เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
02/10/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
45,937,483 |
Page Views |
52,714,543 |
|
«
| October 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | | |
|
|
02/01/2023
View: 653,586
ไม้คลุมดิน-ไม้พุ่มเตี้ย
For information only-the plant is not for sale.
ต้นไม้ ขนาดเล็กที่กิ่งก้านมักแตกจากโคนต้นเป็นกอสูงไม่เกิน60เซนติเมตร พุ่มใบแน่นปกคลุมผิวดินได้ดีมีทั้งเป็นไม้ดอก และบางชนิดเจริญเป็นไม้เลื้อยหรือตัดแต่งเป็นพุ่มได้ส่วนไม้ที่ทอดเลื้อยไปตามผิวดินแตกรากตามข้อกิ่งก้านแผ่ไปได้ไกล หรือบางส่วนอาจ ชูยอดตั้งเป็นพุ่มแต่มีความสูงไม่เกิน 30 เซนติเมตรเรียกว่าไม้ผิวดิน(Terrestrial Plant) ต้นไม้พวกนี้ บางต้นก็เคยเป็นไม้ป่า บ้างก็เป็นวัชพืช แต่ได้รับการพัฒนา จนกลายเป็นไม้ประดับ ยืนยงคงกระพันอยู่ในงานแลนด์สเคปได้อย่างดี ทั้งไม้คลุมดินและไม้ผิวดินมีความสำคัญสำหรับการปลูกตกแต่งสวนให้สวยงามขึ้น อย่างที่จะขาดเสียไม่ได้ สมมุติว่าไม่มี มันเหมือนกินอะไรแล้วไม่มีน้ำจิ้ม จืดสนิท สำหรับพรรณไม้ที่นิยมนำมาปลูกกันมีหลายชนิด และที่ไม่นิยมแต่น่ารู้ในบทนี้ก็มีเหมือนกัน
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
|
ใบเงิน, ใบทอง, ใบนาก /Gratophyllum pictum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Gratophyllum pictum (L.) Griff.(1854) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Basionym: Justicia picta L.(1762) ---Graptophyllum picturatum W.Bull.(1895) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2831783 ชื่อสามัญ---Caricature plant, Graptofilum ชื่ออื่น---ใบเงิน ใบทอง ใบนาก ;[CUBA: Guacamari, Camagua, Guacamayo.];[INDIA: Kaala-aduusa, Ysjudemaram.];[INDONESIA: Tulak, Wungu (Java); Daun temen-temen, Handeuleum (Sundanese); Daun unggu.];[MALAYSIA: Pudding, Puding, benalu, Pudding benalu, Demung, Tulak.];[PAPUA NEW GUINEA: Kutung, nepec.];[PHILIPPINES: Antolang, Kalpueng, Moradong-maputi, Sarasara, Ternate (Tag); Atai-atai (Sul, C.Bis); Balasbas (Tag., Bis); Balasbas-malomai (Bis).];[PORTUGUESE: Graptofilo, Planta-caricata.];[SPANISH: Bientevo, Morada.];[SWEDISH: Skriftblad.];[THAI: Bai ngeon, Bai thong, Bai nak.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---GRTHO (Preferred name: Gratophyllum pictum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์---ฉายาเฉพาะ 'pictum' หมายถึง ทาสีหรือสีสดใส Gratophyllum pictum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2397 ความหลากหลาย (Varieties) ;- ---Graptophyllum pictum var. luridosanguineum (Sims) Bremek. & Backer.(1949) ---Graptophyllum pictum var. pictum ---Graptophyllum pictum var. viride (Hassk.) Bremek. & Backer.(1949) ที่อยู่อาศัย นิวกินี ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย บางประเทศในแอฟริกาตะวันตก อเมริกากลาง แคริบเบียน เวเนซุเอลา ลักษณะ ใบเงิน ใบทอง และใบนากเป็น พรรณไม้ชนิดเดียวกัน โดยจัดเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบรูปรีแกมรูปไข่ แผ่นใบมีแถบหลายสี ทำให้มีชื่อเรียกต่างกันดอกมีสีม่วงแดง ส่วนดอกที่มีสีขาวประม่วงเป็นไม้ประดับอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในสกุล Pseuderanthemum ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม้ในกลุ่มนี้ปลูกง่ายเลี้ยงดูง่ายสามารถอยู่ในที่แจ้งแสงแดดจัดจนถึงร่มรำไร เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่ชื้น แต่มีการระบายน้ำได้ดีซึ่งอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ การตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบใหม่และส่งเสริมความเป็นพุ่ม สำหรับต้นสีเข้มสีของใบไม้ เช่น นากชมพู ทองประกายแสด นากดำ ยิ่งอยู่กลางแดดจัดยิ่งสวย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี ใช้ประโยชน์---มีประโยชน์ทางยาแผนโบราณหลายประเภท ใช้ปลูกประดับเป็นไม้พุ่ม ไม้คลุมดินในสวนเขตร้อนทั่วไป ปลูกเป็นไม้ประดับและป้องกันความเสี่ยงหรือปลูกเป็นไม้กระถาง -ใช้เป็นยา การใช้งานแบบดั้งเดิม G. pictum ถือเป็นสารทำให้ผิวนวล, resolvent, ยาระบาย, ขับปัสสาวะและต้านการอักเสบ -ในคิวบาพืชถูกกำหนดในการรักษาอาการปวดหูเจ็บบวมและบาดแผล -ชาวอินโดนีเซียใช้เพื่อรักษาอาการต่อมทอนซิลอักเสบฝีและโรคไขข้อ ทางตะวันออกและตอนกลางของอินโดนีเซียกล่าวว่ามันถูกใช้เพื่อรักษาอาการคัดตึงของเต้านมและฝีที่เต้านม -ใบของ G. Pictum ใช้ในการรักษาอาการท้องผูก, และแผลบวม -ชาวอินเดียใช้ใบไม้เป็นสารทำให้ผิวนวลและมีฤทธิ์ในการละลาย -ในมาเลเซียมีการนำใบมาต้มและดื่มเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะขับลมและบรรเทาอาการไม่สบายตับ สำหรับส่วนที่บวมให้ใช้ใบแปะเพื่อบรรเทา ดอกไม้ใช้ในการควบคุมการมีประจำเดือน -อื่น ๆ ใบมีซาโปนินและใช้แทนสบู่ได้ พิธีกรรม/ความเขื่อ---*ในด้านความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นใบเงินใบทองไว้ประจำบ้านจะช่วยทำให้มีเงินมีทอง เสริมความมั่งคั่ง ไม่ทำให้ขัดสน เนื่องจากเป็นไม้มงคลนาม และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นใบเงินใบทองไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ และควรปลูกในวันอังคาร เพราะเชื่อว่าต้นไม้ที่มีใบสวยงามมีเสน่ห์ดึงดูดใจนั้น ควรปลูกในวันอังคาร เพราะจะยิ่งทำให้เจริญงอกงามและเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับครอบครัว ถ้าจะให้เป็นมงคลมากยิ่งขึ้นไปอีกก็ให้ปลูกต้นใบเงิน ต้นใบทอง และต้นใบนาก ไว้บริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกันก็จะยิ่งดีนัก นอกจากนี้ใบเงิน ใบทอง ใบนาค ยังจัดอยู่ในสิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการอีกด้วย หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มงคล ๘ (ประกอบไปด้วย ใบเงิน ใบทอง ใบนาค ใบมะตูม ใบพรหมจรรย์ ผิวมะกรูด ฝักส้มป่อย และหญ้าแพรก) -คนไทยโบราณจะนำใบเงิน ใบทอง และใบนาคมาใช้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาหลายพิธี เพราะเชื่อว่าเป็นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เช่น การทำน้ำพุทธมนต์ งานขึ้นบ้านใหม่ พิธีลงเสาเอกเพื่อสร้างบ้าน งานแต่งงาน เป็นต้*ข้อมูลจากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) ระยะเวลาออกดอก ---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธ์ --- ด้วยการปักชำ เพาะเมล็ด
|
ใบเงิน/Graptophyllum pictum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Graptophyllum pictum (L.) Griff.(1854) ชื่อพ้อง---Basionym: Justicia picta L.(1762) ชื่อสามัญ---Caricature Plant ชื่ออื่น---ใบเงิน,ทองขาว ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---นิวกินี เขตกระจายพันธุ์----เขตมรสุม ประเทศในเขตร้อน ลักษณะ ไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งสาขาออกจากโคนต้น ลำต้นกลมเล็ก สีขาวปนเทา ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ๆ สลับกันตามลำต้นใบรูปรี ปลายใบแหลมขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ขนาดใบกว้างประมาณ3-6 ซม.ยาวประมาณ7-10 ซม.พื้นใบสีเขียว กลางใบปนด้วยสีขาวหรือเหลืองจางๆออกดอกเป็นช่อ ส่วนยอดของลำต้นดอกเป็นหลอดยาวมีกลีบดอก 3 กลีบ ดอกสีแดงเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกง่ายสามารถอยู่ในที่แจ้งแสงแดดจัดจนถึงร่มรำไร เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่ชื้นซึ่งอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ และมีการระบายน้ำได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
ใบทอง/Graptophyllum pictum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Graptophyllum pictum (L.) Griff.(1854) ชื่อพ้อง---Basionym: Justicia picta L.(1762) ชื่อสามัญ---Caricature Plant ชื่ออื่น---ใบทอง, ทองลงยา ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---นิวกินี เขตกระจายพันธุ์----เขตมรสุม ประเทศในเขตร้อน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กทรงพุ่มขนาดกลางลำต้นมีความสูงประมาณ2-4 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาออกจากโคนต้น ลำต้นกลมเล็กสีขาวปนเทาใบเดี่ยว แตกออกเป็นคู่ๆสลับกันตามข้อของลำต้นหรือกิ่งก้าน ใบรูปหอกปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ขอบใบจะมีรอยด่างเป็นสีเหลือง ขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 7-10 ซม.แผ่นใบมีสีเหลืองอ่อน ออกดอกเป็นช่อสั้น ออกตามส่วนยอดของลำต้นกลีบดอก 3 กลีบ ดอกมีสีม่วง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม้ในกลุ่มนี้ปลูกง่ายเลี้ยงดูง่ายสามารถอยู่ในที่แจ้งแสงแดดจัดจนถึงร่มรำไร เติบโตได้ดีที่สุดในดินที่ชื้นซึ่งอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ และมีการระบายน้ำได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
ใบนาก/Pseuderanthemum atropurpureum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pseuderanthemum atropurpureum (W. Bull) LH Bailey (1923) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Pseuderanthemum carruthersii (Seem.) Guillaumin ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-101564 ชื่อสามัญ---P. Kewense, Purple False Eranthemum ชื่ออื่น---นากนอก ทองสัมฤทธิ์ ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---PZMSS (Preferred name: Pseuderanthemum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โพลินีเซียนและเขตร้อนของอเมริกา Pseuderanthemum atropurpureum ชื่อนี้เป็นคำพ้องความหมายของ Pseudanthemum carruthersii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนโดยLiberty Hyde Bailey (1858-1954) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2467 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโพลินีเซียและเขตร้อนของอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็กสูงประมาณ 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาจากโคนต้น ลำต้นทรงกระบอก สีม่วงแดง ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ๆ ตรงกันข้ามใบรุปหอก ปลายใบแหลมโคนใบสอบ ขอบใบเรียบแผ่นใบสีเขียวอมม่วงสีขาวม่วงสีชมพูเข้มปนกันขนาดใบกว้างประมาณ 3-6 ซม. ยาวประมาณ 7-10 ซม ดอกออกเป็นช่อสั้นออกตามส่วนยอด ดอกสีขาว มีจุดประสีม่วงเข้มกระจายอยู่ทั่วกลีบ หลอดดอกยาวประมาณ2-3 ซม. กลีบดอก 4 กลีบ ด้านในสีขาว มีจุดสีม่วงกระจายอยู่ทั่วกลีบ ด้านนอกสีม่วงอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แต่ก็สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ ปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง ทนอุณหภูมิต่ำสุด (4° ถึง 10°C) ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกง่ายในร่มหรือกลางแจ้งในกระถางหรือปลูกลงแปลง ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกแบบผสมผสาน -อื่น ๆ ใช้เป็นยาแก้ไข้และเป็นไม้มงคล ระยะออกดอก ---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ
|
ทองคำขาว/P. carruthersi var. atropurpureum 'Variegatum'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pseuderanthemum carruthersii var. atropurpureum (W.Bull) Fosberg.(1955) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Pseuderanthemum carruthersii (Seem.) Guillaumin . ---See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2898183 ชื่อสามัญ---Variegated False Eranthemum, Variegated Caricature Plant ชื่ออื่น---ทองคำขาว ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---Polynesia เขตกระจายพันธุ์---เขตมรสุม ประเทศในเขตร้อน Pseuderanthemum carruthersii var. atropurpureumชื่อนี้เป็นคำพ้องความหมายของ Pseudanthemum carruthersii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนโดย Francis Raymond Fosberg (1908 – 1993) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2498 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโพลินีเซีย และเขตร้อนของอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็กสูงประมาณ 1-2 เมตร มีใบแตกต่างกันสีเขียวและสีขาวขนาดใหญ่ยาว 10-15 ซม.และกว้าง 2.5-5ซม. ดอกสีม่วงถึงชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แต่ก็สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ ปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำปกติ ทนอุณหภูมิต่ำสุด (4° ถึง 10°C) ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกง่ายในร่มหรือกลางแจ้งในกระถางหรือปลูกลงแปลง ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกแบบผสมผสาน ระยะออกดอก ---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ
|
|
ทองดอกบวบ/Pseuderanthemum reticulatum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pseuderanthemum reticulatum (hort. ex Hook.fil.) Radlk.(1883) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Basionym: Eranthemum reticulatum W.Bull.(1875) ---Pseuderanthemum carruthersii var. reticulatum (Bull) F.R.Fosberg.(1980) ---Siphoneranthemum reticulatum (Bull) Kuntze.(1891) ---See all https://www.gbif.org/species/3772340 ชื่อสามัญ---False Eranthemum, Golden Pseuderanthemum, Yellow-vein Eranthemum ชื่ออื่น---ทองดอกบวบ ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---Polynesia เขตกระจายพันธุ์---เขตมรสุม ประเทศในเขตร้อน Pseuderanthemum reticulatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนโดย Ludwig Adolph Timotheus Radlkofer (1829–1927),นักอนุกรมวิธานและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2426 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโพลินีเซีย และเขตร้อนของอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม ลำต้นมักเปราะบางหักง่าย มีความสูงไม่เกิน 2 เมตร ใบรูปไข่ขนาดใหญ่มีสีเขียว แต่มีเส้นสีเหลืองมะนาวหนาแน่น ดอกมีสีขาวมีจุดสีม่วงอยู่ตรงกลาง ดอกมีลักษณะเป็นหลอด ปลายหลอดจะแยกเป็น 5 กลีบ ออกที่ปลายยอด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แต่ก็สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ ปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำปกติ ทนอุณหภูมิต่ำสุด (4° ถึง 10°C) ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกง่ายในร่มหรือกลางแจ้งในกระถางหรือปลูกลงแปลง ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกแบบผสมผสาน ระยะออกดอก ---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ
|
ทองประกายแสด/P.carruthersii var. atropurpureum 'Variegatum'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pseuderanthemum carruthersii var. atropurpureum (W.Bull) Fosberg.(1955) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Pseuderanthemum carruthersii (Seem.) Guillaumin . ---See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2898183 ชื่อสามัญ---Variegated Chocolate Plant, Variegated False Eranthemum, Variegated Caricature Plant ชื่ออื่น---ทองแสด,ทองประกายแสด ชื่อวงศ์ ---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---Polynesia เขตกระจายพันธุ์---เขตมรสุมในเมืองร้อน Pseuderanthemum carruthersii var. atropurpureum ชื่อนี้เป็นคำพ้องความหมายของ Pseudanthemum carruthersii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนโดย Francis Raymond Fosberg (1908 – 1993) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2498 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโพลินีเซีย และเขตร้อนของอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็กสูงประมาณ 1-2 เมตร มีสีในใบแตกต่างกัน มีสีเขียว เหลือง ส้ม แดง ขนาดยาว 10-15 ซม.และกว้าง 2.5-5ซม. ดอกสีม่วงถึงชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด แต่ก็สามารถทนต่อร่มเงาบางส่วนได้ ปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำปกติ ทนอุณหภูมิต่ำสุด (4° ถึง 10°C) ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ปลูกง่ายในร่มหรือกลางแจ้งในกระถางหรือปลูกลงแปลง ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกแบบผสมผสาน ระยะออกดอก ---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ
|
|
อังกาบ/Barleria cristata
ชื่อวิทยาศาสตร---Barleria cristata L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms ---Barleria alba Lodd.(1820) ---Barleria ciliata Roxb.(1832) ---Lepidagathis laciniata Wall. ex Nees.(1847) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2669919 ชื่อสามัญ---Philippine-Violet, Bluebell, Bluebell barleria, Crested Philippine violet ชื่ออื่น---อังกาบ, ก้านชั่ง, คันชั่ง, ลืมเฒ่าใหญ่, ทองระอา, ทองระย้า, อังกาบกานพลู, อังกาบเมือง ;[ASSAMESE: Jhinili.];[AUSTRALIA: Philippine violet.];[BENGALI: Janti.];[CHINESE: Jia du juan.];[FIJIAN: Tombithi.];[FRENCH: Gueule de loup.];[GERMAN: Philippinenveilchen.];[HINDI: Jhinti, Nil jhinti, Tadrelu.];[JAPANESE: Barureria.];[KANNADA: Jhinte, Kuruvaka, Mullugoranta, Sairiyaka.];[MALAYALAM: Karimkurunni.];[MARATHI: Gokarna, Koranti.];[NEPALI: Bhende kurro, Katsaraiya.];[PHILIPPINES: Kolintang-violeta (Tag.).];[PORTUGUESE: Barléria, Violeta-filipina.];[SPANISH: Enana.];[SWEDISH: Kantax.];[TAMIL: Cem-mulli, Mituri, Nila-c-cemmulli, Uta mulli, Vellai-nilamparam.];[TELUGU: Gobbi, Kodi kannu, Mulu goranta, Niru goranta, Pedda gorinta.];[THAI: Crested Philippine violet, Kaanchang, Luem thao yai, Thong ra-aa.];[TIBET: Sa ha ra ca, Sa ha ratsap, Sa-ha-tsa.];[USA: Crested Philippine violet, Philippine violet.];[VIETNAMESE: Hoach[oo]ng.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---BAECR (Preferred name: Barleria cristata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง อินเดียตะวันตก และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Barleria' เป็นเกียรติแก่ Jacques Barrelier (1606-1673) เป็นแพทย์ นักพฤกษศาสตร์ นักสะสมพืชและนักประพันธ์ ชาวโดมินิกัน-ฝรั่งเศส ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'cristata' มาจากภาษาละติน 'cristatus' = หงอน หรือมีปลายคล้ายพู่ Barleria cristata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย ได้แก่ จีน อินเดีย ลาว เมียนมาร์ เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม ปัจจุบันมีการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและสามารถพบได้ในแอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง อินเดียตะวันตก และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พบได้ตามริมถนน ลาด ลำธาร และพืชพันธุ์ซีริกที่ระดับความสูงต่ำกว่า 100 เมตร.ถึง 2,600 เมตร.มีการระบุว่าเป็นพันธุ์พืชที่รุกรานในออสเตรเลีย ฟิจิ ฮาวาย เฟรนช์โปลินีเซีย มอริเชียส เรอูนียง และเปอร์โตริโก ( Smith, 1991 ; Meyer and Lavergne, 2004 ; PIER, 2015 ;Rojas-Sandoval และ Acevedo-Rodriquez, 2015 ). ในออสเตรเลีย มันถูกระบุว่าเป็นวัชพืชสิ่งแวดล้อม ( Weeds of Australia, 2015 ) ในประเทศไทยนั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามหัวไร่ปลายนา ป่าละเมาะ หรือป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง รวมไปถึงป่าก่อ ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 0.60-1.20 เมตร กิ่งก้านมีขนปกคลุม ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 3.5-10 ซม.ยาวประมาณ 3-12 ซม.ปลายใบเรียวแหลมหรือยาว โคนใบเรียวสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีขนสั้นนุ่มกระจายอยู่ทั้งสองด้าน โดยเฉพาะตามเส้นใบ ก้านใบสั้น มีความยาวประมาณ 0.3-2 ซม.ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอดหรือปลายกิ่ง ดอกเป็นรูปแตรปลายบานมี 5 กลีบ มีหลายสีเช่น ม่วง ชมพู ขาว เหลือง และต้นสองสีในดอกเดียวกัน คือม่วงแก่สลับม่วงอ่อน สำหรับดอกสีเหลืองมีหนาม ผลเป็นฝักรูปยาวรี 1.2-1.8 ซม ปลายและโคนฝักแหลมส่วนปลายฝักจะกว้างกว่าส่วนโคนฝัก ในฝักอังกาบมีเมล็ด 4 เมล็ด เมล็ดกลมถึงรูปไข่ 4-5 × 4 มม. มีขนแบนราบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญได้ดีทั้งในที่ร่มหรือที่แสงแดดจัด ชอบแดดรำไรถึงครึ่งวันในช่วงเช้าหรือแสงแดดตลอดวัน อุณหภูมิ 10º C-25º C ความชื้นประมาณ 50% ปรับให้เข้ากับอากาศแห้งได้ง่ายพอสมควร ไม่ต้องพ่นหมอกหรือสปรย์น้ำเพิ่มเติม ชปบดินทรายและดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีค่า pH ตั้งแต่ 5.6 ถึง 7.5 อัตราการเติบโต รวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินต้องแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ ในฤดูหนาวควรรดน้ำให้น้อย เมื่อรดน้ำด้วยน้ำเย็นใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากสิ้นสุดการออกดอก ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งอย่างรุนแรง สามารถตัดกลับให้ยาว 10-15 ซม.เพื่อกำจัดใบไม้และลำต้นที่ตายแล้ว การเติบโตใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ เริ่มจากฐานของลำต้น การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยละลายน้ำเจือจางสูตรสมดุล (16-16-16) หรือสูตรสำหรับพืชดอกที่มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง (12-24-12) ศัตรูพืช/โรคพืช---มักไม่ได้รับผลกระทบจากศัตรูพืชมากนัก ระวังไรเดอร์ scutellum และแมลงหวี่ขาว/ ในกรณีที่แสงสว่างไม่เพียงพอ จะหยุดการออกดอก ใบเล็ก และข้อปล้องยาว และการรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษของพืชชนิดนี้ ใช้ประโยชน์--- มักปลูกเป็นยาและไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ใบช่วยถอนพิษร้อนอักเสบแก้อาการปวดฝี ; รากอังกาบดอกม่วง ใช้แก้พิษงู พิษตะขาบ และแมลงป่องต่อย บำรุงธาตุ เจริญธาตุไฟ ฟอกโลหิต ; น้ำขมของใบหรือรากมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียขับลมและขับเสมหะ ใช้ในการรักษาการติดเชื้อหวัดร้ายแรง -ใช้ปลูกประดับ สามารถปลูกเป็นไม้พุ่ม เป็นแนวรั้ว ใช้จัดสวนทั่วไป ระยะออกดอก---กันยายน-ตุลาคม ในประเทศจีนมีการบันทึกการออกดอกในเดือนพฤษภาคมและสิงหาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
อังกาบสีปูน/Barleria repens
[bar-LEER-ee-uh] [REE-penz]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Barleria repens Nees.(1847) ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2670178 ---Barleria querimbensis Klotzsch.(1861) ---Barleria swynnertonii S.Moore.(1911) ชื่อสามัญ--- Coral Creeper, Pink-ruellia, Red Barleria, Creeping Barleria, Small Bush Violet ชื่ออื่น----อังกาบสีปูน; [AFRIKAANS: Kleinbosviooltjie.];[CZECH: Bezlapačka.];[MARATHI: Tambadi Koranti.];[THAI: Ang kaap si poon.];[ZULU: Inzinziniba.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code--- BAERE (Preferred name: Barleria repens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Barleria' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Rev.James Barrelier (1606–1673) แพทย์ นักพฤกษศาสตร์ นักสะสมพืช พระชาวโดมินิกัน-ฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในนามสาธุคุณเจมส์บาเรลิเยร์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'repens' มาจากคำภาษาละติน 'repo' หมายถึง 'การคืบคลานและการหยั่งราก' อ้างอิงถึงนิสัยของมัน Barleria repens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2390 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้เกิดขึ้นในป่าไม้ตั้งแต่ KwaZulu-Natal ขึ้นไปทางเหนือจนถึงแอฟริกาเขตร้อน (โมซัมบิก แทนซาเนีย เคนยา) ไปสู่หมู่เกาะฮาวายและออสเตรเลียตะวันออก ในประเทศต้นกำเนิดเติบโตในพุ่มไม้และป่าไม้ เจริญเติบโตได้ในที่ร่มบางส่วนบริเวณชายฝั่งและรอบ ๆ แม่น้ำที่ระดับความสูงถึง 230 เมตร พืชชนิดนี้เป็นภัยคุกคามต่อพืชพรรณธรรมชาติในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั้งหมดของออสเตรเลีย มันสามารถก่อให้เกิดการระบาดอย่างหนาแน่นในเขตสงวนพุ่มไม้ในเมืองและยังมีศักยภาพที่จะกลายเป็นวัชพืชของพืชพันธุ์ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็กหรือพืขคลุมดินทอดเลื้อย สูง 15 - 40 ซม.พุ่มกว้าง 1 เมตร ใบรูปไข่ ปลายแหลม ยาว 2- 4 ซม. มีสีเขียวเป็นมัน ดอกมีสีแดงอมส้ม คล้ายสีปูนแดงที่กินกับหมาก กลีบดอกกลมมน ผลไม้เป็นแแคปซูลรูปทรงกระบอก 1.2-2 ซม.แก่แล้วแตก มีเมล็ด 4 เมล็ด โดยมี 2 เมล็ดล่างที่เล็กกว่ามาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดทางอ้อม(พรางแสง) ถึงแสงแดดรำไร หากแสงแรงและเข้มข้นเกินไป ใบไม้จะซีดเมื่อเวลาผ่านไป หากปลูกในที่ร่มจะเหี่ยวย่นและไม่เป็นระเบียบและให้ดอกไม่มากนัก อุณหภูมิ 10º C-25º C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ตั้งแต่ (-2°C- 36°C) ในระยะสั้น ๆชอบดินทรายและดินร่วนปนทรายที่มีค่า pH ตั้งแต่ 6.1 ถึง 7.8 มีการระบายน้ำดี ควรมีอินทรีย์วัตถุและปุ๋ยหมักให้มากด้วย การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ ดินจะได้ไม่อิ่มตัวด้วยน้ำมากเกินไป ในฤดูหนาวควรรดน้ำให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการรดน้ำด้วยน้ำเย็น ใบอาจจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากสิ้นสุดการออกดอก การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยละลายน้ำเจือจางสูตรสมดุล (16-16-16) หรือสูตรสำหรับพืชดอกที่มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง (12-24-12) หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยมากกว่าเดือนละครั้งในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มักไม่ได้รับผลกระทบจากศัตรูพืชมากนัก ระวังไรเดอร์ scutellum และแมลงหวี่ขาว/และการรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษของพืชชนิดนี้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้พุ่มหรือใช้เป็นพืชคลุมดินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดอกไม้สีสันสวยงาม เหมาะสำหรับสวนทั่วไป ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีปักชำกิ่ง และเพาะเมล็ด
|
สังกรณีใบมัน/Crossandra infundibuliformis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Crossandra infundibuliformis (L.) Nees.(1832) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Justicia infundibuliformis L.(1759) ---Crossandra undulifolia Salisb.(1805) ---Ruellia infundibuliformis (L.) Andrews.(1808) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:47014-1#synonyms ชื่อสามัญ---Crossandra, Fire cracker Flower, Unarmed orange nail dye. ชื่ออื่น---สังกรณีใบมัน ;[CHINESE: Bào zhú huā, Yān huǒ huā.];[HINDI: Priyadarsha.];[DANISH: Fakir.];[FRENCH: Crossandre en entonnoir, Fleur pétard.];[GERMAN: Crossandra.];[JAPANESE: Jôgobana, Kurosandora.];[KANNADA: Abbolige.];[MALAYALAM: Priyadarshini.];[MARATHI: Aboli.];[NEPALI: Priyadarshini.];[TAMIL: Cem-payirava-p-puntu, Kanakamparam, Pavala-k-kurinci, Tintiyam.];[TELUGU: Kanak-ambaramu.];[THAI: Sang-kor-ra-nee Bai man.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code--- CSDIN (Preferred name: Crossandra infundibuliformis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา เอธิโอเปีย เคนยา โซมาเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crossandra' จากภาษากรีก 'krossos' =ขอบ และ 'aner' =ชาย หมายถึงอับเรณู ; ขื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'infundibuliformis' จากภาษาละติน หมายถึงรูปกรวยหรือทรัมเป็ต -ชื่อ "Crossandra" ชื่อสกุลนี้นิยมใช้เป็นชื่อสามัญ เนื่องจากมีพืชชนิดนี้ใช้เป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย -ชื่อสามัญ "Fire cracker" Fire cracker หมายถึงฝักเมล็ดซึ่งพบได้หลังจากดอกแห้งและมีแนวโน้มที่จะ "ระเบิด" เมื่ออยู่ใกล้ความชื้นสูงหรือฝนตก "การระเบิด" จะปล่อยเมล็ดลงสู่พื้นดินแล้วจึงสร้างต้นกล้าใหม่ -ชื่อสามัญ "Unarmed orange nail dye" ศัพท์ภาษาทมิฬ สำหรับคำพ้องความหมาย Crossandra undulifolia Salisb. Crossandra infundibuliformis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์ แพทย์ นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตอนใต้และศรีลังกา มักพบในภาคใต้ของอินเดีย Malenaduและ Kerala แพร่กระจายไปยัง บังคลาเทศ เอธิโอเปีย โซมาเลีย เคนยา ซาอีร์ ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในอินโดจีน แคริบเบียน อเมริกากลาง ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงประมาณ 0.50-0.80 เมตร ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักเป็นคลื่น สีเขียวเข้มเป็นมัน แผ่นใบย่นตามแนวเส้นใบ ดอกออกเป็นช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง ตามโคนก้านใบหรือส่วนยอดของต้น ยาว 11–18 ซม. มีหลอดดอกเล็กๆยื่นมาจากกาบรองดอก 2-4.5 ซม ปลายหลอดดอกเป็นกลีบแบนไม่สมมาตร 3- 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม.สีของดอกไม้มีตั้งแต่สีส้มทั่วไป ไปจนถึงส้มแซลมอน หรือแอปริคอท ปะการังไปจนถึงสีแดง-เหลือง แคปซูลยาว 11–12 มม. มีขนสั้นใกล้ปลาย เมล็ด ± 3 × 3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไร หรือแสงแดดครึ่งวันเช้า ดินร่วนปนทราย น้ำปานกลาง ทนอุณหภูมิขั้นต่ำ 10 °C ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกประดับ เป็นไม้ดอกในสวนทั่วไป มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและยังขยายพันธุ์เป็นไม้กระถาง -อื่น ๆในอิเดีย ดอกไม้เล็ก ๆ มักถูกร้อยเป็นเกลียวบางครั้งร้อยพร้อมกับดอกมะลิสีขาว สำหรับการทำมาลัยซึ่งมอบให้กับเทพเจ้าในวัดหรือใช้เพื่อประดับผมของผู้หญิง ได้รับรางวัล---Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.(2017) ระยะออกดอก---ตลอดปี พักตัวในช่วงหน้าหนาว ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอนหรือปักชำ
|
สังกรณีใบมัน/Crossandra nilotica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Crossandra nilotica Oliv.(1875) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Barleria rhynchocarpa Klotzsch.(1861) ---Crossandra smithii S.Moore.(1900) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2743041 ชื่อสามัญ---Fire cracker Flower, Crossandra ชื่ออื่น---หญ้าหงอนไก่, หญ้าหัวนาค, สังกรณีใบมัน ;[SWEDISH: Afrikansk fakirblomma.];[THAI: Sang-kor-ra-nee Bai man, Yaa ngon kai, Yaa huo nak.]; ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code--- CSDIN (Preferred name: Crossandra nilotica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อนของทวีปแอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Crossandra' จากภาษากรีก 'krossos' =ขอบ และ 'aner' =ชาย หมายถึงอับเรณู Crossandra nilotica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Daniel Oliver (1830–1916) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2418 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองในแอฟริกาเขตร้อน พบใน แองโกลา, บุรุนดี, เอริเทรีย, เอธิโอเปีย, เคนยา, มาลาวี, รวันดา, ซูดาน, แทนซาเนีย, ยูกันดา, แซมเบีย, ซาอีร์ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้น พุ่มสูง 60-120 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกันเวียนสลับรอบต้น ใบรูปรีมนรีปลายแแหลม สีเขียวอ่อน ขนาดของใบยาวประมาณ 7.5 ซม.มีขนสั้นปกคลุม ดอกคล้ายสังกรณีใบมันแต่มีสีเหลืองเข้ม ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ชั้นละ 4 กลีบ รูปไข่ปลายแหลม สีเขียวมีขนอ่อนปกคลุม กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดดอกเล็กๆ และแยกเป็น 5 แฉก ส่วนปลายเว้าลึกคล้ายรูปหัวใจ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไรหรือแสงแดดครึ่งวันเช้า ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ต้องการน้ำปานกลาง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ สังกรณีทั้ง2ต้นมีลักษณะเด่นคือเป็นไม้ดอกที่สามารถเจริญได้ดีในที่ร่มรำไร เพราะปกติมีไม้ดอกน้อยชนิดที่จะปลูกเลี้ยงได้ดีในที่ร่ม ระยะออกดอก---ตลอดปี พักตัวในช่วงหน้าหนาว ขยายพันธุ์--เพาะเมล็ดและปักชำ
|
สังกรณี/Barleria strigosa
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Barleria strigosa Willd.(1800) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms ---Barleria caerulea Roxb.(1832) ---Barleria polytricha Wall.(1830) ---Pseudobarleria caerulea (Roxb.) Oerst.(1855) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2670235 ชื่อสามัญ---Bristly Blue Barleria, Blue Barleria, ชื่ออื่น---ขี้ไฟนกคุ้ม (ปราจีนบุรี), กำแพงใหญ่ (เลย), กวางหีแฉะ (สุโขทัย), จุกโรหินี (ชลบุรี), หญ้าหงอนไก่, หญ้าหัวนาค (ภาคเหนือ), เพิงดี (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี);[AYURVEDA: Sahachara (blue-flowered var.), Nilajhinti (root).];[BENGALI: Jhaati, Kaaraajaati.];[HINDI: Nili, Katsaraiya.];[MALAYALAM: Nilakurnji.];[MARATHI: Koraanti, Wahiti.];[SANSKRIT: Artagala, Saireyakah, Nilasaireyakah.];[SIDDHA/TAMIL: Nili.];[TAMIL: Shemmuli.];[TELUGU: Mullugorant, Nilambaramu.];[THAI: Sang korani.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code--- BAESS (Preferred name: Barleria sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อนุทวีปอินเดีย จีน อินโดจีน ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Barleria' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Rev.James Barrelier (1606–1673) แพทย์ นักพฤกษศาสตร์ นักสะสมพืช พระชาวโดมินิกัน-ฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในนามสาธุคุณเจมส์บาเรลิเยร์ ; ชื่อสายพันธุ์' 'strigosa' เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน ''strigosus, a , um '' = ขนแข็งสั้นหนา Barleria strigosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2343 ความหลากหลาย (Varieties);- ---Barleria strigosa var. polystachya (Nees) C.B.Clarke.(1884) ---Barleria strigosa var. strigosa
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย จีน (ยูนนาน) และอินโดจีน เกิดขึ้นตามธรรมชาติบริเวณเชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัย ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบเป็นไม้พื้นล่าง บริเวณป่าดิบและ ป่าเบ็ญจพรรณ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ 30-100 ซม.ลำต้นมีลักษณะหยาบ ก้านใบสีน้ำตาลแกมเหลือง ก้านใบยาว 0.7–2.5 ซม ใบป็นใบเดี่ยวขนาด 5.5–15x2.2–5.5 ซม.เรียงตรงข้ามแบบสลับ ลักษณะรูปใบ เป็นรูปรี ถึงรูปไข่แกมใบหอก ใบด้านบนเกลี้ยงเป็นมันขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ ออกที่ง่ามใบ ไม่มีก้านดอก กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน ปลายแยกเป็นสองแฉก ใบประดับย่อยปลายแยกเป็น 4 แฉก ผลเป็นฝักขนาด 1.4–1.8 x ca. 0.5 ซม.แบนเกลี้ยง สีน้ำตาล แห้งแตกได้ มีเมล็ด 4 เมล็ด รูปกลมแบน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ น้ำปานกลาง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ -ใช้เป็นยา ทั้งต้นต้มน้ำดื่มบำรุงกำลัง ราก ต้มน้ำดื่ม แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้ แก้โลหิตกำเดา ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้กาฬ ระยะออกดอก/ติดผล-- สิงหาคม-ธันวาคม หรือ พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
สังกรณีดอกขาว/Whitfieldia elongata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Whitfieldia elongata (P.Beauv.) De Wild. & T.Durand.(1899) ชื่อพ้อง--Has 8 Synonyms ---Basionym: Ruellia elongata P.Beauv..(1806) ---Whitfieldia longiflora S.Moore.(1880) ---Whitfieldia perglabra C.B.Clarke.(1899) ---Whitfieldia subviridis C.B.Clarke.(1899) ---Whitfieldia tanganyikensis C.B.Clarke.(1899) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2466088 ชื่อสามัญ---White Candles. ชื่ออื่น---สังกรณีดอกขาว, เทียนขาว ;[AFRIKAANS: Indolou.];[TANZANIA: Mbonyati.];[THAI: Sang korani dok khao.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE รหัสอนุกรมวิธาน: 103768 (สำหรับการอ้างอิงในบทความ โปรดใช้ NCBI:txid103768) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์--- แอฟริกาเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Whitfieldia' ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์และนักสะสมชาวอังกฤษ Thomas Whitfield ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' elongatus , a , um '' = elongated โดยอ้างอิงถึงท่อโคโรไลน์แบบยาว Whitfieldia elongata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ambroise Marie Fran?ois Joseph Palisot de Beauvois (1752–1820) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Émile Auguste Joseph De Wildeman (1866–1947) นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม และ Théophile Alexis Durand (1855–1912) นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม.ในปี พ.ศ.2442
