยมีปลายแหลม เริ่มแรกช่อดอกจะหุ้มด้วยกาบที่ปกป้องและแห้งจะร่วงหล่นหลังจากดอกบาน ช่อดอกเกิดจากเพศผู้และเพศเมียอยู่ในต้นเดียวกัน(Monoecious) สีของดอกไม้สีขาวและสีครีมแตกต่างกันไป มีกลิ่นหอม ผลรูปวงรี ยาวไม่เกิน 2 ซม.และมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1.5 ซม. มีสีเหลือง/เขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสุก มีเมล็ด1เมล็ด มีลักษณะกลม ยาวประมาณ 1.1 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 ซม. มีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ดินอุดมด้วยฮิวมัสชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางหรือปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

สกุล Metroxylon เป็นประเภทปาล์ม ประกอบด้วย7สายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในซามัวตะวันตก ,นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน โมลุกกะ แคโรลีน และฟิจิในความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัยและเพาะปลูกทางทิศตะวันตกของประเทศไทยและแหลมมลายู ทั้งหมดเป็น monocarpic ( hapaxanthic ) ยกเว้น Metroxylon amicarum
ชื่อสกุล จากคำภาษากรีก menaing 'pith' และ 'wood' หมายถึงสาคูที่ทำจากแป้ง ไส้ในของลำต้น
1 Metroxylon amicarum (H.Wendl.) Hook.f.-Pohnpei , Chuuk
2 Metroxylon paulcoxii McClatchey-ซามัว
3 Metroxylon sagu Rottb.-ไทย แหลมมาลายู
4 Metroxylon salomonense (Warb.) Becc.-นิวกีนีโมหมู่เกาะโซโลมอน , ซานตาครูซเกาะ , มาร์คเกาะ , วานูอาตู
5 Metroxylon upoluense Becc -ซามัว
5 Metroxylon vitiense (H.Wendl.) Hook.f.-วาลลิสและฟุตูนา , ฟิจิ
6 Metroxylon warburgii (Heimerl) Becc.-หมู่เกาะซานตาครูซ, ซามัว, วานูอาตู                  

                      Solomon Ivory Nut Palm/ Metroxylon salomonense

                           

-French Guiana. Photo by Pierre Olivier Albano.
-French Guiana. Photo by jpflatres.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Metroxylon_salomonense
ชื่อวิทยาศาสตร์---Metroxylon salomonense (Warb.) Becc.
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all https://www.monaconatureencyclopedia.com/metroxylon-salomonense/?lang=en
---Coelococcus salomonensis Warb. (1896)
---Metroxylon bougainvillense Becc. (1914)
ชื่อสามัญ---Solomon Ivory Nut Palm, Hebe-nut palm, Ivory-nut palm
ชื่ออื่น---[GERMAN: Salomonen-Elfenbeinnuss.];[PORTUGUESE: Palmeira-de-salomão];[SPANISH: Palma de Salomon].
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---MTRSL (Preferred name: Metroxylon salomonense.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอนไปยังวานูอาตู
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลคือการรวมกันของคำภาษากรีก "metra" = มดลูก และ "xylon" = ไม้  อ้างอิงถึงแป้ง (สาคู) ที่มีอยู่ในลำต้นของมัน; ชื่อละตินของสปีชีส์บ่งบอกถึงหนึ่งในสถานที่กำเนิด: หมู่เกาะโซโลมอน
Metroxylon salomonense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Gerhard Walpers (1816–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย  Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2457
-เป็นสายพันธุ์ Hapaxanthic ( monocarpic ) ออกดอกออกผลครั้งเดียวแล้วตาย

                                     