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อน เกิดขึ้นในพื้นที่ตั้งแต่เบนินตอนใต้และไนจีเรีย ผ่านแคเมอรูนตอนใต้ กาบองและคองโก ไปจนถึง ซาอีร์ ยู กันดาและรวันดา นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นบนชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกในเคนยาและแทนซาเนีย พบในป่าเขตร้อน บ่อยครั้งตามแนวลำธารจากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูงประมาณ 10–1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มล้มลุกอายุ 1-2 ปี ในถิ่นกำเนิดสูงได้ถึง 3-5 เมตร ในบ้านเราจะสูงอยู่ประมาณ 1.2-1.8 เมตร ลำต้นตั้งตรง ลำต้นและกิ่งเปราะหักง่าย ลักษณะใบรูปไข่ยาว 15-25 ซม.กว้าง 4-10 ซม.ออกตรงข้าม สีเขียวเข้มเป็นมัน แผ่นใบยับย่นระหว่างเส้นใบ ก้านใบยาว 1-3 ซม.ดอกออกเป็นช่อสีขาวที่ปลายยอดช่อดอกยาว 5-20 ซม.ก้านช่อดอกยาว 1-4 ซม.มีใบประดับสีเขียวรูปไข่ยาว 1.5 ซม. ตามช่อดอกและกลีบดอกมีขนอ่อนสั้นๆ ผลแคปซูลยาวประมาณ 2.3–3.5 ซม.มีเมล็ดรูปไข่-ทรงรี 2 เมล็ดขนาด 0.7–0.9 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ หรือร่วนปนทรายระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมออย่าปล่อยให้ดินแห้ง ต้นจะเหี่ยวทันที ชอบอากาศเย็นและแสงแดดรำไร อุณหภูมิ 25-28 °C จะออกดอกดีในที่ร่มต่างจากพรรณไม้ในวงศ์อื่นทั่วไปที่ต้องการแสงแดดจัด ปลูกในกรุงเทพอาจจะเห็นดอกได้ในหน้าฝน ธรรมชาติของต้นนี้จะเห็นดอกได้ทั้งปีแต่ต้องอยู่ในที่ ที่อากาศเย็น ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นเป็นสีย้อมและใช้ไม้ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ส่วนต่าง ๆ ของพืชถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายในยาแผนโบราณสำหรับโรคต่างๆ ยาต้มใบในไวน์ปาล์ม ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะอาหารและเป็นยาแก้อาหารเป็นพิษ -อื่น ๆ ใบไม้ให้สีย้อมสีดำ ลำต้นใช้ทำแกนหมุน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
ตรีชวา /Justicia betonica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Justicia betonica L.(1753) ชื่อพ้อง ---Has 23 Synonyms ---Adhatoda betonica (L.) Nees.(1832) ---Adhatoda cheiranthifolia Nees.(1847) ---Adhatoda lupulina Nees.(1845) ---Nicoteba betonica (L.) Lindau.(1895) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2330408 ชื่อสามัญ---Hill Justicia, Paper plume, Shrimp plant, Squirrel tail, Squirrel's tail, Squirreltail, White shrimp, White shrimp plant, Rose-spotted, White-flowered Justice Wort ชื่ออื่น---ตรีชวา, หางกระรอก, หางแมว, เขียวพระสุจริต ;[ETHIOPIA: Goppe dhaliyaa.];[FRENCH: Queue d'écureuil, Crevette blanche.];[INDIA: Palage soppu, Tellarantu, Had-paata (Bihar); Prameha-harati, Mokandar (Madhya Pradesh).];[INDONESIA: Ekor tupai, Om rompien (Java); Jukut buntut seroh (Sunda).];[HINDI: Had-paata,Mokandar.];[KENYA: Kipkesio.];[MALAYALAM: Paduthamara, Vellakurunji, Vellakurinji.];[MALAYSIA: Daun ekor tupai.];[MARATHI: Gulabi Adulasa.];[REUNION: Carmantine à fleurs courtes, Camarons blancs.];[SANSKRIT: Sveta-sahacarah.];[SRI LANKA: Sudupuruk (Singhala).];[TAMIL: Veli-munkil, Velimungil.];[TANZANIA: Akech (Luo).];[TELUGU: Tellarantu.];[THAI: Tree Chawa, Hang kra rok, Hang meow, Kheaow phra sut cha rit.];[USA: Squirrel's tail.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code--- IUIBE (Preferred name: Justicia betonica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน -แอฟริกาใต้ เอเชียเขตร้อน และในอเมริกา Justicia betonica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน แองโกลา บังคลาเทศ บอตสวานา แอฟริกาใต้ เอสวาตินี เอธิโอเปีย อินเดีย เคนยา มาลาวี มาลี โมซัมบิก นามิเบีย เซเนกัล ศรีลังกา ซูดาน แทนซาเนีย ยูกันดา แซมเบีย คองโกและซิมบับเว เปิดตัวในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ (โคลอมเบีย คอสตาริกา กายอานา ปานามา หมู่เกาะโซโลมอนเช่นเดียวกับภูมิภาคต่างๆ เช่นฮาวายและนิวแคลิโดเนีย) นอกจากนี้ ยังพบในเขตร้อนของจีน ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย มักพบการเติบโตในป่า เป็นวัชพืชตามริมถนนและในที่รกร้างว่างเปล่า พบที่ระดับความสูง 0- 2,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทั่วไป ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูงได้ถึง0.60-1.2 เมตร ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ออกเป็นคู่ตรงข้ามข้อต้นขนาด 6-17.5 x 2.2-4 ซม แผ่นใบบางสีเขียวเข้ม ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่งช่อหนึ่งมีก้านดอกหลายก้าน ช่อยาวประมาณ20-25ซม. ก้านดอกสีเขียวทำหน้าที่เป็นใบประดับ ดอกสีขาวหรือดอกสีม่วง ใบประดับ 3 กลีบ รูปหัวใจ สีขาวลายสีเขียว กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ด้านบน 2 แฉก เชื่อมติดกัน ด้านล่าง 3 แฉก โคนกลีบสีม่วงเข้ม เกสรเพศผู้และเพศเมียอยู่ติดกับกลีบด้านบน ผลเป็นแคปศูลขนาด 10-16 x 5-6 มม.มีเมล็ดขนาด 4-8 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไร หรือแสงแดดเต็มข่วงเช้า ขึ้นได้ดีในดินทุกประเภท ชอบดินร่วน ต้องน้ำปานกลาง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ชาวอินเดียใช้ช่อดอกกิน -ใช้เป็นยา ใช้ในการรักษาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่างๆ -ในอินเดียใช้ประโยชน์จากพืชในการรักษาอาการท้องร่วง -ในเคนยาใช้ใบไม้และเถ้าดอกไม้ ในการรักษาอาการอาเจียนและท้องผูก -ชาวเผ่าลูในแทนซาเนียใช้ยาต้มจากพืชทั้งหมดเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง -ชาวอินเดียและศรีลังกาใช้ยาพอกที่ทำจากใบของพืชบดพอกบนฝีเพื่อบรรเทาอาการปวดและบวม -ใช้ปลูกประดับ ปลูกประดับสวน เป็นพืชสมุนไพร ปลูกจำนวนมากเป็นกลุ่มใหญ่จะสวยกว่าปลูกเดี่ยวๆ -อื่น ๆ ชาวอินเดียใช้ช่อดอกเป็นยาสระผม ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
ช้อนทอง/Pseudomussaenda flava
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pseudomussaenda flava Verdc.(1951 publ.1952) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-166395 ---Mussaenda flava (Verdc.) Bakh.f.(1956) ---Vignaudia luteola (Delile) Schweinf.(1867) ---Virecta lanceolata Baill.(1880) ชื่อสามัญ---Yellow Mussaenda, Dwarf Mussaenda, Dwarf Yellow Mussaenda, White Wing, Small flag bush. ชื่ออื่น---ช้อนทอง, ช่อสุวรรณ, สร้อยสุวรรณ, แก้มขาว ;[BENGALI: Nagballi.];[CHINESE: Fei zhou yu ye jin hua.];[KINYARWANDA: Usugikon Ronka.];[THAI: Chon thong, Sroi suwan, chor thong, Kaem khao.]. ชื่อวงศ์---RUBIACEAE EPPO Code---MDAFL (Preferred name: Pseudomussaenda flava.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตดระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน เอเชียใต้และแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pseudomussaenda' เป็นการรวมคำจากกรีก 'Pseudo' = หลอก (เท็จ) และ พืชสิงหล ชื่อ 'mussaenda' ; ชื่อสายพันธุ์ 'flava' = สีเหลืองอ้างอิงถึงสีของกลีบดอกไม้ Pseudomussaenda flava เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Bernard Verdcourt (1925–2011) นักชีววิทยาและ นักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2494 และเผยแพร่ในปี พ.ศ.2495
ที่อยู่อาศัย พืขพื้นเมืองจากแอฟริกาเขตร้อน (ไนจีเรีย ซาอีร์ตะวันออก เคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย ซูดาน) แพร่กระจายในเอเชียใต้และแปซิฟิก เกิดขึ้นในป่าเขตร้อน ที่ระดับความสูง 750–1,230 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่นทึบ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน รูปรีหรือรูปไข่แกมรูปหอกใบมีความยาว 4- 9 ซม.กว้าง 1.5-3.5 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบสอบ ขอบใบเรียว ผิวใบด้านบนสีเขียวสด ก้านใบยาว 1-2 มม.ช่อดอกออกที่ปลายยอดมีใบประดับ ดอกสีเหลือง บานเต็มที่กว้าง 1.5 ซม.โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 กลีบ เกสรผู้ 5 อันติดอยู่ในหลอดดอก กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยก 5 แฉก บางดอกมีกลีบเลี้ยงขนาดใหญ่1กลีบค่อนข้างกลม สีขาวอมเหลือง ขนาด 2-2.5 ซม.ปลายแหลมเป็นติ่งสั้นๆ ผลเป็นแคปซูลรูปขอบขนานยาวประมาณ 7 มม.กว้างประมาณ 5 มม.แยกเป็น 2 หลอด เมล็ดมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดตลอดวันถึงรำไร แต่ถ้าปลูกในที่ที่แสงแดดไม่พอจะเป็นราง่าย ชอบดินเหนียวชื้นที่ซึมผ่านได้ดีไม่ทนน้ำท่วมขัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นกลุ่ม เป็นแถวริมทางเดินในสวนทั่วไป ระยะออกดอก---ตลอดปี ออกดอกมาก พฤษภาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
|
บาหยา/Asystasia gangetica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Asystasia gangetica (L.) T.Anderson.(1860) ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms ---Basionym: Justicia gangetica L.(1759) ---Ruellia gangetica (L.) R.Br.(1810) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:45742-1#synonyms ชื่อสามัญ ---Indian Asystasia, Chinese violet, Coromandel, Creeping foxglove, Asystasia, Ganges Primrose ชื่ออื่น---บุษบาฮาวาย, บาหยา, อ่อมแซ่บ, ผักกูดเน่า; [CAMBODIA: B kn kphem (Central Khmer).];[CHINESE: Kaw kua chai, Kuan ye shi wan cuo.];[CONGO: Ondo, Ondoko.];[FRENCH: Herba le rail, Mange-tout, Herba pistache, Pistache marron.];[KENYA: Atipa, Burutula, Enkosida, Fuchwe, Talakushe, Vongonya.];[KINYARAWANDA: Ijojwe, Urusogo.];[MALAYSIA: Rumput bunga putih, Rumput hantu, Rumput nyonya.];[NIGERIA: Lobiri, Inana.];[PHILIPPINES: Asistasiya (Tagalog); Bulak-bulak (Subanun); Zamboangenita.];[PORTUGUESE: Assistásia, Asistasia branca, Coromandel.];[RUSSIA: Azistaziya gangskaya.];[SOUTH AFRICA: Asystasia, Creeping foxglove.];[SPANISH: Asistasia, Coromandel.];[SWEDISH: Fuchwe, Mtikini, Kichwamangwo.];[THAI: Baya, Yaya (Bangkok), Phak-kaat nao (Chiang Mai).];[UGANDA: Lenzokobi, Odipaikong.];[USA: Chinese violet.];[ZULU: Isihobo.]. ชื่อวงศ์ ---ACANTHACEAE EPPO Code---ASYCO (Preferred name: Asystasia gangetica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ --- แอฟริกาใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Asystasia' หมายถึงความไม่สอดคล้องกันและเกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่ากลีบดอกมีความสม่ำเสมอมากหรือน้อยซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติในตระกูล Acanthaceae ; ชื่อสายพีนธุ์ 'gangetica' มาจากแม่น้ำคงคาในอินเดียซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสายพันธุ์ที่เกิดขึ้น Asystasia gangetica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2403 รวม 2 ความหลากหลาย (Infraspecifics) ที่ยอมรับ;- ---Asystasia gangetica var. gangetica : มีถิ่นกำเนิด อนุทวีปอินเดียถึง N. & E. ออสเตรเลีย ---Asystasia gangetica var. krishnae Tandyekk., Pandur. & N.Mohanan.(2019) ; ถิ่นกำเนิดในอินเดีย (เกรละ)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย และศรีลังกา แพร่กระจายใน แอฟริกาเขตร้อน ; E. เอเชีย - อินเดียผ่านเอเชียเขตร้อนไปยังอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ พบตาม ริมถนนและริมฝั่งแม่น้ำในพื้นที่กึ่งน้ำขังรวมทั้งพื้นที่เพาะปลูกตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 100-2,500 เมตร ลักษณะ บาหยาเป็นไม้พุ่มสูง 1-1.5 เมตร อายุหลายปี ใบเดี่ยวออกสลับเป็นคู่ตั้งฉากกัน รูปไข่แกมรี กว้าง2.5-6ซม.ยาว8-16ซม.โคนใบสอบ ปลายใบเป็นติ่งแหลม ขอบใบเรียบช่อดอกออกที่ปลายกิ่ง เป็นช่อกระจะ ดอกสีม่วงอ่อน โคนกลีบสีขาวอมเหลือง ปลายกลีบแยกเป็น5แฉก นอกจากสีม่วงแล้วยังมีดอกสีอื่นอีก คือสีขาวและสีเหลืองอ่อน ผลเป็นแคปซูลทรงรีหรือทรงกระบอก ยาว 2-2.5 ซม.เมื่อสุกมีสีน้ำตาล มีขนต่อมหนาแน่นปกคลุม มี 2-4 เมล็ด รูปไข่แบนสีน้ำตาลอ่อนขอบไม่เรียบ ขนาด 1 x 0.75 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชที่ปลูกง่ายชอบดินที่ค่อนข้างแห้งและอยู่ในตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงหรือร่มเงาบางส่วน เจริญเติบโตบนดินอัลลูเวียมชายฝั่ง, ดินร่วนปนทรายและดินเหนียว พืชสามารถเติบโตได้ในดินพรุที่มีอินทรีย์วัตถุ 85% และ pH ต่ำถึง 3.5-4.5 เป็นพืชที่ชอบร่มเงาการสังเคราะห์แสงที่ดีที่สุดเกิดขึ้นระหว่างแสงแดดเต็มที่ 33-50% และพืชสามารถเติบโตได้แม้ว่าจะมีแสงแดดเพียง 10%และมีความทนทานต่อความแห้งแล้ง ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่น บางครั้งมีขายในตลาดท้องถิ่นในช่วงฤดูฝน มักปลูกเป็นไม้ประดับและพืชคลุมดินในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน -ใช้กิน ใบและยอดอ่อน - สุก ใบและดอกรับประทานเป็นสมุนไพรหม้อ (pot herb) ในมาเลเซียนิยมนำใบและยอดอ่อนมาปรุงเป็นผัก -ในแอฟริกา (แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย เคนยา และแทนซาเนีย) ใบจะถูกกินเป็นผัก -ในเคนยาและยูกันดาเป็นผักยอดนิยมและปรุงด้วยถั่วและถั่วบดหรืองา -ใช้เป็นยา พืชใช้เป็นสมุนไพรในยาแผนโบราณในหลาย ๆ ส่วนของพืช- ราก แก้ไข้ เพื่อโลหิตแก้พิษฝีภายใน แก้ไข้เหนือ ขับลมให้ซ่านออกมาทั่วตัว -ใบ ใช้แก้ปวดบวม ปวดตามข้อ ขับพยาธิ -ใบและดอก สมานลำไส้ ลดไข้ บรรเทาอาการเจ็บท้องคลอดลูก บำรุงเลือด บำรุงกำลัง บำรุงสายตา แก้พิษงู และแก้ม้ามโตในเด็กที่เกิดใหม่ -ใบถูกนำมาใช้ในไนจีเรียเพื่อรักษาโรคหอบหืด -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือปลูกเป็นไม้ประดับในกระถาง -อื่น ๆ พืชมีซาโปนิน เป็นฟองในน้ำใช้แทนสบู่ ระยะออกดอก/ติดผล-----กันยายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์----ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง
|
ต้อยติ่งฝรั่ง/Ruellia squarrosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ruellia squarrosa (Fenzl) Cufod.(1970) ชื่อพ้อง--Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2419964 ---Basionym: Dipteracanthus squarrosus Fenzl.(1868) ชื่อสามัญ---Purple and white ruellia, Wild petunias, Minnieroot, Iron root, Feverroot, Popping pod, Cracker plant. ชื่ออื่น ---ต้อยติ่งเทศ, ต้อยติ่งน้ำ, ฟ้าประทานพร;[DUTCH: Waterkanon.];[INDONESIA: Kencana, Bunga kencana.];[JAPANESE: Kebukaruirasou.];[THAI: Toeyting-thet, Toeyting nam; Faa prathanporn (Trade name).];[VIETNAM: Cây quả nổ.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---RUESQ (Preferred name: Ruellia squarrosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเหนือ เม็กซิโกตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ruellia' เพื่อเป็นเกียรติแก่ Jean de la Ruelle (1474-1537) นักสมุนไพรและแพทย์ชาวฝรั่งเศสของ Francois I (1494-1547) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ. 1515 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1547 Ruellia squarrosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard Fenzl (1808–1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Georg Cufodontis (1896–1974) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2513
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน เป็นพันธุ์ไม้รุกรานในพื้นป่าของป่าดิบชื้น ลักษณะ เป็นไม้พุ่มล้มลุก อายุหลายปี สูง 20-30 ซม.ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจนมีขนอ่อนขึ้นปกคลุมอยู่เล็กน้อยใบแคบเรียวซึ่งต่างจากต้อยติ่งที่เห็นทั่วไป ใบเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นคู่ ตามข้อของลำต้น รูปมนรี ปลายมน โคนแหลม สีเขียว ขอบเรียบ หรืออาจมีคลื่นเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อ หรือดอกเดี่ยวๆ ดอกสีม่วงหรือชมพู ออกตามซอกใบบริเวณส่วนยอดของต้น กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียว โคนกลีบดอกมีเชื่อมติดกันเป็นหลอดแล้วแยกออก 5 กลีบ คล้ายกรวย สีม่วง กลางดอกมีเกสร 4 ก้าน แบ่งเป็นก้านสั้น 2 ก้านและก้านยาว 2 ก้าน ผลรียาวสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำเมื่อแก่แตกออกเมื่อโดนความชื้น ภายในผลมีเมล็ดลักษณะแบน 8-10 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินที่มีความชื้นสูงและรักษาความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกต้อยติ่งเทศเป็นไม้ประดับคลุมดิน ใช้ปลูกประดับสวนทั่วไป ปลูกเป็นไม้ริมน้ำได้ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ฤาษีผสม/Plectranthus scutellarioides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Plectranthus scutellarioides (L.) R.Br.(1810) ชื่อพ้อง---Has 70 Synonyms ---Coleus blumei Benth.(1832) ---Coleus hybridus Cobeau.(1928) ---Coleus pumilus Blanco.(1837) ---Coleus scutellarioides (L.) Benth.1830() ---Ocimum scutellarioides L.(1763) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-158489 ชื่อสามัญ---Coleus, French nettle, Painted- Nettle, Painted-leaf plant, Variegated coleus, Jacob's coat, Joseph's coat. ชื่ออื่น---ฤาษีผสม, ฤาษีผสมแล้ว (ภาคกลาง);[CARIBBEAN: Jacob’s coat.];[CHINESE: Wu cai su, Xiao wu cai su, Yuan bian zhong.];[CUBA: Manto, Orégano francés.];[FIJI: Lata, Lau lata.];[FRENCH: Coléus scutellaire, Vieux garcon.];[GERMAN: Buntblatt, Buntnessel, Blumes Buntnessel.];[HAITI: Manteau de St.Joseph.];[JAMAICA: Joseph’s coat, Painted nettle.];[JAPANESE: Niwajiku, Saya-bana.];[MALAYSIA: Kentongan; Ati-ati (Malay).];[MAORI(Cook Islands): Televete, Terevete.];[MEXICO: Ahijado.];[PHILIPPINES: Mayana (Tag.); Saimayu (Sul.); Daponaya, Lapunaya, Tapunaya (Bis.); Dafronaya (Span.).];[PORTUGUESE: Coleus de Java, Coracao magaodo.];[PUERTO RICO: Coleo, Nazareno, Tocador, Verguenza.];[SAMOA: Fāteine, La‘au fai sei, Pate.];[SPANISH: Ahijado, Cóleo, Macho, Nene, Coleos.];[SWEDISH: Palettblad.];[THAI: Ruesi phasom, Ruesi phasom laew (Central).];[USA/Hawaii: Weleweka.]. ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE) EPPO Code---CXUBL (Preferred name: Plectranthus scutellarioides.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Plectranthus' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก '' plectron '' = เดือยและ '' anthos '' = ดอกไม้โดยอ้างอิงจากรูปร่างของดอกไม้ที่ด้านหลังมีส่วนขยายที่มีรูปร่างคล้ายเดือย ; ชื่อของสายพันธุ์ 'scutellarioides' ได้มาจากการรวมกันของ "scutellaria" สายพันธุ์ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันและจากปัจจัย '' -oeide's '' จาก '' Eidos '' = รูปร่างลักษณะที่คล้ายกันกับ scutellaria Plectranthus scutellarioides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Brown (1773–1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2353 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางใต้สู่มาเลเซียและทางตอนเหนือของออสเตรเลีย มีการเพาะปลูกในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก พบใน จีน (ฝูเจี้ยน กวางจง กวางสี) เวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกินี ออสเตรเลียตอนเหนือ ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน แหล่งที่อยู่อาศัยหลากหลายตั้งแต่ที่ราบลุ่มจนถึงภูเขา เติบโตในป่าฝน ริมฝั่งลำธารและแหล่งน้ำอื่น ๆ เขื่อนในนาข้าว พุ่ม; เขาหินปูน ป่าทุติยภูมิ ป่ามอสพื้นดินที่ถูกรบกวน ฯลฯ ที่ระดับความสูง 30-3,000 เมตร มันถูกระบุว่าเป็น 'Invasive' ในคิวบาและหลบหนีการเพาะปลูกในเปอร์โตริโกและหมู่เกาะแปซิฟิกบางแห่ง สายพันธุ์นี้มีความทนทานต่อร่มเงาสามารถเติบโตได้ในที่อยู่อาศัยที่หลากหลายแพร่พันธุ์ได้ทั้งเมล็ดและกิ่งก้านและสามารถก่อตัวเป็นพุ่มหนาทึบ ปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นศัตรูพืชเล็กน้อยแทนที่จะเป็นวัชพืชที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอยู่ได้ 1-2 ปีแล้วแต่การดูแล ลักษณะลำต้น ค่อนข้างอวบน้ำสูงได้ถึง 30-100 ซม. ลำต้นเป็นเหลี่ยม ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม แผ่นใบบางย่นกว้าง (1)-3-5-(10) ซม. ยาว (1)-4-7-(15) ซม. ขอบใบหยักมนมีลายสีสันสดสวยสะดุดตา ช่อดอกชูตั้งปลายยอด ยาว 5-10 ซม.ใบประดับรูปไข่ ยาว 2-3 มม.ดอกเล็กสีฟ้า ผลรูปไข่หรือกลมเล็ก สีน้ำตาล เป็นมัน ยาว 1-1.2 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน แล้วแต่ชนิด บางชนิดได้แดดจัดสีจะยิ่งสดจัดจ้าน บางชนิดได้รับแสงแดดมากสีกลับซีดไป ต้นสีสดมากๆพออยู่ในร่มจะกลายเป็นสีเขียวหรือคล้ำลง ขึ้นอยู่กับว่าเป็นฤาษีผสมชนิดไหน แต่ทุกชนิดจะมีจุดอ่อนเหมือนกันคือไม่ชอบดินแฉะ หมั่นตัดแต่งเสมออย่าปล่อยให้ดอกบานจนโรยคาต้น เพราะต้นจะตายให้ตัดช่อดอกทิ้งตั้งแต่เป็นดอกอ่อนอยู่ ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่น มักปลูกเป็นไม้ประดับในสวน -ใช้กิน ใบกินสดกับขนมปังและเนยหรือนำมาลวกแล้วใส่เบียร์ท้องถิ่น -ในปาปัวนิวกินี ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหาร -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ต้นและใบ น้ำต้มเป็นยาช่วยย่อย แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ปวดภายในช่องท้อง ตับอักเสบที่มีอาการบวมตามมือและเท้า ตำพอกแก้ปวดบวม ปวดท้อง พอกต่อมต่าง ๆ ที่มีอาการบวม ยาชงใบใช้ขับระดู น้ำคั้นใบทาสมานแผล -ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่าเป็นพืชสมุนไพรและใช้รักษาโรคต่างๆ รวมถึงอาการอาหารไม่ย่อย โรคตา และการติดเชื้อที่บาดแผล -ใช้ปลูกประดับ ฤาษีผสมเป็นไม้ที่มีสีสันและลักษณะใบแตกต่างกันมากมาย มีหลากหลายพันธุ์ ใช้ปลูกประดับสวนทั่วไป -อื่น ๆน้ำเลี้ยงจากลำต้นของชนิดพันธุ์ป่าใบสีม่วง-ดำ ใช้ในการสัก ในชวา สายพันธุ์นี้ใช้เป็นรั้วที่อยู่อาศัยในไร่กาแฟ พิธีกรรม/ความเขื่อ---ทางตอนใต้ของเม็กซิโกถือว่ามีมนต์ขลังและใช้ในการทำนายดวงชะตา ( Hanelt et al., 2001 ) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ
|
|
ผักแพวแดง/Iresine herbstii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iresine herbstii Hook.(1864) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-1100462 ชื่อสามัญ---Chicken Gizzard, Bloodleaf, Beefsteak Plant, Herbst's bloodleaf, Formosa Bloodleaf, Chicken Gizzard. ชื่ออื่น---ผักแพวแดง, ผักแผ่วแดง, ผักแผ่วสวน, ผักอีแปะ, ผักแพวสวน, ละอองใบด่าง (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Xue xian.];[FINLAND: Kirjopunalehti.];[FRENCH: Zézyé poul.];[INDONESIA: Bayam merah; Bayem bang.];[JAPANESE: Marubabiyu.];[PHILIPPINES: Dahong pula (Tag.).];[PORTUGUESE: Iresine, Coração-magoado.];[RUSSIA: Irezine Herbsta.];[SPANISH: Molleja de gallina, Sin vergüenza.];[THAI: Phak paew dang, Phak paew suan, Phak i-pae, La-ong bai dang.]. ชื่อวงศ์---AMARANTHACEAE EPPO Code---IREHE (Preferred name: Iresine herbstii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---ประเทศบราซิล ประเทศในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Iresine' มาจากคำภาษากรีก 'eiresione' หมายถึงกิ่งก้านหรือพวงหรีดที่พันด้วยขนสัตว์ซึ่งน่าจะอ้างอิงถึงดอกไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'Herbstii' ตั้งชื่อตาม Mr Herbst ผู้เผยแพร่ที่ Royal Botanic Gardens, Kew Iresine herbstii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ บานไม่รู้โรย (Amaranthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยSir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ Royal Botanic Gardens (Kew Gardens) ในปี พ.ศ.2407 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในบราซิล (เอกวาดอร์ ฮอนดูรัส นิตารากัว เปรู) และพบค่อนข้างน้อยในซีกโลกเหนือ แปลงสัญชาติในเขตป่าและตามเส้นทางป่าในมาเลเซียที่ระดับความสูงตั้งแต่ 500 - 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกต้นและใบเป็นสีแดง สูงประมาณ 50 ซ.ม. ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบกว้าง 2-4 ซม. ยาว 3-6 ซม. รูปโล่แกมรูปไข่ ปลายเว้าสีแดง มีแถบขวางสีชมพู ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง สีขาวอมเขียวไม่เด่น มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแบบแยกเพศ ผลแห้งไม่แตก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---อยู่กลางแจ้งแบบแสงแดดเต็มวันหรือครึ่งวัน (แสงแดดส่องถึงโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรืออยู่ในร่มเงา อุณหภูมิ 18-27°C ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ การระบายน้ำดี pH 5.6 - 5.9 (slightly acidic) อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อ่อนแอต่อโรคราแป้ง ระวังเพลี้ย (Aphids) และไรเดอร์.(Spider mites.) ใช้ประโยชน์---ใบใช้ในท้องถิ่นเป็นสีผสมอาหาร พืชมักปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อน -ใช้กิน น้ำคั้นใบจะได้สีย้อมสีแดงที่ใช้สำหรับทำสีวุ้น -ใช้เป็นยา ใบและลำต้นใช้รักษาบาดแผล ใบและดอกใช้เป็นยาต้มแก้ไข้ยาคลายเครียดและโรคไต -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นพืชคลุมดินในสวนสีสันสวยงาม ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในเทือกเขาแอนดีส ทางตอนเหนือของเปรูใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาด้วยเวทมนตร์ที่หมอแผนโบราณใช้เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกจากร่างกาย ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำยอด
|
|
แดงชาลี/Aerva sanguinolenta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aerva sanguinolenta (L.) Blume.(1825) ชื่อพ้อง---Has 19 Synonyms. ---Basionym: Achyranthes sanguinolenta L.(1762) ---Achyranthes scandens Roxb.(1820) ---Aerva scandens (Roxb.) Moq.(1840) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2623722 ชื่อสามัญ---Climbing Wool-plant ชื่ออื่น---แดงชาลี, เครือข้าวตอก, พันงูตัวผู้, พันงูเล็ก, หญ้าดอกขาว ;[AYURVEDA: Paashaanabheda, Gorakshaganjaa, Aadaanpaaki, Shatkabhedi.];[CHINESE: Bái huā xiàn.];[ECUADOR: Escancel.];[INDONESIA: Ki sambang (Sunda), Sambang colok, Gondang kasih (Java).];[LAOS: Dok khaix ped (Luang Prabang).];[MALAYALAM: Vallicherula.];[SIDDHA/TAMIL: Sirupeelai.];[THAI: Khruea khaao tok (Northern), Yaa dok khaao (Central), Phan nguu yai (Saraburi).];[VIETNAM: Mông gà , Rau chua, Mao vi dô.]. ชื่อวงศ์---AMARANTHACEAE EPPO Code---AERSA (Preferred name:Aerva sanguinolenta.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---จีนตอนใต้ ปากีสถาน อินเดีย ภูฏาน เนปาล เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ Aerva sanguinolenta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ บานไม่รู้โรย (Amaranthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2368 ที่อยู่อาศัย พบใน E. เอเชีย - ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน จีนตอนใต้และไต้หวันจนถึงไทยและภูมิภาคมาเลเชีย (ชวา หมู่เกาะซันเดอ ซันดา สุลาเวสี โมลุคคัสและฟิลิปปินส์) พบได้ทั่วไปในทุ่งนาที่ถูกทิ้งร้างที่ระดับความสูงถึง 200 เมตรในเกาะชวา แต่สูงขึ้นถึง 2,000 เมตรในอินโดจีน ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกคลุมดินอายุหลายปี สูง ประมาณ 30-40 ซม.ลำต้นแตกแขนงเลื้อยไปตามผิวดินปลายกิ่งมักชูตั้งขึ้น ต้นมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อน ใบเรียงสลับหรือตรงกันข้ามรูปไข่, รูปไข่แกมรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกขนาด 1.5-7.5 × 0.5-4.5 ซม.ดอกสีขาวขุ่น ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาว แต่ละช่อมีดอกย่อยติดกับก้านช่อดอกเป็นกระจุก ผลแหลมหนาแน่นและหนาเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 มม.ไม่แตกง่าย เมล็ด 0.8-1 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี แต่ก็ขึ้นได้ในดินทุกชนิด อัตราการเจริญเติบโตเร็ว หลังจากออกดอกติดผลช่วงนี้ให้ตัดแต่งไว้ให้แตกใบใหม่ปล่อยให้ออกดอกใหม่หากทิ้งไว้ต้นจะโทรม ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น และบางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ยาต้มของกิ่งอ่อนใช้ในการรักษาอาการต่างๆเช่นเลือดออก ประจำเดือนผิดปกติหรือ ปวดประจำเดือน ในอายุรเวชใช้ ยาต้มของพืชใช้ในการรักษากระเพาะปัสสาวะ ดอกและรากใช้แก้ปวดหัว -ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้จัดสวนเป็นไม้คลุมดินสีสันสวยงาม ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-มิถุนายน/สิงหาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
ประทัดแตก/Russelia equisetiformis
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Russelia equisetiformis Schlecht. & Cham.(1831) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2528116 ---Russelia juncea (Zucc.).(1832) ชื่อสามัญ---Fountain bush, Fire cracker plant, Coral plant, Coral Fountain, Coralblow, Fountain plant, Horsetail firecracker plant ชื่ออื่น---ประทัดฝรั่ง, ประทัดเล็ก, ประทัดเล็ก, ประทัดจีน ;[CHINESE; Bao zhang zhu, Jíxiáng huā, Hóng zhǎng huā, Huā dīngzi.];[COLOMBIA: Cola de caballo.];[DUTCH: Vuurwerkplant.];[FRENCH: Fontaine de corail, Gouttes de sang, Russélie fausse-prêle, Plante corail.];[GERMAN: Russelie, Springbrunnenpflanze.];[HINDI: Rasili.];[ITALIAN: Coral de italia.];[JAPANESE: Hanachōji.];[MAORI (Cook Islands): Menemene.];[MARSHALL: Albokbororo.];[MEXICAN: Cola de caballo.];[PORTUGUESE: Flor-de-coral, Lágrimas-de-amor, Piorno-de-jardim, Planta-coral.];[SPANISH: Areta de la cocinera, Coralillo, Lágrimas de amor, Lágrimas de Júpiter,Lagrima de Cupido, Lluvia de coral, Lluvia de fuego, Planta coral.];[THAI: Pra-tat taek, Pra-tat farang, Pra-tat lek, Pra-tat chin.];[TONGA: Toa.];[VIETNAM: Hoa liễu tường.]. ชื่อวงศ์---PLANTAGINACEAE EPPO Code---RUSEQ (Preferred name: Russelia equisetiformis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-บราซิล, กัวเตมาลา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Russelia' เป็นเกียรติแก่นักธรรมชาติชาวสก๊อต อเล็กซานเดรัสเซล (1715-1768), มอบให้กับพืชและสัตว์โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์บารอนนิโคลัสฟอน Jacquin (1727-1817) ; ชื่อสปีชีส์ 'equisetiformis' ที่อ้างอิงถึงพืชชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับหางม้า และคำว่า 'equisetiformis' ในภาษาละตินแปลว่า "เหมือน Equisetum" Russelia equisetiformis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เทียนเกล็ดหอย (Plantaginaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Diederich Franz Leonhard von Schlechtendal (1794–1866) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และ Adelbert von Chamisso (1781–1838) เป็นกวีและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2374
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ในเม็กซิโกปัจจุบันมีการเพาะปลูกอย่างกว้างขวางทั่วเขตร้อนและพร้อมแปลงเป็นธรรมชาติ ในฟิจิ มีการปลูกและแปลงสัญชาติได้อย่างอิสระในที่โล่งและตามถนนและริมถนนใกล้ระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 3 เมตรลำต้นมีข้อปล้อง แตกกอและกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบมี 5 ถึง 8 ใบมักจะลดขนาดเป็นเกล็ดเชิงเส้น แต่บางครั้งรูปไข่ถึงรูปไข่ยาว 1-2.5 ซม.เรียงเป็นเส้นเล็กเรียว ปลายใบแหลมเป็นติ่ง สีเขียวสดใส กลีบเลี้ยงขนาดเล็กลึกเกือบถึงโคนรูปใบหอกถึงรูปไข่ย่อยไม่เท่ากัน ดอก ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกสีแดงสดเป็นท่อยาว 1.5-2.5 ซม. ผลทรงกลมแบบแคปซูลหรือทรงรีแบบกว้าง เมล็ดจำนวนมากเล็กเป็นรูปขอบขนาน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไร ชอบดินร่วนซุย ปนทราย ไม่ทนน้ำท่วมขัง ปลูกในที่ได้รับแสงแดดเต็มที่เต็มวันจะออกดอกดก นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ที่มีดอกสีขาวงาช้างหรือสีชมพู เหลือง ครีม ชมพู การออกดอกจะดีที่สุดในแสงแดดอย่างน้อยครึ่งวัน แม้ว่าพืชจะเติบโตได้ดีในที่ร่มลึกถึงแสงแดดจ้า
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะกับการจัดสวนหิน หรือสวนริมน้ำจะปลูกเป็นกอเดี่ยว หรือเป็นปลูกเป็นแนวก็ได้ สามารถเป็นไม้กระถางแขวน -ใช้เป็นยา ใช้ต้านการอักเสบ, ยาแก้ปวด, ยาต้านจุลชีพ, ยากันชัก, เบาหวาน, การรักษาเสถียรภาพของเมมเบรน, ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม, สารกดประสาทส่วนกลาง, ต่อต้านมาเลเรีย, ปกป้องตับ, ต้านพยาธิ -ใช้แบบดั้งเดิมในการรักษาอาการอักเสบและความเจ็บปวด -ในจีนใช้ส่วนเหนือพื้นดินต่อเนื่องกล้ามเนื้อและกระดูกส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตและขจัดภาวะเลือดหยุดนิ่ง แก้ฟกช้ำแผลถูกแทง กระดูกหักและเส้นเอ็น -ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของ ไนจีเรียใช้สำหรับโรคเบาหวานและมะเร็งเม็ดเลือดขาว -ในโคลอมเบียยาต้มจากพืชทั้งหมดใช้สำหรับนิ่วในไต -ในเม็กซิโก ทุกส่วนเกนือดินใช้สำหรับโรคเบาหวาน -อื่น ๆ สารสกัดจากใบและลำต้นใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง -เป็นพืชน้ำหวานที่ได้รับความนิยมมากสำหรับนกฮัมมิ่งเบิร์ดและผีเสื้อ ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มิถุนายนของปีต่อไป ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ
|
|
เอื้องทอง/Sanchezia speciosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sanchezia speciosa Leonard.(1926) ชื่อพ้อง ---This name is unresolved. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2477906 ชื่อสามัญ---Large-bract sanchezia, Shrubby whitevein, Zebra Plant, Yellow Sanchezia, Gold Vein Plantmala ชื่ออื่น---กนกลายไทย, ม้าลาย, เอื้องทอง ;[FRENCH: Sanchezie.];[PORTUGUESE: Sanquesia.];[SPANISH: Sanchesia, Cachimbo amarillo.];[THAI: Ka-nok lai thai, Maa lai, Aueng thong.];[USA: Shrubby whitevein.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---SNZSP (Preferred name: Sanchezia speciosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้: โคลอมเบีย อิควาดอร์ เปรู เขตร้อนทั่วไป, สหรัฐอเมริกา [ฮาวาย, เปอร์โตริโก], หมู่เกาะคุก เฟรนช์โปลินีเซีย, ฟิจิ นิวแคลิโดเนีย, จาไมกา นิรุกติศาสตร์----ชื่อสกุล Sanchezia เป็นชื่อที่ยกย่อง José Sanchez ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ที่กาดิซ , สเปน (1794) ; ชื่อสายพันธุ์ คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' speciosus, a , um '' = สวยงาม Sanchezia speciosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Emery Clarence Leonard (1892–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2469 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบชื้นของโคลอมเบีย[Putumayo]และเอกวาดอร์ มีการแปลงสัญชาติในป่าที่มีความสูงต่ำในอเมริกากลาง แคริบเบียนและหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก พบตามลำธาร ริมฝั่งแม่น้ำ ในขอบป่าและป่าทุติยภูมิที่ถูกรบกวน ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง อายุหลายปี โตช้า ต้นสูงประมาณ 0.5-2 เมตร ลำต้นและกิ่งรูปสี่เหลี่ยม ลำต้นสีม่วง สีเขียวหรือสีเหลือง ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีถึงรูปไข่ กว้าง4-8ซม. ยาว10-25ซม.ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจักฟันเลื่อย ใบสีเขียวมีแนวสีเหลืองตามเส้นใบ เส้นกลางใบและที่ยอดมีสีแดงเรื่อ ก้านใบอ้วนสั้น ยาว0.5-2 ซม. ช่อดอกเป็นช่อเชิงลดออกที่ปลายยอดยาว20-40ซม. ดอกเป็นหลอดสีส้มปลายบานเป็น5กลีบสั้นๆใบประดับสีแดงส้ม 2 ใบยาวไม่เกิน 4 ซม. โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 10ซม.ปลายแยก 5 แฉก ม้วนงอออกด้านนอก ผลเป็นแคปซูลรูปขอบขนานมีเมล็ดกลม 6-8 เมล็ด (เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในการเพาะปลูก) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ขึ้นง่ายเลี้ยงง่าย ชอบแสงแดดจัดในที่แจ้ง ถ้าอยู่ในร่มก็มีชีวิตอยู่ได้ แต่ลายสีเหลืองจะซีดจางลงจนกลายเป็นไม้ใบสีเขียวสม่ำเสมอ สังเกตุดูได้ตามใต้ร่มไม้ใหญ่ ชอบดินที่อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุเป็นกรดหรือเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี น้ำไม่เป็นด่าง ทนต่อสภาวะน้ำเค็มได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชสวนที่สำคัญและมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพุ่มไม้ริมถนนหรือปลูกเป็นรั้ว หรือแนวริมรั้ว มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในการค้าพืชสวนและเรือนเพาะชำ -ใช้เป็นยา สารสกัดจากใบและลำต้นได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นแหล่งที่มีศักยภาพของสารต่อต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ -ในประเทศไทยรากใช้รักษาอาการอ่อนแรงและเพิ่มความต้องการทางเพศ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่งหรือยอด
|
|
นีออน/Leucophyllum frutescens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Leucophyllum frutescens (Berland.) I.M. Johnst.(1924) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-29201024 ---Basionym: Terania frutescens Berland.(1832) ---Leucophyllum frutescens f. albiflorum Clover.(1937) ---Leucophyllum frutescens f. albineum Lundell.(1942) ---Leucophyllum texanum Benth.(1846) ชื่อสามัญ---Ash Plant, Barometer bush, Texas Ranger, Texas barometer bush, Texas rain sage, Cenizo, Texas silverleaf, Wild lilac, Purple sage ชื่ออื่น---นีออน; [FRENCH: Sauge du désert, Sauge du Texas.];[SPANISH: Cenicilla, Cenizo, Hierba del cenizo, Palo cenizo, Salvia de Texas.];[THAI: Nee-on.];[USA: Ceniza, Barometer-bush.]. ชื่อวงศ์---SCROPHULARIACEAE EPPO Code---LCPFR (Preferred name: Leucophyllum frutescens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ตะวันพกเฉียงใต้ของอเมริกาและตอนเหนือของเม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Leucophyllum' มาจากภาษากรีก 'leucos' = สีขาวและ 'phyllon' หมายถึงสีขาวอ้างอิงสำหรับใบไม้สีขาว ; ชื่อสายพันธุ์ 'frutescens' มาจากภาษาละตินหมายถึงไม้พุ่ม อ้างอิงถึงเหมือนไม้พุ่มตามรูปแบบของพืช Leucophyllum frutescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มณเฑียรทอง (Scrophulariaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Louis Berlandier (1803 – 1851) นักธรรมชาติวิทยา แพทย์ และนักมานุษยวิทยา ชาวฝรั่งเศส-เม็กซิกัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย I. M. (Ivan Murray) Johnston (1898–1960) เป็นนักพฤกษศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2467