-RIUM, WP Wilayah Persekutuan, Malaysia. Photo by Ahmad Fuad Morad.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ (Bismarck Archipelago, Eastern New Guinea, Santa Cruz Islands, Solomon Islands และ Vanuatu) เติบโตตามป่าที่ลุ่มและหนองน้ำจืดมักอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเล พบได้ในระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 700 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็วสูงกว่า 25 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25 - 55 ซม ลำต้นสีเทาอมน้ำตาล มีรอยแหวนที่เป็นแผลเป็นจากร่องรอยระยะห่างทางแยกของใบ ทางใบยาว 8-11 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบรูปโค้งตั้งตรงปลายยอด ยาวกว่า 1.5 เมตร กว้าง 10-18 ซม.โคนใบและก้านใบมีหนามสีเหลืองอ่อน ช่อดอกออกที่ปลายยอด (Interfoliar) ยาว 4 เมตร เป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ติดผลจำนวนมาก ผลยาว 5.5-6.5 ซม. กว้าง 7-9 ซม. มีเกล็ดสีเหลือง 24-27 แถวมีลักษณะคล้ายเกล็ดงูสีเขียวเหลือง เมื่อสุกสีเหลืองอมน้ำตาล มี1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดในเขตภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเล็กน้อย ต้องการน้ำมาก เติบโตได้ในดินทุกสภาพ ทนน้ำท่วมขังได้ดี ค่าpHในช่วงที่หลากหลายตั้งแต่ 4 - 7.4 โดยมีอุณหภูมิที่ไม่ควรต่ำกว่า +10 °C หากไม่บ่อยนักและ ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ใช้ประโยชน์--- มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นของชาวพื้นเมืองโดยใช้เป็น อาหาร ยารักษาโรค และวัสดุอื่น ๆ มากมาย
-ใช้กิน ตายอดหรือหัวใจปาล์ม กินดิบเป็นผักหรือปรุงด้วยอาหารอื่น ๆ มักจะอยู่ในแกง มีจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เมล็ดอ่อนกินได้ แป้งที่ได้จากลำต้น(แป้งสาคู)
-การใช้ใน วนเกษตร เมื่ออยู่ในดินเปียกรากจะช่วยให้ดินมีเสถียรภาพโดยการดักจับตะกอน ปาล์มต้นเล็กจะมีหนามจำนวนมากใช้ทำรั้วที่มีประสิทธิภาพสำหรับปศุสัตว์และผู้บุกรุก
-ใช้เป็นไม้ประดับจัดสวน แม้จะมีลักษณะเป็นไม้ประดับ แต่ก็ไม่ค่อยถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาที่ลดลงและขนาดที่สง่างามที่อาจเข้าถึงได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการกำจัดทิ้ง นอกโซนต้นกำเนิดปลูกในสวนพฤกษศาสตร์และในคอลเล็กชั่นของนักสะสมผู้ที่รักปาล๋มเท่านั้น
-อื่น ๆ ใบและก้านใบมีการใช้งานที่หลากหลาย ใบใหญ่ถูกใช้โดยประชากรในท้องถิ่นเป็นที่อยู่อาศัยของบ้านแบบดั้งเดิม ใช้มุงผลังคา อายุการใช้งาน 5 ปี ไม้ (เปลือกนอก) ของลำต้นถูกใช้เป็นพื้นและปูกระดานสำหรับการข้ามลำธารสั้นหรือพื้นที่แอ่งน้ำ เป็นผลพลอยได้จากการสกัดแป้ง ไม้ยังถูกใช้เป็นบ้านจันทันและเป็นวัสดุผนังแม้ว่านี่จะเป็นการใช้งานไม่บ่อยนัก เปลือกไม้สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิง-เมล็ดที่มีขนาดใหญ่และแข็งมากเหมือนงาช้างถูกนำมาใช้เพื่อทำสิ่งของจำพวกแกะสลัก เมล็ดแข็งจะถูกส่งออกไปยังอลาสกาซึ่งชาวเอสกิโมแกะสลักไว้ในที่ ที่ทำจากงาช้างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน ปลูกจากเมล็ดใช้เวลา 12 - 15 ปีกว่าจะออกดอกเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่เหมาะสม จะลดลงเหลือประมาณ 10 ปี


สกุล Pigafetta เป็นสกุลของปาล์ม 2 สายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะ มาลากุ สุลาเวสึ และนิวกินีตะวันตก
ชื่อสกุลเป็นชื่อของ Antonio Pigafetta สองสายพันธุ์ คือ
1  Pigafetta elata
2  Pigafetta filaris ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มต้นปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก


Pigafetta elata/White Wanga Palm


-Kona, Hawaii. 03/2015 Photo by Mike Galvin.
-At Daryl O'Connors, Gold Coast Hinterland, Queensland Australia. Photo by Paul Latzias.
-http://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_elata
ชื่อวิทยาศาสตร์--Pigafetta elata (Mart.) H.Wendl.(1878)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-156063
---Basionym; Metroxylon elatum Mart.(1838)
---Sagus elata (Mart.) Reinw.(1843)
ชื่อสามัญ---Black Wanga Palm, Wanga Palm
ชื่ออื่น---[INDONESIA: Calappa-wanga, Klappa wanga, Wanga (Sulawesi)]; [MALAY: Banga (Sulawesi North).]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
EPPO code---MTRSS (Preferred name: Metroxylon sp.)
ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย
เขตกระจายพันธุ์---สุลาเวสี ในอินโดนีเซีย
Pigafetta elata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2451