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในรัฐเท็กซัสทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาและรัฐโกอาวีลา Nuevo Leónและตาเมาลีปัสทางตอนเหนือของเม็กซิโก เปิดตัวในอเมริกากลาง แคริบเบียน พบได้ในดินที่เป็น หินและเป็น ปูน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ความสูง 1-2 เมตร ทรงพุ่มกว้าง 1-2 เมตร ใบเดี่ยวมีขนอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุมเลยดูเหมือนใบเป็นสีเทา มักบิดห่อเล็กน้อย ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกรูประฆังหรือกรวยสีม่วงสดถึงม่วงแดง มี 5 กลีบและ 2 ปาก โคนกลีบดอกสีม่วงอ่อนปลายแยกเป็น 5 กลีบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ถ้าปลูกในร่มใบจะเป็นสีเขียวดูห่อเหี่ยว และออกดอกน้อยกว่าปลูกกลางแดดจัด ปลูกได้ง่ายในดินที่เป็นด่างถึงปานกลางและมีการระบายน้ำได้ดี ใส่หินปูนโดโลไมท์ในดินที่เป็นกรด พืชจะเจริญเติบโตในดินทรายที่มีความชื้นน้อยที่สุด การระบายน้ำที่ดีมากเป็นสิ่งสำคัญ ต้องหลีกเลี่ยงดินที่มีน้ำมากเกินไปหรือมีการระบายน้ำไม่ดี ในบริเวณที่มีฝนตกชุกควรปลูกในแปลงแบบยกสูง พืชชอบความชื้นต่ำ ทนต่อความแห้งแล้งและความร้อนได้ดีเยี่ยม อย่าใส่ปุ๋ยพืช เมื่อปลูกแล้วพืชต้องการ การบำรุงรักษาน้อยที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สวนทั่วไป ตัดแต่งกิ่งสม่ำเสมอพรวนดินใส่ปุ๋ยเป็นประจำ ต้นจะแข็งแรงให้ดอกดก ปลูกริมรั้วหรือปลูกเป็นแถว ก็ได้ มีให้เลือกหลายสายพันธุ์ได้แก่ 'Green Cloud', 'White Cloud', 'Compacta', 'Convent' และ 'Bert-Star' -อื่น ๆในโคลอมเบียใช้เป็นอาหารสัตว์ ระยะออกดอก---ตลอดปี และมักออกพร้อมกันทั้งต้น ดกมากในช่วงหน้าฝน ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่งและปักชำ
|
|
พัดโบก/Rotheca incisa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rotheca incisa (Klotzsch) Steane & Mabb.(1998) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Clerodendrum incisum Klotzsch ---Clerodendrum bernieri Briq.(1896) ---Clerodendrum macrosiphon Hook.f.(1883) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-179959 ชื่อสามัญ---Do-Re-Mi Plant, Musical Note , Musical Notes Clerodendrum, Morning Kiss, Witches Tongue. ชื่ออื่น---พัดโบก; [JAPANESE: Roteka inkisa.];[MALAYSIA: Lampin Budak, Mata Kesang, Mata Kesing, Pepanggil Liar, Tambun Tasik, Timba Tasik, Tinjal Tasik (Malay).];[THAI: Pat-Bok.]. ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE) EPPO Code---RCTSS (Preferred name: Rotheca sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---โซมาเลีย เคนยา แทนซาเนีย โมซัมบิก ซิมบับเว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Rotheca'เป็นรูปแบบละตินของคำมาลายาลัม ='small teak';ชื่อสายพันธุ์'incisum'เป็นภาษาละติน = ‘cut’ Rotheca incisa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae หรือ Labiatae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Friedrich Klotzsch (1805–1860) เป็นเภสัชกรและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dorothy Anne Steane (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 1998) นักชีววิทยาโมเลกุลชาวออสเตรเลีย และ David John Mabberley (Born 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2541
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออก (เคนยา โมซัมบิก โซมาเลีย แทนซาเนีย ซิมบับเว) และปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อน พบตามป่าดิบชื้นและเนินทรายหนาทึบริมชายฝั่ง ที่ระดับความสูง 5-450 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ความ สูงประมาณ1-1.5 เมตร ทรงต้น แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามรูปรีแกมขอบขนาน ขนาดใบ 1.7-15.5 (20) x 1.2-7.5 (6.8) ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบหยักฟันเลื่อยห่าง บางใบมีขอบเรียบทั้งใบ แผ่นใบสีเขียวอ่อน ช่อดอกออกเป็นช่อกระจะที่ปลายกิ่ง 5-18 ดอก ดอกสีขาวก้านดอกยาว 2.5–8 มม.เป็นหลอดออกไปด้านนอกทำให้มีรูปร่างเหมือนโน้ตดนตรี เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีเกสรสีม่วงเป็นเส้นยื่นออกมา ดอกร่วงเร็วมีกลิ่นอ่อนๆ ผลกลมขนาดกว้าง 7 มม.ยาว 9 มม.มี 3-4 แฉกไม่มีขน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดเต็มวันหรือครึ่งวัน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง ดูแลรักษาง่าย หมั่นตัดแต่งอยู่เสมอจะให้ดอกดก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ในสวนและภูมิทัศน์ เหมาะปลูกเป็นแปลงริมลำธาร ปลูกประดับตามแนวรั้ว ปลูกเป็นไม้กระถาง ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
เทียนทอง/Duranta erecta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Duranta erecta L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 51 Synonyms. ---Duranta repens L.(1753) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-65221 ชื่อสามัญ---Duranta, Golden dewdrop , Sky flower , Pigeon berry, Japan Camillia, Creeping skin flower. ชื่ออื่น---เทียนหยด, เทียนทอง, พวงม่วง, เทียนพระยาอินทร์;[AFRIKAANS: Vergeet-my-nie-boom.];[ASSAMESE: Duronta-kanta, Jeora-goch.];[CHINESE: Jia lian qiao.];[DUTCH: Stoute jongens.];[FRENCH: Durante dressée, Durante, Vanillier de Cayenne, Vanillier marron.];[GERMAN: Durante, Taubenbeere.];[INDIA: Kata mehedi.];[INDONESIA: Sinyo nakal.];[ITALIAN: Duranta.];[JAPANESE: Deyuranta, Harimatsuso, Sinyo nakal, Taiwan-rengiyô.];[KANNADA: Neelakantha.];[MARATHI: Piwalimendi, Piwali Mendi.];[MEXICO: Pojkol che, Xcambocoché.];[PHILIPPINES: Dueanta.];[PORTUGUESE: Duranta, Flor-do-ceu, Fruta-de-jacú, Gotas-de-orvalho, Pingo-de-ouro, Violeteira.];[SPANISH: Cuentas de oro, Duranta, Espina de paloma, Flor celeste, Fruta de iguana, San Jacinto, Tala blanco.];[SWEDISH: Duvbär.];[THAI: Thiean yod, Thiean thong, Phoung moung, Thiean phraya in.];[UGANDA: Ekikomamahanga, Kawololo, Langwila.];[VIETNAM: Thanh quan.]. ชื่อวงศ์---VERBENACEAE EPPO Code---DUTPL (Preferred name: Duranta erecta.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก,อเมริกาใต้,แคริบเบียน เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Duranta' ได้รับการตั้งชื่อตาม Castore Durante นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในศตวรรษที่16 ; ชื่อสายพันธุ์ '' erecta '' มาจากภาษาละติน 'erectus' = "ตรง" ; ชื่อสามัญคือ Golden dewdrop มาจากลักษณะของผลไม้สีทองที่ห้อยลงจากต้น Duranta erecta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาตั้งแต่เม็กซิโกและแคริบเบียนทางใต้ไปจนถึงบราซิลและอาร์เจนตินา ยังมีถิ่นกำเนิดในรัฐแอริโซนา แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา ลุยเซียนาและเท็กซัสในสหรัฐอเมริกา มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก มีการแพร่กระจายในประเทศออสเตรเลีย เอเซีย, จีน, แอฟริกาใต้และหลายต่อหลายแห่งในหมู่เกาะแปซิฟิก พืชนี้ได้รับการระบุว่าเป็นวัชพืชสิ่งแวดล้อมในประเทศออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, และจีนและอธิบายว่าเป็นรุกรานในฮาวาย, ฟิจิและFrench Polynesia ในธรรมชาติ พบได้ทั่วไปตามข้างถนนและในพุ่มไม้ ที่ความสูงตั้งแต่ 150-1,650 เมตร ในกัวเตมาลาเติบโตในป่าทึบป่ารองพุ่มไม้ริมถนนที่ระดับความสูงตั้งแต่ 500 - 2,600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนมาก เปลือกสีน้ำตาลอ่อน สูงได้ถึง 3 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่ กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบหยัก แผ่นใบสีเขียวอ่อนอมเหลืองถึงสีเหลืองเข้ม ก้านใบประมาณ 1 ซม. มีขน ดอกออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 15 ซม.ดอกมีสีม่วงอ่อน, สีขาวโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลสดรูปกลม ขนาด 0.5-0.8 ซม.สีเหลืองส้มมันเงา มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงรำไร เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ลักษณะใบสีเหลืองทองและดอกสีม่วงอ่อนเด่นสะดุดตา ทำให้เป็นที่ชื่นชอบนำมาใช้จัดสวนเป็นเวลานานแสนนานไม่มีทีท่าจะเอ้าท์ง่ายๆ นิยมปลูกเป็นกลุ่ม ปลูกเป็นแถว ปลูกเป็นแนวรั้วเป็นไม้จัดสวนที่สามารถตัดแต่งเป็นรูปทรงที่ต้องการได้ มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก ได้แก่ 'Alba', 'Aurea', 'Aussie Gold', 'Gold Mound', 'Geisha Girl' พันธุ์สีม่วงสด, 'Sapphire Showers' และ 'Variegata' -ใช้เป็นยา มีการใช้เป็นยาในประเทศจีน ต้นใช้ในการรักษาไข้ แก้ผิวหนังคัน -อื่น ๆ พืชใช้เป็นสารไล่แมลง รู้จักอันตราย---หากกินผลไม้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารอาเจียนและท้องร่วง ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง (เมล็ดควรหว่านทันทีเมื่อสุกคาดว่าจะมีอัตราการงอกน้อยกว่า 20% โดยเมล็ดจะงอกภายใน 90 - 110 วัน)
|
|
หลิวไต้หวัน/Cuphea hyssopifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cuphea hyssopifolia Kunth.(1824) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. ---Parsonsia hyssopifolia (Kunth) Standl.(1924) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2748114 ชื่อสามัญ---Elfin Herb, False Heater, Mexican heather, Hawaiian heather. ชื่ออื่น---หลิวไต้หวัน; [BRAZIL: Cuféia.];[CUBA: Cufia.];[CZECH: Trvalka japonska myrta.];[FRENCH: Corail.];[GERMAN: Falsches Heidekraut, Ysopblättriges Köcherblümchen.];[PORTUGUESE: Falsa-Erica.];[SAMOA: āoa.];[SPANISH: Cufia, Romerito, Yerba de la dicha, Yerba de la suerte.];[SWEDISH: Isopskufea.];[THAI: Lew tai wan.]. ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE EPPO Code---CPHHY (Preferred name: Cuphea hyssopifolia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก กัวเตมาลา ฮอนดูรัส อินโดจีน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา แคริบเบียน อเมริกาใต้ นิวซีแลนด์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cuphea' มาจากคำภาษากรีก 'kyphos' หมายถึงโค้งหรือค่อมในการอ้างอิงถึงรูปร่างของแคปซูลเมล็ด ; ชื่อสายพันธุ์ 'hyssopifolia' มาจากคำภาษาละตินหมายถึง "hyssop-leaved" อ้างอิงถึงใบไม้ทึ่คล้ายคลึงใบhyssop Cuphea hyssopifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของเม็กซิโก อเมริกากลาง (กัวเตมาลาและฮอนดูรัส) แนะนำในอินโดจีน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) แคริบเบียน อเมริกาใต้ (โคลอมเบีย เวเนซุเอลา โบลิเวีย) นิวซีแลนด์ เติบโตตามขอบของลำห้วยและแม่น้ำในป่าชื้นและในบริเวณพื้นที่ที่ถูกรบกวน จากระดับน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กอายุหลายปี ต้นสูงประมาณ 30-80 ซม. ลำต้นสีน้ำตาล รูปทรงแผ่เตี้ยแตกกิ่งเป็นพุ่ม มีขนตามกิ่ง กิ่งย่อยจะแตกออกจากกิ่งหลักสองข้างและ แผ่ออกตรงข้ามกันใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีถึงรูปใบหอก ประมาณขนาดกว้าง 0.3 ซม.ยาว 1ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ใบสีเขียวเข้ม เป็นมันดอกเดี่ยวออกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวเชื่อมติดกัน กลีบดอกเป็นหลอด กลีบดอกมีจำนวน 5 กลีบ มีสีม่วงสด ม่วงอมชมพู เหลือง ชมพูหรือขาว ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 1 ซม.ผลแคปซูลรูปไข่ยาว 3.5 มม.มีเมล็ด 5-8 เมล็ด สีน้ำตาลแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดโดยตรงแต่ไม่ตลอดทั้งวันอย่างน้อยสามหรือสี่ชั่วโมงในแต่ละวันการได้รับแสงแดดโดยตรงมากเกินไปอาจทำให้ใบของพืชชนิดนี้ซีดกว่าปกติ เจริญเติบโต ได้รวดเร็ว ขึ้นได้ดี ในดินร่วนปนทรายดินต้องมีการระบายน้ำได้ดีและชื้น โรครากเน่าเป็นปัญหาใหญ่โดยทั่วไปเกิดจากการรดน้ำมากเกินไปหรือดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี ใช้ประโยชน์---ปลูกและขายเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย -ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ปลูกเป็นไม้คลุมดินใช้จัดสวนกันมากเพราะปลูกง่าย สวยงามทนทาน เมื่อตัดแต่งจะแตกยอดใหม่เร็ว ออกดอกทุกกิ่งก้าน -ใช้เป็นยา มีการใช้เป็นยาในเม็กซิโก ( Morales-Serna et al. 2011 ) และในบังกลาเทศ ( Rahmatullah et al., 2010 ) -อื่น ๆ ดอกไม้เป็นแหล่งสำหรับผึ้งและแมลงผสมเกสรอื่น ๆ ได้รับรางวัล---Garden Merit Award จาก Royal Horticultural Society. (2013) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ แยกต้น
|
|
หลิวใบ/Phyllanthus myrtifolius
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phyllanthus myrtifolius (Wight) Muell.Arg.(1866) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-154419 ---Basionym: Macraea myrtifolia Wight.(1852) ---Diasperus myrtifolius (Wight) Kuntze.(1891) ---Phyllanthus myrtifolius Moon ex Hook. f.(1887) ชื่อสามัญ---Mousetail plant, Myrtele-leaf, Leaf-flower, Ceylon phyllanthus, Indian phyllanthus. ชื่ออื่น---หลิวใบ, หลิวเลื้อย, หลิวญี่ปุ่น; [CHINESE: Liu xian ye xia zhu.];[SINHALESE: Ganga werella, Walas Andiriya, Andara.];[TAIWAN: Xī lán yè xià zhū.];[THAI: Lew bai.]. ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE EPPO Code---PYLMY (Preferred name: Phyllanthus myrtifolius.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียและอเมริกาเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Phyllanthus' หมายถึง การออกดอกจากขอบของไฟลโลดคล้ายใบ ; ชื่อสปีชีส์ 'myrtifolius' หมายถึง ใบไมร์เทิล Phyllanthus myrtifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Wight (1796–1872)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2409
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา แพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียและอเมริกาเขตร้อน ปลูกเพื่อการแพทย์ใน กวางตุ้ง ไหหลำ (ไหโข่ว ว่านหนิง) ไต้หวัน (ไท่เป่ย) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอายุหลายปี แผ่กิ่งก้านราบไปกับพื้น สูงถึง 30-50 ซม. ลำต้นและก้านใบสีแดง ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปแถบหรือรี ขนาดใบกว้าง 0.5 -1ซม. ยาว 2 – 3 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบบาง ช่อดอกหลายช่อรวมกันเป็นกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกเป็นจุดกลมเล็กสีแดง กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนกลีบเลี้ยงและโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดหุ้มดอก ปลายแยกเป็น 5 แฉกดอกบานเต็มที่ กว้างประมาณ 0.5 ซม.ผลแคปซูลสีแดงอมม่วงถึงเขียวขนาดเล็กมี 3 แฉก เมื่อแก่จะแตกได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มักนำมาใช้ในการจัด สวนหิน สวนญี่ปุ่น สวนน้ำ ริมน้ำแต่ต้องคอยตัดแต่งให้แตกยอดใหม่อย่างสม่ำเสมอ ปล่อยทิ้งไว้นานจะดูฟูเหมือนรก นอกจากนี้ยังเป็นวัสดุที่ดีเยี่ยมสำหรับทำ shohin หรือบอนไซในร่มขนาดเล็ก -ใช้เป็นยา ในประเทศจีนและไต้หวันมีการใช้เป็นยา ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม -สิงหาคม/สิงหาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
แพรเซี่ยงไฮ้/Portulaca grandiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Portulaca grandiflora Hook.(1829) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms ---Portulaca hilaireana G. Don.(1834) ---Portulaca immersostellulata Poelln.(1933) ---Portulaca mendocinensis Gillies ex Hook.(1833) ---Portulaca multistaminata Poelln.(1942) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2573991 ชื่อสามัญ---Sun-Plant, Rose moss, Eleven o'clock, Mexican rose, Moss rose, Vietnam Rose, Sun rose, Rock rose, Moss-rose purslane. ชื่ออื่น---แพรเซี่ยงไฮ้ (ทั่วไป); ดอกผักเบี้ย, แดงสวรรค์, ผักเบี้ยฝรั่ง (กรุงเพพฯ);[ALBANIAN: Burdullak.];[CHINESE: Wǔshí huā, Tàiyáng huā, Jīn sī dùjuān, Lóng xū mǔdān, Sōng yè mǔdān.];[CZECH: Srucha velkokvětá.];[FRENCH: Chevalier-de-onze-heures, Pourpier fleuri, Pourpier à grandes fleurs.];[GERMAN: Großblütiger Portulak, Portulakröschen, Röschenportulak, Zierportulak.];[HUNGARIAN: Kossuth-Csillag, Nagyvirágú porcsin.];[ITALIAN: Porcellana grandiflora.];[JAPANESE: Hideri-sô, Matsuba botan, Tsumekiri-sô.];[KOREAN: Chae song hwa.];[NEPALI: Dashabaje phool.];[PORTUGUESE: Beldroega-de-flores-grandes, Onze-horas.];[SPANISH: Verdolaga de flor.];[SWEDISH: Praktportlak.];[THAI: Phrae Siang hai.];[TURKISH: Kedi tırnağı.];[VIETNAMESE: Hoa mười giờ, Rau sam hoa lớn.]. ชื่อวงศ์---PORTULACACEAE EPPO Code---PORGR (Preferred name: Portulaca grandiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้: อาร์เจนติน่า, บราซิลตอนใต้, อุรุกวัย; ยุโรป; เอเชียกลาง; เอเชียตะวันตก; อนุทวีปอินเดีย; อินโดจีน; แอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Portulaca' เป็นชื่อที่ชาวโรมันมอบให้กับ purslane; มันมาจาก 'portare' = การพกพาและ 'lac' = นมหมายถึงน้ำนม Portulaca grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักเบี้ย Portulacaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir William Jackson Hooker (1785-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ Royal Botanic Gardens (Kew Gardens) ในปี พ.ศ.2372
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอาร์เจนตินาทางตอนใต้ของบราซิลและอุรุกวัย แพร่กระจายอยู่ในเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก แนะนำในหลายประเทศในยุโรป คอเคซัส เอเชียกลาง (อุซเบกิสถาน) เอเชียตะวันตก (ปากีสถาน) อินเดีย บังคลาเทศ ศรีลังกา อินโดจีน (เวียดนาม) มาเลเซีย (ชวา) Guinée to Tchad และ Zaïre แทนซาเนีย แอฟริกาใต้ตอนเหนือ แคนาดา (ออนแทรีโอ), สหรัฐอเมริกา (ตลอดยกเว้นตะวันตกเฉียงเหนือ), เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้ (เอกวาดอร์, เปรู) ลักษณะ เป็นพืชคลุมดินขนาดเล็ก ทอดลำต้นแผ่คลุมไปตามพื้นดิน อยู่ได้นานหลายปี สูงได้ถึง 10- 30 ซม แต่มักจะน้อยกว่า ลำต้น ใบ กลมและอวบน้ำแต่เปราะหักง่าย ใบมีขนาดยาวประมาณ 12–35 มม. และกว้างประมาณ 1–4 มม. มีใบย่อยเชิงเส้นเนื้อหนาและเรียงสลับดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายก้าน มีทั้งดอกลามี 5 กลีบ มีสี แดง ส้ม ชมพู ขาว และเหลือง และดอกซ้อน ดอกสีชมพูจัด สว่างสดใส กลีบดอกซ้อนกันคล้ายเยื่อแพรบางๆ ดอกไม้มีขนาดใหญ่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 4 ซม. ดอกไม้จะบานในตอนเช้าและหุบตอนใกล้เที่ยงใช้ได้เพียงวันเดียว ผลเป็นแคปซูลเกือบเป็นวงรีและมีฝาปิดแตก เมล็ดมีขนาดเล็ก จำนวนมาก รูปไตกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 มม. มีสีเทาตะกั่ว เทาน้ำตาลหรือเทาดำ แวววาวเป็นประกายมุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้กลางแจ้งที่ดอกดกและออกดอกตลอดขึ้นง่ายในดินทุกชนิด ขนาดพื้นทรายชายทะเล แพรเซี่ยงไฮ้ก็สามารถปลูกให้งามได้ตามปกติ ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชก็เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เมล็ดและใบที่กินได้ซึ่งบริโภคในท้องถิ่น มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในเขตร้อนถึงเขตอบอุ่น -ใช้กิน ใบ-ดิบหรือสุก, เมล็ด-ดิบหรือสุก สามารถบดเป็นผงและใช้ในซุป ฯลฯ หรือจะเติมลงในซีเรียลก็ได้ -ใช้เป็นยา ใช้ในการรักษาโรคตับอักเสบ ตับแข็ง ตับที่มีน้ำในช่องท้องบวมและปวดในคอหอย -น้ำใบและลำต้นสดใช้ทาภายนอกเป็นโลชั่นกันงูและแมลงสัตว์กัดต่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกและกลาก -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้คลุมดินดอกมีสีสันสวยงาม ตามทางเท้าริมถนน นำมาใช้จัดในสวนกรวดสวนหิน สวนหย่อมได้ถูกใจ ปัจจุบันผสมแพรเซี่ยงไฮ้ให้ดอกมีหลายสี มี สีแดง สีส้ม สีขาว สีเหลือง ดอกเล็ก ดอกใหญ่ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
คุณนายตื่นสาย/Portulaca oleracea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Portulaca oleracea L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Portulaca hortensis Rupr.(1854) ---Portulaca officinarum Crantz.(1766) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:323270-2 ชื่อสามัญ---Purslane, Pussley, Common purslane, Verdolaga, Pigweed, Portulaca, Little hogweed, Red root. ชื่ออื่น---ผักตาโค้ง (นครราชสีมา); ผักเบี้ยดอกเหลือง (กลาง); ผักเบี้ยใหญ่ (กลาง); ผักอีหลู (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน); [ALBANIA: Burdullaku.];[ARABIC: Rejla, Tazellust.];[BENGALI: Boro-nunya.];[CHINESE: Mǎ chǐ cài, Wǔháng cǎo, Suān xiàn, Zhū mǔ cài, Dì mǎ cài, Mǎ shé zǐ cài, Zhǎngshòu cài, Lǎoshǔ ěr.];[CZECH: Srucha zelná.];[DUTCH: Wilde postelein.];[FRENCH: Rikkaportulakka, Porcelaine, Porcelane, Porchailles, Pourpier, Pourpier commun, Pourpier maraîcher, Pourpier potager.];[GERMAN: Gelber Portulak, Portulak.];[HINDI: Kulapha, Khursa, Kulfa, Lunia.];[INDONESIA: Gelang pasir, Kremi (Java), Jalu-jalu bobudo.];[ITALIAN: Erba porcellana, Porcellana comune.];[JAPANESE: Hana-suberi-hiyu, Pôchuraka, Suberi-hiyu.];[KANNADA: Dodda goni soppu.];[KOREA: Soe bi reum.];[LITHUANIA: Paprastoji portulaka.];[MALAYALAM: Koluppa.];[MALAYSIA: Akulikuli-kula (Malay).];[MYANMAR: Myet-htauk, Myay-byit.];[PORTUGUESE: Baldroaga, Beldroega, Beldroega-comum, Bredo-fémea.];[SANSKRIT: Loni, Lonika.];[SPANISH: Beldroaga, Berdolaga, Fique, Loraca, Verdolaga, Verdolaga común, Verdolaga porquera.];[SWEDISH: Portlak, Vanlig portulak, Vildportlak.];[TAMIL: Koli-k-kirai.];[TELUGU: Boddupavilikoora, Boddupavilikura.];[THAI: Khun nai tuen sai, Phak ta khong.].[TURKISH: Semizotu.]. ชื่อวงศ์---PORTULACACEAE EPPO Code---POROL (Preferred name: Portulaca oleracea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเหนือถึงตะวันออกกลางและอนุทวีปอินเดียถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Portulaca' เป็นชื่อที่ชาวโรมันมอบให้กับ purslane; มันมาจาก 'portare' = การพกพาและ 'lac' = นมหมายถึงน้ำนม ; ชื่อสายพันธุ์ 'oleracea' มาจากภาษา ละตินและเป็นรูปแบบหนึ่งของ holeraceus (oleraceus) หมายถึง "ผัก / สมุนไพร" Portulaca oleracea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักเบี้ย Portulacaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 ชนิดย่อย (Subspecies);- ---Portulaca oleracea subsp. granatus L. ---Portulaca oleracea subsp. oleracea ความหลากหลาย (Varieties);- ---Portulaca oleracea var. macrantha Speg., 1901 ---Portulaca oleracea var. micrantha Speg., 1901
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางโดยขยายจากแอฟริกาเหนือผ่านตะวันออกกลางและอนุทวีปอินเดียไปยัง Malesia และ Australasia ปัจจุบันมีการโอนสัญชาติไปทั่วโลกทั้งในสภาพอากาศหนาวเย็นและร้อน พบเติบโตจากที่ราบลุ่มไปจนถึงระดับความสูง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกที่มีรากแก้วหนาโดยมีรากทุติยภูมิที่เป็นเส้นใย ลำต้นทอดเลื้อยไปตามผิวดินและสูงได้ถึง 25 ซม. ลำต้นมีกลมหนาอวบน้ำและมีสีตั้งแต่สีเขียวอ่อนจนถึงสีน้ำตาลแดง ใบซึ่งอาจเรียงสลับกันหรือตรงกันข้ามเป็นกระจุกที่ข้อต่อและปลายลำต้น ใบรีรูปมนหรือรูปไข่กว้างประมาณ 0.2-0.3 ซม. ยาวประมาณ 2. ซม. สีเขียวปนแดงเรื่อ ดอกมีลักษณะ 2 แบบ คือ ดอกชั้นเดียว และดอกซ้อน ดอกมีหลายสี กลีบบอบบาง ดอกบานเพียงไม่กี่ชั่วโมงในตอนเช้าที่มีแดดจัดระหว่าง 8.00 - 11.00 น. และจะเหี่ยวเฉาในช่วงบ่าย ผลเป็นฝักเล็ก ๆผลแห้งแตก มีเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัด ดินร่วนปนทราย น้ำปานกลาง พันธุ์ดอกซ้อนจะมีกลีบเล็กฟูอยู่ตรงกลางดอก แต่ไม่ค่อยเด่น สู้ต้นดอกชั้นเดียวไม่ได้ ถ้าได้รับแสงแดดจัดตลอดวันจะมีพุ่มแน่นและดอกดก คุณนายตื่นสายเป็นไม้พวกปอร์ตูลากาเหมือนแพรเซี่ยงไฮ้ แต่ความทนจะสู้แพรเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ เป็นไม้ที่มีอายุหลายปีก็จริง แต่ถ้าปลูกไปนานๆต้นจะเลื้อยยาวไม่เป็นพุ่ม ต้องตัดแต่งใหม่หรือเด็ดยอดไปชำใหม่ อาการนี้เป็นในที่ที่มีแสงแดดน้อยด้วย ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียและเม็กซิโก ใช้ใบเป็นผักใบได้ ใบมีรสเปรี้ยวและเค็มเล็กน้อย ใบ ลำต้นและตาดอกเป็นอาหารที่กินได้ทั้งหมด อาจกินเป็นส่วนผสมของสลัดหรือผัดหรือปรุงเหมือนผักโขมก็ได้และเนื่องจากใบเป็นเมือกจึงสามารถใช้ในซุปและสตูว์ได้ ในกรีซใบและลำต้นผัดกับเฟต้า ชีส มะเขือเทศ หัวหอม กระเทียม ออริกาโนและน้ำมันมะกอก เมล็ดสีดำเล็ก ๆ มีโปรตีนสูงถึง 20% และไขมัน 16% เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งของคนพื้นเมืองในออสเตรเลียตอนกลาง เมล็ดถูกแปรรูปโดยการทุบด้วยหินจนเป็นแป้ง แป้งที่ได้จะถูกทำให้เป็นแดมเปอร์ -ใช้เป็นยา ถูกใช้เป็นพืชสมุนไพรมานานหลายศตวรรษ ส่วนที่ใช้ ทุกส่วนของ purslane เริ่มจากลำต้นรากและใบ ทั้งสดหรือแห้ง ในทางการแพทย์แผนจีนเรียกว่า Ma Chi Xian (ดอกบานไม่รู้โรย) พืชมีกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามิน A, B, C และ E ในปริมาณสูงโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมและลิเธียมซึ่งเป็นยากล่อมประสาทตามธรรมชาติ -ใบใช้ในการรักษาโรคไต ยังเป็นยาระบายและย่อยอาหาร -ใช้ภายนอกใบบดหรือน้ำของพืชจะถูกนำไปใช้โดยตรงกับผิวหนังเพื่อรักษาแผลไฟไหม้ แมลงกัดต่อย แผลและสิว -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ดอกประดับคลุมดินในแปลงจัดสวนหรือปลูกในกระถาง -อื่น ๆ พืชนี้ยังใช้เป็นอาหารสัตว์ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์และสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในไข่ไก่ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
โคลงเคลงเลื้อย/Dissotis rotundifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Heterotis rotundifolia (Sm.) Jacq.-Fél. (1981) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Basiónimo: Osbeckia rotundifolia Sm. (1813) ---Dissotis plumosa (D. Don) Hook. f. (1871) ---Dissotis rotundifolia (Sm.) Triana. (1871) ---Melastoma plumosum D. Don. (1823) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-20303136 ชื่อสามัญ---Spanish Shawl, Trailing Glory Flower, Pinklady, Trailing dissotis. ชื่ออื่น---โคลงเคลงเลื้อย; [AUSTRALIA: Trailing tibouchina.];[GERMAN: Felsenrose.];[PALAU: Meseki.];[PORTUGUESE: Quares- minha rasteira.];[SPANISH: Flor princesa, Manta española, Mantilla española, Mantón español.];[THAI: Klong kleng luey.]. ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE EPPO Code---HROSS (Preferred name: Heterotis sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์--- เขตร้อนของทวีปแอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อวงศ์ 'Melastomataceae' มาจากคำภาษากรีก ' mela ' หมายถึงสีดำและstoma = ปาก อ้างอิงถึงปาก , การกินผลเบอร์รี่สีน้ำเงินอมม่วงที่กินได้และจะทำให้ปากเป็นสีดำ; ชื่อสกุล 'Heterotis' มาจากภาษากรีก "héteros" = ต่างกัน โดยอ้างอิงถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เท่ากัน; ชื่อสายพันธุ์ 'rotundifolia' คือการรวมกันของคำภาษาละติน "rotundus" = กลม และ "folium" = ใบไม้ Heterotis rotundifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 -1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henri Jacques-Félix (1907–2008) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2524 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อนตั้งแต่เซียร์ราลีโอนไปจนถึงแองโกลารวมถึงคองโก ซิมบับเวและโมซัมบิก เติบโตในที่ชื้นหรือชื้นในป่า (ใต้ร่มเงาไม้) และตามลำธาร ริมถนน พื้นที่ที่ถูกรบกวนและบางครั้งก็อยู่บนโขดหินหรือเลื้อยไปตามก้อนหินในป่าเปิด ( Prota4U, 2013 ) ในเขตเมืองปลูกในสวนเป็นไม้ประดับและไม้คลุมดิน จากระดับน้ำทะเลสูงถึง 1,400 เมตร มีศักยภาพในการเติบโตเป็นผืนหนาแน่นซึ่งแทนที่พืชพันธุ์พื้นเมืองและเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของพันธุ์พื้นเมืองในป่าชั้นล่างรวมทั้งในพื้นที่โล่งริมถนนและพื้นที่ที่ถูกรบกวน รวมอยู่ใน Global Compendium of Weeds ( Randall, 2012 ) และระบุว่าเป็นพืชรุกรานในเปอร์โตริโกและเกาะต่างๆ ในแปซิฟิก รวมทั้งฮาวาย เฟรนช์โปลินีเซีย ซามัว ปาเลา และไมโครนีเซีย ( PIER, 2013). ในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และไนจีเรีย จัดเป็นวัชพืชในพื้นที่ธรรมชาติและสวน ( Melifonwu and Orkwor, 1990 ; Chong et al., 2009 ; Csurhes, 2011 ) ลักษณะ เป็นไม้คลุมดินอายุหลายปี ลำต้นกิ่งก้านสีม่วงแดงอวบน้ำมีขน รากแตกออกตามข้อ เจริญไปตามผิวดินได้ไกล1-2 เมตร ใบเดี่ยวออกแบบเรียงสลับตรงข้ามกันที่ปลายกิ่ง ยาว 1.5-7 ซม.กว้าง 0.8-4 ซม. แผ่นใบค่อนข้างหนาสีเขียวเข้มรูปไข่ โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีขนสั้นๆ สีขาวปกคลุมอยู่ทั่ว ก้านใบ ยาว -2.5 ซม.ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บริเวณซอกใบที่ปลายยอด กลีบดอกสีม่วงสด หรือม่วงอมชมพู ผลรูปทรงรียาวประมาณ 1 ซม.และกว้าง 0.9 ซม.เมล็ดยาว 1 มม.มีขนคล้ายหนามปกคลุม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มวันหรือครึ่งวัน ชอบดินร่วนเป็นกรดอ่อนๆ ชอบดินที่มี pH ตั้งแต่ 6 (เป็นกรดเล็กน้อย) ถึง 7.5 (เป็นกลาง) ระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับและเป็นพืชคลุมดิน -ในสิงคโปร์และคอสตาริกามักมีการใช้เป็นพืชคลุมดินเพื่อรักษาเสถียรภาพของดิน -ใช้เป็นยา ในแอฟริกามีการใช้ยาแผนโบราณเพื่อรักษาโรคเช่นโรคไขข้อและโรคท้องร่วง ( Prota4U, 2013 ) -การทดสอบทางคลินิกโดยใช้ H. rotundifolia แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบและลำต้นมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ ( Abere, 2010 ) ภัยคุกคาม---เนื่องจากพืชเป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายโดยไม่มีภัยคุกคามที่สำคัญ ถูกประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red Listประเภท 'มีความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำกิ่ง
|
|
หีบไม้งาม/Boxwood Beauty
ชื่อวิทยาศาสตร์---Carissa macrocarpa (Eckl.) A.DC. (1844) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Basionym: Arduina macrocarpa Eckl. (1830) ---Carissa grandiflora (E.Mey.) A.DC.(1844) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-34192 ชื่อสามัญ---Boxwood Beauty, Natal Plum ชื่ออื่น---จีบไม้งาม; [AFRIKAANS: Grootnoem-noem; Noem-Noem (fruit).];[CHINESE: Kǎ lì sā, Dà huā kǎ lí, Dà huā jiǎ hǔ cì, Jù huā jiǎ hǔ cì, Měiguó yīngtáo.];[FRENCH: Prunier du Natal.];[GERMAN: Natal-Pflaumenbaum.];[HINDI: Karonda.];[PORTUGUESE: Cerejeira-de-natal.];[SPANISH: Amatungula, Cereza de Natal.];[SOUTH AFRICA: Large num-num.];[THAI: Heep mai ngam, Cheep mai ngam.];[UGANDA: Amatungulu (Bantu).];[ZAMBIA: Big num-num, Large num-num.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---CISMA (Preferred name: Carissa macrocarpa) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---คองโก เคนยา โมซัมบิก แอฟริกาใต้ แซมเบีย ซิมบับเว จีน สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน Carissa macrocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Friedrich Ecklon (1795–1868) นักสะสมและเภสัชกรชาวเดนมาร์ก ที่รู้จักกันดีในฐานะนักสะสมและนักวิจัยพืชพันธุ์ในแอฟริกาใต้ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Alphonse Louis Pierre Pyrame de Candolle (1806-1893) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสลูกชายของ Augustin de Pyrame Candolle (1778–1841) ในปีพ.ศ.2387 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ แผ่ขยายไปตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ฮิวแมนสดอร์ปไปจนถึงอ่าวโคซี และขยายไปถึงโมซัมบิกไปจนถึงอันโกเช พบใน คองโก เคนยา โมซัมบิก แอฟริกาใต้ แซมเบีย ซิมบับเว ตามแนวป่าชายเลน พุ่มไม้ริมชายฝั่ง และป่าทึบ ที่ระดับความสูง 700-1,500 เมตร และได้รับการเพาะปลูกในดินแดนในแถบTransvaal.พืชชนิดนี้ยังเติบโตได้ทั่วไปใน จีน สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา ) เม็กซิโก อเมริกากลางและแคริบเบียน ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม รอเลื้อย ขนาดเล็ก สูง 0.30-0.50 เมตร แต่ถ้าอายุมาก แก่มากอาจสูงได้ถึง 2 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ลำต้นและกิ่งมีหนามออกตามข้อ หนามตรงส่วนปลายแยกเป็นสองแฉก ยาวได้ถึง3ซม. ใบเดี่ยวออกตรงข้าม รูปไข่เกือบกลมปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็งสีเขียวเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งช่อละ 1-3 ดอก ดอกบานเต็มที่ขนาด 2-3 ซม. ดอกสีขาวมีกลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน แต่จะหอมมากช่วงอุณหภูมิต่ำหรือแดดอ่อน ผลสดแบบมีเนื้อทรงกลมแป้นขนาด 2-4 ซม.มีสีเขียวและมีน้ำยางข้นเมื่อยังไม่สุก เมื่อมันสุกผิวที่เนียนนุ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง ภายใน1ผล มี 6-10 เมล็ด เมล็ดขนาดเล็กบางแบนสีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการตำแหน่งที่แสงแดดจัด ทนต่อการรับแสงที่แตกต่างกันเมื่อถูกแสงแดดจัดและร่มเงาค่อนข้างหนัก ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ทนทานต่อความแห้งแล้งในระดับปานกลางและสามารถทนไอเกลือและดินเค็มได้ อัตราการเจริญเติบโต ช้า ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้กินได้ มีวิตามินซีและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ผลสุกเต็มที่ใส่น้ำตาลทรายและฆ่าเชื้อในขวดโหล นำไปทำเป็นแยม ซิรัปหรือผักดองหวาน- เยลลี่ทำจากผลไม้ที่สุกเล็กน้อยหรือผลไม้ที่สุกและไม่สุกเพื่อเพิ่มสีสัน เมล็ดเหมาะสำหรับสลัดผลไม้เพิ่มเจลาตินและใช้เป็นท็อปปิ้งเค้กพุดดิ้งและไอศกรีม สามารถปรุงเป็นซอสหรือใช้ในพายและทาร์ต -ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นไม้พุ่มคลุมดินได้ มีความโดดเด่นที่ใบและลีลาต้นส่งผลทำให้เป็นที่นิยม ปลูกประดับสวนหิน ริมน้ำตก ลำธาร เป็นพืชตกแต่งสวนริมทะเลได้ พันธุ์ที่นิยม 'Boxwood Beauty' เป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้แคระหลายสายพันธุ์ของCarrisa macrocarpa (Natal Plum) ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามในสถานที่ต่างๆ โดยการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยต่อการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. (2018) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
|
ข้าวตอกพระร่วง/Serissa japonica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ligustrum sinense Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms. ---Ligustrum calleryanum Decne.(1879) ---Ligustrum chinense Carrière.(1868) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-353849 ชื่อสามัญ---Chinese Ligustrum, Chinese Privet, Hedge Privet, Small leaved Privet. ชื่ออื่น---ข้าวตอก, ข้าวตอกพระร่วง, เกร็ดแก้วต้น;[AFRIKAANS: Chinese liguster.];[ARGENTINA: Ligustrina.];[CHINESE: Xiao la.];[FRENCH: Troène de Chine.];[GERMAN: Liguster, Chinesischer.];[ITALIAN: Ligustro della China.];[PORTYGUESE: Ligustrinho, Ligustrio.];[SWEDISH: Kinesisk liguste.];[THAI: Khao tok, Khao tok phra rouang, Kret kaew ton.]. ชื่อวงศ์---OLEACEAE EPPO Code---LIGSI (Preferred name: Ligustrum sinense.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ligustrum' ถูกตั้งชื่อโดย Pliny and Virgil. หมายถึง 'สารยึดเกาะ' ; ชื่อสายพันธุ์ 'sinense' =หมายถึงถิ่นกำเนิดในจีน Ligustrum sinense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปีพ.ศ.2333 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในจีน ไต้หวันและเวียดนามนอกจากนี้ยังเป็นสัญชาติในแอฟริกาใต้หมู่เกาะ Mascarene ออสเตรเลียนิวซีแลนด์ หมู่เกาะแปซิฟิก Réunion หมู่เกาะอันดามัน ,เกาะนอร์โฟล์ค ,คอสตาริกา ,ฮอนดูรัส ,ปานามาและ ภาคตะวันออกและภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา (จากเท็กซัสและฟลอริด้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แคนซัส ,อิลลินอยส์ ,รัฐนิวเจอร์ซีย์ , แมสซาชูเซตและคอนเนตทิคัต ) ลักษณะ เป็นได้ทั้งไม้พุ่มเล็กและไม้คลุมดิน ต้นสูง ประมาณ 0. 60-2.00 เมตร เป็นไม้พุ่มทึบแตกกิ่งก้านสาขาได้มาก ลำต้นสีเทาถึงสีน้ำตาล ระบบรากตื้น ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่ถึงรูปขอบขนานแกมรูปรี ยาว 2-7 ซม.กว้าง 1-3 ซม.ปลายใบมน ก้านใบสั้น ใบเรียบหรือย่นเล็กน้อยสีเขียวอ่อน ชนิดที่เป็นพันธุ์ด่างจะมีขอบใบสีขาว กลางใบสีเขียว ท้องใบสีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 2–8 มม.ดอกมีสีขาวกลีบเลี้ยงมี 4 แฉก ยาว 3.5–5.5 มม.ผลรูปทรงรีถึงทรงกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5–8 มม.มีเมล็ด 1-4 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดเต็มวันถึงครึ่งวัน ชอบอากาศเย็น การดูแลเอาใจยากเล็กน้อย น้ำมากไปจะทิ้งใบ น้ำน้อยไปจะทิ้งใบ ร้อนจัดแดดแรงทั้งวันจะทิ้งใบหนาวเกินไปจะทิ้งใบ เป็นว่าถ้าทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติเมื่อไหร่ก็จะแตกใบใหม่ เห็นทิ้งใบแล้วดูแลทันทีก็จะไม่ตายง่ายแต่การเจริญเติบโต ช้า ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับเป็นไม้พุ่มหรือไม้คลุมดิน ปลูกเป็นแปลงหรือปลูกเป็นไม้กระถาง นอกจากนี้ยังถูกใช้เป็นต้นไม้ บอนไซยอดนิยม **การพูดคุยส่วนตัว ต้นนี้ในรูปเป็นพันธุ์ใบด่าง(Ligustrum sinense cv. Variegata) มีพันธุ์ใบเขียว (Ligustrum sinense) หมดแต่ไม่ค่อยเจอเลยไม่มีรูป ต้นใบด่างนี้ปลูกแล้วสวยดี ราคาสูงกว่าไม้คลุมดินทั่วไปในขนาดเดียวกัน (2008) รู้จักอันตราย---ทั้งใบและผลไม้มีรายงานว่าเป็นพิษต่อมนุษย์และปศุสัตว์ แต่ไม่ทราบหลักการที่เป็นพิษอย่างแน่นอน และละอองเกสรอาจก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง ตอนกิ่ง