-สถานที่ของ Andy Green, โกลด์โคสต์, ควีนส์แลนด์, ออสเตรเลีย ภาพถ่ายโดยสตีฟ
-Malaysia. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-http://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_elata
ที่อยู่อาศัยการแพร่กระจาย จำกัด อยู่ในพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือของ Sulawesi (Celebes) ในอินโดนีเซีย ปาล์มนี้เป็นพืชผู้บุกเบิกที่บุกรุกถิ่นอาศัยอย่างรวดเร็วในภูเขาซึ่งพบว่ามีความอุดมสมบูรณ์ Wanga มักจะเจริญเติบโตได้ในร่องรอยของดินถล่มอดีตกระแสลาวา และแนวฝั่งแม่น้ำ ที่ระดับความสูงระหว่าง 300-1500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสูงมาก สูงได้ถึง 50 เมตร แต่โดยทั่วไปมักพบที่ 35-40 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30-45 ซม.เห็นรอยแผลเป็นข้อปล้องสีขาวเด่นชัด มงกุฎทรงกลม ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 5-6 เมตร ก้านใบมีความแข็งแรงความยาวประมาณ 1.8 เมตร ใบย่อยสีเขียวเข้มยาวบางปลายใบแหลม ยาวประมาณ 1 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) เป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย ออกที่ซอกกาบใบ (Interfoliar) ผลกลมรูปรีขนาดเล็กยาวลักษณะเหมือนลูกหวาย ขนาดประมาณ 1.1-1. 2 ซม. มีเมล็ด1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดดและดินที่อุดมสมบูรณ์ พืชประสบความสำเร็จในภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ซึ่งอุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°c ต้นกล้าต้องการแสงอาทิตย์ที่มีความเข้มสูงเพื่อการเจริญเติบโต โดยทั่วไปแล้วปาล์มนี้ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุด อัตราการเจริญเติบโต 2 เมตรต่อปี
ใช้ประโยชน์--- ถูกหาประโยชน์อย่างกว้างขวาง สำหรับไม้ ที่ดึงดูดความสนใจในฐานะพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศใกล้เคียงกัน
-ใช้กิน ผลไม้ กินได้- ใช้กินเป็นครั้งคราว
-ใช้ปลูกประดับ ในด้านการเป็นไม้ประดับ ทั้งสองสายพันธุ์ของ Pigafetta เป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมปาล์มทั่วโลก
-ลำต้นมีเนื้อไม้แข็งมากใช้เป็นเสาสำหรับโครงสร้างอาคาร  ท่อนไม้ของลำต้นแบ่งผ่าออกเป็นกระดานที่เรียกว่า ruyung ซึ่งใช้สำหรับพื้นอาคารหรือผนัง เส้นใยที่ได้จากใบอ่อนใช้สำหรับทำเกลียวเชือก ใบถูกทำเป็นพรมขนาดเล็ก
ขยายพันธุ์---เมล็ด เพาะเมล็ดสดใช้เวลาการงอกอย่างรวดเร็วใน 4 สัปดาห์           

 Pigafetta filaris/White Wanga Palm

       

-Gerardo Herrero Farm, Costa Rica. Bill Sanford giving scale.
-Photo by Ryan D. Gallivan.
-Andai, Irian Jaya, Papua, Indonesia.
-Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_filaris
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pigafetta filaris (Giseke) Becc.(1877)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-156064
---Basionym: Sagus filaris Giseke.(1792)
---Calamus kunzeanus Becc.(1908)
---Metroxylon filare (Giseke) Mart. (1838)
---Metroxylon microcarpum Kunth.(1841)
---Metroxylon microspermum Kunth.(1841)
---Pigafetta filifera Merr.(1917)
---Pigafetta papuana Becc.(1877)
---Sagus microcarpa Zipp. ex Hall.(1830)
---Sagus microsperma Zipp. ex Hall.(1830)
ชื่อสามัญ--- Wanga palm, White wanga palm, Papua New Guinea Pigafetta palm, Pigafetta palm.
ชื่ออื่น--- [INDONESIA (Bahasa Indonesia): Wanga.]
ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย เซเลเบส  นิวกินี โมลุกกะ
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pigafetta' ตั้งเป็นเกียรติแก่นักเดินเรือชาวอิตาลี Antonio Pigafetta (1491 [?] - 1531 [?] ; ชื่อของสปีชีส์คือคำภาษาละติน “filaris” = filiform, filamentous อาจหมายถึงเส้นใยบาง ๆ ที่ได้จากใบและใช้ประโยชน์ สำหรับทำเสื้อผ้า พรม ฯลฯ.
Pigafetta filaris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Paul Dietrich Giseke (1741–1796) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2420

 