|
|
หัวใจม่วง/Tradescantia pallida
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tradescantia pallida (Rose) D.R.Hunt.(1975) ชื่อพ้อง --- Has 5 Synonyms ---Basionym: Setcreasea pallida Rose.(1911) ---Setcreasea purpurea Boom.(1955) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-270389 ชื่อสามัญ---Wandering jew ,Purple secretia, Purple-heart, Purple queen. ชื่ออื่น----หัวใจม่วง, หัวใจสีม่วง, หัวใจราหู; [COSTA RICA: Cucaracha, Saprissa.];[CUBA: Cucaracha americana.];[CZECH: Podeňka.];[DOMINICAN: Cohítre morado.];[DUTCH: Wandelende jood.];[GERMAN: Mexikanische Dreimasterblume.];[ITALIAN: Erba miseria.];[JAPANESE: Murasakigoten, Papuruhato, Setokureasea.];[PORTUGUESE: Coração-roxo, Trapoeraba-Roxa, Trapoeraba, Trapoerabão.];[PUERTO RICO: Cohitre morado.];[SPANISH: Amor de hombre, Morada, Niña en barca, Pollo morado, Purpurina, Tradescantia purpúrea.];[SWEDISH: Purpurblad.];[THAI: Hua jai mouang, Hua jai si mouang, Hua jai ra hoo.]. ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE EPPO Code---TRAPA (Preferred name: Tradescantia pallida.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก นิการากัว คิวบา เปอร์โตริโก หมู่เกาะเวอร์จิน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tradescantia' ได้รับการตั้งชื่อตามหนึ่ง (หรืออาจทั้งสองอย่าง) ของทีมพ่อและลูกJohn Tradescant the elder (ประมาณ ค.ศ. 1570–1638) และ John Tradescant the younger (1608–1662) พวกเขาเป็นชาวสวนผู้นำเข้าพืชแปลกและนักสะสม ; ชื่อสายพันธุ์ 'pallida' มาจากภาษาละติน หมายถึง "ซีด" -ชื่อสามัญ " ยิวพเนจร "( Wandering jew)ใช้ร่วมกับสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดTradescantia fluminensisและTradescantia zebrina. ชื่อนี้มาจากคติชนของคริสเตียนยุคกลางประมาณศตวรรษที่ 13 Tradescantia pallida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Nelson Rose (1862–1928) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David Richard Hunt (1938–2019) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2518 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางซึ่งเกิดขึ้นจากรัฐตาเมาลีปัสทางตะวันออกเฉียงเหนือของเม็กซิโกไปจนถึงนิการากัว ในถิ่นกำเนิดเติบโตในป่าผลัดใบในเขตจากชายฝั่งทะเลที่ระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 50-1,500 เมตร T. pallida ถูกระบุว่าเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานในคิวบา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ( González-Torres et al., 2012 ; Acevedo-Rodríguez and Strong, 2012).ในคิวบา สายพันธุ์นี้ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งใน 100 พืชที่มีการบุกรุกที่เลวร้ายที่สุดในแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติบนเกาะนี้ ( González-Torres et al., 2012 ) ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยคลุมดินเนื้ออ่อน ลำต้นมีข้อปล้อง เนื้อในมียาง อาจเลื้อยตามดินได้ไกล 0.40-1 เมตร ใบเป็นรูปหอกหรือรูปขอบขนาน ใบขนาดยาวประมาณ 17 ซม.และกว้าง 2.5 ซม. ออกเรียงสลับตรงข้าม ตามความยาวของลำต้น แผ่นใบมีลักษณะอวบน้ำ ชูตั้งเฉียงกับลำต้น ขอบใบเรียบตรง โคนใบใหญ่ ปลายใบแหลม แผ่นใบงุ้มเข้าหากลางใบ แผ่นใบทั้งด้านล่าง และด้านบนมีสีม่วง และมีขนปกคลุมทั่วทั้งแผ่นใบ ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวขนาดเล็กบริเวณซอกใบที่ปลายยอด ตัวดอกประกอบด้วยกลีบดอก 3 กลีบ โคนกลีบเรียงซ้อนทับกัน กลีบดอกมีลักษณะ 3 เหลี่ยม ปลายกลีบแหลม แผ่นกลีบดอกทั้งด้านบนด้านล่างมีสีชมพูอมม่วงทั้งหมด ตรงกลางมีเกสรเพศผู้สีเหลือง 6 อัน เกสรเพศเมียสีขาว 1 อัน ผลไม้เป็นแคปซูลเกลี้ยงยาว 4-5 มม. เมล็ดมีขนาดเล็กมาก 2.5-3 มม.มักไม่ค่อยติดผลหรือเมล็ดให้เห็น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงปานกลาง ปรับตัวให้เติบโตในดินที่หลากหลาย ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทรายที่มีค่า pH ตั้งแต่ 5 ถึง 7.8 ทนต่อความแห้งแล้งและความร้อน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ลำต้น และใบ (ต้มน้ำดื่ม) แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ -ลำต้น และใบ (ใช้ภายนอก) แก้อาการเจ็บตา ใบนำมาตำบด หรือ ขยำ ใช้ประคบหรือพอกบริเวณร่างกาย แก้อาการฟกช้ำดำเขียวหรือบวม -ในไต้หวัน ใช้ใบต้มน้ำดื่มเพื่อช่วยการไหลเวียนโลหิต และต้านการอักเสบ และขับสารพิษออกจากร่างกาย -ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในการค้าเรือนเพาะชำและภูมิทัศน์ มีการทำการค้าอย่างกว้างขวางในฐานะไม้ประดับและใช้เป็นพืชคลุมดินเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิยมปลูกเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่เปิดโล่งและขอบสวนและลานบ้าน -อื่น ๆ พบรายงานงานวิจัยด้านการใช้เพื่อฟอกอากาศ ละดูดสารพิษในอาคาร พบว่า หัวใจสีม่วงมีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศหรือดูดสารมลพิษในอาคาร อาทิ สาร VOCs (สารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยได้) ชนิดต่างๆที่อยู่ในอาคารได้ดีกว่าพืชชนิดอื่นๆ https://puechkaset.com/ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---โดยวิธีปักชำ
|
|
ดาดตะกั่ว/Hemigraphis alternata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hemigraphis alternata (Burm.f.) T.Anderson.(1864) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Blechum cordatum Leonard.(1936) ---Hemigraphis colorata (Blume) Hallier f.(1897) ---Ruellia repanda Bl.(1826) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2845091 ชื่อสามัญ---Cemetery-plant, Red Ivy, Red Flame Ivy, Metal Leaf. ชื่ออื่น---ดาดตะกั่ว; ฮ่อมครั่ง (ภาคเหนือ); โฮ่งจี๊อั้ง (จีน);[AUSTRALIA: Purple waffle plant,];[FRENCH: Lierre rouge.];[GERMAN: Rotblättrige Efeuranke.];[INDIA: Murikootti, Murian pacha.];[INDONESIA: Keji beling, Sambang getis, Sarap, Lire, Remek daging, Reundeu beureum.];[MALAYALAM: Murikootti.];[MALAYSIA: Benatu api.];[MARSHALLESE: Kinwoj, Utilojan.];[PAPAU NEW GUINEA: Kwaiwa.];[PHILIPPINES: Dahon-pula, Dahong pula (Tag.).];[PORTUGUESE: Hera-vermelha.];[PUERTO RICO: Asia negra.];[SAMOA: Suipi.];[SPANISH: Asia negra.];[SWEDISH: Bronsblad, Palettruellia.];[THAI: Daat ta kua.];[USA: Red-flame ivy.];[VANUATU: Noyon gengen.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---HMGAL (Preferred name: Hemigraphis alternata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hemigraphis' มาจากคำภาษากรีก 'hemi' หมายถึงครึ่งหนึ่ง และ 'graphis' หมายถึงแปรง (สำหรับครึ่งหนึ่งของแปรง) อ้างอิงถึงขนที่ปกคลุมหนาแน่นบนเส้นใยของเกสรตัวผู้ด้านนอก ; ชื่อสายพันธุ์ 'alternata' หมายถึงการสลับกัน เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น Hemigraphis alternata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2407 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย แพร่กระจายใน อินเดียและมาเลเซีย มีการแปลงสัญชาติในส่วนอื่น ๆ ของโลกรวมทั้งบนหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง (เช่นอเมริกันซามัว ซามัวตะวันตก ปาเลา หมู่เกาะคุก ตองกา ฟิจิ เฟรนช์โปลินีเซียและฮาวาย) และทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (เช่น ฟลอริด้า) ลักษณะ ดาดตะกั่วเป็นไม้เลื้อยผิวดินมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นเป็นสีแดงและเป็นข้อ สูงประมาณ 10-20 ซม. ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นคู่ ๆ ไปตามข้อลำต้น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5 ซม.และยาวประมาณ 2.5-5 ซม.ใบเป็นรูปไข่ถึงรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบบน ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ใบเป็นสีม่วงเขียวอมสีบรอนซ์เงิน ใต้ใบเป็นสีแดงเลือดหมู ตามเส้นใบมีร่องลึก ดอกขนาดเล็กสีขาว ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดตรงส่วนยอดของกิ่ง ในแต่ละช่อนั้นจะมีใบประดับเรียงซ้อน ๆ กันเป็นชั้น ๆ มีความยาวประมาณ 2.5-3.75 ซม.ดอกเป็นรูปกรวยหรือรูปถ้วยเล็ก ๆ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ส่วนปลายดอกแยกเป็นแฉก 5 แฉก ทรงดอกยาวได้ประมาณ 1.2 ซม.ผลเป็นผลแห้งและแตกได้ มีขนาดประมาณ 1.25 ซม.มีเมล็ด 4-20 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้ดีในที่รำไรและกลางแจ้ง หากปลูกในร่มเกินไปใบจะบางและห่าง ถ้าแดดจัดเกินไปใบจะเล็กสีจะออกแดงและกรอบ ควรปลูกในที่มีแสงแดดรำไรจะสวยสุด ใบจะออกสีเงินมากกว่าสีเขียวม่วง ขึ้นได้ดีในดินทรายและดินร่วนซุยทุกชนิดชอบดินที่เป็นกรดและชื้นเล็กน้อยมีค่า pH ตั้งแต่ 6.1-7.5 ไม่ทนต่อสภาพแห้งแล้งหรือเค็ม ใช้ประโยชน์---มีการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์และนำไปใช้เป็นไม้ประดับในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วเอเชียอเมริกาแคริบเบียนและไปยังหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และใช้ในยาแผนโบราณของเอเชีย -ใช้ปลูกประดับ ดาดตะกั่วเป็นไม้คลุมดินอีกต้นที่นักจัดสวนนิยมใช้เพิ่มสีสันให้กับสนามและเป็นพันธุ์ไม้ที่มักต้องใช้มากในธุรกิจจัดสวน นอกจากนี้ยังมีอีกพันธุ์เรียกว่า ดาดทับทิมลักษณะคล้ายกันแต่มีใบย่นมากกว่า -ใช้เป็นยา ดาดตะกั่ว คนจีนเรียก “โฮ่งจี๊ อั๊ง” และใช้เป็นสมุนไพรเป็นยาขับปัสสาวะ หรือแก้โรคนิ่วให้ทุเลาได้ นอกจากนี้ยังใช้ใบดาดตะกั่วเข้าเครื่องยาแก้โรคบิด และรักษาโรคริดสีดวงทวาร ใบใช้กับบาดแผลสดเพื่อห้ามเลือด ยังใช้สำหรับโรคโลหิตจาง -ในอินโดนีเซียเป็นยาขับปัสสาวะ ห้ามเลือด แก้โรคบิด และรักษาโรคกามโรค -ในวานูอาตูคั้นตาใบในน้ำและดื่มตอนเช้ามืดเป็นเวลา 4 วันเพื่อคุมกำเนิดและทำให้เป็นหมัน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---โดยวิธีปักชำ
|
|
กาบหอยแครง/Tradescantia spathacea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tradescantia spathacea Sw.(1788). ชื่อพ้อง--Has 12 Synonyms ---Ephemerum bicolor Moench.(1802) ---Ephemerum discolor Moench.(1802) ---Rhoeo discolor (L'Hér.) Hance.(1852) ---Rhoeo spathacea (Sw.) Stearn.(1957) ---Tradescantia discolor L'Hér.(1789) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-270451 ชื่อสามัญ---Boat Lily, Oyster Plant, Cradle Lily, Moses-in-the-Cradle, Moses in His Cradle, Moses on a Raft, Moses in the Bulrushes, Men in a Boat, Two men in a boat. ชื่ออื่น ---กาบหอยแครง ว่านหอยแครง (กรุงเทพฯ); [AUSTRALIA: Rhoeo, Three men in a boat.];[CAMBODIA: Toem pradl lk'.];[CHINESE: Zi bei wan nian qing.];[CUBA: Cordobán.];[ECUADOR/Galapagos Islands: Barquito de San Pedro.];[FRENCH: Gros curage, Moïse dans les jonc, Plante huitre, Rhoéo.];[GERMAN: Bootspflanze, Purpurblättrige Dreimasterblume, Wiegenlilie.];[GUATEMALA: Cordoban, Moises, Puma de venus.];[ITALIAN: Erba miseria.];[JAMAICA: Moses-in-the-bulrushes.];[JAPANESE: Murasaki-omoto, Shikinran.];[MEXICO: Chaksam morado.];[PALAU: Nobesos.];[PHILIPPINES: Bangka-bangkaan (Tag.).];[PORTUGUESE: Abacaxi-roxo, Moisés-no-berço, Roel.];[PUERTO RICO: Sanguinaria.];[RUSSIA: Tradeskantsiya pokryvalʹchataya.];[SPANISH: Canoa Di San Pedro, Señoritas Embarcadas, Barca de San Pedro; Maguey morado.];[SWEDISH: Blomstervagga.];[THAI: Kaap hoy, Wan kaap hoy.];[TONGA: Faina, Faina fa‘itoka.];[USA/Hawaii: Moses in the basket.];[VIETNAMESE: Cay le ban, Lao ban, So huyet.]. ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE EPPO Code---REOSP (Preferred name: Tradescantia spathacea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เม็กซิโก กัวเตมาลา คิวบา เวสต์อินดิส เอกวาดอร์ โคลอมเบีย Tradescantia spathacea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Olof Peter Swartz (1760–1818) นักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยาและนักอนุกรมวิธานชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2331 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเบลีซ ,กัวเตมาลา, และภาคใต้ของเม็กซิโก (เชียปัส ,ทาบาสโกและคาบสมุทรYucatán ) แต่ปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นไม้ประดับและมีเขตการกระจายพันธุ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในส่วนของอเมริกาใต้ (เอกวาดอร์ โคลอมเบีย)และหมู่เกาะในมหาสมุทรต่างๆ รวมทั้งทวีปเอเชีย (บังกลาเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์) แทนซาเนีย สหรัฐอเมริกา (ฟลอริด้า ,เท็กซัส ,ฮาวาย) แคริบเบียน ในธรรมชาติพบได้มากในพื้นที่ ของป่าชายฝั่ง พุ่มไม้ป่าสน ป่าทุติยภูมิ พื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่ที่ถูกรบกวน ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงต่ำ บนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก สายพันธุ์นี้มักเติบโตบนหินหรือปะการัง และบนหน้าผาหิน ( Smith, 1979 ; PIER, 2012 ) จัดอยู่ใน Global Compendium of Weeds ว่าเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานและวัชพืชในสิ่งแวดล้อม (Randall, 2012) เมื่อสร้างแล้วจะสามารถเติบโตเป็นพื้นดินหนาแน่นบนพื้นป่าเพื่อป้องกันการงอกและการสร้างพืชพื้นเมือง ( ISSG, 2012 ) T. spathaceaถูกระบุว่าเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานประเภท II ในฟลอริดา ( Florida Exotic Pest Plant Council, 2011 ) และยังถือว่าเป็นการรุกรานในคิวบา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จิน ( González-Torres et al., 2012 ; Acevedo-Rodríguez and Strong , 2555 ) และหมู่เกาะแปซิฟิก ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ต้นสูงประมาณ20-40 ซ.ม ลำต้น ไม่มีการแตกกิ่งก้าน ต้นอวบใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-5 ซม.ใบออกจากลำต้น ออกเรียงเป็นวงซ้อนกันหลายชั้น ใบเป็นใบเดี่ยว ขนาดกว้าง 2-6 ซม. และยาว 10-30 ซม. รูปหอกหรือรูปแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบตัดและโอบลำต้น ส่วนขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและตั้งตรง หน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนหลังใบเป็นสีม่วงแดง เส้นใบขนาน มองเห็นไม่ชัด และไม่มีก้านใบ ออกดอกเป็นช่อที่โคนใบหรือตามซอกใบ ช่อดอกมีทั้งช่อเดี่ยวและหลายช่อ ในแต่ละช่อประกอบไปด้วยใบประดับ 2 กาบ สีม่วงแซมเขียวรูปหัวใจโค้งขนาดกว้าง 3-6 ซม. ยาว 3-4 ซม. โคนกาบทั้งสองประกบเกยซ้อนและโอบหุ้มดอกขนาดเล็กสีขาวที่อยู่รวมกันเป็นกระจุก ก้านช่อดอกยาว1-5 ซม. ที่โคนก้านช่อดอกมีใบประดับ 1 ใบ สีม่วงแซมเขียว ดอกมีกลีบเลี้ยงสีขาว 3 กลีบ บางและใส ส่วนกลีบดอกมี 3 กลีบ กลีบเป็นสีขาว ผลรูปกระสวยเป็นผลแห้งเมื่อแตกจะแยกเป็นแฉก 2-3 แฉก ขนาดกว้าง 2.5-3 มม.ยาว 3.5 มม. มีขนเล็กน้อย ภายในมีเมล็ดขนาดเล็ก ดอกออกตามซอกใบประดับ ดอกเล็กสีขาวออกรวมเป็นกระจุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนที่มีอุณหภูมิอบอุ่นตั้งแต่ 14°C ถึง 27°C ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดถึงปานกลางเป็นพืชชั้นล่าง เติบโตในดินที่มีการระบายน้ำได้ดีหลายประเภทรวมถึงดินหินทรายและหินปูนไม่ทนต่อดินที่มีน้ำขัง สามารถพบเติบโตเป็นพืช epiphytic หรือกึ่ง epiphytic บนลำต้นของปาล์มหรือต้นไม้หน้าผาหินหรือซอกอื่น ๆ ที่ไม่มีดินเป็นหลัก ใช้ประโยชน์---เป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในการเพาะชำและการค้าในงานภูมิทัศน์ -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้คลุมดินนิยมใช้จัดสวน หลายสายพันธุ์มีการค้าอย่างกว้างขวางในฐานะเป็นไม้ประดับและพืชในบ้านในเขตร้อนและเขตอบอุ่น -ใช้เป็นยา ใช้ในยาแผนโบราณในเม็กซิโกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดอกไม้และใบไม้ถูกนำมาใช้ในยาแผนโบราณในการรักษาโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อรา อาการไอโรคหวัดและโรคบิด -ตำรายาไทยใช้ใบสดเป็นยาแก้เจ็บคอ แก้ไอ -ตำรายาจีนจะใช้ดอกของว่านกาบหอยเป็นยาแก้อาการตกเลือดในลำไส้ -ในประเทศอินเดีย จะใช้ว่านกาบหอยผสมกับน้ำมันงา ใช้เป็นยาพอกแก้ต่อมน้ำเหลืองบวม รักษาโรคผิวหนัง และโรคเท้าช้าง -ในไต้หวันจะใช้เป็นยาพอกแผล มีดบาด และแก้บวม ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ไหล การชำยอด
|
|
ริบบิ้น/Hemigraphis rependa
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Hemigraphis repanda (L.) Hallier f.(1897) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2845212 ---Ruellia repanda L.(1763) ชื่อสามัญ---Dragon’s Breath, Dragon’s Tongue, Narrow Leaf Hemigraphis, Waffle Plant. ชื่ออื่น--- ริบบิ้นดำ, เชือกผูกรองเท้า ; [THAI: Rib-bin-dam.]; [VIETNAM: Cỏ lưỡi rồng – cỏ may mắn.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---HMGRE (Preferred name: Hemigraphis repanda.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เขตร้อนทั่วโลก Hemigraphis repanda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes (Hans) Gottfried Hallier (1868–1932) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2440 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน (มาเลเซีย,Malesia) ตอนนี้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกส่วนใหญ่อยู่ในเขตร้อน ลักษณะ ลำต้นทอดเลื้อยไปตามผิวดิน ลักษณะต้นใบคล้ายดาดตะกั่วหรือดาดทับทิม ใบรูปใบหอกแกมรูปแถบกว้าง 7 – 8 มม. ยาว 3 – 7 ซม.ขอบใบหยักมนหรือหยักซี่ฟันห่าง ๆ แผ่นใบสีม่วงแดงเหลือบเทาเงิน ใต้ใบสีม่วงแดงจาง ช่อดอกสั้นมีดอกเล็กๆสีขาว 1-2 ดอก กลีบดอกเป็นหลอดปลายบานแยกเป็น5แฉกเกสรเพศผู้4อัน ไม่เห็นผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---การเจริญเติบโตเร็ว ปลูกได้ทั้งในที่ที่มีแสงแดดจัดและร่มรำไร แต่ถ้าปลูกกลางแจ้งแสงแดดจัดต้องการน้ำมากพอ ชอบดินร่วนที่มีอินทรียวัตถุสูง การใช้ปรโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชคลุมดินหรือปลูกเป็นไม้กระถาง **การพูดคุยส่วนตัว การใช้พรรณไม้ชนิดนี้มาจัดสวน จะช่วยสร้างความแตกต่างของพื้นผิวสวนให้ดูแปลกตาด้วยสีและลักษณะใบที่ดูเล็กละเอียด ถ้าแทรกลงไปให้ถูกจังหวะละก็สวยงามไม่น้อย แต่ก็ต้องลงทุนเยอะหน่อยละเพราะถ้าใช้คงใช้ต้นสองต้นไม่ได้แน่ ต้องเป็นกลุ่มผืนใหญ่ มีพันธ์ใบสีเขียวด้วย** ระยะออกดอก--มกราคม - เมษายน ขยายพันธุ์---โดยการปักชำกิ่ง
|
|
กระดุมทองเลื้อย/Sphagneticola trilobata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sphagneticola trilobata (L.) Pruski.(1996) ชื่อพ้อง ---Has 30 Synonyms ---Basionym: Silphium trilobatum L.(1759) ---Wedelia trilobata (L.) Hitchc.(1893) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-5859 ชื่อสามัญ---Bay Biscayne creeping-oxeye, Climber Wedelia, Creeping-oxeye, Ttrailing daisy, Singapore daisy, Wedelia, Wild marigold, Yellow dots. ชื่ออื่น---เบญจมาศเครือ, กระดุมทองเลื้อย; [AFRIKAANS: Singapoer-madeliefie.];[CHINESE: Nan mei peng qi ju.];[BAHAMAS: Trailing wedelia.];[BRAZIL: Insulin, Vedélia.];[CUBA: Romero de playa.];[FRENCH: Patte canard.];[GERMAN: Goldsternwedelie, Wedelie, Goldstern.];[JAMAICA: Creeping oxeye.];[LESSER ANTILLES: Bobena, Carpet daisy, Graveyard daisy, Graveyard grass, Herb soleil, Lad love, Pa a kanna, Pasture sage, Piss weed, Venvenn kawayib, Verven carib, Vin vin caribe, Yellow marigold, Zeb a fan.];[MARSHALL ISLAND: Ut mokadkad, Ut telia.];[PALAU: Ngesil ra ngebard.];[PANAMA: Clavelín de playa, Clavelito de muerto, Clavellin.];[SOUTH AFRICA: Singapoer-madeliefie.];[SPANISH: Manzanilla, Manzanilla de playa, Margarita amarilla, Margarita de pasto, Romerillo, Saladillo macho, Yerba buena cimarrona.];[SWEDISH: Ampelkrage.];[THAI: Kra doom thong luey, Ben cha maat khruea.];[TONGA: Ate.];[USA: Bay Biscayne creeping oxeye, Yellow dots.]. ชื่อวงศ์--ASTERACEAE (COMPOSITAE) EPPO Code---WEDTR (Preferred name: Sphagneticola trilobata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล โบลิเวีย เปรู เอกวาดอร์ โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กายอานา ; อเมริกากลาง - ปานามาถึงเม็กซิโกแคริบเบียน - คิวบาจนถึงหมู่เกาะวินด์วาร์ด หมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อินโดนีเซียและศรีลังกา Sphagneticola trilobata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Francis Pruski (Born 1955) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนทวีปอเมริกา (เม็กซิโก อเมริกากลางและแคริบเบียน) แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในฐานะสายพันธุ์ที่รุกรานในหมู่เกาะแปซิฟิก ฮ่องกง แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และศรีลังกา เติบโตบนดินชื้นหรือเปียกบางครั้งในหนองน้ำมักจะอยู่ตามชายหาดริมทะเล พบได้ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 700 เมตร หรือมากกว่า และสูงถึง 1300 เมตร ในเฟรนช์โปลินีเซีย เป็นวัชในพื้นที่เกษตรกรรมตามริมถนนและทางเดินในพื้นที่เปิดพื้นที่ขยะ สนามหญ้า ชลประทาน กองขยะ ทุ่งหญ้าธรรมชาติและสถานที่ที่ถูกรบกวนเป็นพืชที่สามารถแพร่กระจายและกำจัดยาก IUCN ได้ระบุ S. trilobataไว้ใน 100 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่เลวร้ายที่สุดในโลกและ Florida Exotic Plant Pest Council จัดให้เป็นผู้รุกรานประเภท II สายพันธุ์นี้ยังคงมีอยู่เป็นไม้ประดับและมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายต่อไป ลักษณะ เป็นไม้ผิวดินลำต้นทอดเลื้อย แตกกิ่งก้านสาขาได้มาก สูงประมาณ 30 ซม.ทุกส่วนของต้นมีผิวสาก ใบสีเขียวสด มีขนปกคลุม ขนาดของใบยาวประมาณ4-9ซม.กว้าง2-5ซม.ขอบใบหยักหรือฟันไม่สม่ำเสมอ ปกติมีแฉกด้านข้างเป็นคู่ ใบสีเขียวเข้มด้านบนและด้านล่างสีเขียวจาง ก้านดอกยาว 3–10 ซม.ช่อดอกออกตามข้อสีเหลืองสด ผล achenes ยาว 4-5 มม.มีเปลือกผลสีน้ำตาลแห้งและแข็ง ผลไม้ไม่เด่น การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่ใช้การปักชำเนื่องจากเมล็ดมักไม่อุดมสมบูรณ์ ช้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด ชอบดินที่มีการระบายน้ำได้ดีช่วงค่า pH 5.5-7.5 มีความอดทนมากในสภาพแห้งและชื้น ทนน้ำท่วมและทนต่อความแห้งแล้ง พืชทนเกลือมากเจริญเติบโตได้ดีใกล้ทะเล ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้คลุมดินหรือปลูกเพื่อป้องกันการกัดเซาะหน้าดิน กันดินพังริมตลิ่งได้ดีมาก -ใช้เป็นยา มักใช้ในการรักษาการติดเชื้ออาหารไม่ย่อยและรักษาโรคตับอักเสบ -อื่น ๆDissanayake et al. (2002) รายงานว่าS. trilobataมีความสามารถในการดูดซับ Cu + 2, Ni + 2, Mn + 2 และ Fe + 2 / Fe + 3 ในปริมาณสูงจากพื้นที่ที่มีมลพิษในศรีลังกา ดังนั้นจึงสามารถแนะนำให้ S. trilobata เป็นสารกำจัดไฟโตที่สามารถนำไปใช้เพื่อบำบัดน้ำทิ้งของเสียและสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยไอออนของโลหะหนัก ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
กระดุมไพลิน/Centratherum punctatum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Centratherum punctatum Cass.(1817) ชื่อพ้อง---Has 41 Synonyms. ---Centratherum aristatum Cass.(1828) ---Centratherum intermedium (Link) Less.(1829) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-99839 ชื่อสามัญ---Brazil button flower, Brazilian Button, Lark -Daisy, Brazilian Bachelor Button, Centratherum. ชื่ออื่น---กระดุมไพลิน, กระดุมหยก, กระดุมม่วง; [AUSTRALIA: Brazilian button flower.];[LESSER ANTILLES: Magéwit, Marguerite.];[PORTUGUESE: Perpetua-do-mato, Perpetua-roxa-do-mato, Suspiro de-cachorro, Vassoura-roxa.];[SPANISH: Alcanfor, Chupón, Margarita, Mejorana, Siempreviva, Verbena, Verginia.];[THAI: Kra doom pai-lin, Kra doom yok, Kra doom mouang.];[USA: Larkdaisy.]. ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) EPPO Code---CNTPU (Preferred name: Centratherum punctatum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---อเมริกากลางและอเมริกาใต้ : เวเนซูเอล่า, อาร์เจนติน่า, ปานามา, นิคารากัว, ทรินิแดด ; หมู่เกาะอินเดียตะวันตก, ฟิลิปปินส์, อินเดียและชวา ; ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Centratherum' คือการรวมกันของคำกรีก '' kentron '' = เดือยและ '' antheros '' = หนามหรือกระดูกสันหลัง ; ชื่อสายพันธุ์ 'punctatum' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' puntatus, a , um '' = ที่มีการอ้างอิงถึงต่อมเล็ก ๆ ที่มีอยู่บนใบไม้ Centratherum punctatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Count Alexandre Henri Gabriel de Cassini (1781–1832) นักพฤกษศาสตร์ และนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในวงศ์ทานตะวัน ( Asteraceae ) (หรือที่รู้จักในชื่อตระกูล Compositae) ในปี พ.ศ.2360 Infraspecific (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์);- ---Centratherum punctatum subsp. fruticosum K.Kirkman (1981)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ (อาร์เจนตินา) ส่วนใหญ่เติบโตในพื้นที่เขตร้อน พบได้ทั่วไปในพื้นที่รกร้าง ริมป่า และริมถนน จากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร ถูกระบุไว้ใน Global Compendium of Weeds ว่าเป็นวัชพืชที่ส่งผลกระทบต่อสถานที่ที่ถูกรบกวนและระบบนิเวศกึ่งธรรมชาติ ( Randall, 2012 ) ในออสเตรเลียพรรณไม้ชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในประเภทวัชพืชทั่วไปที่สามารถพบได้ตามขอบป่าดงดิบ ในป่าเปิดและป่าไม้ที่แห้งแล้ง ( CSIRO, 2010 ) ปัจจุบัน C. punctatumถือเป็นพืชที่รุกรานในฮาวาย หมู่เกาะกาลาปากอส นิวแคลิโดเนีย เปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จิน ( Charles Darwin Foundation, 2008 ; Acevedo-Rodríguezและ Strong, 2012 ; PIER, 2013 ) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กอายุหลายปีสูง 10 - 50 ซม มีขนสั้นนุ่มตามลำต้นและใบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปใบหอกถึงรูปไข่ ยาว 2.5–8 ซม. กว้าง 0.6–2.5 ซม. ขอบใบจักซี่ฟันสองชั้น ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่นออกเดี่ยว ๆ ที่ปลายกิ่ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-8 ซม.ดอกสีม่วงอ่อนถึงม่วง วงกลีบดอกเชื่อมติดเป็นหลอด ด้านในมีขน ผลแห้งเมล็ดล่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ทนต่อร่มเงาบางส่วน ดินที่ชื้นอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นไม้ประดับเป็นหลัก **การพูดคุยส่วนตัว ไม่น่าแปลกใจที่วัชพืชจะกลายมาเป็นไม้ประดับ รูปนี่ก็ถ่ายมาจากข้างทางตอนไปเหนือ เห็นสวยดีเลยถ่ายเก็บไว้มาเจออีกทีอยู่ในกระถางขายและอยู่ในกระถางแขวนแล้ว (2008) ** -ใช้เป็นยา น้ำมันในเมล็ดใช้เป็นยาปฎิชีวนะ สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ต้านจุลชีพสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการแพร่กระจายและแนะนำว่าสายพันธุ์นี้อาจใช้เป็นตัวแทนยาที่มีศักยภาพ ( Pawar and Arumugan, 2011 )ในทำนองเดียวกันในไนจีเรียกลุ่มวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากC. punctatumอาจมีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพ ( Ogunwande et al., 2005 ) ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
ดัสตี้มิลเลอร์/Senecio cineraria DC.cv.Dusty Miller
ชื่อวิทยาศาสตร์---Jacobaea maritima (L.) Pelser & Meijden.(2005) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms. ---Senecio cineraria DC.(1838) ---Cineraria maritima (L.) L.(1763.) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-31568 ชื่อสามัญ---Dusty Miller, Silver dust, Silver lace, Silver Ragwort, Silver groundsel. ชื่ออื่น----ดัสตี้มิลเล่อร์, ละอองเงิน;[DANISH: Gråblad, Vestlig gråblad.];[DUTCH: Wit askruid.];[FRENCH: Cinéraire, Cinéraire maritime, Séneçon bicolore, Séneçon cendré, Séneçon cinéraire.];[GERMAN: Aschengreiskraut, Aschenpflanzengreiskraut, Weißfilziges Greiskraut, Silber-Greiskraut.];[HUNGARIAN: Tengerparti aggófű.];[ITALIAN: Senecione cinerario.];[JAPANESE: Dasuti-mira, Shirotaegiku.];[PORTUGUESE: Pó-de-prata, Cinerária, Senécio, Senécio-marítimo.];[SPANISH: Cenicera marítima, Cenicienta, Cenizo, Cineraria, Donzell de mar, Rabo de buey, Rosa de mar.];[SWEDISH: Silverek.];[THAI: Dusty Miller, La-ong dao.]. ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) EPPO Code---SENBI (Preferred name: Jacobaea maritima.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปยุโรป เขตกระจายพันธุ์----ยุโรป เอเซีย แคริบเบียน อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jacobaea' อาจมาจาก 'St. James' หรือ 'Jacobus' ;ชื่อสายพันธุ์ 'maritima'=อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล -Dusty miller เป็นชื่อสามัญของพืชหลายชนิดที่มีใบสีเทาหรือสีเงิน มีถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียน Jacobaea maritima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ก่อนหน้านี้มันถูกวางไว้ในสกุล Senecioและยังคงเรียกกันอย่างกว้างขวางว่า Senecio cineraria ; ดูรายการคำพ้องความหมาย ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pieter B. Pelser (born 1976) เป็นวิทยากรชาวเนเธอร์แลนด์ ด้าน Plant Systematics และเป็นภัณฑารักษ์ของสมุนไพรที่มหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีในไครสต์เชิร์ชประเทศนิวซีแลนด์ และ Ruud van der Meijden (1945–2007) นักพฤกษศาสตร์จากเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2548 Infraspecific (เกิดขึ้นภายในสปีชีส์);- ---Jacobaea maritima subsp. bicolor (Willd.) B.Nord. & Greuter.(2006)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคตะวันตกและเมดิเตอร์เรเนียนตอนกลางในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ (โมร็อกโก, แอลจีเรียตอนเหนือ, ตูนิเซีย), ยุโรปตอนใต้ (สเปน, ยิบรอลตาร์, ฝรั่งเศสตอนใต้รวมถึงคอร์ซิกา, อิตาลีรวมถึงซาร์ดิเนียและซิซิลี, มอลตา, สโลวีเนีย, โครเอเชีย, บอสเนียและ เฮอร์เซโกวีนา โคโซโว แอลเบเนีย มอนเตเนโกร เซอร์เบีย มาซิโดเนีย และกรีซ) และทางตะวันตกสุดของเอเชีย (ตุรกี) มันเกิดขึ้นเป็นหลักบนหน้าผาและบริเวณชายฝั่งที่เป็นหินซึ่งหายากมากในแผ่นดิน มันยังแปลงสัญชาติไปทางเหนือในยุโรป (เหนือไปยังบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลและเฉพาะในอเมริกาเหนือ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 15-60 ซม.ทุกส่วนทั้งต้นทั้งใบมีขนสีขาวปกคลุม ใบของไม้ล้มลุกชนิดนี้มีขนละเอียดด้าน ทำให้ดูคล้ายผ้าสักหลาดหรือขนสัตว์ สีเงินหรือสีขาว เมื่อเปียกใบสีเขียวจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น และสีขาวจะไม่เข้มเท่า เมื่อปลูกในที่ร่ม สีสันอาจแตกต่างกันไปตามพันธุ์ ใบยาว 5-15 ซม.เรียงสลับกันหรือเป็นเกลียวตามลำต้น แข็งและมีขนดก ใบรูปหอกขอบใบเว้าแหว่งต่างๆ ใบจะเป็นแฉกคล้ายใบเฟิน ดอกสีครีมหรือเหลืองคล้ายดอกเดซี่ แต่ไม่ค่อยออกดอก มีดอกให้เห็นยาก เมล็ดรูปทรงกระบอก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดตลอดวัน ชอบอากาศเย็นทนต่ออุณหภูมิในฤดูหนาวได้ถึง -12° ถึง -15 °C ต้องการดินที่ชื้นมีการระบายน้ำดีและมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง แต่ก็สามารถทนต่อดินที่ไม่ดีได้ การใช้ปุ๋ยอย่าใส่ปุ๋ยเคมีพวก15-15-15,16-16-16 ลงไปตรงๆต้นใบจะไหม้เป็นสีน้ำตาลเป็นดวงๆ ต้องใส่พวกปุ๋ยละลายช้าพวกปุ๋ย 3 เดือนหรือที่เรียกว่าปุ๋ยออสโมโค๊ตนั่นแหละดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ไวต่อการเกิดสนิม ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนของพืชที่เติบโตเหนือพื้นดินใช้ทำยา ใช้แก้อาการ ปวดหัว ไมเกรน ใช้เป็นยาล้างตาสำหรับต้อกระจก ผู้หญิงใช้เมื่อเริ่มมีประจำเดือน (ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะทราบวิธีการใช้) อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้มีพิษพอสมควรและไม่ควรรับประทานหรือใช้ภายในไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ รวมถึงการใช้กับดวงตา -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้คลุมดิน ปลูกลงแปลงหรือปลูกเป็นไม้กระถาง ** การพูดคุยส่วนตัว เมื่อก่อน (ก่อนปี45) มีการขยายพันธุ์เป็นไม้ถุงเพาะชำมาขาย ตอนนี้ไม่เห็นหรือมีแต่คงน้อยลง ปลูกในบ้านเราใบมันจะมีสีเขียวปนมากเนื่องคงเพราะอากาศร้อน. มีแต่ยอดที่เป็นสีขาวจริงๆอยู่ 2-3 ใบ ปลูกลงแปลงแล้วไม่โดดเด่น เพราะไม้ต้นนี้โชว์ใบล้วนๆ ดอกก็ไม่เห็น อย่างนี้ก็เลยไม่บูม (2008) Up date---ตอนนี้ 2018 ผ่านมา10 ปี ระหว่างช่วงที่ผ่านมาน่าจะมีการพัฒนา เริ่มเห็นออกมาวางจำหน่าย ต้นที่อยู่ในรูปบนเป็นรูปล่าสุดที่ถ่ายมา ดูสวยสะอาดสม่ำเสมอดีวิธีการเลี้ยงดูตอนนี้ยังบอกไม่ได้ชัดแต่เดาเอาว่านิสัยคงไม่เปลี่ยนเท่าไร คงชอบอากาศเย็นและแสงแดดจัดอยู่เหมือนเดิม Up date---ตอนนี้ 2020 ผ่านมา 2 ปี เริ่มหายากอีกแล้ว Up date---ตอนนี้ 2022 ผ่านมาอีก 2 ปี ยังหายากอยู่** -หลายสายพันธุ์ได้รับการคัดเลือกสำหรับโทเมนทัมสีเงินที่มีความหนาแน่นเป็นพิเศษ เช่น 'Cirrus', 'New Look', 'Ramparts', 'Silverdust', 'Silver Filigree' และ 'White Diamond' ได้รับรางวัล---พันธุ์ 'Silver Dust' ได้รับรางวัล Garden Merit จาก Royal Horticultural Society ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำยอด
|
|
แดงกำมะหยี่/Gynura aurantiaca
ชื่อวิทยาศาสตร์---Gynura aurantiaca (Blume) Sch.Bip. ex DC.(1838) ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms ---Basionym: Cacalia aurantiaca Blume.(1826) ---Crassocephalum aurantiacum (Blume) Kuntze.(1891) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-132201 ชื่อสามัญ---Java velvet plant, Purple Passion Vine, Purple Velvet Plant, Royal velvetplant, Velvetplant. ชื่ออื่น----แดงกำมะหยี่ กำมะหยี่ม่วง ;[CHINESE: Sān qī cǎo shǔ.];[FRENCH: Gynure orange.];[GERMAN: Purpur-Samtpflanze.];[JAPANESE: Ginura.];[PORTUGUESE: Ginura, Paixão-roxa, Planta-veludo, Veludo-roxo.];[SPANISH: Ginura, Ortiga de terciopelo, Planta de terciopelo.];[SWEDISH: Sammetsblad.];[THAI: Daeng kam-ma-yi, Kam-ma-yi muong.]. ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) EPPO Code---GYUAU (Preferred name: Gynura aurantiaca.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'aurantiaca' คือคำศัพท์เฉพาะในภาษาละติน แปลว่า "สีส้ม" อ้างอิงถึงสีปกติของดอกไม้ Gynura aurantiaca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Heinrich Schultz “Bipontinus” (1805–1867) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2381 มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies) ;- ---Gynura aurantiaca subsp. aurantiaca ---Gynura aurantiaca subsp. parviflora (F.G.Davies) Vanij. & Kadereit.(2011) ที่อยู่อาศัย มึถิ่นกำเนิดใน มาเลเซีย อินโดนีเซีย [สุลาเวสี, ชวา] แนะนำในคาบสมุทรอินเดีย อินโดจีน สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) อเมริกากลาง แคริบเบียน พบที่ระดับความสูง 0 - 1,100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยอายุหลายปี สูงประมาณ 15-30 ซม. กิ่งก้านและใต้ใบมีขนสีม่วงแดง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ถึงรูปรี กว้าง 1.5 – 2 ซม.ยาว 2 – 4 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบตัดตรงหรือรูปหัวใจ ขอบใบจักห่าง ช่อดอกรวมแบบช่อเชิงหลั่น ออกที่ปลายยอด ดอกย่อยออกเป็นช่อกระจุกมี 1-5 ดอก ดอกสีส้มเหลืองมีกลิ่นค่อนข้างแรง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดครึ่งวันในช่วงเช้า แต่สามารถปลูกได้ในแสงแดดตลอดวัน แต่ใบมักจะห่อ ชอบดินร่วนปนทราย ดินมีการระบายน้ำดีไม่ชอบดินชื้นแฉะ ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังเพลี้ยไฟ Hercinothrips femoralis และโรคราน้ำค้าง Plasmopara halstedii (downy mildew of sunflower) -ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้คลุมดิน ปลูกเป็นไม้กระถางหรือปลูกเป็นไม้กระถางแขวน -อื่น ๆ ในสหราชอาณาจักรพืชชนิดนี้ได้รับ รางวัล Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit. **การพูดคุยส่วนตัว แดงกำมะหยี่ เป็นไม้เก่า เดี๋ยวนี้เรียกกันอีกชื่อว่ากำมะหยี่ม่วง เมื่อก่อนเห็นเขาปักชำใส่ดินเหนียวห่อกระดาษมาขายสมัยที่อยู่สนามหลวงก่อนจะย้ายมาจตุจักร (กี่ปีแล้วไม่รู้แต่มันนานมาก) ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็น หายไปอีกต้น**(2008) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
|
|
บัวดิน/Zephyranthes rosea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Zephyranthes rosea Lindl.(1824) ชื่อพ้อง---Has4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-292012 ---Amaryllis carnea Schult. & Schult.f.(1830) ---Amaryllis rosea (Lindl.) Spreng. (1827) nom. illeg. ---Atamasco rosea (Lindl.) Greene.(1897) ---Zephyranthes carnea (Schult. & Schult.f.) D.Dietr.(1840) ชื่อสามัญ---Fairy- lily, Rainflower, Zephyr lily, Cuban zephyrlily, Pink rain lily, Rosy rain lily, Rose fairy lily, Magic lily, Atamasco lily, Rain lily, Storm lily. ชื่ออื่น---บัวสวรรค์, ว่านแสนพันล้อม; [FRENCH: Lis zéphyr rose.];[GERMAN: Rosafarbene Windlbume.];[SPANISH: Duende rojo, Leli de San Jose.];[THAI: Bua sawan, Saen pan lom.];[VIETNAMESE: Tóc tiên hồng, Còn gọi báo vũ.]. ชื่อวงศ์ ---AMARYLLIDACEAE EPPO Code---ZEPRO (Preferred name: Zephyranthes rosea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย, เปรู ,กัวเตมาลา, แคริบเบียน: คิวบา กวาเดอลูป มาร์ตินีก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Zephyranthes' มาจาก 'Zephyrus' = เทพเจ้าแห่งลมตะวันตกในตำนานเทพเจ้ากรีก และ 'Anthos' = ดอกไม้ แปลได้ว่า "ดอกไม้แห่งลมตะวันตก" มีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนด้วย ; ชื่อสายพันธุ์ 'rosea' มาจากภาษาละตินว่า "rosy" แปลว่า "สีชมพู" ; ชื่อสามัญ Rain lily มีที่มาจากลักษณะของดอกที่บานหลังจากฝนตกหนักเท่านั้น Zephyranthes rosea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโคลัมเบีย, เปรู ,กัวเตมาลา ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางเป็นไม้ประดับและได้กลายเป็นสัญชาติในเขตร้อนทั่วโลก มีรายงานว่าได้แปลงสัญชาติในฟลอริดา อินเดีย อินเดียตะวันตก เกาะหลายแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย พบได้ทั่วไปในพื้นที่ที่ถูกรบกวน (เช่นสนามหญ้า และทุ่งหญ้า) ที่ระดับความสูง 0 - 50 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีหัวใต้ดิน สูงเพียง 15 - 20 ซม.ใบเชิงเส้นสีเขียวขนาดกว้างประมาณ 3-4 ซม.ดอกเดี่ยวตั้งตรงหรือเอียงเล็กน้อยก้านดอกยาวประมาณ 10 - 15 ซม.ดอกมี 6 กลีบ มีกลิ่นหอม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม. และยาว 3-3.5 ซม.ผลเป็นแคปซูลที่แบ่งลึกออกเป็นสามแฉก เมล็ดแบนมีสีดำเงา ---(รูปบนสุด) บัวดินดอกใหญ่สีชมพูปลายกลีบดอกมน เรียกว่า "ขุนแผนสะกดทัพ" ชื่อวิทยาศาสตร์ Zephyranthes grandiflora ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดตลอดวันหรือครึ่งวัน ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงกัดกินหัวและเสี่ยงต่อเชื้อรา necrotrophic Botrytis cinerea ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับคลุมดิน -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้: หัว, ใบ, ราก -หัวของ Z. rosea และ Z. flava ใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในอินเดีย รักษาโรคเบาหวาน โรคหู ทรวงอกและการติดเชื้อไวรัส -ในประเทศจีนใช้สำหรับรักษามะเร็งเต้านม -ในเวียดนามใบแก้ผมร่วงทำให้สดชื่นและบรรเทาอาการไอ รากแก้ไข้และโรคบิด รูัจักอันตราย---หัวของ C.roseaเหมือนสมาชิกอื่น ๆ ของZephyranthes ประกอบด้วยอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษต่าง ๆ รวมทั้ง lycorineและ haemanthamine อาจทำให้อาเจียนชักและเสียชีวิต เป็นอันตรายต่อ มนุษย์ ปศุสัตว์และสัตว์ปีก ความเชื่อ/พิธีกรรม---สรรพคุณในเชิงว่านเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมและปลูกไว้จะช่วยป้องกันภัยต่างๆ ระยะออกดอก---ฤดูใบไม้ผลิ - ฤดูร้อน (มีนาคม - กรกฎาคม) ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหัวหรือเพาะเมล็ด
|
|
ชาฮกเกี้ยน/Ethretia microphylla
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ethretia microphylla Lam.(1792) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms ---Carmona retusa (Vahl) Masam.(1940) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2784796 ชื่อสามัญ---Ceylon boxwood, Fukien tea tree, Philippine tea, tree, Scorpionbush, Wild tea ชื่ออื่น---ชาฮกเกี้ยน, ชาดัด, ข่อยจีน, ชาญี่ปุ่น, ชาเชียงใหม่; [CHINESE: Ji ji shu, Mǎn fú mù.];[HINDI: Pala.];[INDIA: Kujipana.];[INDONESIA: Kinangan, Serut lanang (Javanese); Pinaan (Madurese).];[JAPANESE: Fuku-mangi, Fukumangi.];[KANNADA: Bute.];[MEXICAN: Chian cimarrón.];[PHILIPPINES: Tsaang gubat, Buyok-buyok, Patolang-uak (Tag.); Putputai (Bikol); Alangit (Bisaya); Buyok-buyok (Sul.).];[PORTUGUESE: Chá-de-fuquiem.];[SWEDISH: Karmona.];[TAMIL: Kattu-vellilai, Kodikarai, Kuruvinchi, Kurangu vetthilal.];[TELUGU: Bavanaburei, Bure.];[THAI: Khoi chin (Bangkok); Chaa yipun (Central); Chaa (Chiang Mai).];[USA: Scorpionbush.];[Vietnam: Kim li[ee]n, c[uf]m r[uj]n, b[uf]m r[uj]n.]. ชื่อวงศ์---BORAGINACEAE EPPO Code---EHTMI (Preferred name: Ethretia microphylla.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย คาบสมุทรเคปยอร์ก และหมู่เกาะโซโลมอน Ethretia microphylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้างวงช้าง (Boraginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2335 ที่อยู่อาศัย พบมากในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่อินเดีย อินโดจีน จีนตอนใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ผ่านทางมาเลเซีย รวมทั้งดินแดนของเกาะคริสต์มาสของออสเตรเลีย ไปจนถึงนิวกินี ออสเตรเลียแผ่นดินใหญ่ที่คาบสมุทรเคปยอร์ก และหมู่เกาะโซโลมอน มันได้กลายเป็นวัชพืชที่รุกรานในฮาวาย ลักษณะ เป็นไม้พุ่มที่สูงได้ถึง 4 เมตร ลำต้นสีน้ำตาลอ่อนแตกกิ่งก้านจำนวนมากเป็นพุ่มแน่น เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียว ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กลับแคบ ขนาดใบ 1-6 (-10) ซม. x 0.5-2.5 (-4) ซม.ปลายแยกเป็นแฉกแหลม โคนสอบรูปลิ่ม ขอบช่วงล่างเรียบช่วงบนหยักห่าง สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกแบบช่อกระจุกออกตามซอกใบ มีดอก 2-5 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบสีเขียวอ่อนรูปแถบด้านนอกมีขนยาวประปราย ดอกสีขาวขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 มม. มีกลีบดอก 4-5 กลีบโคนกลีบเชื่อมติดกันเล็กน้อยปลายแยกเป็นแฉก ผลกลมเล็กขนาดเม็ดพริกไทยเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มม.เมื่อสุกสีแดงหรือสีเหลือง มีเมล็ด 1-4 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินมีการระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช---Bemisia tabaci (แมลงหวี่ขาวยาสูบ) ; Rosellinia necatrix (โรครากเน่า dematophora) ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ชาที่ทำจากใบ - ผลไม้กินได้ -ใช้ปลูกประดับเป็นไม้พุ่มไม่ค่อยทิ้งใบนิยมดัดตัดแต่งเป็นรูปสัตว์ เป็นแนวรั้ว เป็นพุ่ม ยิ่งตัดแต่งสม่ำเสมอจะยิ่งแตกใบหนาแน่น -ใช้เป็นยา พืชเป็นที่นิยมใน Penjing ในประเทศจีน ใบจะใช้เป็นยา -ในประเทศฟิลิปปินส์ใบใช้ในการรักษาอาการไอ, อาการจุกเสียด,โรคท้องร่วงและโรคบิด เป็นหนึ่งในสมุนไพร 10 ชนิดที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขของฟิลิปปินส์ (DOH) ว่าเป็นยาแก้ปวดท้องและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาสมุนไพรที่ Philippine Bureau of Food & Drug (BFAD).ในการแพทย์พื้นบ้านในฟิลิปปินส์ ใช้ใบเป็นยาฆ่าเชื้อหลังคลอดบุตร -ในศรีลังกาใช้สำหรับโรคเบาหวาน -ในเวียดนามรากและลำต้นแห้งใช้ในการรักษาอาการปวดหลังและอาการชาที่มือและเท้า -ในอินเดียและศรีลังการากใช้ในการรักษาบาดแผลที่ถูกงูกัด ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ดและการตอนกิ่ง และปักชำ
|
|
ชาปัตตาเวีย/Malpighia coccigera
ชื่อวิทยาศาสตร์---Malpighia coccigera L.(1762) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Malpighia coccigrya L.(1753) ---Malpighia variifolia Turcz.(1863) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2504480 ชื่อสามัญ---Miniature Holly, Singapore Lily, Singapore Holly, Dwarf-holly, Barbados holly. ชื่ออื่น---ชาปัตตาเวีย, ชาใบมัน,ชาดัดใบมัน ;[CHINESE: Man Tian Xin.];[FRENCH: Malpighier à feuilles d'Yeuse.];[RUSSIAN: Mal'pigiya bagryanaya.];[SPANISH: Azota caballo.];[SWEDISH: Västindiskt körsbär.];[THAI: Chaa pattawia, Chaa bai maan, Chaa daat bai maan.]; ชื่อวงศ์---MALPIGHIACEAE EPPO Code---MLPCO (Preferred name: Malpighia coccigera.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---แคริบเบียน หมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อ 'Malpighia' ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ Marcello Malpighia (1628 1693) นักกายวิภาคศาสตร์ และนักธรรมชาติวิทยาที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลีและเป็นศาสตราจารย์ที่ Bologna Malpighia coccigera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โนรา (Malpighiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2405 มี2ชนิดย่อยที่ยอมรับ (Subspecies) ;- ---Malpighia coccigera subsp. coccigera ---Malpighia coccigera subsp. horrida (Small) Vivaldi ex Alain.(1986) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในทะเลแคริบเบียน คิวบา โดมินิกา กวาเดอลูป ฮิสปานีโอลา มาร์ตินีก เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ สหรัฐอเมริกา [เปอร์โตริโก] เปิดตัวในบังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย อเมริกาใต้ (เปรู) พบได้ในป่าเขตร้อนหรือบนเนินเขาที่เป็นหินใกล้แม่น้ำที่ดินอุดมสมบูรณ์และชื้น ที่ระดับความสูง 70-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง1 เมตร แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามขอบใบเรียบหรือจักฟันเลื่อยและมีหนามแหลมเนื้อใบหนาสี เขียวเข้มเป็นมันดอกสีขาวอมชมพูออกเป็นกระจุก 1-2 ดอกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ก้านดอกย่อยสีแดงอ่อนใบประดับย่อย 1 คู่เหนือโคนก้าน กลีบเลี้ยง 5 กลีบรูปสามเหลี่ยมสีเขียวอ่อน ที่ขอบมีขน กลีบดอก 5 กลีบขอบกลางจีบย่น ผลกลมมีเนื้อ (drupes) เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-15 มม.สีเขียวเมื่อยังอ่อน และสีแดงเมื่อสุก มีเมล็ดหลายเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ทนร่มเงาบางส่วนได้ สามารถปรับตัวได้ต่อดินได้หลากหลาย pH 6.1-7.5 ดินมีความชื้นสม่ำเสมอแต่มีการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่มากเกินไป ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง มีจุดใบหรือรากเน่าเป็นครั้งคราว ระวังScale และเพลี้ยแป้ง(Mealybugs.) ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ - ดิบหรือสุก ใช้ในทาร์ตเยลลี่และมาร์มาเลด -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ปลูกในโครงเหล็กดัดเป็นรูปต่างๆ เช่นโครงรูปกระต่าย ช้าง ม้า แล้วตัดแต่งจนใบแน่นได้รูปตามต้องการ นิยมนำไปใช้ทำบอนไซด้วย ระยะออกดอก/ติดผล--- ตุลาคม - ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
หูปลาช่อน/Acalypha wilkesiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Acalypha wilkesiana Muell.Arg.(1866) ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms ---Acalypha compacta Guilf. ex C.T.White.(1933) ---Acalypha tricolor Seem.(1867) ---Acalypha amentacea Roxb.subsp. wilkesiana (Muell. Arg.) Fosberg.(1980) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-1384 ชื่อสามัญ ---Painted Copper Leaf, Beef-steak, Copper Leaf, Fire-dragon, Jacob’s Coat, Match-Me-If-You-Can. ชื่ออื่น---โพธิ์เงินโพธิ์แดง (ภาคกลาง) ใบเงิน (ตะวันออกเฉียงใต้). หูปลาช่อน, หูกระต่าย,โพเงิน,โพด่าง, โพแดง, แสงทอง; [CHINESE: Hóng sāng.];[COLOMBIA: Barbas de guasco.];[DANISH: Kobberblad.];[DOMINICAN: Tocador.];[FIJI: Kalabuci damu.];[FRENCH: Manteau de Saint-Joseph, Ricinelle, Ricinelle de Wilkes.];[GERMAN: Buntlaubiges Kupferblatt, Schillerndes Nesselblatt.];[GUATEMALA: Capa del rey.];[INDONESIA: Daun nansi (Sunda Islands).];[JAPANESE: Akarifa, Nishikiakarifu.];[MALAYSIA: Akalifa (Malay).];[PAPUA NEW GUINEA: Kavus,Kokoai, Haunuana.];[PORTUGUESE: Acálifa, Crista do perú, Folhas-de-cobra.];[PUERTO RICO: Acalifa, Capa de obispo.];[RUSSIA: Akalifa Uilksa.];[SPANISH: Acalifa, Capa de obispo, Capa del rey, Capa roja, Gusanillo, Hoja de cobre, Manto de Jesús.];[SWEDISH: Mosaikblad.];[THAI: Huu-krataai, Huu-plachon, Pho ngoen, Pho daang (central); Bai ngoen (Southeastern).];[VIETNAM:Tai tuwong dor]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE EPPO Code---ACCWI (Preferred name: Acalypha wilkesiana.) ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย แปซิฟิกตะวันตก เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะแปซิฟิก อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน ทวีปอเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Acalypha' มาจากภาษากรีก 'akaléphé' = ตำแย อ้างอิงถึงใบของพืชบางชนิดที่ใบคล้ายคลึงกับใบตำแย ; ชื่อสายพันธุ์ 'wilkesiana' ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่พลเรือเอกชาร์ลส์วิลค์ส (1798–1877) แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ เขามีชื่อเสียงจากการเป็นผู้นำในการเดินทางซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแปซิฟิกใต้ (1832-1842). Acalypha wilkesiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2409
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะแปซิฟิก (หมู่เกาะบิสมาร์ก หมู่เกาะโซโลมอน ฟิจิ วานูอาตู) เป็นพืชเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนซึ่งเติบโตตามธรรมชาติ เปิดตัวในอินเดีย บังคลาเทศ อินโดจีน (ไทย) จีน กินี ซาเอียร์ มาดากัสการ์ สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกาใต้ (เอกวาดอร์ โบลิเวีย ปารากวัย) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงได้ถึง 1- 3 เมตร ลำต้นสีน้ำตาลตั้งตรงและกิ่งก้านมาก มีขนละเอียดปกคลุม ใบเดี่ยวเรียงสลับ มีรูปร่างหลายแบบกว้าง 15 ซม. ยาว 10-20 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อยแบบไม่สม่ำเสมอ ใบมีสีเขียวทองแดงและมีสีแดงกระเซ็นทำให้มีลักษณะเป็นจุด ๆ(แผ่นใบมีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์เช่น ชมพูเหลืองหรือขาว น้ำตาลแดง สีนากปนเขียว) แผ่นใบบิดห่อขึ้น ช่อดอกเป็นช่อเชิงลด ช่อดอกตั้งขึ้น ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีชมพูเรื่อ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศผู้มีหนามแหลมยาวซึ่งห้อยลงมาในขณะที่ดอกเพศเมียมีหนามแหลมสั้นไม่ปรากฏให้เห็นได้ง่ายเนื่องจากมักจะซ่อนอยู่ในใบไม้ ก้านดอกยาว 10–20 ซม. ผลแคปซูล 3 แฉก (trilobate) ขนาด ยาว 1.5-2 มม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม.เรียบ มีขน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เหมาะกับตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด(เพื่อให้ได้สีที่เข้มขึ้น) หรือแสงแดดครึ่งวันหรือร่มรำไร อยู่ในที่กำบังลมแรงและดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ มีการระบายน้ำที่ดี ดินจะต้องมีความชื้นอย่างสม่ำเสมอหากแห้งก็มักจะเกิดการร่วงหล่นของใบอย่างรวดเร็ว อาจได้รับความเสียหายจากความแห้งแล้ง อุณหภูมิต่ำสุดที่สูงกว่า 10 °C ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชมีความอ่อนไหวต่อการ ติดเชื้อ เพลี้ยแป้ง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบและยอดอ่อนที่ไม่มีดอกใช้กินเป็นผักสุกกินกับข้าว -ใช้เป็นยา มีความสำคัญในท้องถิ่นเช่นใช้ในการรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา ใบคั้นเอาแต่น้ำเป็นยารักษาอาการท้องร่วงและโรคบิด น้ำใบสดดื่มแก้โรคกล่องเสียงอักเสบ ใช้ใบเคี้ยวเพื่อเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับไส้ติ่งที่แตก -การแช่ใบและเปลือกเป็นยารักษาโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ -ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้จัดสวนอยู่มาก โตเร็ว ปลูกเป็นกลุ่มตัดแต่งทรงพุ่มหรือปลูกเป็นแถวริมรั้วริมทางเดิน สายพันธุ์ที่นิยม- 'Marginata' มีใบสีเขียวทองแดงที่มีขอบสีชมพูหรือสีแดงเข้ม -'Macrophylla' มีใบขนาดใหญ่แตกต่างกันไปด้วยบรอนซ์ครีมเหลืองและแดง ใบของ -'Musaica' มีสีส้มและแดงเป็นจุด ๆ- 'Godseffiana' มีใบแคบหลบตามีขอบสีครีม ** การพูดคุยส่วนตัว ในรูปซ้ายมือใบใหญ่สีแดงและมีรอยจีบน้อย นักจัดสวนสมัยก่อนเรียกก้นว่า หูปลาชะโด คือปลาชะโดมันใหญ่กว่าปลาช่อน เดี๋ยวนี้คงไม่เรียกกันแล้ว เล่าให้ฟังเฉยๆ** ระยะออกดอก---มีดอกตลอดปีในภูมิภาคที่ไม่มีฤดูแล้งเด่นชัด ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง ปักชำยอด
|
|
ประทัดฟิลิปปินส์/Hamelia patens
Pronunciation: huh-MEE-lee-uh PAY-tenz
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hamelia patens Jacq.(1760) ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms ---Hamelia erecta Jacq.(1760) ---Hamelia nodosa M.Martens & Galeotti.(1844) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-96031 ชื่อสามัญ---Scarlet Bush, Firebush, Hummingbird Bush, Redhead, Firecracker Bush. ชื่ออื่น---ประทัดฟิลิปปินส์, ประทัดไต้หวัน ; [Pra tat phi-lip-pin.]; [BELIZ: Ix Canaan (Mayan).means "guardian of the forest.".]; [CHINESE: Chang ge mu.];[FRENCH: Fleur-corail.];[MEXICO: Hoja morada.];[PORTUGUESE: Mato de oreção, Valmoura.]; [SPANISH: Doña Julia, Bálsamo, Busunuvo, Pata de pajaro, Sanalo-todo.]. ชื่อวงศ์---RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุล 'Hamelia' เป็นเกียรติแก่ Henri Louis du Hamel du Monceau (1700-1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงซึ่งเขียนเกี่ยวกับต้นไม้และไม้พุ่ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'patens' หมายถึง การแพร่กระจาย อ้างอิงถึงนิสัยของสายพันธุ์ -ชื่อในภาษามายัน Ix Canaan หมายถึง "guardian of the forest." หรือ "ผู้พิทักษ์แห่งป่า" Hamelia patens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2403
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโคลอมเบียมีช่วงขยายจากอเมริกากลาง - ปานามาถึงเม็กซิโก; แคริบเบียน - ตรินิแดดถึงคิวบาบา ฮามาสและฟลอริดา พบขึ้นในพื้นที่โล่งและพุ่มไม้ในหินปูนชื้นและเชิงเขาตอนล่างที่ระดับความสูง 0 -1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบซึ่งมักจะเติบโตสูง 1.8-3 เมตรแม้ว่าบางครั้งจะกลายเป็นต้นไม้ที่มีความสูงถึง 5 เมตรโดยมีลำต้นสั้น ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 ซม ใบยาว 10-20 ซม.ดอกเป็นหลอด ยาว 2-2.5 ซม.กลีบดอกสีส้มอมแดงสด ผลรูปไข่ถึงรูปทรงกลมยาวประมาณ 5-7 มม.สีแดงถึงม่วงหรือดำ มีเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบแสงแดดตลอดวัน สามารถทนอยู่ในที่ร่มได้นานแต่ดอกจะออกน้อยกว่าอยู่กลางแดดเต็มวัน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้มีเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งของแทนนินและปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ผลมีรสชาติที่สดชื่นและเป็นกรด กินได้ ในเม็กซิโกนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม หมัก -ใช้เป็นยา ผลไม้และใบใช้ในการแพทย์พื้นบ้านสำหรับโรคต่างๆ - ในเบลีซพืชชนิดนี้ใช้สำหรับปัญหาผิวหนังทุกประเภทรวมถึงแผล แผลไฟไหม้ อาการคัน แมลงและสัตว์กัดต่อย -ในเปรู Amazonใช้ใบสำหรับโรคบิดไข้, โรคไขข้อและเลือดออกตามไรฟัน ยาพอกใบอุ่นใช้สำหรับฟกช้ำและเคล็ดขัดยอก -ในบราซิล รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใบแก้หิดและปวดหัว -ยาพื้นบ้านของชาวมายันใช้สำหรับแผลเรื้อรังและเนื้องอก -ใช้ปลูกประดับ ตัดแต่งทรงพุ่มเป็นรูปทรงต่างๆได้ดี ใช้ในการจัดสวน ปลูกเป็นกลุ่มเป็นแปลงขนาดใหญ่ ในสวนสาธารณะ ปลูกเป็นแถว เป็นแนวริมรั้ว ริมกำแพงได้ดี หรือ ริมทางเดิน ริมน้ำตก ลำธาร สระว่ายน้ำ ริมทะเล -อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนแข็ง โดยทั่วไปมีขนาดเล็กเกินไปที่จะมีการใช้ประโยชน์มาก ลำต้นและใบถูกนำมาใช้ในการฟอกหนัง ดอกสีแดงดึงดูดนกฮัมมิ่งเบิร์ดและผีเสื้อสำหรับการผสมเกสร ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ออกดอกมาก มิถุนายน-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด การตอนกิ่ง ปักชำยอด
|
|
ชบาด่างสามสี/Hibiscus rosa-sinensis L.'cooperi'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hibiscus rosa-sinensis 'cooperi' Cultivar---Cooperii ชื่อสามัญ---Rose mallow 'Cooperi', Hibiscus Cooper, Roseflake, Chinese Hibiscus, Chinese-rose, Eastern-rose. ชื่ออื่น---ชบาใบด่าง, ชบาสามสี ;[Chaba dang, Chaba dang sam si.]. ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียใต้ Hibiscus rosa-sinensis 'cooperi'ความเป็นมาของพืชชนิดนี้ค่อนข้างไม่ชัดเจน แต่จากข้อมูลที่กระจัดกระจายเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (หรือชนิดย่อยของHibiscus rosa-sinensis).
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอายุหลายปี (5-10ปี) สูง0.5-2เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบรูปไข่ถึงรูปขอบขนาน ปลายใบ แหลมถึงมน ขอบใบจักฟันเลื่อย ผิวใบด้านบนมีทั้งด่างสีแดงและสีขาว พันธุ์ที่มีใบด่างสีแดงจะ มีสีเขียวปนแดงเกือบทั้งใบ ส่วนพันธุ์ที่มีใบด่างสีขาว จะมีสีเขียวปนเขียวอ่อน ชื่อว่า 'Cooperi Alba' กิ่งก้านของชบาด่างสามสีจะมีสีเขียวปนแดงเรื่อ ดอกสีแดงออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบที่ปลายกิ่งขนาดกว้างถึง 10 ซม. มีทั้งกลีบดอกชั้นเดียวเเละดอกซ้อน กลีบดอกบาง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 กลีบ ปลายกลีบหยักเป็นคลื่น ผล ผลแห้งแตก รูปไข่กลับ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่แสงแดดจัด ดินร่วนปนทราย pH 6.1-7.5 ดินมีการระบายน้ำดี ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อน(Aphids), Scale insects, เพลี้ยแป้ง( mealybugs);โรคราแป้ง(Powdery mildew)อาจเป็นปัญหาได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ในการจัดสวน ปลูกเป็นกลุ่มเป็นแปลงขนาดใหญ่ ในสวนสาธารณะ ปลูกเป็นแถว เป็นแนวริมรั้ว ริมกำแพงได้ดี หรือ ริมทางเดิน ริมน้ำตก ลำธาร สระว่ายน้ำ ริมทะเล หรือปลูกเป็นพืชในภาชนะ -อื่น ๆ ยังมีสายพันธุ์อื่น ๆที่นิยมใช้ปลูกประดับ เช่น 'Snow Queen', 'Roseflake' และ 'Hummels Fantasy' ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีขนาดกะทัดรัดยิ่งขึ้นพร้อมกับความแตกต่างของสีขาวจำนวนมากในใบไม้ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ปักชำ เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
|
|
ละอองดาว/Hypoestes phyllostachya
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Hypoestes phyllostachya Baker.(1887) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2859445 Other scientific names---Hypoestes sanguinolenta Hook.(1887) ชื่อสามัญ---Flamingo- plant, Pink- Dot, Polka Dot, Polka- dot- plant, Freckle- face, Measlesplant. ชื่ออื่น---ละอองดาว ;[JAPANESE: Hipoesutesu, Sobakasusou (Sobakasu kusa).];[PORTUGUESE: Amor-de-pai, Hypoestes, Planta-flamingo.];[RUSSIA: Gipoestes krovavo-krasnyy.];[SWEDISH: Rosenstänk.];[THAI: La-ong-dao.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---HTYPH (Preferred name: Hypoestes phyllostachya.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้,มาดากัสการ์,เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hypoestes' มาจากภาษากรีก 'hypo' หมายถึงภายใต้และ 'estia' หมายถึง บ้านอ้างอิงถึง calyxes ที่ปกคลุมด้วย bracts ; ชื่อสายพันธุ์ 'phyllostachya' มาจากภาษาละตินหมายถึง "มีหนามแหลม" Hypoestes phyllostachya เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Gilbert Baker(1834–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2330 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมาดากัสการ์ แนะนำใน โคลอมเบีย คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เม็กซิโกตอนกลาง อ่าวเม็กซิโก เม็กซิโกตะวันออกเฉียงเหนือ เม็กซิโกตะวันตกเฉียงใต้ หมู่เกาะนอร์ฟอล์ก ปานามา ปารากวัย เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 30-50 ซม.ใบไม้สีเขียวย้อมด้วยจุดสีชมพูม่วง ใบเรียงตรงข้ามรูปไข่และปลายแหลม มีก้านใบยาว 2 ถึง 4 ซม.1ชนิดที่พบมากที่สุดมีใบสีเขียวมีจุดสีชมพูแม้ว่าจะมีตั้งแต่สีขาวจนถึงสีชมพูจนถึงสีแดงก็ตาม จุดที่ด้านล่างของใบมีสีจางกว่ามากมักเป็นสีขาว ดอกขนาดเล็กเกิดที่ปลายลำต้น มีสีชมพู / ม่วงอ่อน ผลไม้เป็นแคปซูล มีเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดครึ่งวันเช้าหรือ แสงแดดรำไร ชอบดินปนทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อแมลงหวี่ขาว เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปลูกในบ้านในสภาพที่ไม่เหมาะสม ระวังโรคราแป้ง. ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกลงดินจะควบคุมการให้น้ำยาก น้อยก็ไม่ได้มากก็ไม่ดี เป็นไม้กระถางหรือกระถางแขวนจะดูแลง่ายกว่า สามารถปลูกภายในอาคารที่มีแสงสว่างส่องทางอ้อม มีหลายสายพันธุ์ที่มีใบหลากสีที่กล่าวถึงได้และได้รับความนิยม เช่น ---Hypoestes phyllostachya 'Camina' มีใบสีเขียวเข้มและสีแดงเลือดนก ---Hypoestes phyllostachya 'Confetti Blush สีขาวมะกอกเขียว ---Hypoestes phyllostachya 'Pink Splash' สีเขียวและชมพูซีด ---Hypoestes phyllostachya 'Red Splash' สีเขียวและสีแดง ---Hypoestes phyllostachya 'White Splash' สีเขียวและสีขาว ได้รับรางวัล--- Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit. ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง
|
|
ลิ้นกระบือ/Exocoecaria cochinchinensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Exocoecaria cochinchinensis Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms ---Antidesma bicolor Hassk.(1844) ---Excoecaria bicolor (Hassk.) Zoll. ex Hassk.(1855) ---Sapium cochinchinense (Lour.) Kuntze.(1898) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-83357 ชื่อสามัญ---Picara, Chinese croton, Blindness tree, Junkle Fire plant, Variegated Leaf. ชื่ออื่น---ลิ้นกระบือ, กระบือเจ็ดตัว, กำลังกระบือ, ใบทองแดง, ลิ้นกระบือขาว, ตาตุ่มไก่, ตาตุ่มนก;[CHINESE: Ji wei su.];[INDIA: Tsillay cheddie, Tilay cheddey.];[INDONESIA: Ki sambang, Daun remek daging, Sambangdaging.];[JAPANESE: Sei-shi-boku.];[MALAYSIA: Buta-buta, Bebuta, Daun sambang, Sambang merah, Sambang darah (Malay).];[SWEDISH: Burgunderbuske.];[THAI: Ka buea, Kamlang krabue, Kra bue chet tua, Lin krabue, Bai thong daeng, Lin krabue khao, Tatum kai, Tatum nok.];[VIETNAM: Cay leiodo.]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE EPPO Code---EXASS (Preferred name: Excoecaria sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ญี่ปุ่น อินเดีย อินโดจีน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Exocoecaria' มาจากภาษาละติน "excoecaria" = ทำให้ตาบอด อ้างอิงถึง รายงานที่ Sap ของต้นไม้ ทำให้ตาบอด ; ชื่อสายพันธุ์ 'cochinchinensis' จากภาษาละติน มาจาก "Cochinchina" ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเวียดนาม Exocoecaria cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีน พบใน มาลายา, พม่า, ไทย, เวียดนาม, ตรินิแดด-โตเบโก ที่ระดับความสูง 0-1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง1-2เมตร ใบมีขนาดขนาด 4-15 x 1.5-4.5 ซม.ใบด้านบนจะมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบสีแดงเลือดหมู ทำให้ดูมีสีสันแทรกความเขียว ดอกไม่โดดเด่น เป็นดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน ดอกเป็นดอกเล็กสีเขียวอ่อน ช่อดอกเพศผู้มีความยาว 1-2 ซม. ในขณะที่ดอกเพศเมียมีดอก 3 ถึง 5 ดอกสั้นกว่าเล็กน้อย ผลเป็นแคปซูล เมล็ดรูปไข่เรียบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้ทั้งกลางแจ้งแดดตลอดวัน หรือแดดรำไร ดินที่ชื้นและมีการระบายน้ำได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---มักปลูกเป็นไม้ประดับโดยเฉพาะสีของใบและบางครั้งก็ปลูกเพื่อใช้เป็นยา -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้พุ่ม ไม้คลุมดิน เสน่ห์ของต้นไม้ต้นนี้อยู่ที่ใบ ปลูกเป็นไม้ประดับเขตร้อน พันธุ์หลากสียอดนิยมคือ "Firestorm." -ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาแก้คันและห้ามเลือด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทุกส่วนของพืชใช้เป็นยาในการรักษาโรคหัด ตาอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ -ใบต้มหรือคั่ว เป็นยาพื้นบ้านสำหรับลมพิษ เริมและงูสวัด -อืน ๆในประเทศไทยปลูกกันมานานกว่า 40 ปี สมัยก่อนนิยมใช้ใบนำมาจ้ดตกแต่งพานพุ่ม รู้จักอันตราย---น้ำยางเป็นสารระคายเคืองและใช้เป็นยาเบื่อปลา ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ
|
|
ลิ้นกระบือด่าง/Excoecaria cochinchinensis 'Firestorm'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Excoecaria cochinchinensis 'Firestorm' ชื่อพ้อง ---None set ชื่อสามัญ ---Variegated Chinese, Croton Chinese ,Croton Variegated, Blindness Tree,Buta Buta ชื่ออื่น---ลิ้นกระบือด่าง ลิ้นกระบือใบด่าง ; [THAI: Lin krabue dang, Lin krabue bai dang.]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ ต้นนี้ใบจะแตกต่างออกไปจากลิ้นกระบือปกติ คือสีเขียวของด้านบนใบจะเป็นสีเขียวมะกอกมีสีครีมออกเหลืองหน่อยๆแทรก ส่วนใต้ใบเป็นสีแดงเลือดหมูหรือสีแดงคล้ำเหมือนกัน ต้นนี้จะโตช้ากว่า ความสูงของทรงต้นเมื่อโตเต็มที่อยู่ประมาณ 90-120ซ.ม.แต่ปลูกแล้วจะดูสวยเต็มที่ตอนต้นสูงประมาณ 30-40 ซ.ม.สูงกว่านั้นถ้าขาดการดูแลตัดแต่งอย่างสม่ำเสมอต้นจะเก้งก้าง อีกอย่างลิ้นกระบือทั้งสองต้นเป็นไม้นิยมพวกพ้อง เวลาปลูก ควรปลูกเป็นกลุ่ม เป็นแถว เป็นแนว ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
|
แพงพวย/Catharanthus roseus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Catharanthus roseus (L.) G.Don.(1836) ชื่อพ้อง--- Has 15 Synonyms ---Basionym: Vinca rosea L.(1759) ---Ammocallis rosea (L.) Small.(1903) ---Lochnera rosea (L.) Rchb. ex Endl.(1838) ---Pervinca rosea (L.) Gaterau.(1789) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-35719 ชื่อสามัญ---Madagascar rosy periwinkle, West Indian Periwinkle, Cayenne jasmine, Cape periwinkle, Rose periwinkle, Rosy periwinkle, Old-maid , Graveyard plant, Bright eyes, Churchyard Blossom. ชื่ออื่น---ผักปอดบก, แพงพวยบก, แพงพวย;[ASSAMESE: Nayantara,Pirali Kunwori.];[AUSTRALIA: Madagascar periwinkle, Pink periwinkle.];[BAHAMAS: Old maid, Red periwinkle.];[BENGALI: Nayantara.];[BRAZIL: Boa-noite, Boa-tarde, Lavadeira, Pervinca-rosa, Vinca-de-gato, Vinca-rósea.];[CHINESE: Chang chun hua, Cháng chūn huā shǔ.];[CUBA: Vicaria.];[CZECH: Katarantus.];[DOMINICAN: Buenas tardes, Cangrejera, Libertine, Mujer vegana, Todo el año, Vagabunda vegana.];[FRENCH: Catharanthe, Fleurs des meres, Fleurs des roches, Pervenche de Madagascar, Pervenche du pays.];[GERMAN: Madagaskar-Immergrün, Tonga.];[HAITI: Pervenche blanche, Pervenche rose, Petit perbenche rose, San cesse, Sans cesse blanche, Sans cesse rose.];[HINDI: Sadasuhagi, Sadabahar, Sadaphuli.];[INDONESIA: Bunga serdadu, Kembang tembaga, Tapak dara.];[JAMAICA: Ram-goat rose.];[JAPANESE: Binka, Nichi-nichi-ka, Nichi-nichi-sô.];[MALAYALAM: Shavam Naari.];[MALAYSIA: Kemunting china, Rumput jalang, Tahi ayam.];[MARATHI: Sadaphuli.];[PERSIA: Gul-e-farang.];[PHILIPPINES: Amnias, Chichirica, Kantotai.];[PORTUGUESE: Cataranto, Maria sem-vergonha, Pervinca-de-Madagascar, Vinca-de-gato, Vinca-de-madagáscar.];[PUERTO RICO: Cangrejera, Desbarata casamiento, Flor de todo el año, Jazmín del mar, Playera.];[RUSSIA: Barvinok rozovyy, Katarantus rozovyy.];[SPANISH: Adorna patio, Chatas, Chula, Flor boba, Flor de todo el año, Jazmín de la mar, Rosa catalana.];[SWEDISH: Ogonklara, Rosensköna.];[TAMIL: Nithyakalyaani.];[THAI: Phaeng phuai, Phaeng phuai bok, Phakpot bok.];[USA: Madagascar periwinkle, Rose periwinkle.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---CTURO (Preferred name: Catharanthus roseus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---ยุโรป (กรีซ); แอฟริกา (เอริเทรีย เอธิโอเปีย มาลาวี โมซัมบิก แซมเบีย มอริเชียส เรอูนียง เซเชลส์ ; เอเชีย - ทรอปิคอล ( ศรีลังกา ปาปัวนิวกินี ไทย มาเลเซีย ; ออสตราเลเซีย (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ [หมู่เกาะเคอร์มาเดค] ; อเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา -ฟลอริดา) ; แปซิฟิก สหรัฐอเมริกา (ฮาวาย) หมู่เกาะมาร์แชล, ไมโครนีเซีย, เฟรนช์โปลินีเซีย ฟิจิ นิวแคลิโดเนีย นีอูเอ ตองกา สหรัฐอเมริกา [อเมริกันซามัว] ; แคริบเบียน: แองกวิลลาแอ นติกาและบาร์บูดา บาฮามาส บาร์เบโดส หมู่เกาะเคย์แมน คิวบา โดมินิกาสาธารณรัฐ โดมินิกัน กวาเดอลูป เฮติ จาเมกา มาร์ตินีก มอนต์เซอร์รัต เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ , สหรัฐอเมริกา, [เปอร์โตริโกหมู่เกาะเวอร์จินสหรัฐอเมริกา] หมู่เกาะเวอร์จิน (อังกฤษ) ; อเมริกากลาง (เบลีซ คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิการากัว ปานามา เวเนซุเอลา) ; อเมริกาใต้ (โบลิเวีย เอกวาดอร์ [กาลาปากอส] เปรู) อาร์เจนตินา ปารากวัย , อุรุกวัย) Catharanthus roseus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2379
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรอินเดียตะวันตก: มาดากัสการ์ แต่ปลูกกันอย่างแพร่หลายและมีสัญชาติในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและเขตร้อนของโลก มักพบในบริเวณที่เป็นทรายตามแนวชายฝั่ง ริมฝั่งแม่น้ำ ในทุ่งหญ้าสะวันนาและตามริมถนนบางครั้งในป่าเปิดหรือป่าละเมาะโดยปกติจะอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเล แต่บางครั้งก็ถึงที่ระดับความสูง 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เนื้ออ่อนพุ่มเตี้ยสูงประมาณ สูง 30 - 100 ซม.น้ำยางสีขาวมีอยู่ในทุกส่วนของพืช ใบรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ขนาดใบ 2.5-9 x 1-3.5 ซม. ใบออกเป็นคู่เรียงสลับตามข้อต้น ใบสีเขียวมันวาวไม่มีขนมีเส้นกลางใบสีซีดและก้านใบสั้น 1-1.8 ซม. ดอกออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ3-6ดอก ดอกมี5กลีบ เส้นผ่านศูนย์กลางดอก2-5 ซม.ผลแห้งแตกได้ เมล็ดขนาดเล็กสีน้ำตาลดำจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถขึ้นได้ในดินทุกชนิด แม้แต่ตามหาดทรายชายทะเล ก็ขึ้นได้ตามปกติ ทนต่อเกลือในดินได้มาก ชอบ pH ในช่วง 6 - 7 ทนได้ 5.5 - 7.5 ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนผีเสื้อกัดกินใบ/ไม่ทนต่อโรคราและโรคเน่าคอดิน ใช้ประโยชน์---พืชนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์แผนโบราณในแอฟริกาและเอเชีย มักรวบรวมมาจากป่าและยังมีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย การค้นพบล่าสุดของสารประกอบ vincristine ในพืชได้นำไปสู่การเพาะปลูกเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะในสเปนจีนและสหรัฐอเมริกาเนื่องจากสารประกอบดังกล่าวพิสูจน์ตัวเองว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว -ใช้ปลูกประดับ ปลูกลงแปลงเป็นกลุม เป็นแถวเป็นแนว ปลูกเป็นไม้กระถางหรือปลูกเป็นไม้กระถางแขวน ปัจจุบันมีแพงพวยสีใหม่ๆมากมาย แพงพวยพันธุ์ใหม่จะมีขนาดเตี้ยกว่าแพงพวยพันธุ์เดิม และความคงทนสู้พันธุ์เดิมไม่ได้ แพงพวยพันธุ์ใหม่จะปล่อยให้ขาดน้ำไม่ได้ยุบตัวแล้วรดน้ำไม่ค่อยฟื้น แต่ก็มีความสวยงามน่ารักมากทำให้เป็นที่นิยม สายพันธุ์ที่โดดเด่น ได้แก่ 'Albus' (ดอกไม้สีขาว), 'Grape Cooler' (กุหลาบ - ชมพู, พันธุ์ที่ทนต่อความเย็น), Ocellatus Group (สีต่างๆ) และ 'Peppermint Cooler' (สีขาวตรงกลางสีแดงทนต่อความเย็นได้) -ใช้เป็นยา ใช้ในในอายุรเวท (ยาแผนโบราณของอินเดีย) สารสกัดจากรากและยอดของมันแม้ว่าจะมีพิษ แต่ก็ถูกนำมาใช้กับโรคต่างๆ- ในการแพทย์แผนจีน , สารสกัดถูกนำมาใช้กับโรคจำนวนมากรวมถึงโรคเบาหวาน , โรคมาลาเรีย โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง -การทดสอบโดย บริษัท ยาในปี 1950 พบว่ามีสารอัลคาลอยด์ที่ออกฤทธิ์ทางการแพทย์จำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประกอบ vincristine ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้รับรางวัล---Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit 2017 ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ การปักชำในน้ำจะทำให้เกิดรากได้เช่นกัน แต่จะใช้เวลานานกว่าในดิน
|
|
เทียนบ้าน/Impatiens balsamina