-Thailand. Photo by Paul
-North Biak, Papua, Biak, Indonesia.
-Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
-https://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_filaris
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ ในนิวกินี โมลุกกะ อินโดนีเซีย พบตามขอบป่าและดินแดนที่ถูกรบกวนที่ระดับความสูง 300 - 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 50 เมตรในถิ่นกำเนิด แต่พบโดยทั่วไปจะพบสูงประมาณ 30-40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30-45 ซม.เห็นรอยแผลเป็นข้อปล้องเด่นชัด ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 5-6 เมตร ก้านใบมีความแข็งแรงความยาวประมาณ 1.8 เมตร มีหนามเล็กๆสีทองครอบคลุมที่โคนกาบใบและก้านใบอย่างสวยงาม ใบย่อยสีเขียวเข้มยาวบางปลายใบแหลม ยาวประมาณ1เมตร ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกที่ซอกกาบใบ(Interfoliar) มีลักษณะคล้ายกันในต้นเพศเมียและในต้นเพศผู้ มีสีเหลืองซีด ยาวประมาณ 2 เมตร มีก้านดอกและกิ่งก้านเป็นกิ่งเกือบเป็นแนวราบและห้อยเป็นช่อ ผลกลมรูปรีขนาดเล็กยาวประมาณ 1. 2 ซม.ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเหลืองถึงสีส้มมี เมล็ด1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดดและดินที่อุดมสมบูรณ์ ต้องการน้ำปกติ ไม่ชอบดินแฉะ น้ำขังอย่างต่อเนื่อง รากและลำต้นด้านล่างิาจเน่าได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุดสามารถเติบโตได้ปีละ 2 เมตร เป็นหนึ่งในปาล์มที่สูงที่สุดในโลก
ใช้ประโยชน์---ถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในท้องถิ่น สำหรับการก่อสร้าง
-ใช้ปลูกประดับ Pigafetta filaris เป็นปาล์มประดับที่สวยงามและไม่ค่อยมีใครรู้จัก นี่เป็นสายพันธุ์ที่สวยงามโดดเด่น รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้สมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ใกล้ทางหลวง และใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย ใช้ปลูกเดี่ยว ๆหรือเป็นกลุ่ม การปลูกเลี้ยงในภาชนะทำได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้ากว่า
-ในวนเกษตร ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกพื้นที่เสื่อมโทรมในพื้นที่เปิดโล่งและแสงแดดส่องถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างป่าไม้พื้นเมือง หรือสวนป่า
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2021)
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาการงอกอย่างรวดเร็วใน4 สัปดาห์ แต่บางครั้งบางเมล็ดอาจถึง 6เดือน ควรเพาะเมล็ดในที่ที่มีแดดจัดหรือการส่องสว่างสูงสุด ถ้าเพาะในร่ม ต้นอ่อนจะไม่พัฒนาและตายในที่สุด

อ้างอิง, แหล่งที่มา
ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 .  
---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ
---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/
---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/
---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are
---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku
---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm
---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm
---https://whatflower.net/about/
---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ >
---https://gd.eppo.int/search
---http://www.worldfloraonline.org
---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/
---https://www.cabidigitallibrary.org/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับ Geoff Stein (Palmbob) สำหรับภาพถ่ายนับร้อยของเขา
ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับPalmweb.org ดร. จอห์นดรานสฟิลด์ดร. บิลเบเกอร์และทีมสำหรับข้อมูลและภาพถ่ายของพวกเขา

“ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์”

***แหล่งข้อมูลที่สำคัญมีดังนี้:
---www.palmweb.org - แหล่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นซึ่งให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจำนวนมากเกี่ยวกับอนุกรมวิธานปาล์มและระบบการตั้งชื่อ
---Govaerts, R. และ J. Dransfield 2005 รายการตรวจสอบโลกของ Palms สำนักพิมพ์ Kew รายการตรวจสอบได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและสามารถเข้าถึงออนไลน์ได้ที่http://apps.kew.org/wcsp/home.do
---Dransfield, J. , NW Uhl, C. Asmussen, WJ Baker, MM Harley และ C. Lewis 2551. จำพวก Palmarum วิวัฒนาการและการจำแนกประเภทของปาล์ม (Genera Palmarum ed. 2) สำนักพิมพ์คิว
---http://eunops.org/content/glossary-palm-terms คำศัพท์อินเทอร์แอคทีฟของปาล์มโดยอ้างอิงจากอภิธานศัพท์ที่พิมพ์ใน Genera Palmarum ed 2 ***http://thaipalm.myspecies.info/

Check for more information on the species:         

---Plants Database---    Names, synonymy and distribution    The Garden.org Plants Database    https://garden.org/plants/
---Global Plant Initiative ---   Digitized type specimens, descriptions and use    หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
---Tropicos---    Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
---GBIF---    Global Biodiversity Information Facility    Free and open access to biodiversity data    https://www.gbif.org/
---IPNI ---   International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
---EOL---    Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
---PROTA ---      Uses    The Plant Resources of Tropical Africa  
---Prelude---    Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com. 10/8/2008-10/6/2022


























































ความคิดเห็น

  1. 1
    Denk
    Denk 25/01/2022 03:31

    You understand your projects stand out of the crowd. There is something unique about them. It seems to me all of them are brilliant. chinesisches restaurant baden baden

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view