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Impatiens balsamina L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms. ---Balsamina angustifolia Blume.(1825) ---Impatiens coccinea Sims.(1809) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2862179 ชื่อสามัญ---Garden Balsam, Garden jewelweed, Rose balsam, Spotted snapweed, Touch-me-not ชื่ออื่น---เทียนบ้าน, เทียนดอก, เทียนสวน, เทียนไทย, เทียนขาว, เทียน (ภาคกลาง);[ASSAMESE: Keruphul, Dopati, Damdeuka.];[BENGALI: Dopati.];[BRUNEI DARUSSALAM: Banga pacar, Bungar pecar.];[CHINESE: Feng xian hua.];[CUBA: Espuela, Espuela de gallo, Jardines.];[CZECH: Netýkavka balzamína.];[FRENCH: Balsamine, Balsamine des jardins, Impatiente.];[GERMAN: Balsamine, Garten-Springkraut, Gartenspringkraut.];[HINDI: Gulmehendi.];[INDIA: Dopati; Dushparijati, Tatur, Terada.];[INDONESIA: Laka gofu, Pacar air, Pacar banyu.];[ITALIAN: Balsamina.];[JAPANESE: Honenuki, Hôsenka, Impachensu, Ttsumabeni, Tsumakurenai, Tsuri-fune-so.];[KANNADA: Karnakundala, Karnamandala.];[KOREAN: Bong seon hwa.];[LESSER ANTILLES: Gekweekt.];[MALAYALAM: Thottachinungi, Thilam Oonappuu,Mechingam.];[MALAYSIA: Bungatabo, Inai ayer, Keembong.];[MARATHI: Terada, Gulmendi.];[MYANMAR: Dau dalet.];[NEPALI: Tiuree.];[PHILIPPINES: Kamantigi, Solonga.];[PORTUGUESE: Balsamina-dos-jardins, Beijo de frade.];[PUERTO RICO: Espuela de galán.];[SAINT LUSIA: Busy-lizzie.];[SANSKRIT: Dushparijati, Tairini.];[SPANISH: Balsamina, Chachupina, Chico, Madama, Mírame-lindo.];[SWEDISH: Balsamin.];[TAMIL: Utakatam, Aivartyenki, Kacit-tumpai.];[TELUGU: Gulivinda, Mudda gorinta.];[THAI: Thian baan; Thian suan, Thian dok.];[URDU: Gul mehendi.]. ชื่อวงศ์---BALSAMINACEAE EPPO Code---IPABA (Preferred name: Impatiens balsamina.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ยุโรป เอเชีย อเมริกา โอเชียเนีย แอฟริกา เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก Impatiens balsamina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เทียนดอก (Balsaminaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและพม่า มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในยุโรป เอเชีย อเมริกา โอเชียเนียและบางส่วนของแอฟริกาเขตร้อนและได้มีการแปลงสัญชาติรุกรานบนเกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก แคริบเบียนรวมถึงคอสตาริกา เปรู หมู่เกาะกาลาปากอส ฟิลิปปินส์ พบเกิดขึ้นตามพื้นที่เปียกค่อนข้างโล่งหรือเป็นป่าพง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-2,100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก อยู่ได้ราว1ปี ต้นสูงประมาณ 20-70 ซม.ลำต้นแตกกิ่งก้านใกล้กับโคนต้น ข้อกลวง ต้นใหญ่ เป็นรูปกลมทรงกระบอก กิ่งก้านสีเขียวอ่อนอมแดงอวบน้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเวียนรอบต้น ใบรูปรีกว้าง ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบจักเป็นซี่ฟันตลอดทั้งขอบใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-4 ซม.ยาวประมาณ 6-10 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้มหลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบ 2-13 มม. ดอกออกตามซอกใบและซอกกิ่ง ดอกเป็นช่อประมาณ 2-3 ดอก หรือออกเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-5 ซม.มีดอกซ้อนและดอกชั้นเดียวมีหลายสีเช่น ขาว ม่วง แดง ชมพู ผลเป็นแคปซูลรูปทรงรีขนาด 12-20 x 6-8 มม. ผิวผลมีขนยาวสีขาวปกคลุม ผลมีก้านยาวสีเขียว ผลเป็นแคปซูลกระเปาะมีรอยแยกแบ่งเป็น 5 กลีบ เมื่อแก่เต็มที่จะแตกออกตามยาว เปลือกจะบิดม้วนและดีดเมล็ดออกมา ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้มถึงดำ มีรอยกระอยู่หลายเมล็ด เมล็ดกลมหรือเป็นรูปไข่แบน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งร่มรำไรแสงแดดอ่อน ชอบดินร่วนซุยที่มีธาตุอาหารสมบูรณ์ ดินที่ชื้นและมีการระบายน้ำได้ดี สามารถเติบโตได้ในดินหลายประเภท เช่นดินเหนียว ดินทรายและดินร่วนที่มี pH อยู่ในช่วง 5.6-7.5 ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาสีย้อม ฯลฯ และมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในเขตร้อนและเขตอบอุ่น -ใช้กิน ใบและยอดอ่อน - สุก กินได้ ในอดีตชาวบาหลีจะนำใบเทียนบ้านมากินเป็นอาหาร -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกกันเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน ตามสถานที่ราชการต่าง ๆ หรือตามสวนยาจีน สวนทั่ว ๆ ไป ปลูกเลี้ยงง่ายโตเร็ว ดอกจะทยอยบานทนนาน1เดือน เมื่อเมล็ดร่วงจะงอกได้เองในฤดูฝนหรือเมื่อได้รับน้ำ -ใช้เป็นยา สายพันธุ์นี้ถูกใช้เป็นยาแผนโบราณในเอเชียสำหรับโรคไขข้อกระดูกหักและโรคอื่น ๆ น้ำคั้นจากใบใช้รักษาหูดและงูกัดและใช้ดอกไม้กับแผลไฟไหม้ -ในเกาหลีการแพทย์พื้นบ้านใช้ดอกไม้ชนิดนี้ นำมาใช้เป็นยาที่เรียกว่า Bongseonhwa dae สำหรับการรักษาของอาการท้องผูกและโรคกระเพาะ -ชาวจีนใช้พืชชนิดนี้ในการรักษาผู้ที่ถูกงูกัดหรือผู้ที่กินปลามีพิษเข้าไป-เมล็ดเป็นยาขับเสมหะและใช้ในการรักษามะเร็ง ยาต้มรากดื่มเพื่อรักษาประจำเดือนที่ผิดปกติ บางครั้งรากจะถูกบดและใช้ในการพอกแผลการอักเสบของผิวหนังและเล็บที่ฉีกขาด -ลำต้นใบและน้ำมันของเมล็ดใช้ในยาแผนโบราณของเอเชียเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตและบรรเทาอาการปวดและเจ็บคอ -อื่น ๆ ชาวเวียดนามสระผมด้วยสารสกัดจากพืชเพื่อกระตุ้นการงอกของเส้นผม -ใบสดนำมาต้มกับน้ำใช้สระผม จะช่วยบำรุงผม ทำให้ผมดกดำ -ดอกไม้มักใช้ในเอเชียสำหรับการย้อมเล็บมือและเล็บเท้าของผู้หญิงเป็นสีส้ม ความเชื่อ/พิธีกรรม---ชื่อของต้นเทียน เปรียบเสมือนสิ่งที่ให้แสงสว่างที่ชาวพุทธใช้ในการบูชาพระรัตนตรัย และใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ถือเป็นชื่อที่เป็นมงคล รู้จักอันตราย---ในการใช้เป็นยา รากของต้นเทียนบ้านหากกินในปริมาณมาก หรือใช้ติดต่อกันนาน ๆ หรือกินบ่อย ๆ จะเป็นอันตรายต่อม้ามและกระเพาะ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
เพ็ญทิวา/Asystasia intrusa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Asystasia intrusa (Forssk.) Blume.(1826) ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms ---Asystasia gangetica subsp. micrantha (Nees) Ensermu.(1994) ---Asystasia coromandeliana var. micrantha Nees.(1847) ---More.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:45747-1#synonyms ชื่อสามัญ---Ganges primrose, Philippine violet, Creeping foxglove ชื่ออื่น---บาหยา,ย่าหยา,เพ็ญนภา ;[AFRIKAANS: Isihobo (Zulu).]; [CHINESE: Shi wan cuo shu.];[THAI: Baya, Yaya, Pen na phaa, Pen thi wa.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---ASYIN (Preferred name: Asystasia intrusa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย, ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---แอฟริกาใต้-เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Asystasia' หมายถึงความไม่สอดคล้องกันและเกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่ากลีบดอกมีความสม่ำเสมอมากหรือน้อยซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติในตระกูล Acanthaceae ; ชื่อสายพันธุ์ 'gangetica' = มาจากแม่น้ำคงคาในอินเดียซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นสายพันธุ์ที่เกิดขึ้น Asystasia intrusa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskal (1732–1763) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2369 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาอินเดียและศรีลังกาพบแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลายมักอยู่ในที่ร่มที่ระดับความสูงถึง1,600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 1 เมตร กิ่งก้านมักทอดยอดเลื้อย ดอกใหญ่สีชมพูงเข้ม หรือม่วงแดงขลิบขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดครึ่งวันหรือรำไร สามารถปลูกในดินใดก็ได้ในสวน แต่จะดีกว่าถ้าใส่ปุ๋ยหมักมาก ๆเป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่าย ให้ดอกดก โตเร็ว ใช้ประโยน์---ใช้กิน ใบไม้ถูกคนในท้องถิ่นกินเป็นผักโขม -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดิน ใช้ปลูกเป็นจำนวนมากภายใต้ต้นไม้ใหญ่และมีแนวขอบที่มีแสงแดดส่องถึงกึ่งร่มหรือในที่ร่ม ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง
|
|
ก้ามปูหลุด/Tradescantia zebrina
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Tradescantia zebrina Bosse.(1849) ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-270513 ---Cyanotis zebrina (Bosse) Nees.(1851) ชื่อสามัญ---Cockroach grass, Inch plant, Purple wandering jew, Silver inch plant, Striped trad, Striped wandering creeper, Striped wandering jew, wandering dude, Wandering zebrina, Zebra plant. ชื่ออื่น---ก้ามปูหลุด, ยิวพเนจร;[BRAZIL: Judeu-errante; Lambari; Trapoeraba-roxa.];[CHINESE: Diao zhu mei.]; [CUBA: Cucaracha.];[FRENCH: Misère; Mizè.];[GERMAN: Silber-Dreimasterblume.];[LESSER ANTILLES: Kakalaka.];[PUERTO RICO: Cohitre morado, Judeu-errante, Lambari, Lambari-roxo, Onda-do-mar, Trapoeraba-zebra.];[SPANOSH: Barbija; Cañutillo; Hoja de milagro.];[THAI: Kaam poo hlood, Yew pha nae chon.]. ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE EPPO Code---TRASS (Preferred name: Tradescantia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เบลีซ โคลอมเบีย คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เม็กซิโก นิการากัว ปานามา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Tradescantia' เป็นชื่อที่ Carl Linnaeus (1707–1778) อุทิศเพื่อเป็นเกียรติแก่ John Tradescant Jr.(1608-1662) นักธรรมชาติวิทยาและนักเดินทาง ผู้แนะนำพืชอเมริกันหลายสายพันธุ์ที่เก็บรวบรวมในการสำรวจสามครั้งที่เขาทำในเวอร์จิเนีย (สหรัฐอเมริกา) สู่สหราชอาณาจักร Tradescantia zebrina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anna Antoinette Weber-van Bosse (1852–1942) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2392 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก แต่ได้รับการแนะนำอย่างกว้างขวางในที่อื่น ในฐานะไม้ประดับในสวน ปัจจุบันมีอยู่ในออสเตรเลียหมู่เกาะแปซิฟิกต่างๆ แคริบเบียน บางส่วนของอเมริกากลางและใต้ สหรัฐอเมริกาตอนใต้ แทนซาเนีย เอเชียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในธรรมชาติพบบนหินและบนพื้นดินในป่าดิบชื้นที่ร่มรื่นที่ระดับความสูง 60-1,500 เมตร การรุกราน จัดอยู่ในประเภท Invasive Species Category 1b ในแอฟริกาใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถปลูกหรือขยายพันธุ์ได้อีกต่อไป ห้ามการค้าเมล็ดพันธุ์ กิ่งตอน หรือวัสดุขยายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมด ไม่อาจขนย้ายหรือปล่อยให้กระจัดกระจายได้ ไม่ว่าจะในเขตชนบทหรือในเขตเมือ นอกจากนี้ยังเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานในหมู่เกาะกาลาปากอส ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอวบน้ำ ลำต้นทอดเลื้อยไปตามผิวดินออกรากไปตามข้อ ใบรูปขอบขนานถึงรูปไข่ยาว 2-5 ซม ปลายใบแหลม สีเขียวเข้มมีแถบเทาเงิน 2-3 แถบ ด้านหลังใบสีม่วงแดง ดอกสีชมพูถึงสีม่วงกลีบดอกรูปไข่ยาว 10-12 มม.บอบบางเชื่อมครึ่งล่างเป็นหลอดสีขาวแคบ ผลเป็นแคปซูล 3 แคปซูล มี 1-2 เมล็ดต่อแคปซูล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบแสงแดดรำไรหรือแดดช่วงเช้า ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย pH 6-8 การดูแลไม่ต้องให้ปุ๋ยบ่อยนักปีละครั้งสองครั้งก็พอเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก็ได้ ตัดแต่งกิ่งเสมอจะอยู่ได้นาน กิ่งที่ตัดทิ้งนำมาปักชำได้ ควรให้น้ำแต่น้อยแต่ให้บ่อยๆ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง โรครากเน่าและโคนเน่าสามารถเกิดขึ้นได้ในดินแฉะ ตรวจสอบเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว และไรเดอร์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือใส่กระถางแขวนเป็นไม้แขวนประดับให้ห้อยลงมาก็ได้ มีหลายพันธุ์ที่มีสีม่วงค่อนข้างมากและใบมีลาย ชมพู แดงและสีขาวพาดตามยาว ชื่อสามัญจะคล้ายกัน กับก้ามปูหลุดธรรมดา ลักษณะต้นทอดเลื้อยแผ่ไปตามผิวดินชูยอดตั้งขึ้น ใบ สีแดงเข้มสวยงามแปลกตามาก รู้จักอันตราย---การสัมผัสกับน้ำยางใสในพืชทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังในบางคน ได้รับรางวัล---สายพันธุ์ Tradescantia zebrina และพันธุ์ 'Purpusii' และ 'Quadricolor' ได้รับรางวัล Garden Merit Award (AGM) จาก Royal Horticultural Society (RHS) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำลำต้น
|
|
ปีกแมลงสาบ/Pellionia pulchra
ชื่อวิทยาศาสตร์---Procris repens (Lour.) B.J.Conn & Hadiah.(2011) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Pellionia pulchra N.E.Br.(1882) ---Pellionia repens (Lour.) Merr.(1928) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/77118256-1#synonyms ชื่อสามัญ---Pellonia, Polynesian Vines, Trailing watermelon Begonia, Wavy Watermelon Begonia, Satin Creeper, Rainbow Vine, Watermelon Vine ชื่ออื่น---ปีกนางฟ้า, ปีกแมลงสาบ;[CHINESE: Tu yan hua.];[JAPANESE: Purukura, Hanabisô, Perionia.];[THAI: Peek nang faa, Peek ma-laeng saab.]. ชื่อวงศ์---URTICACEAE EPPO Code---PWARE (Preferred name: Pellionia repens.) syn ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : ภูฏาน อินเดีย จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pellionia ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ AMJ Alphonse Pellion (1795-1868) นายทหารเรือหนุ่มชาวฝรั่งเศส Procris repens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตำแย (Urticaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Barry John Conn (Barry Conn, born 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และ Hadiah ในปี พ.ศ.2554 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่อยู่ในเวียดนาม พม่า คาบสมุทรมาเลเซียและโพลินีเซีย ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี มีลำต้นสีม่วงเทามีจุดด่างดำ เป็นพืชลำต้นทอดเลื้อยที่มีความสูงไม่เกิน 20-25 ซม.เป็นไม้ค่อนข้างอวบน้ำ กิ่งก้านมีสีน้ำตาลแดงเรื่อ ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว ใบรูปรีถึงรูปไข่สีเขียวอ่อนมีเส้นใบสีน้ำตาลเข้มโดดเด่น คมชัด ดอกสีขาว แดงอมชมพูเรื่อๆ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายและโตเร็ว ชอบดินโปร่ง ดินมีการระบายน้ำดี ชอบความชุ่มชื้นและแสงจ้า แต่ไม่ใช่การสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ให้ชื้นแต่ไม่แฉะ การดูแล ปุ๋ยให้ปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยเม็ดละลายช้า หรือใช้ปุ๋ยยูเรียเล็กน้อยผสมน้ำรดให้เดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ คลุมดิน เหมาะปลูกใส่กระถางหรือตะกร้าแขวน มีหลายสิบสายพันธุ์ ที่พบมากที่สุดในการเพาะปลูก คือชนิดใบกลม ชนิดใบยาวปลายใบแหลม สีเขียว ชนิดใบยาวปลายใบแหลม สีแดง ระยะออกดอก---ตลอดปี การขยายพันธุ์ ---ปักชำ
|
|
เกล็ดแก้ว/Alternanthera bettzichiana
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Alternanthera bettzichiana (Regel) G.Nicholson.(1884) ชื่อพ้อง---Has 39 Synonyms ---Achyranthes bettzickiana (Regel) Standl.(1917) ---Alternanthera ficoidea var. bettzickiana (Regel) Backer.(1949) ---Alternanthera spathulata Lem.(1865) ---Alternanthera versicolor f. aurea Voss.(1896) ---Telanthera bettzickiana Regel.(1862) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2631089 ชื่อสามัญ---Baptist plant, Calico plant, Joyweed, Joseph's coat, Parrot leaf, Shoofly. ชื่ออื่น---เกล็ดแก้ว, ผักเป็ดด่าง, ผักเป็ดฝรั่ง;[CHINESE: Jǐn xiù xiàn.];[FRENCH: Alternanthère de Bettzick.];[GERMAN: Papageienblatt.];[JAPANESE: Moyoubiyu.];[MALAY: Djukut selon.];[RUSSIA: Alternanthera Betzick, Telanter Betzik.];[SPANISH: Jamón con huevos, Pajarito, Sanguinaria, Sinvergüencita.];[THAI: Klet kaew, Pàkbpèt dang, Pàkbpèt fà-ràng.]. ชื่อวงศ์---AMARANTHACEAE EPPO Code---ALRBE (Preferred name: Alternanthera bettzichiana.) ถิ่นกำเนิด----ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อน Alternanthera bettzichiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ บานไม่รู้โรย (Amaranthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard August von Regel (1815–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Nicholson (1847-1908) นักพฤกษศาสตร์และนักพืชสวนชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย อาจมีต้นกำเนิดในบราซิล แต่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายและพบได้ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพืชป่าอย่างแท้จริงบางครั้งมันก็หลุดรอดจากการเพาะปลูกและพบได้ในพื้นที่เปิดโล่งที่มีแสงแดดส่องถึง ที่ระดับความสูง 0- 2,600 เมตร ลักษณะ เกล็ดแก้ว เกล็ดทับทิม เป็นไม้คลุมดินกิ่งก้านเล็ก สูงระหว่าง 20 ถึง 50 ซม. สีเขียวปนขาว มีขนสั้นปกคลุม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปรีถึงรูปไข่ กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 2-6 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบบิดและย่น ห่อขึ้นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มอมเทาปนสีเขียวอ่อน ด่างสีขาวครีมถึงเหลืองนวล ในแต่ละใบไม่เท่ากัน ก้านใบยาว ดอกขนาดเล็กสีขาวออกเป็นแบบช่อเชิงลดตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง ใบประดับ ยาว 1.5 ถึง 3 มม. กลีบดอกและกลีบเลี้ยงมีสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---คำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ดินที่อุดมด้วยอินทรีย์และความชื้นสม่ำเสมอ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบและยอดอ่อน - ดิบหรือสุก ปรุงรสอ่อน ๆ สามารถกินในสลัดหรือต้มและใช้เป็นผัก -ใช้เป็นยา ผักปรุงสุกให้เด็กที่เป็นโรคโลหิตจางกินเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง -ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิยมจัดสวนหย่อมเป็นไม้แถวหน้า เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในประเทศจีนซึ่ง "ปลูกในเมืองใหญ่เกือบทั้งหมด" พืชสามารถตัดแต่งและปลูกเป็นไม้พุ่มเตี้ย พันธุ์ 'สีแดง' มีลักษณะคล้ายกับ Alternanthera dentata และ Alternanthera brasiliana บางสายพันธุ์ -วนเกษตร พืชมีระบบรากที่กว้างขวางและปลูกในพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเป็นพืชคลุมดินและเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
เกล็ดทับทิม/Alternanthera bettzichiana
ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แดดจัด น้ำปานกลาง นิยมจัดสวนหย่อมเป็นไม้แถวหน้า
|
|
แสยก/Euphorbia tithymaloides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Euphorbia tithymaloides L.(1753) ชื่อพ้อง--- Has 34 Synonyms. ---Pedilanthus tithymaloides (L.) Poit.(1812) ---Tithymalus tithymaloides (L.) Croizat.(1937) ---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-82541 ชื่อสามัญ---Redbird flower, Devil's-backbone, Redbird cactus, Jewbush, Buck-thorn, Cimora misha, Christmas candle, Fiddle flower, Ipecacuahana, Jacob's ladder, Japanese poinsettia, Jew's slipper, Milk hedge, Myrtle-leaved spurge, Padus-leaved clipper plant, Red slipper spurge, Slipper flower,Slipper plant, Slipper spurge,Timora misha,Zig-zag plant. ชื่ออื่น---แสยก, นางกวัก, ว่านสลี, ว่านจะเข็บ, เคียะไก่ไห้, กะแหยก, แสยกสามสี, มหาประสาน, ย่าง;[ASSAMESE: Ranghita.];[BENGALI: Airi, Baire, Agia "rang chita".];[BRAZIL: Dois-amores, Sapatinho-de-judeu.];[CHINESE: Hóng què shān hú, Tuo xie hua, Yang shan hu, Niu qu cao, Yu dai gen.];[COLOMBIA: Clavos de Cristo.];[CUBA:Itamo real.];[FRENCH: Bois lait, Herbe à cors, Echine du diable. Pantoufle.];[GERMAN: Pantoffelstrauch, Teufelsruckgrat.];[HAITI: Gros négre; Porcelaine; Z’herbe de l’eau.];[HINDI: Agia, Baire, Airi.];[INDONESIAN: Pokok lipan, Pohon sig-sag, Sig-sag, Penawar lilin.];[JAMAICA: Monkey fiddle.];[JAPANESE: Gin-ryu, Pedeiransasu.];[MALAYALAM: Tattam'macceṭi.];[MALAYSIA: Lalipan, Pedong, Penawar lipan, Pokok lipan, Tentulang jantan.];[MEXICO: Euforbia anti-alcoholica, Zapatilla del diablo.];[PERU: Planta magica, Cimora misha.];[PHILIPPINES: Luha, Luhang-dalaga (Tag.).];[PORTUGUESE: Flor-chinela, Sapatinho do diablo, Poinsétia-do-Japão.];[PUERTO RICO: Ipecacuahana.];[SAMOA: Atualoa.];[SPANISH: Bitamo, Gallito colorado, Pie de nino, Timora misha, Itamo real, Zapatito rojo, Zapatito de la Vergen.];[SWEDISH: Skobuske.];[THAI: Sa yak, Nang kwak, Wan sali, Wan cha-khep, Khia kai hai, Sa yak sam si, Maha prasan, Yang.];[TONGA: Matavivi, Feo.];[VIETNAMESE: Dương san hô, Hồng tước san hô, Cây thuốc giấu.]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE EPPO Code---PDNTI (Preferred name: Euphorbia tithymaloides.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามัน บังคลาเทศ หมู่เกาะเวสต์อินดีสต์ เกาะเคแมน อเมริกาใต้ แอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Euphorbia ได้รับในปี 1753 โดย Carl Linnaeus นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานเพื่อเป็นเกียรติแก่ Euphorbus แพทย์ชาวกรีกของ Juba II Euphorbia tithymaloides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 ชนิดย่อย พันธุ์ รูปแบบ และพันธุ์พืชในกลุ่ม Euphorbia tithymaloides -Euphorbia tithymaloides subs. angustifolia (Poit.) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides subs. bahamensis (Millsp.) V.W.Steinm.(2012) -Euphorbia tithymaloides subs. jamaicensis (Millsp. & Britton) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides subs. padifolia (L.) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides subs. parasitica (Boiss. ex Klotzsch) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides subs. retusa (Benth.) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides subs. smallii (Millsp.) V.W.Steinm.(2003) -Euphorbia tithymaloides f. variegata hort.(2003) พ่อพันธุ์แม่พันธุ์เป็นพันธุ์พื้นเมืองในทวีปอเมริกาเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (จากฟลอริดาในอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ไปจนถึงลุ่มน้ำอเมซอนและในทะเลแคริบเบียน) นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อนทั่วโลก ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในฟลอริดา (สหรัฐอเมริกา) เม็กซิโกอเมริกากลางอเมริกาใต้ตอนเหนือและหมู่เกาะส่วนใหญ่ในทะเลแคริบเบียน มีการกระจายพันธุ์ไปทั่วโลกในฐานะไม้ประดับ สายพันธุ์นี้ได้รับการแนะนำในเอเชีย แอฟริกา ฮาวายและหมู่เกาะเล็ก ๆ ในโอเชียเนียและแคริบเบียน มีการแปลงสัญชาติในบังกลาเทศ ชาด แกมเบีย ซึ่งเกิดขึ้นบนเนินเขาพื้นที่รกร้างและริมถนนที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร ปัจจุบันมีการระบุว่ารุกรานในนิวแคลิโดเนีย, บริติชอินเดียน, เกาะเวก (Wake) ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะรอบนอกของสหรัฐอเมริกาโอเชียนเทร์ริทอรีและคิวบา ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง 40-70 ซม ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว ลำต้นคดไปมาใแต่ชูยอดตั้งตรง ใบรูปรีถึงรูปไข่ 3.5-8 x 2.5-5 ซม. แผ่นใบหนา ผิวใบเรียบ สีเขียวอ่อน เขียวหรือขอบขาว มีช่อดอกเล็กๆออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศ ดอกไม้สีแดง/เบอร์กันดี ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ ยาวประมาณ 7.5 มม.และกว้าง 9 มม.เมล็ดรูปไข่. ยาว 3-4.5 มม. กว้าง 2.5-3.2 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบสภาพแห้งและแดดจัดโดยเฉพาะพันธุ์สีชมพูเมื่อถูกแดด สีชมพูจะขับขึ้นมาสดใส แต่ก็สามารถจะปลูกในที่่ร่มได้ทนต่อร่มเงาได้ปานกลาง ชอบดินปนทราย ระบายน้ำดี และอุดมด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะที่มีความเข้มข้นของโบรอน ทองแดง เหล็ก แมงกานีส โมลิบดีนัม และสังกะสี ปรับตัวให้เติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิดที่มีค่า pH 6.1-7.8 สามารถเติบโตในดินที่ค่อนข้างเป็นพิษ นอกจากนี้ยังมีความทนทานต่อความแห้งแล้งสูง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางเพื่อใช้เป็นไม้ประดับมักใช้เป็นไม้พุ่มหรือไม้กระถาง นิยมปลูกกันในบ้านเรามานานแล้ว แต่ต้องระวังเวลาตัดแต่งกิ่งควรสวมมือป้องกัน เพราะยางสีขาวของแสยกมีพิษ -ใช้เป็นยา ใช้ในทางการแพทย์ในประเทศจีนเช่นการบาดเจ็บและกระดูกหัก -ในทางการแพทย์ของอินเดียใบใช้ในการรักษาบาดแผลแผลไฟไหม้และแผลในปาก -ในการแพทย์พื้นบ้าน ชาได้รับการต้มจากใบซึ่งใช้รักษาโรคหอบหืด ไอเรื้อรัง โรคกล่องเสียงอักเสบ แผลในปาก และกามโรค -ชาที่ต้มจากรากใช้เป็นยาทำแท้ง -น้ำยางข้นถูกใช้ในการรักษามะเร็งผิวหนัง ไส้เลื่อน แมลงต่อย กลาก และหูด นอกจากนี้ยังหยดลงในโรคฟันผุที่เจ็บปวดและปวดหู (ดูความเป็นพิษ) ในหมู่เกาะอินเดียตะวันตก น้ำยางไม่กี่หยดจะถูกเติมลงในนมและใช้เป็นยาระบาย -วนเกษตร ในบางพื้นที่ปลูกเพื่อแก้ไขดินที่เป็นพิษ ใช้ปลูกในหลุมฝังกลบขยะพิษและริมถนนเนื่องจากเป็นหนึ่งในพืชไม่กี่ชนิดที่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก -อื่น ๆ ในประเทศอินเดียในการตรวจสอบประโยชน์ของมันเป็น "petrocrop" พืชที่สามารถให้ผลผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสารสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ (Chandra และ Kehri เทคโนโลยีชีวภาพของ "Va mycorrhiza": Indian Scenario, 2006, p. 268.) รู้จักอ้นตราย---น้ำยางของรากลำต้นและใบของพืชเป็นพิษ อาการพิษ การระคายเคืองของปากและลำคอ อาเจียนและท้องร่วงเมื่อกลืนกิน; ระคายเคืองต่อผิวหนัง ผื่น พุพอง และระคายเคืองตาเมื่อสัมผัส ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตัดกิ่งปักชำ
|
|
นกน้อยนำโชค/Euphorbia bracteata
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Euphorbia bracteata Jacq.(1798) ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms ---Pedilanthus pavonis (Klotzsch & Garcke) Boiss.(1862) ---Pedilanthus bracteatus (Jacq.) Boiss.(1862) ---Tithymaloides bracteata (Jacq.) Kuntze.(1812) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-78705 ชื่อสามัญ---Slipper Flower, Love Bird, Slipper Plant, Little Bird Flower, High Slipper Flower, Candelilla, Tall slipper plant, Slipper spurge. ชื่ออื่น---นกน้อยนำโชค, นางกวักสาลิกาลิ้นทอง;[CHINESE: Xiao Niao Hua.];[MALAYSIA: Pokok Burung Indonesia (Malay).];[THAI: Nok noi nam chok, Nang kwak sa li ka lin thong.]. ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE EPPO Code---PDNPA (Preferred name: Euphorbia bracteata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง - เม็กซิโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Euphorbia' ได้รับในปี 1753 โดย Carl Linnaeus นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานเพื่อเป็นเกียรติแก่ Euphorbus แพทย์ชาวกรีกของ Juba II ; ชื่อสายพันธุ์ 'bracteata' =การมี 'bracts' อ้างอิงถึงใบประดับที่น่าดึงดูดและโดดเด่น Euphorbia bracteata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางพารา (Euphorbiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph Freiherr von Jacquin (1727–1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้าน การแพทย์เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2341 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกตะวันตกตั้งแต่โซโนราถึงเกร์เรโร (Sonora to Guerrero) เติบโตบนพื้นราบหรือพื้นราบเล็กน้อยและที่ขอบของป่าไม้ผลัดใบ ที่ระดับความสูง 300-600 เมคร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นอวบน้ำความสูง 1-2 เมตร (หรือสูงถึง 2.7 เมตรในที่อยู่อาศัย) และโดยทั่วไปมีพุ่มความกว้างประมาณ 0.6-1.2 เมตร ลำต้นอวบหนาสีเขียวมียางสีขาว รูปทรงกระบอกแตกแขนงออกจากฐานอวบน้ำและมักมีขนประปราย ใบหนาสีเขียวเข้มอวบน้ำออกเรียงสลับรูปไข่ยาว 4.5-10 ซม.กว้าง 25-6 ซม.มีกระดูกงูอยู่ด้านล่างเป็นมันวาวถึงมีขน ก้านใบยาว 3-4 มม.(เกือบไม่มีก้านใบ) ดอกที่ออกมาดูเหมือนนก และสีสันสวยงามเป็นสีชมพูอมเขียวอ่อนแทรก ช่อดอก ออก1-3 กิ่งใกล้ปลายก้าน แต่ละดอกประกอบด้วยดอกเพศเมีย 1 ดอกและดอกเพศผู้หลายดอกที่อยู่ในกลุ่ม cuplike ของกาบสีชมพูอมแดงที่จับคู่กัน (ใบดัดแปลง) มีดอกไม้สีเขียวซีดถึงสีเขียวสดใสซึ่งมีลักษณะคล้ายกับนกตัวเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างคู่ของสีชมพูถึงกาบสีแดง กาบสีที่สวยงามจะเริ่มออกเป็นสีเขียวและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดง ในทางตรงกันข้ามกับใบไม้สีเขียวในขณะที่ดอกเบอร์ดี้สีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อผ่านช่วงเวลาสำคัญในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา หากดอกไม้ได้รับการผสมเกสร ผลไม้จะพัฒนาเป็นแคปซูล 3 แฉก เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-13 มม.มีเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม 3-4 เมล็ด รูปไข่ ยาว 5-7 มม. กว้าง 4-5 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- การดูแลง่าย ต้องการแสงแดดจัด แต่สามารถทนต่อร่มเงาที่ลึกกว่าได้ แต่พืชจะมีใบมากขึ้นและมีดอกน้อยลง ชอบ ดินทรายหรือดินร่วนปนทราย ดินที่มีการระบายน้ำได้ดี อุดมด้วยสารอาหาร ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้พ่มหรือปลูกลงแปลงจำนวนมาก ทนต่อความแห้งแล้งเหมาะสำหรับใช้ในสวน xeriscaping -อื่น ๆ พืชนี้เป็นแหล่งที่มาของขี้ผึ้ง candelilla ซึ่งใช้ในลักษณะเดียวกับขี้ผึ้ง carnauba (ได้จาก Copernicia cerifera) ใช้ในการขัดและเคลือบเงาคุณภาพสูงต่างๆ -ดอกไม้ของนกน้อยเป็นที่ดึงดูดของผึ้งผีเสื้อและนก ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป้นไม้มงคลนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ รู้จักอันตราย---แม้ว่าเราจะไม่เห็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับพืชชนิดนี้ แต่ในน้ำยางส่วนใหญ่ Euphorbias นั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนและเป็นพิษ การสัมผัสทางผิวหนังมักทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นแผลพุพอง การสัมผัสกับดวงตาทำให้ตาบอดชั่วคราวหรือถาวร ในขณะที่การกลืนกินอาจทำให้เกิดปัญหาในการกำจัดหรือรุนแรงขึ้น ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
|
เศรษฐีพันล้าน(Kalanchoe hybrid)
ชื่อวิทยาศาสตร์---Kalanchoe hybrid ชื่อสามัญ---Mother of thousands, Mexican plant, Kanaloche, Devils backbone or Alligator plant ชื่ออื่น---คว่ำตายหงายเป็น ชื่อวงศ์---CRASSULACEAE ถิ่นกำเนิด---มาดากัสการ์ เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อน
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรงสูงประมาณ60ซ.ม. ไม่แตกกิ่งก้านหรือแตกเพียงเล็กน้อย ลำต้นเกลี้ยงกลมอวบน้ำ ภายในลำต้นและกิ่งก้านกลวง ใบออกตรงข้าม รูปไข่แกมรูปใบหอก กว้าง 2.5 – 3 ซม. ยาว 10 – 15 ซม.ปลายใบแหลม คนใบสอบ ขอบใบหยักมนมีตาพิเศษที่เกิดเป็นต้นเล็กๆ ตามขอบใบจำนวนมาก แผ่นใบหนา ตั้งขึ้น สีเขียวอมฟ้า ก้านใบสีเขียว ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง ออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอดชูตั้งขึ้น ดอกย่อยจำนวนมากทรงดอกรูประฆังโคนกลีบดอกสีส้มปลายกลีบสีเหลืองช่วงที่ดอกบานนั้นใบเกือบจะไม่มีเลย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เลี้ยงง่ายชอบน้ำน้อย ดินแห้ง ทนแล้ง แสงแดดเต็มวัน ครึ่งวัน หรืออยู่ใต้ร่มเงาได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้กระถางหรือปลูกลงแปลงเป็นกลุ่ม ความเชื่อ/พิธีกรรม---เชื่อกันว่า ถ้าปลูกไว้จะร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ดและต้นอ่อนที่ก่อตัวบนขอบใบ
|
|
ฟรุ้งฟริ้ง/Oenothera lindheimeri
(Phonetic Spelling: ee-no-THEE-ruh lind-HY-mer-ee)
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oenothera lindheimeri (Engelm. & A.Gray) W.L.Wagner & Hoch.(2007) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77092955-1 ---Basionym: Gaura lindheimeri Engelm. & Gray.(1845) ---Gaura filiformis var. munzii Cory.(1937) ชื่อสามัญ---Butterfly bush, Gaura, White Gaura, Pink Gaura, Indian feather, Lindheimer's beeblossom, Crimson Butterflies, Siskiyou Pink, Butterfly Gaura ชื่ออื่น---ฟรุ้งฟริ้ง, หญ้าฟรุ้งฟริ้ง, แกร่าสีชมพู ;[CHINESE: Shan tao cao.];[CZECH: Pupalka (gaura) Lindheimerova.];[GERMAN: Die Prachtkerze, Lindheimer-Prachtkerze.];[JAPANESE: Gaura, Yamamomosou, Yakusou sana.];[NORWAY: Sommarlys, Sommerlys.];[SWEDISH: Sommarljus.];[THAI: Frung-Fring, Yaa- Frung-Fring.]. ชื่อวงศ์ ---ONAGRACEAE EPPO Code---OEOSS (Preferred name: Oenothera sp.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---สหรัฐอเมริกา: ลุยเซียนา เท็กซัส, อลาบามา , ยุโรป : กรีซ อิตาลี โปรตุเกส สเปน, ออสเตรเลีย : ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์ นิรุกติศาสตร์---เดิมอยู่ในสกุล 'Gaura' มาจากภาษากรีกแปลว่า "superb" (สุดยอด) อ้างอิงตามความสูงและการแสดงดอกไม้ของบางชนิดในสกุลนี้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'Lindheimeri'ได้รับการตั้งชื่อตาม Ferdinand Jacob Lindheimer (1801-1879) ซึ่งมักถูกเรียกว่า Father of Texas Botany เนื่องจากผลงานของเขาในฐานะนักสะสมพืชประจำถิ่นคนแรกในเท็กซัส -ชื่อสามัญ 'Crimson Butterflies' เกิดจากการผสมพันธุ์ โดย Howard Bentley จาก Australia.และรู้จักกันในนาม 'Siskiyou Pink' ดอก Guara จากออสเตรเลีย Oenothera lindheimeri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพญารากดำ (Onagraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Georg Engelmann (1809 – 1884) นักพฤกษศาสตร์ชาว เยอรมัน-อเมริกัน และ Asa Grey (1810 – 1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน) ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Warren Lambert Wagner (born 1950) เป็นนักพฤกษศาสตร์ ภัณฑารักษ์พฤกษศาสตร์ ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำเกี่ยวกับ พืช Onagraceaeและพืชในหมู่เกาะแปซิฟิก โดยเฉพาะพืชในหมู่เกาะฮาวาย และ Peter C. Hoch (fl. 1992) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2550
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ (ทางตอนใต้ของรัฐลุยเซียนาและเท็กซัส) แนะนำ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (Alabama, Cape Provinces, Corse, Great Britain) แพร่หลายในหลายพื้นที่ทางตะวันออกและทางใต้ของออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์) ในยุโรป (กรีซ, อิตาลี, โปรตุเกส, สเปน) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยยืนต้น มีเหง้าแตกเป็นกอแน่น สูง 0.50-0-1.50 เมตร ลำต้นสีแดงปนเหลือง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียน รูปรี กว้าง 1-2 ซม. ยาว 5-8 ซม. ปลายแหลม โคนใบรูปลิ่ม ขอบหยักห่างไม่เท่ากัน แผ่นใบสีเขียว เส้นกลางใบลักษณะนูนสีเขียวอ่อน ดอกออกเป็นดอกเดี่ยว เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 3 ซม.ออกตามปลายกิ่ง ดอกสีชมพู กลีบเลี้ยง 3-4 กลีบ กลีบดอกรูปไข่กลับ 4 กลีบ สีชมพูอมขาว เกสรเพศผู้ 1 เกสร อยู่บริเวณกลางดอก เกสรเพศเมีย 8 เกสร ผลรูปทรงรียาว 6–8 มม. และกว้าง 2-3 มม. ทำมุม 4 เหลี่ยม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินร่วนปนทราย ปลูกได้ในดินทุกชนิดแต่ดินต้องมีการระบายน้ำดี pH 5.5-7.0 ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชสวนที่ได้รับความนิยมปลูกประดับสวน ปลูกเป็นไม้กระถาง ไม้แขวน ปลูกคลุมดิน ไม้ดอกน้อยเล็กจิ๋ว รูปร่างคล้ายผีเสื้อนี้ จะออกดอกหน้าร้อนไปจนถึง ฤดูใบไม้ผลิ ดอกมีสีสันสวยงาม ดอกไม้มีหลายสายพันธุ์ได้รับการคัดเลือกสำหรับสีดอกไม้ที่แตกต่างกันตั้งแต่สีขาวบริสุทธิ์ 'Whirling Butterflies' ไปจนถึงสีชมพูเข้มใน 'Cherry Brandy' และ 'Siskiyou Pink' ในบางช่วงกลีบดอกจะมีสีขาวในยามรุ่งสางจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูก่อนจะร่วงหล่นในเวลาพลบค่ำ ได้รับรางวัล--- The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.(2021) ระยะออกดอก---มิถุนายน-พฤศจิกายน การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
|
|
เข็มแคระด่าง/(West Indian Jasmine - Dwarf Variegated Leaved )
Variegated Name--West Indian Jasmine Compact Variegated , West Indian Jasmine Dwarf Variegated Leaved ชื่ออื่น---เข็มแคระด่าง ชื่อวงศ์---IXORA ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนต่างๆ ลักษณะ เป็นพืชพรรณไม้ยืนต้นและเป็นไม้พุ่มตี้ย หรือไม้ต้นแคระสูงไม่เกิน 30 ซม. มีใบด่าง ลายขาวเขียวหรือเหลืองเขียว ดอกออกเป็นกระจุกที่ปลายยอด ดอกสีขาวปลายกลีบดอกลายชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี เลี้ยงง่าย เหมือนต้นเข็มทั่วไป ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง
|
|
ถั่วปินโต/Arachis pintoi
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Arachis pintoi Krapov.& W.C.Greg.(1994) ชื่อพ้อง--N/A-No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-40358 ชื่อสามัญ---Perennial peanut, Pinto Peanut, Forage peanut, Yellow peanut plant ชื่ออื่น---ถั่วเปรู, ถั่วลิสงเถา, ถั่วบราซิล, ถั่วอมาริลโล;[BRAZIL: Modifiedoim forrageiro.];[DUTCH: Pinto-pinda.];[FRENCH: Arachide pérenne, Arachide de Pinto, Arachide sauvage.];[INDONESIA: Kacang pinto, Kacang hias, Kacang-kacangan];[MALAYSIA: Kacang Pintoi (Malay).];[PHILIPPINES: Mani-manian, Mani-mani.];[PORTUGUESE: Amendoim- forrageiro.];[SPANISH: Maní forrajero, Maní forrajero perenne, Maní perenne.];[THAI: Thua lisong thao.];[VIETNAM: Cỏ đậu, Cỏ đậu phộng, Dậu phộng kiểng, Cỏ hoàng lạc, Lạc dại.]. ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) EPPO Code---ARHPI (Preferred name: Arachis pintoi.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ ประเทศบราซิล และประเทศในเขตร้อน Arachis pintoi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อย ประดู่ (Papilionoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Antonio Krapovickas (1921–2015) นักปฐพีวิทยาชาว อาร์เจนตินา และ Walton Carlyle Gregory (1910–1998) นักพฤกษศาสตร์ชาวอาร์เจนตินา.ในปี พ.ศ.2537 ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดจากอเมริกาใต้ ; บราซิล (Bahia, Goiás, Minas Gerais) และแพร่หลายไปในเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน ได้รับการแนะนำไปสู่หลายพื้นที่รวมถึงอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย โคลอมเบียและสหรัฐอเมริกา ไปยังประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและแปซิฟิก พบได้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 0-1,400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูงได้ถึง 20-50 ซม. มีรากแก้วและรากที่เป็นปมทุติยภูมิมากมาย ลำต้นทอดเลื้อยคลุมดิน รากออกตามข้อ ลักษณะคล้ายต้นถั่วลิสง แต่มีใบเล็กกว่าและมีลำต้นเลื้อยไปตามดินแผ่เลื้อย คลุมดินได้ในบริเวณกว้าง ใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้าม ใบย่อย 4 ใบ รูปไข่ กว้าง 1 – 3 ซม. ยาว 1 – 7ซม.ดอกรูปดอกถั่ว สีเหลือง เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2 – 4 ซม.เมื่อได้รับการผสมเกสรก้านดอกจะยาวและงอกลงไปในดินเจาะได้ลึกประมาณ 7 ซม.ผลมีลักษณะเป็นขั้วใต้ดินฝักเดียวยาว 1-1.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 มม.เมล็ดถูกฝังไว้ใต้ดินพบในดินชั้นบน 10 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งแสงแดดจัดเต็มวันถึงแสงครึ่งวันเช้า และน้ำมาก สามารถเตืบโตได้ดีภายใต้สภาพร่มเงา ขึ้นได้ดีในดินหลายสภาพ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ชอบ pH ในช่วง 5.4 - 6 ทนได้ 4.5 - 7.5 มีความไวต่อสภาวะที่มีน้ำขังอย่างถาวร แต่สามารถทนต่อน้ำท่วมได้ในบางช่วงและสามารถอยู่รอดจากสภาวะแห้งแล้งได้นานถึง 4 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---โรคต่างๆ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาวหรือร้ายแรง ใช้ประโยชน์---เป็นพืชตระกูลถั่วเขตร้อนยืนต้นที่มีประโยชน์สำหรับทุ่งหญ้าคลุมดินและเป็นไม้ประดับ -วนเกษตร รักษาเสถียรภาพของดินป้องกันการกัดเซาะ สามารถปรับปรุงดินและทุ่งหญ้าที่เสื่อมโทรมให้ปุ๋ยตรึงไนโตรเจนในดินได้ดี สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในชั้นบรร ยากาศ ไนโตรเจนนี้บางส่วนถูกนำไปใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่พืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ --ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้คลุมดิน มีดอกสีเหลืองสดสวยงามเหมาะสำหรับจัดสวนประดับและปลูกแทนสนามหญ้า ปลูกควบคุมวัชพืชอื่นๆ ก็ได้ **การพูดคุยส่วนตัว ที่คลอง15จะ ขายกันถุงละ 5-10 บาท(ราคาแล้วแต่ฤดูกาล) (2008) ช่วงที่เหมาะกับการปลูกคือช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม ระยะห่างการปลูกระหว่างต้น เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองและได้ผลดี คือ 25-50 ซม. แต่ส่วนใหญ่ถ้านำมาใช้จัดสวนเพื่อความสวยงามเบื้องต้น จะปลูกชิดเป็นแพ แบบจัดเต็ม** -อื่น ๆ ใช้เป็นพืชอาหารสัตว์ ถั่วปิ่นโตเป็นอาหารสัตว์ที่มีคุณค่าปลูกง่ายอยู่และรวมกันได้ดีในพืชผสมภายใต้สภาพอากาศและดินที่หลากหลาย มีความสามารถในการผลิตพืชอาหารสัตว์ที่ให้ผลผลิตสูงในเขตร้อน ทนต่อการแทะเล็มหนักได้ -มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบเล็มหญ้าในเขตร้อนสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง พันธุ์ที่พบมากที่สุดได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 เป็นพันธุ์ 'Amarillo' ในออสเตรเลีย ต่อจากนั้นก็เปิดตัวเป็น cv. 'Mani Forrajero Perenne' ในโคลอมเบียในปี 1992 มีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเขตร้อนตาม ภาคยานุวัติ CIAT 17434 ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
บานบุรี/Allamanda carthartica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Allamanda carthartica L.(1771) ชื่อพ้อง ---Has 17 Synonyms.See all The Plant List ---Allamanda aubletii Pohl.(1827) ---Allamanda cathartica f. salicifolia (Willd. ex Roem. & Schult.) Voss.(1895) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-6157 ชื่อสามัญ---Yellow Allamanda, Common Alamanda, Yellow Bell, Golden trumpet, Buttercup vine, Brownbud alamanda. ชื่ออื่น---บานบุรี, บานบุรีเหลือง;[AUSTRALIA: Golden trumpet vine.];[BRAZIL: Dedal-de-dama, Orelia, Santamaria.];[CHINESE: Huang ying, Ruan zhi huang chan.];[CUBA: Barber, Cinco llagas, Collazo, Flor de barbero, Jasmin de tierra, Malasuegra.];[DOMINICAN REPUBLIC: Mantequilla.];[FRENCH: Allamanda jaune, Liane a lait, Liane jaune, Liane s'aime, Monette jaune, Trompette dorée.];[GERMAN: Allamande, Goldtrompete.];[HAWAIIAN: Lani ali'i, Nani ali'i.];[HINDI: Pilaghanti, Saithani phool.];[INDIA: Malatilata, Ghanta phul, Harkakra.];[ITALIAN: Allamanda.];[JAPANESE: Aramanda.];[MALAYSIA: Bunga loceng, Akar Chempaka Hutan, Bunga Akar Kuning.];[MAORI: 'Aramena, Pua, Puapua, Pupua, Tiare rengarenga.];[MEXICO: Jasmin de Cuba, Trompeta arialla, Trompetilla.];[MYANMAR: Shwe-pan-new, Shewewa-pan.];[PHILIPPINES: Kampanilya, Kampanero, Kompanaria (Tag.); Campanilla (Span,Tag.).];[PORTUGUESE: Alamanda-amarela, Alamanda-dourada, Carolina, Dedal-de-dama, Flor-de-manteiga.];[SAMOA: Pua taunofo.];[SPANISH: Allamanda, Campana de oro, Copa de oro, Flor de mantequilla, Jazmín de Cuba, Trompeta amarilla, Trompeta de oro, Trompeta dorada.];[TAHITIAN: Piti.];[THAI: Ban bu ri, Ban bu ri lueang.];[TONGA: Pua, Pula.];[USA/Hawaii: Lani ali'i, Nani ali'i.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---ALWCA (Preferred name: Allamanda carthartica.) ถิ่นกำเนิด--ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย แอฟริกา จีน อเมริกากลาง หมู่เกาะเวสต์อินดีสและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Allamanda' ตั้งเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส Frédéric-Louis Allamand (1736–1809) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติในเลย์เดนในช่วงหลังศตวรรษที่ 18 ; ชื่อสายพันธุ์ 'carthartica' หมายถึง 'ยาฆ่าเชื้อ' Allamanda carthartica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2314
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล กายอานา เฟร้นช์กายอานา ซูรินาเมและเวเนซุเอลา นอกช่วงพื้นเมืองมีการแปลงสัญชาติและปลูกเป็นไม้ประดับในสภาพอากาศอบอุ่นเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลกรวมทั้งออสเตรเลีย แอฟริกา อเมริกากลาง หมู่เกาะเวสต์อินดีสและหมู่เกาะมากมายในมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบันสปีชีส์นี้จัดอยู่ในประเภทรุกรานในประเทศจีน กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ ฮอนดูรัส คอสตาริกา นิการากัว เปอร์โตริโก หมู่เกาะเวอร์จิน ซามัว ฟิจิ และเฟรนช์โปลินีเซีย และเป็นวัชพืชสิ่งแวดล้อมในออสเตรเลียพบได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลายรวมถึงพื้นที่ที่ถูกรบกวน ริมถนน ขอบป่า สวนและฟาร์มที่ถูกทิ้งร้าง เติบโตในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิอบอุ่น ที่ระดับความสูงระหว่าง 0-700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้กึ่งพุ่มกึ่งเลื้อยสูง 2-4 (-8) เมตร ลำต้นแข็งและเหนียวมีน้ำยางข้นมาก ถ้าปล่อยเลื้อยจะเลื้อยไปได้ไกล ลำต้นเป็นสีเทาทรงกระบอกเกลี้ยง ใบออกตรงข้ามเป็นวง 3 หรือ 4 ใบ ขนาด 8-13×1.5-3.5 ซม. รูปขอบขนานหรือ รูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นลูกคลื่น ผิวด้านบนเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมันวาวมีเส้นใบตรงกลางที่โดดเด่น พื้นผิวด้านล่างสีเขียวอมเหลืองโดยมีเส้นใบหนาขึ้น ก้านใบยาว 5-10 มม.ดอกบานบุรีออกเป็นช่อสั้นๆตามข้อบริเวณใกล้ยอด กลีบเลี้ยงสีเขียวรูปใบหอก 5 ใบยาว 12-18 มม.ดอกเป็นรูปกรวยสีเหลืองมี 5 กลีบ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 ซม.กลีบดอกเวียนซ้อนทับกัน มีทั้งชนิดดอกลาและดอกซ้อน ผลเป็นแคปซูลทรงรีปกคลุมด้วยหนามจำนวนมากมักไม่ค่อยพบ เมล็ดแบนรูปไข่ 1.2-1 มม.สีน้ำตาลมีปีกมีจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ถ้าเลี้ยงในที่แสงแดดไม่พอ กิ่งจะผอมยาว ใบบางและห่าง เติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดีและอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ ไม่ทนต่อดินเค็มหรือสภาวะที่มีความเป็นด่างสูง ตายเมื่ออุณหภูมิต่ำสุด -1°C เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มความยาว 1 ถึง 3 เมตรต่อปี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก เป็นไม้ที่นิยมกันมากเพราะออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะพันธุ์ใบเล็กนิยมนำมาปลูกเลี้ยงเป็นไม้พุ่มประดับสวน มีชนิดสีม่วง ที่มีชื่อสามัญว่า "Purple Allamanda" ลักษณะ ต้นใบและดอกเหมือนบานบุรีเหลือง เพียงแต่เล็กกว่า ลำต้นแข็งเหนียวเหมือนกัน แต่ใบมีขนคายมือ ดอกออกเป็นช่อสั้นๆเป็นรูปกรวยปากบาน สีม่วงแดง ต้นนี้จะโตช้ากว่าและเลี้ยงดูยากกว่าชนิดต้นสีเหลืองและบานบุรีชนิดอื่นๆ -ใช้เป็นยา ในการแพทย์อายุรเวชและUnaniใช้สำหรับการรักษาบาดแผลและแผล เปลือกต้นใช้เป็นยาขับน้ำในช่องท้อง ใบใช้เป็นยาขับปัสสาวะรากใช้แก้งูกัด -ทั้งต้นใช้สำหรับโรคดีซ่านและมาลาเรีย -ในตรินิแดดใช้สำหรับรักษาโรคมาลาเรียและโรคดีซ่าน -ในกีอานาน้ำยางถูกใช้เป็นยาขับปัสสาวะและใช้สำหรับอาการจุกเสียด -ในซูรินามพืชใช้เป็นยาถ่าย -ชาวคิวบามักดื่มชาที่ทำจากใบเป็นยาระบายอย่างรุนแรงหรือทำให้อาเจียน รู้จักอันตราย---พืชทั้งต้นเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทุกส่วนของพืชมี iridoid lactone allamandinและอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนหรือท้องร่วงได้หากกินเข้าไป -cathartic ของเหลวสีขาวขุ่นในใบลำต้นและดอกไม้อาจทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่งและปักชำ
บานบุรีแคระ/Allamanda cathartica 'Compacta'
ลักษณะ เป็นบานบุรีพันธุ์ใบเล็ก มีรูปแบบพันธุ์แคระคือ A. cathartica 'Compacta' ซึ่งบางครั้งระบุไว้ในรายการค้าว่า 'Dwarf Jenny' รูปร่างค่อนข้างกะทัดรัดสูงได้ถึง 60 ซม. ดอกเล็กและใบเล็กกว่าบานบุรีทั่วไป นิยมนำมาใช้จัดสวนเป็นกล่มหรือเป็นแถว เป็นไม้พุ่มเตี้ยทุกส่วนมีน้ำยางข้นสีขาวคล้ายน้ำนม เหมือนบานบุรีทั่วไป ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับแบบตรงข้าม ออกดอกตามส่วนยอด ดอกรูปกรวยปากบานมีกลีบดอก5กลีบสีเหลือง พันธุ์นี้ปลูกกันมากตามสนามหญ้าขนาดใหญ่ มีพันธุ์อื่น ๆ อีกสองสามพันธุ์ที่ใช้ปลูกกันมาก เช่น 'Stansill's Double' มีดอกคู่ 'Hendersonii' ที่มีดอกขนาดใหญ่กว่ามากและ 'Brown Bud' ที่มีดอกตูมสีน้ำตาลเด่นชัด สายพันธุ์อื่น ๆ ที่เป็นไมัพุ่ม Allamanda schottii มีการเจริญเติบโตที่คล้ายกัน มีขนาดกะทัดรัดในแนวนอน ดอกสีเหลืองมีลักษณะเป็นท่อมากกว่า แต่สวยงามไม่แพ้ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ
|
|
บานพารา/Allamanda schottii
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Allamanda schottii Pohl.(1827) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/76487-1 ---Allamanda brasiliensis Schott ex Pohl.(1827) ---Allamanda cathartica Schrad.(1821) ---Allamanda cathartica var. schottii (Pohl) L.H.Bailey & Raffill.(1914) ---Allamanda magnifica B.S.Williams.(1888) ---Allamanda neriifolia Hook.(1851) ชื่อสามัญ---Bush Alamanda, Golden trumpet bush, Oleander allamanda, Buttercup flower ชื่ออื่น---บานพารา; [CHINESE: Huang ying.];[FRENCH: Trompette d'or.];[GERMAN: Strauch-Allamande.];[MALAYSIA: Akar chempaka hutan, Bunga akar kuning.];[PORTUGUESE: Alamanda-pequena.];[SWEDISH: Buskallamanda.];[THAI: Ban-pha-ra.];[VIETNAMESE: Day huynh la hep.]. ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE EPPO Code---ALWSC (Preferred name: Allamanda schottii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ --- บราซิล, เฟรนช์เกียนา, อาร์เจนตินา, บังกลาเทศ, จีนตะวันออกเฉียงใต้, ปานามา, ฮอนดูรัส, เปอร์โตริโก, ไหหลำ, ไต้หวัน, คอสตาริกา, เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้, กาลาปากอส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Allamanda' ตั้งเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส Frédéric-Louis Allamand (1736–1809) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติในเลย์เดนในช่วงหลังศตวรรษที่ 18 ; ชื่อสายพันธุ์ 'schottii' ให้เป็นเกียรติแก่ Richard van der Schot (1730-1819) ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ Allamanda schottii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Baptist Emanuel Pohl (1782–1834) นักพฤกษศาสตร์ นักกีฏวิทยา นักธรณีวิทยา นักแร่วิทยา และแพทย์ ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2370 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศบราซิล พบทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิลในรัฐ Espírito Santo, Minas Gerais, Rio de Janeiro, São Paulo, Paraná และ Santa Catarina ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นพืขเฉพาะถิ่นของประเทศ เติบโตใกล้หรือข้างแหล่งน้ำมักอยู่ในพื้นที่เปียกในป่าเปิด ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ยแต่ถ้าปล่อยให้สูงจะสูงได้ถึง2.5เมตร ทุกส่วนมี น้ำยางข้นสีขาวคล้ายน้ำนม ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับแบบตรงข้าม ออกดอกตามส่วนยอด ดอกรูปกรวยปากบานมีกลีบดอก5กลีบสีเหลือง ผลเป็นแคปซูลทรงกลมเต็มไปด้วยหนาม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดีและตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้พุ่มประดับสวนจะมีอีก2พันธุ์ คือ Allamanda schottii 'Grey Supreme' มีใบสีเขียวอ่อน ริมใบสีขาวและพันธุ์ "Silver dwarf discovery"ที่มีใบสีเงิน แต่จะมีความแข็งแกร่งน้อยกว่า -ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อและถ่ายพยาธิ รู้จักอันตราย---ลำต้นและใบของAllamanda schottiiมีน้ำยางที่เป็นสารระคายเคือง พืชมี plumericin ซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำ ตอนกิ่ง
|
|
บานเช้าสีนวล/Turnera subulata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Turnera subulata Sm.(1817) ชื่อพ้อง ---Has 7 Synonyms ---Turnera elegans Otto ex Nees.(1820) ---Turnera mollis Kunth.(1823) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-33100281 ชื่อสามัญ---White alder, White buttercup, Dark-eyed turnera, Politician's flower, Sulphur alder, Dark-eyed turnera. ชื่ออื่น---บานเช้าสีนวล, บานเช้าสีขาว ; [CZECH: Pastala.];[FRENCH: Chevalier, Chevalier onze heures, Tournera.];[MALAYSIA: Bunga Padang (Malay).];[PORTUGUESE: Boa-noite, Chanana, Onze-horas.];[THAI: Banchao si naun, Banchao si khao.]. ชื่อวงศ์ ---PASSIFLORACEAE EPPO Code---TURSU (Preferred name: Turnera subulata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน หมู่เกาะ อินดิส ตะวันตก ปานามา โคลอมเบีย เอกวาดอร์ โบลิเวีย บราซิล แอฟริกาเขตร้อน เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียตอนเหนือ หมู่เกาะแปซิฟิก แคริบเบียน ฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา Turnera subulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) สกุลTurnera ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2360
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้จากปานามาผ่านชายฝั่งและบริเวณเชิงเขาของโคลอมเบียและเอกวาดอร์ไปจนถึงโบลิเวียตอนเหนือและบราซิลตะวันออกเฉียงใต้ (Amazônia, Caatinga, Cerrado, Mata Atlântica) เป็นที่รู้จักกันดีในสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายในฐานะที่เป็นสายพันธุ์ที่แนะนำเช่นแอฟริกาเขตร้อน เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนออสเตรเลียตอนเหนือ หมู่เกาะแปซิฟิกอื่น ๆ, แคริบเบียนและฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา เติบโตในป่าฝนเขตร้อนพืชพันธุ์ชายฝั่งในทุ่งหญ้าสะวันนา (เซอราโดและคาทิงกา) และในแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ พบที่ระดับตวามสูง 10-250 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก มีรากแก้วที่หนาและโคนลำต้นเป็นไม้สูงประมาณ 30-50 (-80) ซม. แตกกิ่งก้านมาก กิ่งอ่อนมีขนสั้นอ่อนนุ่มสีขาวหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ยาว 3–7 (–9) ซม. และกว้าง 1.5–3 ซม.ปลายแหลม ขอบใบจัก ผิวใบสาก มีหูใบขนาดเล็กรูปสามเหลี่ยม สีเขียวปลายสีเหลือง ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบบริเวณปลายกิ่ง กลีบดอกรูปไข่กลับหรือรูปเกือบกลม มี 5 กลีบ กลีบบางซ้อนเหลื่อมกัน โคนกลีบสีม่วงดำ ถัดมามีสีเหลืองอ่อน ส่วนปลายสีขาว เกสรเพศผู้สีเหลือง ก้านสั้น ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ป้านมีขนดกผนังค่อนข้างหนา ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแน่งแสงแดดจัด ดินร่วนอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนและสวนสาธารณะเป็นไม้ยืนต้นประดับดอกดกสวยงาม -ใช้เป็นยา ใช้ในยาแผนโบราณของอเมริกาใต้ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ
|
|
บานเช้าสีเหลือง/Turnera ulmifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Turnera ulmifolia L.(1753) ชื่อพ้อง --- Has 5 Synonyms ---Turnera alba Liebm.(1848) ---Turnera velutina C.Presl.(1831) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2518584 ชื่อสามัญ---Sage -Rose, Yellow- Alder, Ramgoat dashalong, West Indian holly, Bahama buttercup, large-leaf damiana, Ranker's flower. ชื่ออื่น---บานเช้าสีเหลือง;[BRAZIL: Chanana, Relogio.];[CUBA: Mari-lope.];[DOMINICAN: Alo, Marilópez.];[FRENCH: Du thym, Marilope, Marilope du thym, Thym à feuilles d’orme, Thym des savanes, Thym marron, Turnera à feuilles d'orme.];[GERMAN: Großblättrige Damiana, Ulmenblättrige Turnera.];[HAITI: Thym à feuilles d’orme, Zombi nan bois.];[INDIA: Cuban buttercup.];[JAMAICA: Ram-goat dashalong.];[MEXICO: Caléndula, Oreja de coyote.];[PORTUGUESE: Albina, Damiana, Flor-do-guarujá.];[PUERTO RICO: Mari López.];[SPANISH: Clavel de oro, Damiana, Escoba amarilla, Escobillo, Malva cimarrona, Marilópez, Oreja de coyote.];[THAI: Banchao si Lueang.];[USA: Gujg.]. ชื่อวงศ์---PASSIFLORACEAE EPPO Code---TURUL (Preferred name: Turnera ulmifolia.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ทวีปอเมริกา : บราซิล โบลิเวียไปเวเนซุเอลา, แคริบเบียน - ตรินิแดดถึงบาฮามาส ; อเมริกากลาง - ปานามาถึงเม็กซิโก; ตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาเหนือ - ฟลอริดา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Turnera' ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ William Turner (1508 - 1568) ที่เป็นที่รู้จักในฐานะบิดาแห่งพฤกษศาสตร์อังกฤษเพราะเขาเขียนแคตตาล็อกพืชชนิดแรก Herbals เป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาละติน ; ชื่อสายพันธุ์ 'ulmifolia' มาจากความคล้ายคลึงกันของใบไม้ที่มีรูปร่างคล้ายกับใบของต้นเอล์ม (Ulm) Turnera ulmifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เสาวรส (Passifloraceae) สกุลTurnera ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของเม็กซิโกและเวสต์อินดีส พบในทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งหินหรือเนินเขามักพบเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ริมถนนหรือในพื้นดินเสียบางครั้งอยู่บนหินปูนที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร ในกัวเตมาลา มีรายงานว่ารุกรานในหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง ลักษณะ เป็นไม้เนื้ออ่อนยืนต้น สูง 20-60 ซม.ลำต้นมีสีเขียวสดใสและมีขนสั้นปกคลุม ใบเดี่ยวรูปหอกสีเขียวเข้ม ขนาด 4-1× 2-3 (-5) ซม. ออกเรียงคู่สลับขวางทิศทางกัน ปลายใบแหลม ขอบใบจัก ผิวใบหยาบ ก้านใบยาว 0.8-1.5 ซม.ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวออกตรงปลายกิ่งส่วนยอด มี 5 กลีบสีเหลืองเข้ม ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ ยาว 7-8 มม. เมล็ดมีลักษณะรูปไข่แคบ โค้งเล็กน้อย ยาวประมาณ 2.5 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหรือในที่ร่มบางส่วน สายพันธุ์นี้ได้รับการปรับให้เข้ากับสภาพดินที่หลากหลาย รวมทั้ง pH ที่เป็นด่างและพื้นที่แห้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---มักพบแมลงหวี่ขาวบนใบของT. ulmifoliaและการระบาดอย่างรุนแรงของแมลงเหล่านี้สามารถทำร้ายพืชได้ เพลี้ย และ Scale สามารถรบกวนใบไม้ได้ แต่โดยปกติแล้วจะไม่รุนแรงเกินไป ( Gilman, 2011 ). สัตว์กินพืชเป็นอาหารหลักคือ หนอนผีเสื้อEuptoieta hegesia (Lepidoptera: Nymphalidae) สัตว์กินพืชชนิดนี้มีการใช้งานมากที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม แม้ว่าจะพบได้ตลอดทั้งปี ใช้ประโยชน์---พืชที่รวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ชงเป็นชาและใช้เป็นยาในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกประดับและปลูกเพื่อใช้เป็นยา -ใช้กิน ใบแห้งใช้แทนชาหรือเป็นเครื่องปรุง -ใช้เป็นยา พืชมีประโยชน์ทางยา ใบใช้สำหรับรักษาผมร่วง ชาที่ทำจากใบของสายพันธุ์นี้ใช้ในยาแผนโบราณในอเมริกาใต้และหมู่เกาะอินเดียตะวันตกเพื่อรักษาปัญหาทางเดินอาหาร (ท้องผูก ท้องร่วง) หวัดและไข้หวัดใหญ่ และปัญหาการไหลเวียนโลหิต (ใจสั่น) ประจำเดือน และปัญหาทางผิวหนัง ( Gracioso et al., 2002 , Montana et al., 2011 ; USDA-ARS, 2014 ). -ใช้ปลูกประดับ สวนทั่วไป เป็นไม้ที่มีทรงพุ่มแน่น ถึงกิ่งก้านดูชลูดเพรียวลมก็ตาม ดอกไม่ดกมากเหมือนบานเช้าสีนวลแต่ก็ออกดอกตลอด และยังใช้เป็นพืชคลุมดิน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ปักชำ
|
|
บานเย็น/Mirabilis jalapa.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Mirabilis jalapa L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. ---Mirabilis jalapa f. eujalapa Heimerl.(1896) ---Nyctago jalapae (L.) DC.(1805) ---Nyctago versicolor Salisb.(1796) ชื่อสามัญ---Four-o'-clock, Marvel of Peru, Beauty-of-the-night, Common four o'clock, Marvel of the World, Pearl of Egypt, Prairie Four O’Clock, Pretty-by-Night, Jalap Plant, Japanese Wonder Flower, Low Red Shrub, ชื่ออื่น---บานเย็น, จำยาม, จันยาม, ตามยาม;[AFRIKAANS: Vieruurtjie.];[ALBANIA: Lulembrëmje.];[ARABIC: Zahr-Ul-Ajl.];[BRAZIL: Boa-Noite, Bonina, Clavillia, Maravilha.];[CHINESE: Xǐzǎo Huā, Zhǔfàn Huā, Yan Zhi Hua, Fen Dou Hua, Ye Fan Hua, Zhuang Yuan Hua, Zǐ mò lì.];[CZECH: Nocenka zahradní.];[DUTCH: Nachtschone, Wonderbloem.];[FRENCH: Belle-de-nuit, Herbe triste, Merveille du Pérou.];[GERMAN: Gewöhnliche Wunderblume, Vieruhrblume, Wunderblume.];[ITALIAN: Bella di notte comune, Bella di notte, Maravilla de Indias.];[JAPANESE: Oshiroibana, Yûgesho.];[KOREA: Bun kkot.];[MALAYSIA: Bunga pukul empat, Kembang pukul empat, Kembang lohor, Kembang dzohor.];[MALTESE: Hummejr.];[PHILIPPINES: Gilalas (Tagalog); Maravillas, Suspiros (Spanish-Filipino).];[PORTUGUESE: Boas-noites, Jalapa-falsa, Maravilhas, Jalapa verdadeira, Jalapa-bastarda.];[SPANISH: Bella de noche, Buenas tardes, Clavellina, Don Diego de noche, Falsa jalapa, Hoja de xalapam, Maravilla, Maravilla de Indias, Maravilla del Perú, Periquitos. Sampedros, Siciliana.];[SWEDISH: Underblomma.];[THAI: Ban-Yen.];[USA: Common four-o'clock, Prairie four-o'clock.]. ชื่อวงศ์---NYCTAGINACEAE EPPO Code---MIBJA (Preferred name: Mirabilis jalapa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เทีอกเขาแอนดีส ประเทศเปรู อเมริกาใต้ ประเทศในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Mirabilis' ในภาษาละติน = "admirable" อ้างอิงถึงถึงสีที่โดดเด่นของดอกไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'Jalapa' = มีต้นกำเนิดใน Jalapa, Veracruz, Mexico แต่ฉายาของ Jalapa ยังสามารถหมายถึงเมือง Xalapa ในเม็กซิโก ซึ่งยาฆ่าหญ้าในอดีตชื่อ jalap ซึ่งนำมาจากหัวของ tuberous jalap Mirabilis jalapa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บานเย็น (Nyctaginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 รวม Infraspecifics ที่ยอมรับ 2 รายการ;- ---Mirabilis jalapa var. jalapa ---Mirabilis jalapa var. oaxacana Heimerl
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกถึงอเมริกากลาง ปัจจุบันมีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางในฐานะไม้ประดับ เกิดขึ้นที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100-1,780 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูงได้ถึง 1 เมตร มีรากหัวใต้ดิน กิ่งเปราะ ใบเป็นรูปหัวใจ 3.5-13 × 2-8 ซม. ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 4 ซม ดอกออกเป็นช่อตรงปลายกิ่ง ช่อละ 4-5 ดอก ลักษณะเป็นรูปกรวยปลายบานแยกเป็น5กลีบ ขนาดดอกประมาณ2.5ซม.ดอกมี สีแดง, สีชมพู, สีเหลืองหรือสีขาว fvd,ud]bjosv,และบานในช่วงบ่าย ผลมีสีดำและกลม 5-8 มม เมล็ดกลมเล็กสีดำ ข่้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ขึ้นได้ในดินสวนธรรมดาเกือบทุกชนิด ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำได้ดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ใช้ประโยชน์---ได้รับการเพาะปลูกโดยชาวแอซเท็กเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคและเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ใบอ่อน - ปรุงเป็นผัก อาหารฉุกเฉินกินเฉพาะเมื่อทุกอย่างล้มเหลว สีย้อมแดงที่กินได้จากดอกไม้ ใช้สำหรับระบายสีเค้กและเยลลี่ เมล็ดถูกบดและใช้แทนพริกไทย -ใช้เป็นยา ใช้ในการแพทย์แผนโบราณเพื่อรักษาโรคบางชนิด ใบช่วยบรรเทาอาการฝีในรูปของยาต้มและยังสามารถใช้เป็นยาพอกแผลพุพองและลมพิษ เมล็ดสามารถทำหน้าที่เป็นยาฆ่าเชื้อในขณะที่รากเป็นยาระบายในรูปแบบของยาต้ม -ในมาดากัสการ์รากใช้ในการรักษาอาการปวดในลำไส้ -ใช้ในการรักษาสภาพการติดเชื้อ เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ คออักเสบ การติดเชื้อที่อวัยวะเพศและท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากอักเสบ -ชาวจีนเตรียมยาชูกำลังโดยใช้น้ำคั้นกับหมู ยาต้มรากที่มีหรือไม่มีเนื้อหมูช่วยบรรเทาอาการหวัด อาการอักเสบและมูกเลือด ใบถือเป็นยาโป๊ นอกจากนี้ยังเป็นยารักษานิ่วในไตและเบาหวาน -ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก -อื่น ๆ ** การพูดคุยส่วนตัว พูดถึงบานเช้าแล้วก็ต้องพูดถึงบานเย็นด้วย ดอกบานเย็นจะบานพร้อมๆกันทุกดอกๆตอนสี่โมงเย็น และหุบในตอนเช้า จีน เรียกบานเย็นว่า "ดอกสายฝน" (shower flower) หรือ "ดอกหุงข้าว" (rice boiling flower) เพราะดอกบานเย็นจะบานในช่วงเวลานั้น ส่วนในฮ่องกง เรียกว่า "มะลิม่วง" (purple jasmine) แต่เดิมมีสีเดียวคือสีชมพูอมม่วงสดใส ทำให้คนนิยมเรียกสีชมพูอมม่วงแบบนี้ว่า สีบานเย็น ปัจจุบันดอกบานเย็นมีสีเพิ่มขึ้นมาหลายสีมี สีแดง ชมพูแก่ ชมพูอ่อน สีเหลือง ส้ม หรือแม้แต่หลายสีในต้นเดียวกันก็มี นิสัยของบานเย็นนั้นจะอยู่กลางแจ้งหรือในที่ร่มรำไรก็ได้ ออกดอกเหมือนกัน เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ก็ง่าย เพาะเมล็ด ปักกิ่ง หรือชำกิ่งอ่อน ยอดอ่อน หรือตัดหัวพันธุ์มาปลูกได้ทั้งนั้น ประโยชน์ของดอกบานเย็นท่านว่า (หมาย ถึงคนสมัยก่อน) เมล็ดของบานเย็น สาวๆสมัยนั้นนำมาใช้เป็นเครื่องสำอางโดยใช้แป้งในเมล็ด มาทาแก้สิวแก้ฝ้าทำให้หน้าผุดผ่องเป็นยองใย ใครอยากทดลองตามสบาย ผลเป็นอย่างไรไม่สำเร็จห้ามว่ากัน** รู้จักอันตราย---ส่วนที่เป็นพิษ รากและเมล็ด หัวใต้ดิน มีAlkaloid trigonelline ซึ่งระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ -ผล พิษยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายและส่วนใหญ่ค่อนข้างไม่รุนแรง ไม่ควรก่อให้เกิดปัญหามากนักในการเป็นไม้ประดับอย่างไรก็ตามเจ้าของบ้านควรระวังผลกระทบที่เป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นจากส่วนต่างๆของพืช ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
|
บานดึก/Ipomea alba
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ipomea alba L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 48 Synonyms ---Calonyction album (L.) House.(1904) ---Calonyction bona-nox (Spreng.) Bojer.(1837) ---Convolvulus aculeatus L.(1753) ---Ipomoea bona-nox L.(1762) ---Ipomoea noctiflora Griff.(1854) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:129128-2#synonyms ชื่อสามัญ---Evening Glory, Tropical white morning-glory, Lilac Bell, Moonflower, White Moonflower. ชื่ออื่น---บานดึก, ดอกชมจันทร์; [BAHAMAS: Moon vine.];[BRAZIL: Batatarana, Boa-noite, Bona-nox, Cipó-café, Dama-da-noite, Flor-da-noite.];[CHINESE: Yuè guāng huā, Cháng'é bēn yuè (Yunnan), Tiān qiézi.];[COSTA RICA: Buenas noches, Dama de noche, Flor de la luna.];[CUBA: Bejuco de la y, Flor de la y, Flor de la y blanca.];[DOMINICAN REPUBLIC: Estrella vespertina.];[EL SALVADOR: Campanilla blanca, Flor de luna, Pitoreta.];[GERMAN: Mondblüte, Weiße Prunkwinde.];[GUATEMALA: Hapolin, Luna blanca.];[HINDI: Dudhiakalmi.];[HONDURAS: Pañal de niño, Tripa de gallina.];[INDIA: Alanga, Alangai.];[JAMAICA: Iight ipomoea, Moonflower.];[JAPANESE: Yè yán, Xī yán.];[KANNADA: Candra pushpa'];[LESSER ANTILLES: Belle de nuit, Fleur de nuit, Liane blanche bord de mer.];[MEXICO: Nicua, Oracion.];[PORTUGUESE: Batata-brava, Batatarana, Boa-noite.];[PUERTO RICO: Bejuco de vaca, Claro de luna, Gloria de la mañana blanca.];[SANSKRIT: Gulchandani.];[SINHALESE: Chandrakaanthi.];[SPANISH: Bejuco de tabaco, Camotillo, Flor de luna, Oracion.];[TAMIL: Nagamughatei.];[THAI: Dok chom chan, Dok ban duek.]. ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE EPPO Code---CLYAC (Preferred name: Ipomea alba.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ipomea' มาจากคำภาษากรีก 'ips' หมายถึงหนอนและ 'homoios' มีความหมายคล้ายกันโดยอ้างอิงได้จากรากใต้ดินที่แผ่กิ่งก้านสาขาของพืชสกุล ในทางกลับกันผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าชื่อสกุลอ้างอิงถึงนิสัยของพืชที่มีลักษณะคล้ายหนอน ; ชื่อสายพันธุ์ ' alba ' = สีขาว -ชื่อสามัญ Moonflower เกิดจากการบานของดอกไม้ในตอนเย็นและมีรูปร่างกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง Ipomea alba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองภูมิภาคเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลกใหม่จากทางตอนเหนือของอาร์เจนตินาเหนือไปเม็กซิโก ,ฟลอริด้า และเปอร์โตริโก แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง พบได้ในประเทศออสเตรเลียและในกลุ่มประเทศเขตร้อนของทวีปเอเชียและจีนแผ่นดินใหญ่ (กวางสี, มณฑลส่านซี, เจียงซี, เจ้อเจียง, ยูนนาน, มณฑลกวางตุ้ง, เสฉวน, เจียงซู) พบขึ้นตามชายห้วยหรือในป่าดิบชุ่มชื้นที่ความสูง 0-1,780 เมตร ปัจจุบันสายพันธุ์นี้รวมอยู่ใน Global Compendium of Weeds และมีการระบุไว้ว่ารุกรานในจีน แอฟริกาใต้ คิวบา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮาวายและหมู่เกาะอื่น ๆ ในภูมิภาคแปซิฟิก ลักษณะ บานดึกหรืออีกชื่อว่า ดอกชมจันทร์ เป็นไม้เถายืนต้น ความสูงของต้น 5-10 เมตร ลำต้นเรียบหรือมีหนามอ่อนมีน้ำยาง ก้านใบ 5-20 ซม. ใบรูปไข่ถึง±วงกลมในโครงร่าง 10-20 x 5-16 ซม. ดอกสีขาวกลิ่นหอม บานตอนเช้าและ พลบค่ำ ผลเป็นแคปซูลรูปไข่ 2.5-3 ซม.เมล็ดสีน้ำตาลหรือดำ 7-8 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด ดินร่วนปนทราย ดินที่ชื้น มีการระบายน้ำได้ดี และมีค่า pH ตั้งแต่ 6.1 ถึง 7.8 ศัตรูพืช/โรคพืช---ตรวจพบโรคพืชต่อไปนี้ในการเพาะปลูก: สนิมขาว (Albugo Candida), สนิมใบ (Coleosporium ipomoeae) และเขม่าดำ (Macrophomina phaseolina) ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ มีการค้าอย่างกว้างขวางในฐานะไม้ประดับในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับที่น่าสนใจสำหรับรั้ว ชั้นดาดฟ้าหรือโครงสร้างอื่น ๆ รอบบ้าน -ใช้เป็นยา ในการแพทย์แผนจีนใช้ (เมล็ด) รักษาอาการฟกช้ำบวมและปวดกระดูกหัก ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดกระจายเลือดหยุดนิ่งลดอาการบวม (ทั้งต้น) รักษาแผลงูกัด บรรเทาพิษงู -อื่น ๆ ในแคริบเบียนและอเมริกาใต้สายพันธุ์นี้ใช้เป็นยาระบายลดไข้ ใช้แทนสบู่และเป็นอาหารสำหรับสุกร ระยะออกดอก/ติดผล---ปลูกในเดือนเมษายน-พฤษภาคม : ออกดอก--กรกฎาคม-ตุลาคม/กันยายน-พฤศจิกายน การขยายพันธุ์---เมล็ด
|
|
บานชื่น/Zinnia elegans.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Zinnia elegans Jacq.(1792) ชื่อพ้อง ---Has 11 Synonyms ---Basionym: Zinnia violacea Cav.(1791) ---Crassina elegans (Jacq.) Kuntze.(1891) ---Zinnia australis F.M.Bailey (1891) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:261331-1#synonyms ชื่อสามัญ---Youth and old age, Young's helleborine, Common zinnia, Elegant zinnia, Garden zinnia. ชื่ออื่น---บานชื่น; [BRAZIL: Chapéu-de-couro.];[CZECH: Ostálka sličná.];[DUTCH: Dahliabloemige zinnia.];[FRENCH: Zinnia, Zinnia élégant.];[GERMAN: Garten-Zinnie, Pracht-Zinnie, Zinnie.];[JAPANESE: Hyakunichisô, Jiniâ.];[KOREA: Baek il hong.];[PORTUGUESE: Canela-de-velho, Zínia.];[RUSSIA: Tsiniya izyashchnaya.];[SPANISH: Mal de ojos, Flor de papel, Rosa mistica.];[SWEDISH: Dahliablommande zinnia.];[THAI: Ban-chuen.]. ชื่อวงศ์---ASTERAEAE (COMPOSITAE) EPPO Code---ZIIEL (Preferred name: Zinnia elegans.) ถิ่นกำเนิด---เม็กซิโก อเมริกากลาง เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนทั่วไป นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Zinnia' ได้รับเกียรติจาก Dr. Johann Gottfried Zinn (1727-1759) นักกายวิภาคศาสตร์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันที่เป็นคนแรกที่นำเมล็ดบานชื่นจากอเมริกาไปปลูกยุโรป ; ชื่อของสายพันธุ์เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน ' elegans ' = หรูหรา สง่างาม -ชื่อสามัญ "Youth and Old Age"= เยาว์วัย และสูงอายุ เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่มีดอกอ่อนดอกแก่ดอกบานเต็มที่อยู่ในต้นเดียวกัน Zinnia elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae หรือ Compositae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph Freiherr von Jacquin (1727–1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้าน การแพทย์เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2335
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกถึงอเมริกากลาง แต่ปลูกเป็นไม้ประดับในหลาย ๆ ที่และมีการแปลงสัญชาติในหลายแห่งรวมทั้งสถานที่กระจัดกระจายในอเมริกาใต้และกลางหมู่เกาะอินเดียตะวันตก สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียและอิตาลี พบในป่าผลัดใบหรือป่าโปร่ง ทุ่งหญ้าและพื้นที่รกร้างที่ระดับความสูงระหว่าง 600-1,800 เมตร ลักษณะ บานชื่นเป็นไม้ดอกล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรงสูงได้ถึง 15-0.90 ซม.ไม่แตกกิ่ง ไม่มีแก่น กลวงและเปราะหักง่าย ต้น ใบ กิ่งก้านมีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันรูปมนปลายแหลม ขอบใบเรียบ เส้นใบแยกออกจากฐานของใบ มี 5 แฉก ไม่มีก้านใบ ใบติดกับลำต้น ดอกเป็นดอกช่อกระจุกออกเดี่ยวๆ ดอกมีทั้งชนิดดอกลาและดอกซ้อน – ดอกลา ประกอบด้วยกลีบดอกเรียงซ้อนกันเพียง 1-3 ชั้น แต่ละกลีบมีขนาดเท่ากัน และทิ้งตั้งฉากกับเกสรดอกขนานกับพื้น – ดอกซ้อน ประกอบด้วยกลีบดอกหลายกลีบ เรียงซ้อนกันแน่นตามความสูง แต่ละกลีบมีขนาดไม่เท่ากัน กลีบด้านล่างมีขนาดใหญ่ ขนานกับพื้น กลีบด้านบนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และค่อยๆตั้งฉากกับพื้น ผลอะคีน(Achene)เมล็ดมีสีดำขนาดเล็ก เรียวยาว ประมาณ 2 ซม. ประกอบด้วยก้านเมล็ดสีน้ำตาล ยาวประมาณ 1 ซม. และตัวเมล็ด ยาวประมาณ 1 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่โล่งแจ้งมีแสงแดดจัด ชอบดินร่วนปนทราย ดินมีอินทรีย์วัตถุสูง ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ ไม่ชอบสภาพดินแฉะ มีน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกนำมาตากแห้ง และบดเป็นผงสำหรับชงเป็นชาดื่ม ใช้สำหรับเป็นสีผสมอาหาร -ใช้ปลูกประดับ**การพูดคุยส่วนตัว สำหรับ เมืองไทยสามารถปลูกบานชื่นได้ตลอดเวลาเพราะเป็นดอกไม้ที่ปลูกง่าย ขึ้นง่ายเพียงขยี้เมล็ดจาก "ดอกบนฐาน"แห้งๆโรยลงบนพื้นดิน ก็ขึ้นแล้ว เอื้อเฟื้อน้ำให้บ้างก็พอ ถ้าไม่รังเกียจว่าเป็นพันธุ์ไม้ข้างถนนละก็ {กทม เคยนำเมล็ดดาวเรือง ดาวกระจาย บานชื่นหว่านปลูกสองข้างถนนหลายสาย คงเห็นผ่านตากันบ้าง (2008)} หลากสีสันอันสดใสของบานชื่นก็สามารถทำให้ที่นั้นๆสดใสได้ **-ปัจจุบันนักผสมพันธุ์บานชื่น ได้ผสมพันธุ์บานชื่นจากพันธุ์เดิมหรือพันธุ์ Zinnia elegans จนได้ดอกสีสวยมากมายหลายพันธุ์ จึงเรียกพันธุ์ผสมชนิดต่างๆเหล่านั้นว่า บานชื่นสวนหรือ Garden Zinniaและ จัดไว้เป็นพวกดอกไม้แต่งสวนประจำฤดู บานชื่นเป็นพืชสวนยอดนิยมที่มีหลายร้อยสายพันธุ์ในสีดอกไม้ขนาดและรูปแบบต่างๆ สีดอกไม้มีตั้งแต่สีขาวและครีมไปจนถึงสีชมพู สีแดงและสีม่วงไปจนถึงสีเขียว สีเหลืองแอปริคอท สีส้มปลาแซลมอนและสีบรอนซ์ บางชนิดมีลายจุดด่างดำหรือสองสี ที่นั่น มีพันธุ์ "pom-pom" รูปแบบที่มีลักษณะคล้ายdahlias ขนาดมีตั้งแต่พันธุ์แคระที่สูงน้อยกว่า15 ซม.ไปจนถึงสูง 90 ซม. พันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ 'Magellan', 'Envy Double', 'Fireworks', 'Purple Prince', 'Blue Point Purple', 'Profusion Cherry', 'Profusion Orange', 'Star Gold', 'Star Orange' -อื่น ๆดอกนำมาสกัดสีย้อมผ้า นำมาบดละลายน้ำใช้เป็นสีระบายภาพ ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในบราซิล Curanderos หรือหมอพื้นบ้านใส่ใบดอกบานชื่น (Z. elegans) ไว้บนศีรษะของผู้ป่วยเพื่อรักษาอาการคลุ้มคลั่ง นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในการอาบน้ำตามพิธีกรรมของชาวบราซิล -ในประเทศไทย ใช้ปลูกเป็นไม้มงคลที่เชื่อว่าจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้แก่ครอบครัว ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด (การออกดอกครั้งแรกประมาณ2เดือนหลังเพาะเมล็ด)
|
|
ผกากรอง/Lantana camara
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lantana camara L. (1753) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See al https://powo.science.kew.org/taxon/325686-2#synonyms ---Camara vulgaris Benth. (1846) ชื่อสามัญ---Lantana, Cloth of Gold, Common lantana, Kamara lantana, Largeleaf lantana, Wild sage, Statia Sage, Black Sage, Sage, Scrubby Cup, Scrubby Tree ชื่ออื่น---ขะจาย, มะจาย, ตาปู (แม่ฮ่องสอน); คำขี้ไก่ (เชียงใหม่); ดอกไม้จีน (ตราด); ไม้จีน (ชุมพร); ขี้กา (ปราจีนบุรี, ประจวบคีรีขันธ์); สามสิบ (จันทบุรี); ยี่สุ่น (ตรัง); เบ็งละมาศ สาบแร้ง หญ้าสาบแร้ง (ภาคเหนือ); ก้ามกุ้ง เบญจมาสป่า หญ้าสาบแร้ง (ภาคกลาง);[ASSAMESE: Gubon, Gu-phul.];[BRAZIL: Cambará-de-espinho.];[CAMBODIA: Ach mann.];[CHINESE: Ma ying dan.];[COLOMBIA: Hierba zorra, Mora de caballo, Venturosa.];[FRENCH: Corbeille d’or, Galabert, Lantanier, Mille fleurs, Vieille fille.];[FIJI: Kauboica.];[GERMAN: Wandelroeschen.];[HINDI: Raimuniya.];[INDONESIA: Boenga pagar, Chente, Kembang satik, Kembang telek, Oblo, Puchengan, Saliara, Tahi agam, Tai hayam, Tai kotok, Telekan, Tembelek, Tembelekan, Teterapan, Waung, Wileran.];[ITALIAN: Camara, Lantana, Viburno americano.];[JAPAESE: Rantana, Shichihenge.];[KANNADA: Aripu, Rozagida.];[MALAYALAM: Arippoo, Konkini, Kongini.];[MALAYSIA: Bunga asam senyur, Bunga pagar, Bunga tahi anjing, Bunga tahi asu, Bunga tahi ayam busok, Tahi ayam munai.];[MEXICO: Alantana, Alfombrilla hedionda (Michoacán), Carrasposa,];[PHILIPPINES: Bahug-bahug, sapinit.];[PORTUGUESE: Camará, Camará-de-cheiro, Camará-de-espinho, Camará-de-folha-grande, Camará-vermelho, Cambará, Cambará-de-chumbo, Cambará-juba, Cambará-miudo, Cambará-verdadeiro, Freira, Lantana, Lantata trepadeira, Trepadeira.];[SANSKRIT: Vanacchedi.];[SOUTH AFRICA: Boesmandruiwe, Cherry-pie.];[SPANISH: Bandera, Banderita, Camar, Cariaquillo, Cinco negritos, Comida de paloma, Gurupacha, Espuela de galán, Maestrante del Brasil, Sanguinaria, Siete negritos, Té de Bahamas.];[SRI LANKA: Ganda-pana, Katu-hinguru, Rata-guru, Ton-kinna.];[TAMIL: Unni Chedi, Arasimala.];[THAI: Kamkung, Ben cha-maat paa, Pha-ka-krong.];[TURKISH: Calıminesi.];[USA: Large-leaf lantana.];[VIETNAM: Thom oi.];[ZIMBABWE: Chiponiwe.]. ชื่อวงศ์---VERBENACEAE EPPO Code---LANCA (Preferred name: Lantana camara.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ทั่วโลกในเขตร้อน Lantana camara เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผกากรอง (Verbenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 มี 6 ชนิดย่อยที่ยอมรับ (Subspecies) ;- -Lantana camara subsp. aculeata (L.) R.W.Sanders. (2006) -Lantana camara subsp. camara -Lantana camara subsp. glandulosissima (Hayek) R.W.Sanders. (2012) -Lantana camara subsp. moldenkei (R.W.Sanders) R.W.Sanders. (2012) -Lantana camara subsp. moritziana (Otto & A.Dietr.) R.W.Sanders. (2012) -Lantana camara subsp. portoricensis (Moldenke) R.W.Sanders. (2012)
ที่อยู่อาศัย พืชพันธุ์พื้นเมืองของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีการแปลงสัญชาติใน 60 ประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก นอกจากนี้ยังพบได้ในภาคตะวันออกและภาคใต้ของแอฟริกา พบได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้แก่ ขอบป่า ทุ่งหญ้าป่าทุติยภูมิ ริมชายหาดและพื้นที่เกษตรกรรม เกิดขึ้นที่ระดับความสูง ได้ถึง 1,400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มต้นสูง 30-45 ซม.และชนิดเลื้อยคลุมดินอายุหลายปี ยอดเลื้อยได้ไกล 3-5 เมตร ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอมเขียว เมื่ออายุมากมีเนื้อไม้ ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ขอบใบจักซี่ถี่ผิวใบสากมีขนคายมือ สีเขียว ใต้ใบมีขนอ่อนสีขาวขนาดใบกว้าง 3-5 ซม.ยาว 4-6 ซม. ดอก ออกเป็นช่อกระจุกแน่นตามซอกใบและปลายยอด ขนาดดอก 2-3 ซม. ดอกย่อย 15-20 ดอก ดอกย่อยรูปแตรมีหลายสี ขาว เหลือง ส้ม แดง ชมพู ขนาดดอกย่อย 5-8 มม.ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปกลมขนาด5-8มม.สีเขียว แก่สีดำมีเนื้อนุ่ม มีเมล็ด1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด ไม่มีความทนทานต่อร่มเงา สามารถอยู่รอดได้ในสภาพอากาศที่หลากหลายรวมถึงความแห้งแล้ง ทนดินประเภทต่างๆความร้อนความชื้นและเกลือ นอกจากนี้ยังค่อนข้างทนไฟและสามารถสร้างตัวได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่ป่าที่เพิ่งถูกไฟไหม้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับหลักในสวนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในสวนตามบ้าน สวนสาธารณะ นิยมปลูกรวมกันเป็นกลุ่มใช้ในงานจัดสวนแต่ไม่ควรปลูกเป็นกลุ่มรวมกับไม้คลุมดินชนิดอื่นเนื่องจาก ผกากรองจะขับสารเคมีอัลโลพาติกซึ่งช่วยลดการเจริญเติบโตของพืชโดยรอบโดยยับยั้งการงอกและการยืดตัวของราก -ใช้เป็นยา ในบางส่วนของพันธุ์พื้นเมือง L. camara ถูกใช้เป็นแหล่งของการรักษาทางยาตัวอย่าง เช่น ในเอกวาดอร์ใบจะถูกกินเพื่อรักษาความผิดปกติของกระเพาะอาหาร -วนเกษตร ใช้เป็นพืชคลุมดินที่ดีในการป้องกันการกัดเซาะ -อื่น ๆ กิ่งใบแห้งผสมกับมูลสัตว์เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพและใช้กิ่งไม้เป็นเชื้อเพลิง- ในหลายภูมิภาคถูกมองว่าเป็นพืชน้ำผึ้งที่สำคัญ-สารสกัดจากใบมีสารฆ่าแมลงที่แข็งแกร่งและมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ รู้จักอันตราย---สารที่ก่อให้เกิดการใช้งานความเป็นพิษในสัตว์แทะเล็ม มีpentacyclic triterpenoidsซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อตับเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงเช่นวัว แกะ ม้า สุนัขและแพะ ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
ทับทิมหนู/Punica granatum var. nana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Punica granatum var. nana ชื่อพ้อง---Punica granatum 'Nana' ชื่อสามัญ--Dwarf Pomegranate, Punic Apple ชื่ออื่น---ทับทิมหนู, เซียะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง;[DUTCH: Granaatappel.];[FRENCH: Grenade, Grenadier, Grenadier commun.];[GERMAN: Granatapfelstrauch, Granatapfelbaum.];[ITALIAN : Granato a frutto nano.];[PORTUGUESE: Romã, Romanzeiro, Romeira.];[SPANISH: Granado enano.];[THAI: Thap thim nu, Phila khao, Makong kaew.]; ชื่อวงศ์---PUNICACEAE EPPO Code---PUNGR (Preferred name: Punica granatum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปยุโรป เขตกระจายพันธุ์ ---ยุโรปตอนใต้ เมดิเตอร์เรเนียน- แอฟริกาตะวันออกไปจนถึงเปอร์เซีย ปาเลสไตน์และอินเดีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Punica' มาจากชื่อภาษาละติน 'Punicum malum ' จาก Pliny เป็นการอ้างอิงถึงชื่อของผู้คน Punics และเมืองโบราณของ Carthage ที่พวกเขาอาศัยอยู่ใน Tunisa ; ชื่อสายพันธุ์ฉายาเฉพาะ 'granatum' หมายถึงเมล็ดพันธุ์มากมาย ; -ชื่อสามัญ Pomegranate มาจากภาษาละติน 'pomium' แปลว่าแอปเปิ้ล ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดจากยุโรปตอนใต้ (ประเทศสเปน)ไปจนถึงอินเดียตอนเหนือ แต่ได้แปลงสัญชาติเมื่อเวลาผ่านไป รอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและในสภาพอากาศที่อบอุ่น หลายแห่งทั่วโลกรวมทั้งบางส่วนของทางตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ลักษณะ เป็นไม้พุ่มผลัดใบมีหนามขนาดเล็กหลายลำต้น สูงประมาณ 0.50-0.80 เมตร ทอดกิ่งอ่อน มีหนามแหลมปลายกิ่ง ใบเดี่ยวเล็กเรียวแคบ กว้าง 1.5-2 ซม. 4-8 ซม. ปลายใบมนถึงแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ดอกสีแดงแสดกว้าง 2.5-5 ซม ออกเดี่ยว ๆ เป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบรองดอกเป็นทรงกรวยมี 4-5 แฉก ส่วนกลีบดอกย่นซ้อนกันราว 8 กลีบ ผลกลมขนาด 5 ซม.ผิวเปลือกมันเรียบสีน้ำตาลอมเหลืองจนถึงแดง กินได้ ภายในผลมีเมล็ดหุ้มเนื้อใสชุ่มน้ำสีขาวแกมชมพูจำนวนมาก เมล็ดอัดแน่นมีเยื่อกั้นช่องแบ่งเป็น 5 พู เหมือนทับทิมธรรมดาแต่มีขนาดเล็กกว่า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัดและส่วนผสมของดินที่ระบายน้ำได้ดี ใช้ส่วนผสมของดินที่ประกอบด้วยพีทมอส1ส่วนกับดินร่วน1ส่วนทราย2ส่วน พืชเจริญเติบโตได้ในบรรยากาศกึ่งแห้งแล้งและเมื่อปลูกแล้วต้องการน้ำน้อยมาก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกเป็นไม้กระถางหรือปลูกลงแปลงกลางแจ้ง ผลจะแขวนอยู่บนต้นเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับการเป็นไม้ประดับ นอกจากนั้นทับทิมแคระยังเป็นพันธุ์ที่ดีที่จะใช้เป็นบอนไซอีกด้วย ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/สิงหาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ ทาบกิ่ง เสียบยอด ติดตา
|
|
อเมริกันบิวตี้/Ruspolia hypocrateriformis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ruspolia hypocrateriformis (Vahl) Milne-Redh.(1936) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. ---Basionym: Eranthemum hypocrateriforme (Vahl) R.Br. ex Roem. & Schult.(1817) ---Pseuderanthemum hypocrateriforme Radlk.(1884 publ. 1883) ---Siphoneranthemum hypocrateriforme (Vahl) Kuntze.(1891) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:54830-1#synonyms ชื่อสามัญ---Pink Ruspolia, Ruddy Rose, Prickly bush ชื่ออื่น---อเมริกันบิวตี้ ;[THAI: American beauty.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---RUOSS (Preferred name: Ruspolia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---บอตสวานา, คองโก, แทนซาเนีย, มาลาวี, โมซัมบิก, แซมเบีย, ซิมบับเวและมาดากัสการ์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ruspolia' เป็นเกียรติแก่นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาว อิตาลี Eugenio Ruspoli (1866-1893 ) Ruspolia hypocrateriformis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Edgar Wolston Bertram Handsley Milne-Redhead (1906–1996) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2479
ที่อยู่อาศัย พันธุ์พื้นเมืองแอฟริกาเขตร้อนถึง มาดากัสการ์ เติบโตในป่าทึบป่าละเมาะมักอยู่บนเนินหินใกล้ลำธารน้ำที่ระดับความสูงถึง 100-1200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 0.50-1.20 เมตร ทุกส่วนมีขนปกคลุมเล็กน้อย ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปไข่กว้างถึงรูปรีขนาดใบกว้าง 5 – 8 ซม.ยาว 10 – 15 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อเชิงลดที่ปลายยอดช่อดอกยาว 5-30 ซม.ดอกย่อย 3–7 ดอก ดอกรูปเข็มสีชมพูอ่อน โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบโคนกลีบมีจุดประสีชมพูเข้ม ผลเป็นแคปซูลยาว 2.8-4 ซม.แห้งแตก เมล็ดบางส่วนเกือบกลมและแบน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โตเร็วชอบดินร่วนปนทราย แดดจัด น้ำปานกลาง หากได้แสงแดดน้อย จะมีแต่ใบ ไม่ออกดอก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกลงแปลงเพื่อดึงดูดผีเสื้อเข้ามาในสวน ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการชำกิ่ง
|
|
เหลืองคีรีบูน/Pachystachys lutea
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pachystachys lutea Nees.(1847) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Pachystachys albiflora Rizzini.(1947) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/52814-1#synonyms ชื่อสามัญ---Lollypops Plant, Lollipop--plant, Golden- candle, Golden shrimp- plant, Yellow-candles. ชื่ออื่น---เหลืองคีรีบูน ;[ASSAMESE: Hunboronia.];[GERMAN: Gelbe Dickähre, Gelber Zimmerhopfen.];[MAYA: Camaron amarillo.];[SWEDISH: Guldax.];[THAI: Lueng khi ri boon, Kung thong.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน - เอลซัลวาดอร์ เปรู บราซิล ปานา เปรู สาธารณรัฐโดมินิกัน เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ตรินิแดด - โตเบโก เวเนซุเอลา แอนทิลลิส บังกลาเทศ พม่า นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Pachystachys' คือการรวมกันของคำศัพท์ภาษากรีก '' pachys '' = ใหญ่และ ''stachys '' = หนาม โดยอ้างอิงถึงช่อดอก ; ชื่อสายพันธุ์ 'lutea' จากภาษาละติน หมายถึง "สีเหลือง" Pachystachys lutea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์ แพทย์ นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติ ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2390 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดจากเปรูถึงบราซิล แนะนำใน อเมริกาเขตร้อน - เอลซัลวาดอร์ เปรู บราซิล ปานา เปรู สาธารณรัฐโดมินิกัน เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ตรินิแดด - โตเบโก เวเนซุเอลา แอนทิลลิส บังกลาเทศ พม่า ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 60-120 ซม.ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสีเขียวรูปใบหอก กว้าง 4-5ซม. ยาว 8-12 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ มีเส้นใบที่โดดเด่น ดอกออกเป็นข่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น ยาวประมาณ 10 ซม.ดอกสีขาวโผล่ออกมาตามลำดับจากใบประดับที่ทับซ้อนกันสีเหลืองสดใสประดับบนช่อดอก ผลแห้งแตก มี 4 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน เติบโตในดินเกือบทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ศัตรูพืช/โรคพืช---ดูเพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาว และไรเดอร์ โดยเฉพาะในพืชในร่ม ใบไม้ร่วงมักเกิดขึ้นหากอุณหภูมิของอากาศลดลงถึง 15 ℃ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นกลุ่มประดับสวนในที่มีแสงรำไร ใบประดับสวยมีสีสัน ริมศาลา น้ำตก ลำธาร ริมทางเดิน ตัดเเต่งทรงพุ่มได้ เป็นพืชภูมิทัศน์ที่ได้รับความนิยมในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของโลก -ใช้เป็นยา ในแคริบเบียนใช้เป็นเครื่องดื่มหลอนประสาท -ใช้รักษาไข้ ไอ หวัดและผมร่วง -ชนเผ่ามิชชิ่งแห่งอัสสัมใช้รากรักษาโรคปอดบวม ได้รับรางวัล---Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit. ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
แดงคีรีบูน/Pachystachys coccinea
Image credit: https://www.botanic.jp/plants-ha/paccoc.htm ชื่อวิทยาศาสตร์---Pachystachys coccinea (Aubl.) Nees. (1847) ชื่อพ้อง--- Has 6 Synonyms ---Basionym: Justicia coccinea Aubl. (1775) ---Dianthera coccinea Salisb. (1796) ---Jacobinia coccinea (Aubl) Hiern. (1877) ---Thyrsacanthus coccineus (Aubl.) T.Anders. (1868) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/52812-1#synonyms ชื่อสามัญ---Cardinal's Guard, Brazilian plume. ชื่ออื่น---แดงคีรีบูน ;[BRAZIL: Camarao-escarlate, Camarao-vermelho.];[CUBA: Coral.];[FRENCH: Carmantine roige, Chandelier.];[GERMAN: Rote Dickahre.];[JAPANESE: Benisangobana.];[SWEDISH: Rubinax.];[THAI: Daeng khi ri boon.];[TRINIDAD AND TOBAGO: Black stick.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---PAHCO (Preferred name: Pachystachys coccinea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เฟรนช์เกียนา บราซิล เปรู อินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะคุก ตรินิแดด โตเบโก คิวบา นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Pachystachys' คือการรวมกันของคำศัพท์ภาษากรีก '' pachys '' = ใหญ่และ ''stachys '' = หนาม โดยอ้างอิงถึงช่อดอก ; ชื่อสายพันธุ์ coccinea เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน '' coccineus, a, um '' = สีแดง โดยอ้างอิง จากสีของดอกไม้ Pachystachys coccinea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Christophore Fusée Aublet (1720–1778) เภสัชกร นักพฤกษศาสตร์ และนักสำรวจชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์ แพทย์ นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติ ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2390 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ตั้งแต่เฟรนช์เกียนาไปจนถึงบราซิลและเปรู สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกและแปลงสัญชาติในอินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะคุกตรินิแดด โตเบโกและคิวบา เติบโตในป่าที่มีร่มเงาพุ่มไม้ ตามขอบของที่ราบลุ่ม ป่าฝนและตามเส้นทางริมฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูงระหว่าง 50-1,000 เมตร ลักษณะ แดงคีรีบูนเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง1-2เมตร ก้านใบยาว2-6 ซม.ใบออกตรงข้ามรูปขอบขนานพรือรูปไข่ปลายใบแหลม กว้าง 6-9 ซม. ยาว 12-25 ซม.สีเขียวเข้ม ช่อดอกประกอบด้วยหนามแหลมยาว 9-22 ซม. มีหนามและดอกที่เด่นชัดก้านช่อดอกยาว 1-3 ซม. ใบประดับสีเขียวยาว 1.5-2.5 ซม. และกว้าง 4-9 มม กลีบดอกสีแดงสดยาว 5-7 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดีแสงแดดรำไร เติบโตในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและเขตร้อนที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 10 ° C ส่วนปัญหาการเลี้ยงดูของแดงคีรีบูนที่พบเหมือนกับไม้ที่อยู่ในร่มทั่วๆไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับจัดสวน ได้รับการปลูกในเชิงพาณิชย์เป็นไม้ประดับสำหรับดอกไม้สีแดงฉูดฉาด ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
|
|
กำแพงเงิน/Dianella caerulea
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dianella caerulea Sims. (1801) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Dianella elegans Kunth & C.D.Bouché. (1847) ---Dianella paniculata Kunth. (1847) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-304079 ชื่อสามัญ--- Flax lily, Blue flax-lily, Blueberry lily, Paroo lily ชื่ออื่น---กำแพงเงิน ;[GERMAN: Blaue Flachslilie.];[PORTUGUESE: Blueberry-lily, Paroo-lily.];[THAI: Kam phang ngeon.]. ชื่อวงศ์---ASPHODELACEAE EPPO Code---DNLCA (Preferred name: Dianella caerulea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี, ออสเตรเลีย ; นิวเซาท์เวลส์ ควีนส์แลนด์ แทสเมเนีย ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dianella' เป็นภาษาละตินมาจาก Diana เทพธิดาแห่งการล่าสัตว์ของโรมันและราชินีแห่งป่า - Little Diana ; ชื่อสายพันธุ์ 'Caerulea' มาจาก 'cæruleus' = สีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้าเมดิเตอร์เรเนียนในตอนเที่ยงซึ่งอ้างอิงถึงสีของผลเบอร์รี่สุก Dianella caerulea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Asphodelaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Sims (1749 –1831) เป็นแพทย์ นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธาน ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2344
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของ S. New Guinea ถึง E. & SE ออสเตรเลีย พบได้ทั่วรัฐทางตะวันออกของออสเตรเลียและแทสเมเนีย เกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่อาศัยหลากหลายตั้งแต่ป่าชายเลนชายฝั่งและแม้แต่เนินทราย ลักษณะ เติบโตจากเหง้าใต้ดิน ลำต้นเรียวเล็ก สูง 50-100 ซม.ใบเดี่ยวเรียงแน่นแผ่ออกเป็นรูปพัด ยาวประมาณ 30-70 ซม. พื้นใบสีเขียวอมเทา ขอบใบด่างนวล โคนใบเป็นกาบหุ้มติดกัน ช่อดอกออกจากใบชูสูงขึ้นดอกเล็กสีขาวปนฟ้าเทา ช่อดอกมี 3-25 ดอก เกสรสีเหลืองสด ผลมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 ถึง 1.2 ซม.เมื่อสุกสีฟ้าคราม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการดินที่เป็นกลางถึงกรดที่มีการระบายน้ำได้ดี ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งครึ่งวันเช้าและร่มรำไร ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะปลอดโรคและปราศจากศัตรูพืช ใช้ประโยชน์----พืชให้ผลผลิตเส้นใยและยังมีผลไม้ที่กินได้ซึ่งบางครั้งก็รวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน---ผลไม้ - ดิบหรือสุกกินได้ -ใช้ปลูกประดับ ปลูกประดับสวน ปลูกคลุมดิน มีความทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนาน เหมาะสำหรับสวนหิน -อื่น ๆ เส้นใยเนียนที่แข็งแรงมากได้มาจากใบไม้ ใช้ในการทำตะกร้า ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ
|
|
ปีบฝรั่ง/Hippobroma longiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hippobroma longiflora (L.) G.Don. (1834) ชื่อพ้อง ---Has 10 Synonyms ---Basionym: Lobelia longiflora L. (1753) ---Isotoma longiflora (L.) C.Presl. (1836) ---Laurentia longiflora (L.) Peterm. (1845) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-370600 ชื่อสามัญ---Star- of- Bethlehem, Madam fate, Frog's flower, Horse poison. ชื่ออื่น---ปีบฝรั่ง, แสนประสะ ;[BRAZIL: Cega-olho, Arrebenta boi, Arrebenta cavallos, Jasmin de cachorro, Jasmin de Italia.];[CHINESE: Ma zui cao.];[COLOMBIA: Jazmín del diablo.];[CUBA: Revienta caballos.];[FRENCH: Etoile de Bethléem, Lastron blanc.];[HAWAII: Pua hōkū.];[HONDURUS: Lírio de monte.];[MICRONESIA: Adilep (Yapese).];[PALAU: Btuch, Udel ra badrei.];[PORTUGUESE: Estrela-de-belém.];[SPANISH: Ciegaojo, Flor de San Juan, Lágrimas de San Diego.];[TAHITI: Fetia.];[THAI: Peer farang, Saen pra sa.];[USA: Shrubharebell, Tibey.];[VIETNAM: Hoa dài, Cây mù mắt, Lỗ danh.]. ชื่อวงศ์---CAMPANULACEAE EPPO Code---ISOLO (Preferred name: Hippobroma longiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน-โอเชียเนีย เวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hippobroma' เป็นการรวมกันของสารพิษในภาษากรีก '' hippos (horse) ''และ ''bromos (rage, fury)'' โดยอ้างอิงถึงความเป็นพิษสูงของพืชที่ทำให้ม้าเป็นบ้า ; ชื่อสายพันธุ์ 'longiflora' คือการรวมกันของคำศัพท์ภาษาละติน '' longus,a, um '' = ยาว และคำว่า 'flos,-oris' = ดอกไม้ Hippobroma longiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พระจันทร์ครึ่งซีก (Campanulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2378
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแคริบเบียน - จาเมกา ปัจจุบันพบได้ในพื้นที่เขตร้อนหลายแห่งของโลก เช่นในฟลอริดา เม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ ในอเมริกากลาง ; แอนทิลลิสและตอนเหนือของอเมริกาใต้ (ขยายไปทั่วอเมซอนไปจนถึงที่ราบสูงของบราซิล) ในซีกโลกตะวันออก; เติบโตในมาดากัสการ์และมาสคารีน อินเดียศรีลังกา จีนตอนใต้และไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์,ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ; ควีนส์แลนด์ไมโครนีเซีย โพลินีเซียและหมู่เกาะฮาวายรวมทั้ง ฟิจิ เติบโตในที่อับชื้นริมฝั่ง ที่กำบังตามทางและริมถนนในดินเหนียวที่ทับถมหินปูน ที่ระดับความสูง 60 - 810 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรง สูงได้ประมาณ 9–35 (–65) ซม โคนของลำต้นเป็นแกนแข็ง ตามลำต้นมีขนขึ้นประปราย ใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบลำต้นรูปไข่กลับ รูปยาวรี หรือรูปขอบขนานแกมรูปรี ยาว 10–17 ซม. และกว้าง 3–4 ซม.ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบมนหรือสอบ ส่วนขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยหรือหยักเว้าไม่สม่ำเสมอ หลังใบและท้องใบเรียบ ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม เส้นกลางใบเป็นสีขาว ดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ สีขาว มีกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบดอกแหลม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ส่วนปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ผลเป็นรูปทรงรี เป็นผลแห้งแล้วแตก ยาว 1-1.5 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2 ซม.เมื่อแก่จะโป่งออกและโค้งลง ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก ลักษณะเป็นรูปไข่ ยาว 0.7 มม. สีน้ำตาลซีด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ขึ้นได้ดีในดินทั่วไป ชอบความชื้นปานกลาง แสงแดดแบบเต็มวันถึงร่มรำไร เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ขึ้นได้ดีในที่รกร้างหรือที่ชุ่มชื้น และมีปลูกบ้างทั่วไป พันธุ์นี้ได้กลายเป็นวัชพืชในเขตร้อนส่วนใหญ่ ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น พืชชนิดนี้ยังปลูกเป็นครั้งคราวทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคและเป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ในบราซิลพืชชนิดนี้ใช้เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในเวียตนามใช้ใบ รักษาอาการปวดฟันปวดปาก ขยี้ใบรักษาแผล ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ มาลาเรีย ใบสดใช้รักษาตุ่มหนอง หนองงูกัด ไม่ค่อยได้ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดในยาแผนโบราณ โดยมีผลที่ในบางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตได้ -ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นไม้ประดับสวนทั่วไปหรือใช้เป็นปลูกเป็นไม้กระถาง การเพาะปลูกถูกกีดกันอย่างรุนแรงเนื่องจากการรุกรานและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นพิษสูง รู้จักอันตราย---เป็นพืชที่มีพิษร้ายแรง เนื่องจากมีสารอัลคาลอยด์ที่ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ เช่น โลเบลานิดีน (lobelanidine) ซึ่งอาจนำไปสู่ความตายได้อย่างรวดเร็ว ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
|
อ้างอิง, แหล่งที่มา ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ ---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are ---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku ---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm ---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm ---https://whatflower.net/about/ REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species: Plants Database --- Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ Global Plant Initiative Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF --- Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images --- Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ (2008) บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Up date 8/26/2020
16/8/2022, 2/1/2023
|
1 2 [Next]
|
|
What are the trending destinations in France at the present? We can easily find all info on Things to do with detailed article.
OKBet is The Leading Online Casino and Sports Betting platform in the Philippines authorized by the Philippine Amusement and Gaming Corporation (PAGCOR)!!! Want to know more about the site? visit here --->> OKBet
OKBet is The Leading Online Casino and Sports Betting platform in the Philippines authorized by the Philippine Amusement and Gaming Corporation (PAGCOR)!!! Want to know more about the site? visit here --->> [url=https://www.okbetcasino.live/en/]OKBet[/url]
betflixhero สมัครฟรี นักพนันท่านใดที่อาจจะเพิ่งสมัครสมาชิกเข้าใช้บริการเว็บ betflixhero สมัครฟรี อันดับ 1 ของพวกเราเป็นครั้งแรก betflixhero สมัครฟรี รวมทุกค่าย และท่านอาจจะสงสัยว่าระบบในการพนันเล่นเกมภายในเว็บ betflixhero สมัครฟรี ถอนไม่อั้น จะเข้าเล่นได้อย่างไรจะต้องมีการติดตั้งโปรแกรมหรือไม่ โดยการพนันเล่นเกมพนันออนไลน์ betflixhero สมัครฟรี ไม่มีขั้นต่ำ ผ่านทางเว็บของพวกเรานั้น ทุกท่านสามารถเข้าเล่นได้อย่างง่ายและสะดวกที่สุด #https://betflixhero.bio/
betflix86 สมัครฟรี ผู้ให้บริการเว็บไซต์ เกมส์สล็อต betflix86 สมัครฟรี อันดับ 1 เกมส์คาสิโนและเกมส์ต่างๆมีให้เลือกกว่า 300 เกมส์ betflix86 สมัครฟรี รวมทุกค่าย เล่นสนุกไม่ยุ่งยาก อย่างที่คิดสมัครฟรีฝาก-ถอน ไม่มี ขั้นต่ำ ล่าสุด betflix86 สมัครฟรี ถอนไม่อั้น เล่นง่าย เล่นสนุก ไม่ยุ่งยาก อย่างที่คิดระบบอัตโนมัติ AUTO betflix86 สมัครฟรี ล่าสุด และ รองรับทรูวอเล็ตสามารถเล่นผ่านเว็บบราวเซอร์ #https://betflix86.pro/
betflik45 สมัครฟรี ผู้ให้บริการเกมพนันออนไลน์ อันดับ 1 ในไทย betflik45 สมัครฟรี อันดับ 1 เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ มาพร้อมบริการแบบครบครันอั้น betflik45 สมัครฟรี รวมทุกค่าย แน่นความสนุกและความเพลิดเพลินไว้เต็มเปี่ยม betflik45 สมัครฟรี ถอนไม่อั้น มีค่ายเกมพนันออนไลน์ดังทั่วโลกรวบไว้ในที่เดียวเลือกเล่นได้มากกว่า 10,000 รายการ มีเกมให้เลือกเล่นหลากหลาย #https://betflik45.world/
เว็บไซต์สล็อตตรง แตกง่ายดีที่สุด อันดับ 1 ของไทย ด้วยอัตราการชนะเฉลี่ยเมื่อเล่นผ่านเว็บของพวกเราสูงถึง 95% ซึ่ง RTP อัตราการชนะนั้นไม่เพียงพอกว่าเว็บไซต์สล็อตทั่วไปที่มีเทคนิคการเล่นฟรีเพิ่มโอกาสในการชนะเกมสล็อตออนไลน์โดยตรงจากพวกเราบนไซต์ฟรี เพราะพวกเราแจกฟรีแบบไม่มีเงื่อนไข นำมันขึ้นไปด้านบน ค้นหาวิธีเล่นเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะเกมสล็อตทำให้โบนัสแจ็คพอตง่ายขึ้นกับพวกเราทุกวัน คุณยังสามารถติดต่อทีมงานของพวกเรา รับคำแนะนำฟรี พวกเราพร้อมดูแลสมาชิกทุกท่านตลอด 24 ชั่วโมง ทุกคนต้องการเลือกเล่นบนเว็บของพวกเรา ได้เปิดให้เลือกเล่นเกมส์สล็อตออนไลน์ #https://kingslot789.org/
betfliknew สมัครฟรี เป็นเกมสล็อตที่ลงทุนน้อย ได้กำไรสูง pg betflik เครดิตฟรี 50 ล่าสุด ไม่ต้องลงทุนสูงก็สามารถทำเงินได้หลักแสน betfliknew สมัครฟรี อันดับ 1 กับเว็บสล็อตตรง เล่นได้ถอนได้โดยทันที betfliknew สมัครฟรี รวมทุกค่าย กับเกมสล็อตแตกง่าย ทุกเกม ทุกค่าย แตกได้ตลอดทุกเมื่อ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอเวลาสล็อตแตกสล็อตก็เลยถือเป็นเกมสล็อตที่น่าลงทุนที่สุดอย่างหนึ่ง betfliknew สมัครฟรี ถอนไม่อั้น และก็ด้วยตัวเกมที่มีความมากมายหลาย betfliknew สมัครฟรี ไม่มีขั้นต่ำ ในแบบการเล่น เป็นเกมที่ เล่นง่ายและได้เงินจริง #https://betfliknew.bio/https:/https://betfliknew.bio//betfliknew.bio/://betfliknew.bio/
รวมเว็บ betflix สมัครฟรี สำหรับข้อดีภายในเว็บไซต์พวกเรา นักเล่นเกมสล็อตมือใหม่ ที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อน รวมเว็บ betflix สมัครฟรี อันดับ 1 อาจจะมองไม่ออกว่า เว็บไซต์พวกเราแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆยังไงและทำไมต้องเลือกเล่นกับเว็บไซต์พวกเรา รวมเว็บ betflix สมัครฟรี รวมทุกค่าย ซึ่งวันนี้ทาง แอดมิน ก็ได้ทำการรวบรวมข้อดี และสิ่งที่แตกต่าง รวมเว็บ betflix สมัครฟรี ถอนไม่อั้น ที่เห็นได้ชัดมาให้กับทุกท่านได้ดูกัน โดยบอกได้เลยว่าข้อแตกต่างนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกท่าน รวมเว็บ betflix สมัครฟรี ไม่มีขั้นต่ำ ตัดสินใจเลือกเว็บไซต์เอาไว้เล่นเกมสล็อตออนไลน์ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วยและจะมีอะไรบ้าง แตกต่างกันที่จุดไหน ถ้าอยากรู้และตามพวกเรามาดูกันได้เลยสล็อตสามารถวางใจและได้รับเงินจริงสำหรับการเล่นอย่างแน่นอน รวมเว็บ betflix สมัครฟรี ทางเข้าเว็บ เป็นเว็บไซต์ประสิทธิภาพที่มีความน่าสนใจ #https://betflixabc.com/
https://betflik168.pro/ is an online casino website that There are a lot of games that are easy to break and Can make real money in one place where bonuses are issued frequently and breaks often in every game and also has various help features that will make every player Has entered to win many more prizes along with many bonuses, special prizes, big jackpots which is hidden in the game for all players to come and win
รวมเว็บ BETFLIX ทางเลือกเเห่การเดิมพันกับพวกเรา BETFLIX-WP เล่นง่ายใช้ทุนในการเล่นเริ่มต้นเพียง 1 บาทเท่านั้น ฝาก-ถอน ไม่มีั้นต่ำ ไม่ผ่านเอเย่นต์ betflix สล็อตเว็บตรง เรายังเปิดให้คุณใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง https://betflix-wp.com/
People of this generation are more likely to like playing slots.
They have it all and it is more legitimate here than anywhere else at the top jili casino slot games.
Do you fear playing modern virtual games? Here are the slots that are the most trustworthy to play.
philippines trusted online slots games. Most reliable and honest games!
While you are awaiting friends or loved ones. Why not give our online slots philippines a try? Slot machines, arcade games, fishing games, and all other popular games are available nowadays.
Come and join the fun!
The pocket games slot provider philippines offers more pleasure than the competition.
Try now! Don't squander your time trying to get more rewards and prizes! We are confident that you will like all of the games here.
To each of you, we extend an offer. Check our cq9 slot games provider philippines; there are many games available whether you're active or just waiting for luck.
Why not give this a try? Perhaps this is your best chance!
Do you want to play games that are fun? Check out our fachai slot games provider philippines.
Every game offers rewards, and we have a ton of surprises for you!
Do you know how to play slots? or any games where prizes can be won? The most recent and fun games are available here.
Check out our slot games provider philippines!
The most recent and well-liked game in the Philippines is online arcade games philippines.
It's simple for everyone to get wealth here. Try it right now!
Are you trying to find simple online games? Here is the ssbet77 online casino where you may play and win extra rewards.
This game is well-liked everywhere.
BETFLIX เว็บตรง ผู้ให้บริการ BETFLIX-OMG เกมสล็อตออนไลน์และคาสิโนที่ครบจบในที่เดียว ไม่ต้องโยกย้ายเงินไปมาให้ยุ่งยากอีกด้วยเบทฟิกเว็บตรง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานที่ลื่นไหล พวกเราเบทฟิกจึงได้รับความยอดนิยมในการเข้าเล่นเป็นอันดับ 1
Nice post! This is a very nice blog that I will definitively come back to more times this year! Thanks for informative post. best rpg accessories
Wow, cool post. I’d like to write like this too – taking time and real hard work to make a great article… but I put things off too much and never seem to get started. Thanks though. https://centerspas-website.yolasite.com
Groundcovers are low-growing plants that cover the ground in the landscape and have a variety of uses, including preventing soil erosion, stabilising soil on slopes, providing shade, weed control, providing seasonal floral interest, serving as a border plant, and reducing weeds. You've probably heard of the lily's garden and Stick Fight by TNSoftware.
I think this is one of the most significant information for me. And i’m glad reading your article. But should remark on some general things, The web site style is perfect, the articles is really great : D. Good job, cheers ucdm youtube canal
Your work is very good and I appreciate you and hopping for some more informative posts. Thank you for sharing great information to us. AMERIKAS BIZNESA VĪZA
What a fantabulous post this has been. Never seen this kind of useful post. I am grateful to you and expect more number of posts like these. Thank you very much. ucem um curso em milagres
Wow! Such an amazing and helpful post this is. I really really love it. It's so good and so awesome. I am just amazed. I hope that you continue to do your work like this in the future also upload file